หลวงพ่อไปพบลูกศิษย์ตายแล้วไปอยู่ที่พระนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย attasade, 17 สิงหาคม 2014.

  1. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ผู้ที่สั่งสมบุญบารมีมาแก่กล้ามาก ย่อมได้พบกับ สัจธรรม โลกุตรธรรม มาก
    ผู้ที่สั่งสมบุญบารมีมาปานกลาง ย่อมได้พบกับ สัจธรรม โลกุตรธรรม ปานกลาง
    ผู้ที่สั่งสมบุญบารมีมาน้อย ย่อมได้พบกับ สัจธรรม โลกุตรธรรม น้อย
    ผู้ที่สั่งสมบุญบารมีมาน้อยที่สุด ย่อมได้พบกับ สัจธรรม โลกุตรธรรม น้อยที่สุด

    แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกดวงจิตก็จะต้องได้พบกับสัจธรรมและโลกุตธรรมที่แท้จริง

    คือพระนิพพานเหมือนกัน จะต่างกันตรงที่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น

    ละความชั่วทั้งกายวาจาจิต ทำความดีทั้งกายวาจาจิต ทำจิตใจให้ผ่องใสด้วยธรรมะสัจธรรมทั้งปวง นั่นคือทางแห่งพระนิพพานแน่นอน

    สร้างความชั่วเลวระยำทั้งกายวาจาจิต ละความดีทั้งกายวาจาจิต ทำจิตให้หม่นหมองไปด้วยกิเลสอกุศลกรรมทั้งปวง นั่นคือทางแห่งสัตว์นรกแน่นอน

    (ใครใคร่เลือกอย่างไหนก็เลือกเอา)
     
  2. Padmapani_AM

    Padmapani_AM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +158
    นานาจิตตัง
    ไม่มีถูก ไม่มีผิด
    ทำอย่างไรจึงไม่มีผัสสะ?
     
  3. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ต้องขออภัยท่านผู้รู้และนักปฏิบัติทุกท่าน ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นสักเพียงเล็กน้อย...



    สำหรับเรื่องพระนิพพานนั้น ถ้าพูดกันให้ถึงที่สุดแล้ว ตราบใดที่เรายังไม่เป็นพระอรหันต์

    โอกาสที่เราจะเข้าใจคลาดเคลื่อนนั้นมีได้เสมอๆ




    แต่ความโชคดีอย่างหนึ่งของผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิก็คือ วิชาดังกล่าวสอนให้ผู้ฝึกสามารถนำจิตเข้าสู่สภาวะที่ละจากสังโยชน์ประการต่างๆ

    ได้ในระยะสั้นๆ ซึ่งเพียงพอแก่ผู้ฝึกในการที่จะนำจิตไปรู้เห็นภพภูมิต่างๆและถึงที่สุดคือพระนิพพาน



    ซึ่งการฝึกแบบนี้นอกจากจะทำให้พุทธศาสนิกชนสามารถพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเรื่อง

    การเวียนว่ายตายเกิดและภพภูมิต่างๆแล้ว ยังมีผลให้นักปฏิบัติสามารถรู้อารมณ์พระนิพพาน(สภาวะพระนิพพาน)

    รู้วิธีการละสังโยชน์ประการต่างๆ รวมไปถึงสภาวะของอารมณ์จิตที่สามารถละสังโยชน์ได้



    ซึ่งจุดนี้นับได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่พุทธบริษัทที่มีความปรารถนาหลุดพ้นไปพระนิพพาน เนื่องจากจิตคนเรานั้นมีสภาพจำ

    ดังนั้นถ้าหากเราสามารถทรงอารมณ์สมาธิและวิปัสสนาญาณจนสามารถละสังโยชน์ได้เป็นปกติแล้ว ในที่สุดก็จะเป็นปัจจัยให้เรามีบารมีเต็ม

    (มีกำลังใจเต็มหรือมีกำลังจิตที่มีความบริสุทธิ์เต็มที่)นั่นเอง



    ดังนั้นถ้าหากถามว่าเหตุใดนักปฏิบัติจึงสามารถไปและกลับนิพพานได้ นั่นก็เป็นเพราะว่านักปฏิบัติท่านนั้นๆ

    สามารถปฏิบัติสมถะภาวนาและวิปัสสนาญาณจนถึงจุดที่สามารถละสังโยชน์ประการต่างๆได้ชั่วคราวในขณะนั้นๆ ทั้งนี้เหตุ

    ที่ละได้ก็เพราะอาศัยบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ให้ ทำให้จิตของนักปฏิบัติในขณะนั้นมีความบริสุทธิ์ชั่วคราว

    ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของนักปฏิบัติทั่วๆไปในสายมโนมยิทธิค่ะ



    ฉะนั้นเมื่อฝึกเสร็จจิตของผู้ฝึกก็ยังมีกิเลสดังเช่นปุถุชนคนทั่วไปเช่นเดิม เว้นแต่จะสามารถปฏิบัติตนจนเข้าถึง

    ความเป็นพระอริยเจ้าอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น



    ทีนี้ถ้าหากถามว่าพระนิพพานคืออะไร ต้องกราบเรียนท่านที่สงสัยว่า ให้ยึดถือหลักกาลามสูตรเป็นหลักที่สำคัญ

    สำหรับการพิจารณาก่อน โดยทำใจให้เป็นกลางๆ ไม่เชื่อหรือปฏิเสธในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จนกว่าท่านจะทรงฌาน

    และวิปัสสนาญาณจนละจากสังโยชน์ได้ชั่วคราวและเกิดทิพจักขุญาณขึ้นเสียก่อน และเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว

    ท่านจะสามารถไปยังพระนิพพานได้ และสามารถรู้ได้ด้วยตนเองว่าพระนิพพานเป็นอย่างไร



    สำหรับพระนิพพานตามคำกล่าวของหลวงพ่อพระราชพรหมยานนั้น ท่านได้กล่าวถึงพระนิพพานไว้ว่า

    มีความเป็นทิพย์พิเศษแตกต่างจากภพภูมิอื่นๆ ไม่มีทั้งการเกิดและการตาย ซึ่งตรงนี้ถ้าหากว่าท่านไหนสงสัยว่า

    สิ่งที่ท่าน(หลวงพ่อ)พูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ก็ต้องเรียนตามตรงว่าวิธีเดียวที่ท่านจะรู้ได้ก็คือ

    ท่านจะต้องเจริญสมาธิภาวนาและทำวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นในจิตของท่านให้ได้ พูดง่ายๆก็คือต้องทำตน

    ให้มีความบริสุทธิ์เสียก่อน จึงจะสามารถเห็นในสิ่งที่ท่านผู้มีความบริสุทธิ์ของจิตเห็นนั่นเอง



    สำหรับประสบการณ์ส่วนตัวนั้น รู้แต่เพียงว่านิพพานนั้นไม่ใช่ทั้งอัตตาและอนัตตา และไม่ใช่บ้านหรือเมือง

    หรือแม้แต่กระทั่งดินแดนอย่างที่คนอื่นๆเข้าใจ แต่ภาพพระนิพพานที่ปรากฎแก่จิตนั้น ถ้าจะใช้สื่อสารกัน

    ตามประสามนุษย์ปุถุชนคนทั่วๆไปเพื่อให้บังเกิดความเข้าใจในเรื่องของพระนิพพานแล้ว เราจะต้องหยิบคำว่า

    แก้วประกายพฤกษ์ แดน(พระนิพพาน) เมือง(พระนิพพาน) หรือเมืองแก้ว มาใช้ทั้งสิ้น ทั้งๆที่คำทั้งหลายเหล่านี้

    ไม่ว่าจะโดยนัยยะ หรือความหมาย หรือสภาวะแล้ว ก็ยังเข้าไม่ถึงสภาวะของพระนิพพานจริงๆเลยแม้แต่คำเดียว

    แต่อย่างไรก็ตาม เราก็จำเป็นที่จะต้องนำคำทั้งหลายเหล่านี้มาใช้ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับ

    พระนิพพาน อันเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดในทางพระพุทธศาสนา



    ดังนั้นจึงสรุป(ตามความเห็นส่วนตัว)ได้ว่า พระนิพพานนั้นไม่ใช่ทั้งอัตตา(ตัวตน)และอนัตตา และพระนิพพานที่

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)ท่านกล่าวไว้นั้น ไม่มีส่วนใดเลยที่เป็นอัตตา(ตัวตน)หรืออนัตตา

    แต่ที่เราชอบคิดว่าพระนิพพานของหลวงพ่อท่านเป็นอัตตา(ตัวตน) ก็เพราะว่าธรรมชาติ(หรือจิต)ของคนเรานั้น

    มักจะไปยึดว่า "มีรูป = มีอัตตา(ตัวตน)" แต่เรายังไม่เข้าใจสภาวะที่ "มีรูป แต่ไม่ใช่อัตตา(ตัวตน) "

    (และก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงด้วย เพราะมันอธิบายไม่ได้) เท่านั้นเอง



    ทั้งนี้ถ้าหากนักปฏิบัติท่านใดปฏิบัติและศึกษาพระไตรปิฏกไปด้วยก็จะพบว่า

    "นิพพานไม่ใช่ทั้งสิ่งนี้และสิ่งนั้นตามที่มนุษย์เข้าใจ" ซึ่งในปัจจุบันก็จะพบว่าท่านผู้เชี่ยวชาญ(นักวิชาการ)ได้ทำการสรุปไว้ว่า

    "พระไตรปิฏกกล่าวถึงนิพพานว่าไม่ใช่อัตตา และพระไตรปิฏกก็ไม่เคยระบุชัดๆว่านิพพานเป็นอนัตตา" แต่ข้อถกเถียงเรื่อง

    นิพพานเป็นอัตตา/อนัตตานั้น เกิดจากการตีความของผู้คนที่แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ค่ะ

    (หากท่านใดสนใจสามารถเข้าไปฟังเรื่องราวดังกล่าวได้ที่ Youtube ในคลิปวิดีโอที่มีชื่อว่า"มหาธรรม 13 นิพพาน อัตตา อนัตตา"ค่ะ)



    ส่วนตัวมองว่าสาเหตุที่พระพุทธองค์ไม่ทรงกล่าวถึงนิพพานว่ามีลักษณะรายละเอียดอย่างไรน่าจะมาจากการที่

    จิตของสรรพสัตว์โดยทั่วไปนั้นยังไม่สะอาดพอ(เช่น มีการละเมิดศีลอยู่เป็นปกติ) ดังนั้นหากทรงอธิบายสภาพจริงๆของพระนิพพาน

    รับรองว่าปุถุชนคนทั่วไปจะต้องฟังแล้วคิดจินตนาการไปตามความเข้าใจของตนเองอย่างแน่นอน และจะไม่เข้ามาปฏิบัติธรรมเพื่อพิสูจน์

    เพราะมองว่า"ทำไมคำสอนบอกให้ละกิเลส แต่นิพพานกลับยังมีสภาพเหมือนสวรรค์ หรือพรหมอยู่อีก" ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนิพพานนั้น

    มีสภาพที่แตกต่างกับภพภูมิในวัฏสงสารเช่น พรหม หรือเทวดา แต่เนื่องจากจิตของปุถุชนนั้นยังไม่สะอาดพอที่จะรู้ที่จะเห็น

    จึงยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงวางแนวทางการปฏิบัติไว้หลายแบบด้วยกันเพื่อให้สรรพสัตว์

    ได้ปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ตามความเหมาะสมกับจริตนิสัยของตนค่ะ :)



    และสุดท้ายสำหรับเรื่องการปรามาสพระรัตนตรัยนั้น ขอยืนยันว่ามีจริงและมีผลจริง แต่เป็นคนละเรื่องกับการปิดกั้นการตั้งคำถามและสงสัย เพราะพระพุทธศาสนานั้นเราสามารถ

    สงสัยได้และสามารถพิสูจน์ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยการคิดหรือตรรกะ แต่จะต้องหาจิตของตัวเองให้เจอแล้วอบรมจิตของตัวเองซะก่อน จึงจะรู้ ดังนั้นในระหว่างที่กำลังสงสัย

    และตั้งคำถามนั้น แนะนำว่าอย่าไปฟันธงอะไรๆว่าถูกหรือผิดเลย แต่ให้หมั่นปฏิบัติให้มากๆ ปฏิบัติแล้วก็ตรวจสอบตรวจทานด้วยอิทธบาท 4 จนกระทั่งเมื่อพอรู้ผล

    บ้างแล้วก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไรค่ะ :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2014
  4. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,633
    ผมเชื่อหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงครับ เพราะคำสอนท่านทำให้ผมได้เห็นอะไรมากมายที่คนทั่วไปไม่สามารถที่จะเห็นได้โดยง่าย ใครที่ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ คุณค้านมาก็ช่างกรรมใครกรรมมัน ผมเชื่อหลวงพ่อวัดท่าซุงเท่านั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...