หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    lplordPamothito.jpg
    ประวัติหลวงปู่หลอด ปโมทิโต


    ชื่อเดิม "หลอด ขุริมน" เกิดเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๕๘ ณ บ้านขาม ต.หัวนา อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (ปัจจุบันคือ ต.บ้านขาม อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู) บิดาชื่อ "บัวลา" มารดาชื่อ "แหล้" หรือ "แร่" หลวงปู่เป็นบุตรคนสุดท้อง จากพี่น้อง ๓ คน คือ นางเกิ่ง (ถึงแก่กรรม) นางประสงค์ (ถึงแก่กรรม)

    หลังจากจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ พออ่านออกเขียนได้ ขณะนั้นหลวงปู่มีอายุ ๑๖ ปี ผู้เป็นแม่ได้ถึงแก่กรรม หลังจากป่วยหนัก หลวงปู่จึงตั้งใจไว้ว่า จะบรรพชาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้มารดา เมื่ออายุ ๑๘ ปี มีโอกาสบรรพชาเป็นสามเณรสมดังใจตั้งมั่น ที่วัดศรีบุญเรือง ต.หัวนา อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี โดยมี พระอธิการคูณ เป็นพระอุปัชฌาย์

    ต่อมาไม่นาน โยมพ่อก็เสียชีวิตอย่างกะทันหันอีก หลวงปู่จึงลาสิกขาออกมาช่วยพี่น้องทำไร่ทำสวน ในช่วงเวลานี้เองหลวงปู่ได้ไตร่ตรองเปรียบเทียบชีวิตของทั้ง ๒ เพศ คือ เพศบรรพชิต และเพศฆราวาส ทำให้ท่านพบว่าการออกมาใช้ชีวิตในเพศฆราวาสนั้น มีแต่กองทุกข์ มองชีวิตเป็นเรื่องน่าเบื่อ จำเจอย่างมาก และมองไม่เห็นความก้าวหน้า เมื่อเอาดีทางเพศฆราวาสไม่ได้ ก็ต้องเอาดีทางบรรพชิตให้ได้

    ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่จึงตัดสินใจก้าวเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ สังกัดมหานิกาย ณ พัทธสีมา วัดธาตุหันเทาว์ ต.บ้านขาม เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๙ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน สาม ปีจอ โดยมีพระอาจารย์ชาลี วัดโพธิ์ชัยสะอาด บ้านจิก อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ขาน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และได้พำนักที่วัดธาตุหันเทาว์ พร้อมศึกษาพระธรรมด้านวิปัสสนากรรมฐานอย่างเคร่งครัด

    ต่อมาหลวงปู่ได้ญัตติเป็นพระธรรมยุต ในสายพระป่ากรรมฐานศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้มาสร้างวัดขึ้นใหม่ คือ วัดสิริกมลาวาส หรือวัดใหม่เสนานิคม ใกล้สี่แยกวังหิน เขตลาดพร้าว กทม.

    ธรรมะลิขิตของหลวงปู่หลอด ปโมทิโต


    ๑. ชีวิตนี้น้อยนัก แม้จะเชื่อหรือไม่เชื่อกรรมที่กระทำแล้วไม่ว่า กรรมดีหรือ กรรมชั่ว ย่อมให้ผลแก่จิตผู้กระทำทันที กรรมดีก็จะให้ผลดี กรรมชั่วก็จะให้ผลชั่ว ปัญญายะ ติตตีนัง เสฏฐัง อิ่มด้วยปัญญา ประเสริฐกว่าความอิ่มทั้งหลาย ปัญญายะติตาตัง ปุริสังตัณหานะกุรุเตวะสัง คนอิ่มด้วยปัญญา ตัณหา เอาไว้ในอำนาจไม่ได้

    ๒. เราจะกำหนดลมหายใจให้มีสติ คือ ความระมัดระวังรู้อยู่ว่าเดี๋ยวนี้เราทำอะไรอยู่ สัมปชัญญะ คือ รู้ตัวว่าเรากำลังทำอันนั้นอยู่ ผู้รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่ ให้กำหนดลมหายใจเข้าด้วยการมีสติ ความระมัดระวังได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว

    การที่ว่าระลึกได้ คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต ไม่ใช่การที่เราไปศึกษาที่ไหนมา ให้รู้จักแต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมา อันนี้แหละเป็นความรู้สึก สตินี้ควบคู่กันกับความรู้สึก มีสติอยู่ คือ ความระลึกได้ว่าเราพูดอยู่หรือเราทำอยู่ หรือเราไปเดินอยู่ หรือเรานั่งอยู่ จะไปมาก็รู้ นั่นเรียกว่า สติระลึกได้ สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว บัดนี้เรากำลังเดินอยู่ เรานั่งอยู่ เรานอนอยู่ เรารับอามรณ์อะไรอยู่เดี๋ยวนี้ สองอย่างนี้ ทั้งสติ ความระลึกได้ และสัมปชัญญะ ความรู้ตัวในการที่เราระลึกได้อยู่เสมอนั้น เราก็สามารถรู้ใจของเราว่าในเวลานี้มันคิด อย่างไรเมื่อถูกอารมณ์ชนิดนั้นมามันอย่างไร อันนี้เราจะรู้จัก

    ๓. ผู้ที่รับรู้อารมณ์ คือ สภาวะที่มันเข้ามา เช่น มีเสียง อย่างเสียงเขาไสกบอยู่นี้ มันเข้าทางหูแล้วจิตก็รับรู้ว่าเสียงกบนั่น ผู้ที่รับรู้อารมณ์รับรู้เสียงกบนั้นเรียกว่า จิต ที่นี้จิตที่รับรู้นี้เป็นจิตหยาบๆ เป็นจิตปกติของจิต บางทีเรานั่งฟังเสียงกบอยู่ รำคาญในความรู้สึกของผู้ที่รับรู้ เราจะต้องอบรมผู้ที่รับรู้นั้นให้มันรู้ตามความเป็นจริงอีกทีหนึ่ง ที่เรียกว่า “พุทโธ”

    ถ้าหากว่าเราไม่รู้แจ้งตามความเป็นจริง เราอาจจะรำคาญในเสียงคน หรือเสียงรถ หรือ เสียง มีแต่คิดเฉยๆ รับรู้ว่ารำคาญรู้ตามสัญญาไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง เราจะต้องให้มันรู้ในญานทัศนะ คือ อำนาจของจิตที่ละเอียดให้รู้ว่าเสียงที่ดังอยู่นั้นก็สักแต่ว่าเสียงเฉยๆ ถ้าหากว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่น่ารำคาญอะไร เสียงก็ดังของมันไป เราก็นั่งรับรู้ไปอันนั้นก็เรียกว่ารู้ถึงอารมณ์ขึ้นมา นี่ถ้าหากว่าเราภาวนาพุทโธมีความรู้แจ้งในเสียง เสียงนั้นมันไม่ได้มากวนใคร มันก็อยู่ตามสภาวะ เสียงนี้ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เราเขา เขาเรียกว่าเสียงเท่านั้น มันก็ทิ้งไป วางไป ถ้ารู้อย่างนี้คือรู้จิตรู้โดยสภาวะที่เรียกว่า

    “พุทโธ” คือ ความรู้แจ้งตลอดเบิกบานรู้ตามความเป็นจริง เสียงก็ปล่อยไปตามเรื่องของเสียงไม่ได้รบกวนใคร นอกจากเราจะไปยึดมั่นว่า "เออ เรารำคาญไม่อยากจะได้ยินเสียงคนพูดอย่างนั้น ไม่อยากจะได้ยินเสียงนั้น ก็เลยเกิดทุกข์ขึ้นมา นี้เหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นมา เหตุที่มีทุกข์ขึ้นมาก็เพราะอะไร ก็เพราะเราไม่รู้จักเรื่องตามความจริง ยังไม่ได้ภาวนาพุทโธ ยังไม่เบิกบาน ยังไม่ตื่น ยังไม่รู้จัก มีแต่เฉพาะจิตล้วนๆ ที่ยังไม่บริสุทธิ์เป็นจิตที่ใช้การงานอะไรยังไม่ได้เต็มที่

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้ฝึกหัดฝึกจิตนี้ให้มีกำลังกับการทำกายให้มีกำลังมีลักษณะอันเดียวกัน แต่มีวิธีการต่างกัน การฝึกกำลังกายเราต้องเคลื่อนไหวอวัยวะ มีการนวดกาย เหยียดกาย เช่น วิ่งตอนเช้าตอนเย็น เป็นต้น นี้เรียกว่าการออกกำลังกาย กายนั้นก็จะมีกำลังขึ้นมา จะคล่องแคล่วขึ้นมา เลือดลมจะมีกำลังวิ่งไปมาสะดวกตามเส้นประสาทต่างๆ ได้ กายจะมีกำลังกว่าเมื่อไม่ได้ฝึก

    แต่การฝึกหัดจิตให้มีกำลังไม่ใช่ให้มันวิ่งให้มันเคลื่อนไหวอย่างกับออกกำลังกาย คือทำจิตให้มันหยุด ทำจิตให้มันพักผ่อน เช่น เราทำสมาธิยกอารมณ์อันใดอันหนึ่งขึ้นมา เช่น อาณาปานสติ ลมหายใจเข้าออก อันนี้เป็นรากฐานเป็นเป้าหมายในการเพ่งในการพิจารณา เราก็กำหนดลมหายใจ การกำหนดก็คือ การรู้ตามลมนั่นเอง กำหนดลมเข้าแล้วกำหนดลมออก กำหนดให้รู้ระยะของลม ให้มีความรู้อยู่ในลมตามรู้ลมเข้าออกสบาย แล้วพยายามปล่อยสิ่งทั้งหลายออก

    จิตของเราปล่อยให้จิตคิดอย่างนั้นอย่างนี้สารพัดมีหลายอารมณ์ มันไม่รวมเป็นอันเดียว จิตเราก็หยุดไม่ได้ ที่ว่าหยุดไม่ได้นั้นก็คือหยุดในความรู้สึก ไม่คิดแล่นไปทั่วไป เช่น เรามีมีดเล่มหนึ่งที่เราลับได้ดีแล้ว แล้วมัวแต่ฟันหิน ฟันอิฐ ฟันหญ้าทั่วไป ถ้าเราฟันไม่เลือกอย่างนี้ มีดของเราก็จะหมดความคม เราจึงต้องฟันแต่สิ่งที่เกิดประโยชน์ จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราปล่อยให้จิตแล่นไปในสิ่งที่ไม่เป็นสาระประโยชน์ ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร จิตนั้นจะไม่มีกำลัง ไม่ได้พักผ่อน ถ้าจิตไม่มีกำลัง ปัญญาก็ไม่เกิด จิตไม่มีกำลัง คือ จิตไม่มีสมาธิเลย ถ้าจิตไม่ได้หยุด จะเห็นอารมณ์นั้นไม่ชัดเจน ถ้าเรารู้จักจิตนี้เป็นจริง เห็นอารมณ์เป็นอารมณ์

    นี่หัวข้อแรกที่จะตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นมาได้ นี้คือตัวศาสนา เราบำรุงให้จิตนี้เกิดขึ้นเป็นลักษณะของการปฏิบัติให้เป็นสมถะ ให้เป็นวิปัสสนา รวมกันเข้าเป็นสมถะและวิปัสสนา เป็นข้อปฏิบัติมาบำรุงจิตใจให้มีศีลธรรมให้จิตได้หยุด ให้จิตได้เกิดปัญญาให้เท่าทันตามความเป็นจริงของมัน

    ๔. วินัยบัญญัติ

    วินัย คู่กับ ธรรมปกติ เรียกว่า ธรรมวินัย ถ้าแยกคำ ธรรม คือ คำสั่งสอน วินัย คือ ข้อบังคับ

    ดังนั้น วินัยบัญญัติ ก็ข้อบังคับที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เพื่อเป็นหลักให้พระภิกษุปฏิบัติให้เป็นบรรทัดฐานแนวเดียวกัน ใครทำผิดก็จะถูกลงโทษ เช่นเดียวกันกับกฏหมายของบ้านเมือง

    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    ปกิณกะธรรมหลวงปู่หลอด ปโมทิโต

    ๑. อย่าถือวิสาสะ ให้รู้จัก กาล เวลา บุคคล และ สถานที่

    ๒. ความรักลูกเหมือนห่วงผูกคอ ความรักสิ่งของเหมือนปอผูกศอก ความรักไร่นาสาโทเหมือนปลอกสวมตีน ใครแก้สามอย่างนี้ไปนิพพานได้

    ๓. มีศิษย์คนหนึ่งเรียนถามปัญหาหนึ่งกับหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ เคยมีฝรั่งที่ผมเคยเรียนภาษาอังกฤษด้วยเขาเป็นหมอสอนศาสนาคริสต์ เขาเคยถามผมว่าจิตเดิมมาจากไหน และสุดท้ายเขาก็ยัดเยียดความคิดให้ผมว่า พระเจ้าสร้างจิต แต่ผมไม่ยอมรับครับ ผมอยากทราบว่าจิตเดิมมาจากไหนครับหลวงปู่ ?"

    หลวงปู่ตอบว่า "จิตเดิม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามาจากความไม่รู้ คือ อวิชชา ความไม่รู้นั่นแหละเป็นตัวพาให้มันมาเกิด เมื่อเกิดมาแล้วก็ทำให้มันรู้ซะ จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก จำไว้ว่ามันเกิดจากอวิชชาทั้งนั้น ทั้งโลภ โกรธ หลง จำไว้นะให้ตอบเขาแบบนี้นะ"

    ๔. คนฉลาดอยู่กับที่ สู้คนโง่เที่ยวไปที่ต่างๆ ไม่ได้

    ๕. มีศิษย์คนหนึ่งเรียนถามปัญหาหนึ่งกับหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ พระอริยเจ้าเวลาท่านเข้านิโรธสมาบัติ ท่านจะบอกผู้คนไหมครับ"

    หลวงปู่เมตตาตอบว่า "ไม่หรอก ถ้าท่านบอก ก็จะบอกกับโยมที่ใส่บาตรว่า โยมไม่ต้องมาใส่บาตรนะ อีก ๗-๘ วัน อาตมาจะพักผ่อน"

    ลูกศิษย์ถามต่อไปว่า "อย่างนี้แปลว่า พระอริยเจ้าเวลาท่านเข้านิโรธสมาบัติ ท่านไม่บอกใช่ไหมครับ" หลวงปู่ตอบว่า "เพิ่นบ่อบอกดอก"

    ๖. มีลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างใหญ่ เรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ เวลานั่งภาวนานานๆ ยิ่งปวดขึ้น เป็นเพราะร่างกายเราใหญ่โตหรือเปล่าถึงทำให้ปวดเมื่อยถึงขนาดนี้ อยู่ที่ร่างกายสังขารคนด้วยหรือเปล่าครับ" หลวงปู่ตอบว่า "ไม่เกี่ยวหรอก กิเลสลากไปให้คิดว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ลองใหม่ดูสิ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ"

    ๗. มีลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ การปฏิบัติแบบรูป - นาม กับการปฏิบัติแบบพระป่า เหมือนกันไหมครับ"

    หลวงปู่เมตตาตอบว่า "เหมือนกันอเมริกาหรือเมืองไทยอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน การปฏิบัติก็เหมือนกัน อริยสัจตัวเดียวกัน"

    ๘. มีพระรูปหนึ่งเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ จิตของพระอรหันต์เวลาว่างท่านคิดอะไรครับ"

    หลวงปู่ตอบว่า "ไม่คิดอะไรทั้งนั้น คิดแต่วิหารธรรมอย่างเดียว" พระรูปนั้นถามย้ำว่า "มีแต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เท่านี้ หรือครับหลวงปู่" หลวงปู่ตอบว่า "อืม... กิเลสบ่อมีทางแทรกแซงได้เลย"

    ๙. ในแต่ละครั้ง มักมีผู้มาเรียนปรึกษาปัญหาต่างๆ กับหลวงปู่ แม้กระทั่งเรื่องปัญหาในครอบครัว การหย่าร้าง หลวงปู่ท่านจึงเทศน์ชี้ทางดับปัญหานี้

    "เอาล่ะ เราจะเทศน์ให้ฟังเป็นคุณธรรมสำหรับ คนมีครอบครัว ผู้อยู่ร่วมกันอย่างไรมันก็ต้องกระทบกันบ้างเป็นธรรมดา มนุษยธรรม ๔ ข้อ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ สัจจะ คือ ความซื่อตรง จริงใจต่อกัน ไว้วางใจกัน ไม่คิดว่าเขาจะนอกใจเรา ไม่คิดว่าเขาจะไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย ให้อิสระแก่กัน เชื่อในเกียรติของกันและกัน ไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์ใจ ถ้ามีสัจจะต่อกันก็ไม่ต้องทะเลาะกัน

    ทมะ คือ ความอดกลั้นอารมณ์ ระงับอารมณ์ คนโกรธ โกรธเพราะไม่รู้จักระงับอารมณ์ คนเราอยู่ด้วยกัน ถ้าปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่บ้านก็แตก มันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ คิดบ้างหรือเปล่าว่าลูกเต้าจะเป็นอย่างไร

    ขันติ ความอดทน ทนลำบาก ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รักใคร่ปรองดองกัน จะยากจะจนก็ทนกัน อย่าเอาความลำบากเป็นอารมณ์ อดทนต่อสิ่งที่เราไม่ชอบ เช่าเขากินเหล้าใช่ใหม เราบอกให้เขาเลิก เขาไม่เลิก (เหล้า) เราก็ทนสู้ เพื่อลูก คิดดูให้ดี ถ้าเราอดทน แล้วปัญหาก็จะไม่เกิด ถ้าเกิดก็น้อยมาก

    จาคะ คือ การบริจาค ในที่นี้ไม่ใช่การบริจาคเงินทองอย่างเดียวนะ บริจาคกิเลสตัณหา ความโกรธ ความหึงหวงออกไป ไม่ใช่ตระหนี่ถี่เหนียวเอาความมีกิเลสตัณหาไว้ เมื่อโกรธก็บริจาคออกไป นี่แหละถ้าทำได้ทั้ง ๔ ข้อ ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ทะเลาะกัน นี่รักษาศีล ๕ ได้ไหม

    หลวงพ่อจะแถมให้ ถ้ารักษาไม่ครบ ๕ ข้อ ก็เอาแค่ ๒ ข้อ ก็พอ ข้อ ๓ กับ ข้อ ๕ ถ้าผิด ๒ ข้อนี้ ฆ่ากันได้นะ ไปยุ่งกับเมียเขา ผัวเขารู้โกรธเข้า ก็ฆ่านะซิ กินเหล้าพูดไม่เข้าหู ก็ฆ่ากันได้ แต่ถ้าจะว่า ๕ ข้อ ข้อใดบาปกว่ากัน ก็พอกันนั่นแหละ"

    ๑๐. การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ย่อมต้องมีศีลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ หลายท่านที่สนใจปฏิบัติธรรมได้กราบเรียนถามธรรมะเพื่อการปฏิบัติ องค์หลวงปู่ท่านได้อธิบายไว้ว่า "ศีล ๕ นี้สำคัญ ศีล ๕ เป็นประธาน ศีลอื่นเป็นศีลบริวาร ศีล ๘ ศีล ๑๐, ๒๒๗ ข้อ ก็เป็นศีลบริวาร การปฏิบัติธรรมนั้นล้วนแต่ต้องประกอบด้วยศีลเป็นสำคัญ ศีล ๕ ขา ๒ แขน ๒ หัว ๑ จะฆ่าสัตว์ ก็เอสแขนทำ ขโมยของก็เอามือหยิบ ขาพาไป ผิดเมียเขา เอาทั้งกายทำ โกหกใช้ปากที่อยู่บนหัวพูด กินเหล้า ก็ใช้ปากกิน ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ ธรรมะปฏิบัติก็จะไม่เจริญ ปฏิบัติก็ไม่ไปไหน นี่สำหรับนักปฏิบัติ ศีลสำคัญมาก พึงรักษาไว้ให้ดี"

    (จาก: ชีวประวัติหลวงปู่หลอด ปโมทิโต)

    พระครูปราโมทย์ธรรมธารา (หลวงปู่หลอด ปโมทิโต) วัดใหม่เสนานิคม ลาดพร้าว บางกะปิ กรุงเทพฯ มรณภาพแล้ว เมื่อวันอังคารที่ 7 กรกฎาคม 2552 เวลา 12.58 น. ด้วยอาการสงบ ที่ ขณะมีอายุ 93 ปี โดยมีบรรดาศิษยานุศิษย์มาร่วมพิธีรดน้ำศพที่ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กำหนดเคลื่อนศพกลับวัดใหม่เสนานิคม ในวันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม เวลา 09.09 น.


    **************************************
    :- http://oknation.nationtv.tv/blog/laemkcl/2009/07/08/entry-2
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    LpSim.jpg
    หลวงปู่สิมพบพญานาค | พญานาคถ้าผาปล่อง อ.เชียงดาว จ. เชียงใหม่

    100 เรื่องเล่า
    769 views Aug 5, 2021
    หลวงปู่สิมเป็นพระอริยสงฆ์องค์สำคัญองค์หนึ่งในภาคเหนือ ในสายของพระป่าสายวิปัสนากรรมฐาน ท่านได้พบกับถ้ำผาปล่อง ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานที่สงบวิเวก เหมาะแก่การเจริญสมณะธรรม ท่านจึงเลือกถ้าผาปล่องในการพำนักบำเพ็ยเพียร เจริญสมณะธรรมเป็นสถานที่สุดท้ายในชีวิตของท่าน และท่านก็ได้พบกับพญานาคตนหนึ่งที่มากราบนมัสการท่าน และมาแสดงตนให้ท่านได้เห็น

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดถูกประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ๓ วันในยมโลก ตายแล้วฟื้น

    thamnu onprasert
    40,333 views Dec 3, 2021
    สาธุ โข ปัพพัชชา...การบวชมีอานิสงส์จริงหนอ สามารถช่วยให้บิดามารดาพ้นจากนรกได้...เรื่องราวลี้ลับในยมโลกที่ผู้คนพิศวง !
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047

    ครูบาวังเทพเจ้าแห่งภูลังกา | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร

    100 เรื่องเล่า
    14,203 views Nov 30, 2021
    พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร หรือครูบาวัง แห่งวัดถ้ำชัยมงคลภูลังกา ท่านเป็นพระธุดงค์กรรมฐาน ลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ท่านมีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวในการบำเพ็ญตน และท่านได้ปราถนาพุทธภูมิ หรือตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคตเบื้องหน้า ท่านมีอำนาจจิตแรงกล้า เชี่ยวชาญกสิณสมาบัติ มีเมตตาธรรมสูงมาก ชาวบ้านในแถบบึงกาฬ นครพนมนับถือท่านมาก ชนชาวบ้านยกย่องท่านว่า เป็นเทพเจ้าแห่งภูลังกา ภูลังกาเชื่อกันว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าโอปาติกะ หรือเหล่าพวกบังบดลับแล ยักษ์ อสูรย์ และยังเป็นที่ปฏิบัติธรรมของเหล่าพรหมจากพรหมโลกอีกด้วย

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ขอเชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    krubawangthitisaro.jpg
    ประวัติปฏิปทา หลวงปู่วัง ฐิติสาโร วัดถ้ำชัยมงคล (ภูลังกา) อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
    หลวงปู่วัง ฐิติสาโร แห่งวัดถ้ำชัยมงคล เป็นพระป่านักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานศิษย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง


    หลวงปู่วัง เกิดที่บ้านหนองคู ตำบลกระจาย อำเภอลุมพุก จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบัน ขึ้นกับอำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร) แล้วท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๕ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีชวด
    ท่านได้เล่าว่าเรียนจบชั้น ป.๔ ที่โรงเรียนบ้านหนองคูนั้นเอง ท่านเป็นคนสมองทึบ แม้จะเรียนจบ ป.๔ ก็เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก แต่ต่อมาเมื่อท่านบรรพชาอุปสมบทได้เล่าเรียนจากครูบาอาจารย์แล้ว ท่านอ่านออกเขียนได้ ทั้งหนังสือไทย หนังสือธรรม กลับเป็นคนละคน คือสมองท่านกลับเป็นผู้จำง่ายขึ้น คงเป็นเพราะอำนาจของสมาธิภาวนานั่นเอง อุปนิสัยของท่านชอบเป็นนายหมู่ ในหมู่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน มีเด็กเป็นฝูงห้อมล้อมท่าน บางทีก็สมมติท่านเป็นพระ แล้วหมู่เด็กทั้งหลายก็กราบท่าน อย่างนี้เป็นต้น


    การออกบรรพชาเป็นสามเณร
    ท่านพระอาจารย์วัง ได้เล่าถึงการออกบวชของท่านเมื่ออายุ ๑๓ ปี พ.ศ.๒๔๖๘ ว่า เป็นเหตุการณ์พิเศษกว่าการออกบวชของท่านผู้อื่น มารดาของท่านเป็นคนใจบุญ เข้าวัดจำศีลฟังธรรมและถวายอาหารแก่พระภิกษุสามเณรที่วัดบ้านหนองคูทุกวัน วันหนึ่งพระอาจารย์ทองสา ที่อยู่ที่วัดนั้นถามถึงเด็กชายวังว่า เขาทำอะไรบอกให้เขามาบวชด้วย หลังจากมารดาของท่านบอกให้ทราบว่า ท่านอาจารย์ที่วัดถามหาขอให้ไปบวชด้วย เท่านั้นเองท่านก็บอกทันทีว่าไม่บวช แม้มารดาบิดาจะขอร้องบอกกล่าวอย่างไร ท่านก็ยืนยันคำเดียวว่าไม่บวชอยู่นั้นเอง หลายวันต่อมา ท่านได้ออกไปเลี้ยงวัวควายกับบรรดาเด็กทั้งหลายเหมือนทุกวันท่านคิดว่า ถึงอย่างไรบิดามารดาคงจะนำเราไปบวชแน่นอน ดังนั้นจะไม่กลับเข้าบ้านอีก ได้ฝากวัวควายที่ไปเลี้ยงไล่กลับบ้านกับเพื่อนฝูง ตัวท่านเองอาศัยนอนที่บนเถียงนา ซึ่งมีฟางข้าวใส่ไว้เกือบเต็ม ท่านก็นอนในระหว่างกองฟางเหล่านั้น เถียงนานี้ห่างจากบ้านประมาณ ๑ กิโลเมตรครึ่ง เมื่อเพื่อนเด็กเลี้ยงควายทั้งหลายออกไปในวันใหม่ ท่านก็ได้อาศัยกินข้าวน้ำจากเด็กเหล่านั้น ท่านอยู่ในสภาพนั้น ๔-๕ คืน
    ส่วนทางวัด ท่านอาจารย์ทองสาได้ถามถึงว่า เถียงนานั้นเป็นของใคร อยู่ในที่นาใคร เมื่อท่านทราบแล้ว ภายหลังจากฉันข้าวเสร็จวันหนึ่งได้พาเณรตัวโตๆ ๓ รูปออกไปด้วย เมื่อออกไปถึงเถียงนานั้นแล้ว ท่านจึงบอกให้เณร ๓ รูปยืนเป็นแถวกั้นอยู่ทางบันได แล้วท่านเรียกออกไปว่า “นายวัง” ๓-๔ ครั้ง ขณะนั้นท่านนอนอยู่ในนั้น พอได้ยินเสียงเรียกก็เข้าใจทันทีว่าคราวนี้คงมาตามเราไปบวชแน่ จึงคิดจะหนีไปให้พ้น เมื่อรู้ว่ามีเณรยืนอยู่ทางบันได ท่านจึงผลักเถียงนาทางด้านหลัง แล้วกระโจนลงจากเถียงนา วิ่งหนีสุดกำลัง สามเณรทั้ง ๓ รูปจึงวิ่งตามไปจับตัวไว้ กว่าจะทันก็วิ่งผ่านไปหลายไร่นา เมื่อจับได้แล้วจึงเอาผ้าอาบน้ำมัดที่ข้อมือแล้วท่านก็ตามกลับมาโดยดี เมื่อกลับถึงวัดแล้วพระอาจารย์ก็ให้โกนผมทันที แล้วนำไปบวชกับท่านพระครูวิจิตร วิโสธนาจารย์ ที่วัดบ้านหนองคูนั้นเองหลังบวชแล้วท่านก็อยู่จำพรรษาที่นั้น ๑ พรรษา
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    เรียนคาถาอาคมจากปู่
    ท่านพระอาจารย์วัง เกิดมาในตระกูลหมอปะกำช้าง ปู่ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมขลัง ท่านจึงเรียนรู้คาถาอาคมจากปู่ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เมื่อตอนเป็นสามเณรท่านอยากเห็นวิชาวัวธนูครูหน้าน้อย จึงขอร้องให้ปู่ทำให้ดู ปู่ก็เอาไม้ไผ่มาทำหน้าไม้เล็กๆ เหลาลูกให้พอดี จากนั้นก็พาหลานจัดทำขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ บูชาครู เมื่อถึงกลางคืนจึงนำลูกหน้าไม้ไปทำพิธีลงคาถาใส่ ปู่ท่านทำพิธีอยู่ ๗ คืน เมื่อครบพิธีแล้ว จึงบอกให้หลานมาดู โดยให้คนเอามีดไปทำเครื่องหมายไว้ที่ต้นไม้ใหญ่กลางป่าต้นหนึ่ง จึงยิงหน้าไม้ออกไปโดยยิงทะลุหลังคาบ้านที่มุงด้วยหญ้าคาในตอนกลางคืน ก็บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น รุ่งเช้าพระอาจารย์วังก็ได้ไปดูต้นไม้ที่ทำเครื่องหมายไว้ ก็ปรากฏว่าเห็นลูกหน้าไม้เสียบอยู่ตรงนั้นพอดี ซึ่งวิชาวัวธนูครูหน้าน้อยนั้นเป็นวิชาฆ่าคนแพร่หลายในลุ่มแม่น้ำโขง คนโบราณสมัยก่อนชอบเรียนกันมาก


    ออกเดินธุดงค์กัมมัฏฐาน
    หลังจากออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์ทองสาได้พาเดินวิเวกหาที่สงบและแสวงหาครูบาอาจารย์ เดินไปเรื่อยๆ แถวจังหวัดอุบลราชธานี นครพนม สกลนคร หนองคาย อุดรธานี เมืองเลย ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ นิสัยของท่านชอบอยู่ตามภูเขามากเป็นพิเศษ


    หลายปีต่อมา ท่านอาจารย์พาเที่ยววิเวกผ่านมาแถวจังหวัดสกลนคร หนองคาย ได้พบกับถิ่นฐานบ้านเมืองแถวนี้ยังมีที่รกร้างว่างเปล่า มีทุ่งว่างป่าดงหนาแน่น ยังเป็นสภาพป่าดงดิบอยู่ตามธรรมชาติเดิมมากมาย ไม่เหมือนกับทางจังหวัดอุบลฯ เป็นทุ่งว่าง แต่แห้งแล้ง มีหมู่ชนหนาแน่น ที่จะทำมาหากินก็คับแคบ จึงเป็นเหตุให้พระอาจารย์ทองสา และ พระอาจารย์วัง คิดถึงสภาพความเป็นอยู่ของบิดามารดาและญาติซึ่งอัตคัดขัดสนด้านการครองชีพ จึงคิดจะโยกย้ายครอบครัวของบิดามารดาและญาติๆ ทั้งหลาย ขึ้นไปหาทำเลที่เหมาะกับการทำไร่ทำนาทางนี้
    เมื่อได้รับฟังการชักนำชี้ชวนของท่านแล้ว จึงตกลงโยกย้าย ครอบครัวหลายครอบครัวจากบ้านหนองคู โดยเอาข้าวสารและสิ่งของบรรทุกใส่เกวียน ส่วนคนก็เดินตามไปเรื่อยๆ ได้ผ่านหมู่บ้านมาหลายแห่งจนถึงหมู่บ้านศรีชมชื่น ตำบลดอนหญ้านาง อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย เห็นว่าเป็นที่เหมาะสมที่จะตั้งหลักฐานในที่นั้น ชาวบ้านที่นั้นเขาก็ยินดีต้อนรับให้อยู่ด้วย แล้วก็ได้แบ่งปันที่จะสร้างบ้านและที่จะทำไร่ทำนาให้จนเป็นที่พอใจ จึงได้ตั้งใจว่าจะสร้างหลักฐานครอบครัวต่อไปที่หมู่บ้านแห่งนี้


    เมื่อถึงหน้าฝน อันมีฝนตกชุก ซึ่งเป็นของปกติของถิ่นนี้ พวกบิดามารดาและพี่น้อง ลูกเล็กเด็กแดง ซึ่งเป็นคนเคยอยู่แต่ที่ว่าง แต่คราวนี้มาอยู่ที่เป็นป่าดงดิบ มีความชุ่มชื้นและไข้ป่าชุกชุม จึงเป็นเหตุให้เป็นไข้ป่ากันเกือบทุกคนแทนที่จะได้ก่อร่างสร้างตัวตามความที่ตั้งใจไว้ กลับพากันเป็นไข้หนักบ้างเบาบ้าง ติดเชื้อไข้ป่าแต่ไม่มีหมอมียาเหมือนสมัยนี้ดังนั้นจึงเป็นไข้เรื้อรังตลอด ในปีต่อมามีคนตายไปก็มี ผู้ไม่ตายก็ไม่มีกำลังแข็งแรงพอที่จะทำนาทำไร่ได้ จึงเป็นเหตุให้คณะที่มาด้วยกันแยกย้ายกันไป คือบางครอบครัวก็กลับไปที่บ้านหนองคูตามเดิม บางครอบครัวอยู่ได้ก็อยู่ไปโดยเฉพาะครอบครัวพระอาจารย์วังไม่ยอมกลับ เมื่ออยู่มาได้สองสามปีบิดาและน้องก็ตาย ยังเหลือมารดาและน้องชาย คือนายส่าน ต่อมาให้เปลี่ยนชื่อว่านายเวียง ให้ชื่อมีตัว ว เช่นเดียวกับชื่อของท่าน เพื่อคิดว่าจะไม่ให้ตายตามกันไป
    ต่อมามารดาและน้องสาวน้องชาย ย้ายจากบ้านนั้น ไปอยู่กับหมู่ที่เคยมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งไปอยู่ที่บ้านหนามแท่ง ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ปีต่อมามารดาและน้องสาวก็ได้ตายจากไปอีก ยังเหลือแต่เด็กชายเวียงซึ่งยังเล็กอยู่อายุ ๓-๔ ปี ท่านได้เอาน้องชายมาอยู่วัด ให้พวกแม่ชีช่วยเลี้ยงดูให้ ทำให้ท่านได้รับความกระเทือนใจเกิดความสังเวชสลดใจเป็นอย่างมาก ความหวังว่าจะช่วยเหลือพยุงฐานะการทำมาหากินให้ดีขึ้น จึงได้ย้ายครอบครัวของบิดามารดาญาติพี่น้องมาตั้งที่ใหม่ แต่กลับมาเป็นการโยกย้ายบิดามารดาญาติพี่น้องมาตาย ท่านจึงตั้งใจที่จะปฏิบัติพระธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่งขึ้นไป


    ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
    ต่อมาพระอาจารย์ทองสา ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่พาท่านเดินธุดงค์กัมมัฏฐานมาด้วยกันหลายปี กลับมาลาสิกขาไปจากท่าน เหลือแต่ท่าน เพียงผู้เดียว จึงเป็นโอกาสให้เป็นอิสระที่จะเดินกัมมัฏฐานตามใจชอบ ท่านจึงได้แสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือในสมัยนั้น เมื่อมีโอกาสอันเหมาะ ท่านได้เข้าไปกราบหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล กราบขอเป็นศิษย์ท่าน หลวงปู่เสาร์ก็รับเป็นศิษย์ แล้วก็
    ได้รับการอบรมจากท่านเป็นอย่างดี
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    -1024x576.jpg
    เจดีย์หลวงปู่เสาร์ บนยอดภูลังกา บรรจุทันตธาตุหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
    สร้างโดยหลวงปู่วัง ฐิติสาโร (เจดีย์องค์เก่าซ้อนอยู่ด้านใน)


    ปรารถนาพุทธภูมิ
    เมื่อท่านได้รับการอบรมแล้วก็เร่งบำเพ็ญสมาธิภาวนาให้ยิ่งขึ้นอย่างแรงกล้า และได้เกิดความรู้สึกปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภายหน้า หรือเรียกปรารถนาพุทธภูมินั้นเอง ท่านจึงได้เข้ากราบเรียนเรื่องนี้ให้หลวงปู่เสาร์ทราบหลวงปู่เสาร์ได้ชี้แจงว่าการปรารถนาพุทธภูมินี้ กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องใช้เวลาสร้างบารมีมาหลายกัป หลายภพหลายชาติ เนิ่นนานมากท่านได้แนะนำให้เลิกการปรารถนานี้เสีย แต่ พระอาจารย์วังก็ได้กราบเรียนท่านหลวงปู่ว่ามีความมุ่งมั่นรักในพุทธภูมินี้มาก แม้จะมีผู้มีอำนาจมาบังคับว่าถ้าไม่ยอมถอนจากความปรารถนานี้ จะฆ่าให้ตาย ก็ไม่ยอมถอน แม้จะฆ่าให้ตายก็ยอม เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านหลวงปู่เสาร์ก็พลอยอนุโมทนาด้วย และบอกว่าขอให้ตั้งใจต่อไป
    แม้ในเวลาต่อมา เมื่อการภาวนาของท่านก้าวหน้าไปจนชำนาญทางด้านสมถกัมมัฏฐานแล้ว เมื่อยกจิตพิจารณาวิปัสสนากัมมัฏฐานมากขึ้นจิตจะสะดุด แล้วประหวัดถึงความปรารถนาภูมิทันที ไม่สามารถไปต่อได้มากกว่านั้น แต่ท่านก็ยังคงมุ่งมั่นในพุทธภูมินี้เรื่อยไป



    การอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
    เมื่อท่านมีอายุครบ ๒๐ ปี คือ พ.ศ.๒๔๗๕ ท่านได้ไปอุปสมบทที่พัทธสีมาวัดศรีเทพประดิษฐาราม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม โดยมีพระครูสารภาณพนมเขต (จันทร์ เขมิโย) (ภายหลังมีสมณศักดิ์เป็นพระเทพสิทธาจารย์) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระมหาพรหมา โชติโก ป.ธ.๕ (ภายหลังมีสมณศักดิ์เป็นพระราชสุทธาจารย์) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    การแสวงหาครูบาอาจารย์ เมื่อท่านบวชพระแล้ว ท่านก็เร่งความเพียรให้ยิ่งๆ ขึ้น เมื่อมีครูบาอาจารย์ใด ที่จะเป็นที่พึ่งได้ในสมัยนั้น ท่านก็ไปกราบขอปวารณาตัวเป็นศิษย์ เช่น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ได้เคยอยู่จำพรรษากับท่านด้วย ดังนั้นท่านหลวงปู่ฝั้น อาจาโร จึงถือว่าท่านพระอาจารย์วังเป็นศิษย์ของท่าน รูปหนึ่ง และด้วยความเป็นคนเอาจริงต่อการปฏิบัติของท่านพระอาจารย์วัง ท่านหลวงปู่ฝั้น อาจาโร มักสอนลูกศิษย์รูปอื่นๆ ว่า


    “ให้ทำเหมือนท่านวัง เอาจริงเอาจังเหมือนท่านวัง”


    อย่างนี้เสมอ และอีกท่านหนึ่งคือหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ท่านก็ถือว่าพระอาจารย์วังเป็นศิษย์ของท่าน หลวงปู่อ่อน เล่าว่า


    “ท่านวังเป็นศิษย์ของท่านด้วย แม้แต่ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านก็เคยเข้ารับฟังโอวาท และอยู่ร่วมด้วยหลายคราว”
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    จริงจังในการปฏิบัติธรรม
    ในการจำพรรษาปีหนึ่ง ท่านเล่าว่าได้ตั้งสัจจะอธิษฐานเป็นข้อวัตรว่าจะไม่นอนตลอดสามเดือน มีเพื่อนร่วมกันอยู่รูปหนึ่งคือพระอาจารย์อุยทั้งสองรูปสัญญากันว่าภายในกุฏิห้ามมีหมอน ถ้านั่งสมาธิก็ให้นั่งตรงกลางห้อง ไม่ให้นั่งพิงฝา แล้วเอาใบบัวมาห่อน้ำเป็นถุง ผูกโยงไว้บนศีรษะกลางห้อง มีเชือกผูกไว้ที่ถุงนั้นให้ปลายเชือกข้างหนึ่งย้อยลงมาข้างฝา ให้ผู้อยู่ข้างล่างจับเชือกนั้นได้ ถ้าหากว่าผู้ใดนั่งสมาธิออกอาการสัปหงก อีกผู้หนึ่งมาพบเข้าในขณะนั้น ก็จะจับเชือกนั้นดึงกระตุกเชือกนั้นก็จะปาดถุงใบบัวนั้นขาด น้ำในนั้นทั้งหมดก็จะร่วงลงมาตรงกับผู้นั่งสัปหงกนั้นพอดี ผู้นั้นก็จะเปียกทั่วกาย เท่ากับได้อาบน้ำนั้นเอง คืนนั้นถ้าได้ถูกอาบน้ำเช่นนั้น ก็ได้เปลี่ยนผ้ากันใหม่ ทำให้หายง่วงและได้ทำความเพียรต่อไป ในพรรษานั้นได้ถูกอาบน้ำคนละหลายครั้ง ในอีกพรรษาหนึ่งท่านอธิษฐานเดินจงกลมวันละหลายชั่วโมง เมื่อออกพรรษาแล้ว ทางที่เดินจงกรมเป็นร่องลึกลงไปเท่าฝ่ามือ


    คราวหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าท่านได้ไปวิเวกคนเดียว เดินผ่านป่าดงไปไกล ทั้งๆ ที่มีไข้จับสั่นและไม่มียาจะกินด้วย เมื่อเดินไปก็สั่นไปตลอดทาง บนบ่าสะพายบาตร ย่าม กลดมุ้ง เห็นว่ามันคงหนักไม่พอ มันจึงสั่น จึงได้เอาผ้าอาบน้ำสะพายเอาหินแม่รัง ที่มีอยู่ตามโคกเพื่อจะให้มันหายสั่น ถึงเพิ่มน้ำหนักเข้าอีกเช่นนั้น ก็ยังสั่นอยู่นั้นเอง เมื่อร่างกายได้เดินอย่างหนักผสมกับไข้ด้วย จึงทำให้อ่อนเพลียมาก ตกลงว่าจะพักเสียก่อน แล้วจึงแวะออกจากทาง เข้าไปภายใต้ร่มไม้น้อยต้นหนึ่ง เอาผ้าอาบน้ำฝนปู เอาห่อสังฆาฏิเป็นหมอน คลี่จีวรห่มแต่ก็ยังหนาวอยู่ จึงเอามุ้งห่มทับอีกชั้นหนึ่งมุ้งนั้นเป็นสีขาว เมื่อคลุมทั้งตัวเช่นนั้นแล้ว ก็คล้ายกับกองสัตว์ตายแล้วนั่นเอง แล้วท่านก็กำหนดสมาธิไปเรื่อย แล้ท่านได้หลับไปประมาณสองชั่วโมงไข้ก็สร่างพอดี ท่านจึงเอาผ้าที่ห่มออกได้เห็นอีแร้งตัวหนึ่งจับอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ นั่นเอง มันคงนึกว่าเป็นกองสัตว์ตาย และได้อาหารแล้ว มันมาจับอยู่บนนั้นนานเท่าไรไม่ทราบ ท่านจึงได้พูดกับมันว่ายังไม่ตายหรอกคุณ ขอไว้ก่อนคราวนี้


    -ภูลังกา-ทางบึงโขงหลง-681x1024.jpg
    ผาใจขาด ผาสบเป็ด ภูลังกา สถานที่นั่งภาวนาเพื่อต่อสู้กับกิเลสของพระอาจารย์วัง

    ท่านพระอาจารย์วัง ท่านตั้งใจจะออกธุดงค์กัมมัฏฐานเหมือนที่เคยทำมา คณะของท่านได้พากันออกเดินทางไปทางทิศตะวันตกของบ้านสามผง ไปถึงบ้านศรีเวินชัย ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าบ้านดงพระเนาว์ ห่างจากวัดโพธิ์ชัย ประมาณ ๑.๘ กิโลเมตร เมื่อไปถึงบ้านดงพระเนาว์ ชาวบ้านทุกคนซึ่งสมัยนั้น มีบ้านเรือนประมาณ ๔๐-๕๐ หลังคาเรือน ได้พร้อมใจกันขอกราบอาราธนานิมนต์ท่านให้อยู่จำพรรษาที่หมู่บ้านดงพระเนาว์นี้ ดงพระเนาว์เป็นป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด มีไม้ใหญ่ๆ เช่น ไม้กระบาก ไม้ยางนา ไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้ตะแบก ไม้พะยอม ไม้เค็ง ซึ่งมีลำต้นสูงๆ ทั้งนั้น แต่ละต้นมีขนาด ๓-๔ คนโอบรอบ และป่าอย่างอื่นก็ขึ้นหนาแน่น พร้อมทั้งไม้ผลต่างๆ ก็มีมากมายหลายชนิด ความหนาแน่นของป่าไม้ดงนี้ ถึงขนาดมีบางคนได้เดินลึกเข้าไปกลางดงป่า แล้วจะออกจากดงพระเนาว์ตามทิศทางที่ตนจำไว้ ก็ออกไม่ถูก ไพล่ไปออกทิศอื่นก็มี และเนื่องด้วยในดงพระเนาว์มีผลไม้ผลัดเปลี่ยนตลอดปี จึงทำให้สิงสาราสัตว์ต่างๆ มีเสือ อีเก้ง กระต่าย กระรอก กระแต ลิง ค่าง นกยูง และนกนานาชนิดอาศัยอยู่มาก ท่านจะนำพาพระภิกษุ สามเณร ผ้าขาว ออกเที่ยววิเวกตามหมู่บ้านน้อยใหญ่เรื่อยไป ผ่านดงภูลังกา ดงภูวัว ภูสิงห์ ดงศรีชมพู ดงหม้อทอง พักบำเพ็ญภาวนาที่นั่นบ้างที่นี้บ้าง เป็นเวลาสองเดือนสามเดือนทุกปี
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    -บ้านศรีเวินชัย-พระเนาว์-768x1024.jpg
    หลวงพ่อพระเนาว์ บ้านศรีเวินชัย พระเนาว์


    พบถ้ำชัยมงคล
    อยู่มาปีหนึ่ง พ.ศ.๒๔๘๘ ท่านได้ออกเที่ยววิเวกเหมือนทุกปีที่ผ่านมาได้เดินธุดงค์ไปที่ภูลังกา บ้านโพธิ์หมากแข้ง บ้านโนนหนามแท่ง ได้ขึ้นไปที่หลังภูลังกาซึ่งเคยขึ้นเกือบทุกปี แต่ปีนั้นได้พบถ้ำๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นถ้ำกว้างพออยู่อาศัยได้สะดวก ถ้ำนี้แบ่งเป็นสองตอน ตรงกลางมีก้อนหินตับคั่นเป็นห้อง แต่พอเดินไปหากันได้ตลอด เป็นชะง่อนหินริมผา ลักษณะคล้ายถ้ำขาม จังหวัดสกลนคร ด้านหน้าถ้ำอยู่ตรงทิศตะวันออก แสงอาทิตย์ส่องถึงภายในถ้ำได้ตลอด ถ้ำนี้ยังไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน เมื่อท่านได้พบแล้ว เป็นที่พอใจของท่านอย่างมาก ท่านพูดว่าต่อไปเราจะมาอยู่ที่นี่ ซึ่งตามปกติท่านก็ชอบภูเขาอยู่แล้ว ท่านจึงให้ชื่อถ้ำนี้ว่า “ถ้ำชัยมงคล” ระยะทางจากถ้ำนี้ลงไปถึงตีนเขาประมาณ ๑ กิโลเมตรกว่า ตีนเขาห่างจากหมู่บ้านโพธิ์หมากแข้ง บ้านโนนหนามแท่ง เดินผ่านดงไปอีกประมาณ ๘ กิโลเมตร บริเวณรอบภูลังกานี้เป็นป่าไม้ดงดิบที่อุดมสมบูรณ์มาก มีพวกสัตว์ป่าต่าง ๆ เช่น ช้าง เสือ ควายป่า กระทิง หมี เลียงผา อีเก้ง กระจง ชะมด ลิง ค่าง บ่าง กระรอก กระแต ไก่ป่า ไก่ขัว นกยูงเป็นฝูงๆ และนกอื่นๆ อีกมากมาย ในด้านทิศตะวันตกของภูลังกาคือบ้านโพธิ์หมากแข้ง มีถ้ำอยู่ตามเงื้อมเขา พอเป็นที่ผึ้งจะอาศัยทำเป็นรัง มีอยู่หลายถ้ำ เช่น ถ้ำพร้าว ถ้ำปอหู เป็นต้น โดยเฉพาะถ้ำพร้าว เป็นถ้ำสูงจึงมีผึ้งมาทำรังอยู่ ปีละไม่น้อยกว่าหนึ่งรัง ชาวบ้านต้องประมูลจากทางอำเภอเมื่อประมูลได้แล้ว ก็เฝ้ารักษาคอยเก็บเอาเฉพาะรังผึ้งมาทำเป็นขี้ผึ้งขาย ไม่ค่อยนำเอาน้ำผึ้งมาขาย เพราะถ้ำอยู่สูง ไม่สะดวกในการเก็บน้ำผึ้ง ไม่เหมือนที่ภูสิงห์ ภูวัว ซึ่งเป็นเป็นภูเขาที่มีถ้ำอยู่ต่ำ จึงเก็บเอาน้ำผึ้งมาขายได้ง่ายกว่า


    “..ที่ภูลังกานี้ถึงแม้จะลำบากในเรื่องอาหาร ต้องอดแห้งอดแล้ง ท้องกิ่วเหมือนฤๅษีชีไพร และอาหารที่ไปบิณฑบาตมาได้จะเป็นเพียงข้าวเหนียว ๑ ก้อนเล็กๆ กับเกลือและพริก ได้มาแค่ไหนก็ฉันกันแค่นั้น ไม่คิดมาก ไม่ถือว่าเรื่องอาหารเป็นอุปสรรคในการเจริญภาวนา เพราะจิตมีความมุ่งหมายอยู่ที่การขูดเกลากิเลสตัณหา ความทะยานอยากให้หมดไป เพื่อพ้นทุกข์ จิตสะอาดบริสุทธิ์ สว่าง สงบ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ดังนั้น พระป่าจึงไม่มีการบ่นว่าหิวเหลือเกิน อ่อนเพลีย ไม่มีแรงจะเป็นลม ต่างก็หุบปากเงียบ เฝ้าแต่เดินจงกรมกับนั่งสมาธิภาวนา กำหนดสติรู้คอยระมัดระวังกิเลสตัณหาในตัวเองอยู่ตลอดเวลา รู้เท่าทันกิเลส ใช้ขันติ ความอดทน อดกลั้นในทุกสถานการณ์ ไม่ทำตามกิเลสทุกรูปแบบ บังคับตัวเองได้ เป็นนายตัวเองได้ ถ้าเจ็บไข้ อาพาธ ไม่ต้องไปหาหยูกยาใดๆ รักษาตัวเองด้วยการนั่งสมาธิภาวนาสลับกับเดินจงกรม ไม่ฉันอาหารเพื่อให้กระเพาะลำไส้ได้หยุดพักผ่อน เรียกว่า รักษาด้วยธรรมโอสถ หายก็ดี ไม่หายก็ตาย ถ้าตายก็หายห่วง จะได้ดับให้สนิทไปเลยไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอะไร..”


    -ภูลังกา-1024x768.jpg
    ถ้ำชัยมงคล (ถ้ำหลวงปู่วัง) ภูลังกา

    -ถ้ำหลวงปู่วัง-ภูลังกา-1024x768.jpg
    ถ้ำชัยมงคล (ถ้ำหลวงปู่วัง) ภูลังกา

    เทวดาเลื่อมใส
    ขณะที่อยู่ภูลังกานั้น ท่านอาจารย์วังได้พูดให้ฟังหลายครั้งว่ามีเทวดามาขออาราธนาให้ท่านอยู่ที่นี่นานๆ บางครั้งเมื่อท่านลงมาที่วัด ศรีวิชัย ซึ่งตามปกติจะมาทุกปี ปีละครั้งสองครั้ง ญาติโยมอยากขอนิมนต์ให้พักนานๆ แต่ท่านตอบปฏิเสธ โดยท่านบอกว่าเทวดาเขามานิมนต์กลับเทวดาจะพากันมารับศีลและฟังเทศน์ จากท่านเป็นประจำ คืนไหนที่ พวกเขามา วันรุ่งขึ้นท่านจะเล่าให้พระเณรฟังทุกครั้ง


    ภุมมเทวดาตักเตือน
    ขณะที่อยู่บนภูลังกา ปกติจะมีญาติโยมขึ้นไปกราบท่านอยู่เสมอ เพราะขณะนั้นชื่อเสียงของท่านค่อนข้างจะโด่งดั่งพอสมควร เมื่อญาติโยมขึ้นมากราบท่านที่ถ้ำ ก็มักจะเดินเที่ยวชมป่าเขาด้วย ท่านจะคอยบอกญาติโยมว่า ห้ามโยนก้อนหินลงไปหน้าผาหน้าถ้ำ เพราะพวกภุมมเทวดาเขามาบอกว่าเขาไม่ชอบ มีโยมกลุ่มหนึ่ง แม้ท่านจะห้ามแล้วก็ยังแอบกระทำอยู่ในตอนกลางวัน พอตกค่ำ ๓ ทุ่มหลังจากทำวัตรเสร็จแล้ว กำลังฟังเทศน์กันอยู่ ก็มีเสียงดังสะท้อนลั่นมาจากลานหินหลังถ้ำ (ถ้ำนี้เป็นชะง่อนหินริมผา มีลานหินอยู่ด้านบน) เหมือนมีหินขนาดใหญ่สัก ๒ เมตร กลิ้งมาแล้วตกลงหน้าผา ห่างจากถ้ำราว ๖ วา ญาติโยมก็แตกตื่นตกใจวิ่งไปจับกลุ่มอยู่ใกล้ ๆ ท่านอาจารย์วัง ท่านจึงถามว่าเมื่อโยมขึ้นไปหลังถ้ำมีใครโยนก้อนหินลงหน้าผาหรือไม่ โยมตอบว่า มีเด็กมากันหลายคน และพากันโยนหินเล่น ท่านจึงบอกว่า พวกเจ้าที่เขาไม่พอใจที่ไปทำอย่างนั้น จึงเกิดเสียงอย่างนี้ขึ้น ขอโทษเขาก็ได้ ไม่เป็นไร แค่คราวต่อไปห้ามทำอย่างนี้อีก ครั้นตอนเช้ามาดูก้อนหินที่ตกลงมา ปรากฏว่าเป็นหินที่มีขนาดเท่าบาตรเท่านั้น ไม่สมกับเสียงที่ได้ยินเมื่อคืนเลย
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    -หลวงปู่คำพันธ์-จันทูปโม.jpg
    ท่านเจ้าคุณพระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) ศิษย์หลวงปู่วัง ฐิติสาโร

    พญานาคมาขอส่วนบุญ
    เช้าวันหนึ่ง พระอาจารย์วังได้เล่าให้เณร (พระจันโทปมาจารย์) ฟังว่า เมื่อคืนมีพญานาคมาหาให้นิมิตสมาธิ บอกว่ามาขอส่วนบุญ พอตกกลางวันวันนั้น มีงูตัวหนึ่งสีแดงทั้งตัว ขนาดไม่ใหญ่นัก ยาวประมาณสองศอก เลื้อยเข้ามาในถ้ำชัยมงคล แล้วหายเข้าไปในถ้ำ เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนจะทำการถวายภัตตาหาร ท่านอาจารย์วังได้กล่าวว่าบุญกุศลที่พวกเณรและผ้าขาว ถวายภัตตาหารแด่พระเณรให้อุทิศไปให้พญานาค แล้วท่านก็พาทำบุญอุทิศ ครั้นวันถัดมา ท่านได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนพญานาคมาหาอีกครั้งบอกว่าเขาได้รับบุญกุศลแล้ว มาขอลาไปสู่สุคติภพที่ดีกว่า


    -ปัจจุบัน.jpg
    ทางขึ้นภูลังกา ณ วัดถ้ำชัยมงคล ปัจจุบัน

    -ภูลังกา.jpg
    ถ้ำนาคา ภูลังกา

    100086179_907268796411668_6537707606318776320_n.jpg
    ถ้ำนาคา ภูลังกา

    หลวงปู่วัง ฐิติสาโร ท่านละสังขารลง เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๖ ซึ่งก่อนมรณภาพนั้นท่านได้พูดกับศิษย์เบาๆ ด้วยน้ำเสียงปกติว่า
    “มันจะตายก็ให้มันตายไป”
    แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก จากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ท่านก็ได้มรณภาพไปด้วยอาการอันสงบ เมื่อเวลา ๒๐.๑๘ น. สิริรวมอายุได้ ๔๑ ปี พรรษา ๒๑
    ลูกศิษย์หลวงปู่วัง ที่เป็นที่รู้จักในวงศ์พระกัมมัฏฐานได้แก่
    มีลูกศิษย์ที่เป็นพระภิกษุอยู่ ๓ รูป คือ
    ๑. ท่านเจ้าคุณสังวรวิสุทธิเถระ (พระอาจารย์วัน อุตตโม) วัดถ้ำอภัยดำรง อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
    ๒. พระอาจารย์โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร
    ๓. พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) วัดศรีวิชัย ต.สามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
    ทั้งสามรูปล้วนแต่มรณภาพไปแล้วทั้งสิ้น
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    -ฐิติสาโร-บนยอดภูลังกา.jpg
    เจดีย์บรรจุอัฐิธาตุหลวงปู่วัง ฐิติสาโร บนยอดภูลังกา
    -ฐิติสาโร-บนยอดภูลังกา-2-1024x768.jpg
    เจดีย์บรรจุอัฐิธาตุหลวงปู่วัง ฐิติสาโร บนยอดภูลังกา

    หลวงปู่วังแก้ปัญหาการปฏิบัติธรรมให้ พระอาจารย์ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
    ภูลังกา ยังเป็นสถานที่ที่สำคัญ ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ได้มาบำเพ็ญภาวนา และหลวงปู่ชา สุภัทโท ก็ได้มากราบหลวงปู่วัง ฐิติสาโร ที่ภูลังกานี้ ในสมัยที่ท่านยังมีอายุพรรษาไม่มาก ต้นปี พ.ศ.๒๔๙๒ หลังจากหลวงตาและคณะละทิ้งสำนักไปได้เจ็ดวัน หลวงพ่อชาได้ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ภูลังกา อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ในระหว่างนั้นการปฏิบัติสมาธิภาวนาของท่านมีอันต้องสะดุดหยุดอยู่กับที่ คล้ายกับเดินไปถึงจุดๆ หนึ่ง แล้วเดินต่อไปไม่ได้
    หลวงพ่อชาฟื้นความหลังให้ลูกศิษย์ฟังว่า

    “ขณะนั้นคิดว่า ใครหนอจะช่วยเราได้ ก็นึกถึงอาจารย์วัง ท่านอยู่ที่ภูลังกา ก็ไม่เคยพบท่านหรอก แต่ได้คิดว่าพระองค์นี้ท่านคงจะมีดีอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ จึงขึ้นไปอยู่บนยอดเขาอย่างนั้น”
    หลวงพ่อเดินธุดงค์ขึ้นสู่ภูลังกา ได้พบท่านอาจารย์วังดังปรารถนา ท่านพำนักอยู่กับเณรน้อยสองรูป ปลูกกุฏิเล็กๆ ตามพลาญหินและเงื้อมผา มีที่หลีกเร้นเหมาะแก่การภาวนามาก คืนหนึ่งหลังเสร็จจากกิจวัตรส่วนตัว หลวงพ่อได้ขอโอกาสสนทนาและถามปัญหาธรรม ที่ตนขัดข้องต่อท่านอาจารย์วัง
    หลวงพ่อได้ถ่ายทอดให้ศิษย์ฟังว่า
    “ที่ผมขึ้นมากราบท่านอาจารย์ครั้งนี้ เพราะผมจนปัญญาแล้ว คล้ายๆ กับว่าเราเดินไปบนสะพานที่ทอดยาวไปในแม่น้ำ เราเดินไปแล้วก็หยุดอยู่ไม่มีที่จะไปอีก พอหันเดินกลับมา บางทีก็เดินเข้าไปอีก นี่เป็นสมาธินะครับ ไปถึงตรงนั้นแล้วมันก็จบอยู่ไม่มีที่ไป เลยต้องหันกลับมาอีก กำหนดไปต่อก็ไปไม่ได้ บางทีกำหนดไปเหมือนมีอะไรมาขวางอยู่ แล้วก็ชนกึ๊กอยู่ตรงนั้น เป็นอาการอย่างนี้มานานแล้ว มันคืออะไรครับ”
    ท่านอาจารย์วังตอบว่า
    “มันเป็นที่สุดแห่งสัญญาแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องไปไหน ให้ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ ให้กำหนดอยู่ตรงนั้น มันจะแก้สัญญา มันจะเปลี่ยนเอง ไม่ต้องไปบังคับมันเลย ให้เรากำหนดรู้ว่าอันนี้มันเป็นอย่างนี้ เมื่อมีความสุขอย่างนี้แล้ว จิตมีอาการอย่างไรก็ให้รู้ว่าเป็นอย่างนั้น ให้รู้เข้ามา ถ้ารู้จักแล้ว เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน เปลี่ยนสัญญา คล้ายๆ กับว่าสัญญาของเด็กเปลี่ยนเป็นสัญญาผู้ใหญ่ อย่างเด็กมันชอบของเล่นอย่างนี้ พอโตขึ้นมาเห็นของชิ้นเก่านี้ไม่น่าเล่นเสียแล้ว ก็เลยไปเล่นอย่างอื่น นี่มันเปลี่ยนอย่างนี้”
    ท่านอาจารย์วังเสริมต่ออีกว่า
    “มันเป็นได้ทุกอย่างก็แล้วกันเรื่องสมาธินี่ แต่จะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ อย่าไปสงสัย เมื่อเรามีความรู้สึกอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็ค่อยเปลี่ยนไปเอง ให้กำหนดรู้และเพ่งตรงนี้ แต่อย่าเข้าใจว่ามันหมดนะ เดี๋ยวจะมีอีก แต่ให้วางมัน รู้ไว้ในใจแล้วปล่อยวางเสมอ อย่างนี้ไม่เป็นอันตราย กำหนดอยู่อย่างนี้ให้มีรากฐาน อย่าไปวิ่งตามมัน พอเราแก้อันนี้ได้ มันก็ไปได้”
    หลวงพ่อชาเรียนถามอีกว่า
    “ทำไมบางคนไม่มีอะไรขัดข้องในการภาวนาล่ะครับ ?”
    ท่านอาจารย์วังตอบ
    “อันนี้เป็นบุพกรรมของเรา ต้องต่อสู้กันในเวลานี้ ตอนจิตมันรวมนี่แหละ สิ่งที่เกิดขึ้นมาไม่ใช่ของร้ายอย่างเดียวนะ ของดีของน่ารักก็มี แต่เป็นอันตรายทั้งนั้น อย่าไปหมายมันเลย”
    เหมือนบอกทางแก่คนหลงทาง หลังจากสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์วัง หลวงพ่อเกิดความเข้าใจในความละเอียดลึกซึ้งของธรรมปฏิบัติมากขึ้น ครั้นพูดคุยเรื่องต่างๆ กันพอสมควร หลวงพ่อก็กราบลาท่านอาจารย์วังกลับที่พัก ในขณะพักอยู่บนภูลังกา หลวงพ่อได้เร่งความเพียรอย่างหนัก พักผ่อนเพียงเล็กน้อย ไม่คำนึงถึงเวลาว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน คงยืนหยัดปฏิบัติไปอย่างต่อเนื่อง จิตพิจารณาเรื่องธาตุและสมมุติบัญญัติอยู่ตลอดเวลา
    หลวงพ่อชา พักอยู่ที่ภูลังกาได้สามวัน ก็กราบลาท่านอาจารย์วัง เดินลงมาถึงวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่เชิงเขา พอดีฝนตกจึงหลบเข้าไปนั่งสมาธิที่ใต้ถุนศาลา ทันใดนั้น จิตเกิดความตั้งมั่นขึ้น แล้วมีความรู้เห็นตามมาเหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ดูอะไรเปลี่ยนไปหมด กาน้ำวางอยู่ข้างๆ ก็ดูเหมือนไม่ใช่กาน้ำ บาตรก็ดูเหมือนไม่ใช่บาตร ทุกๆ อย่างเปลี่ยนสภาพไปหมด ต่างกันราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธาตุ เป็นของสมมุติขึ้นทั้งนั้น แล้วน้อมเข้ามาดูตัวเอง ดูทุกสิ่งในร่างกายก็เห็นว่าไม่ใช่ของเรา ล้วนแต่เป็นของสมมุติทั้งหมด
    การได้พบกับอาจารย์วังครั้งนั้น หลวงพ่อได้ความกระจ่างในทางธรรมปฏิบัติยิ่งขึ้น ท่านจึงให้อุทาหรณ์แก่บรรดาศิษย์ว่า
    “คนเราจะไปภาวนาคนเดียว มันก็ได้อยู่หรอก แต่บางคนอาจจะวกวนไปมาจนช้า ถ้ามีใครชี้บอกทางให้มันไปเร็ว และมีลู่ทางที่จะพิจารณามากกว่า”
    จากภูลังกา หลวงพ่อมุ่งหน้าสู่วัดป่าหนองฮี เพื่อกราบเยี่ยมหลวงปู่กินรี การพบกันในครั้งนี้ หลวงปู่ให้คำแนะนำสั้นๆ ตามอัธยาศัยของท่านว่า
    “ท่านชา การเที่ยวธุดงค์ของท่านก็พอสมควรแล้ว ควรไปหาที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งในที่ ราบๆ บ้างนะ”
    หลวงพ่อกราบเรียนหลวงปู่ว่า
    “กระผมตั้งใจจะธุดงค์กลับไปทางบ้านที่อุบลครับ”
    “จะกลับบ้านเพราะคิดถึงใครหรือเปล่า ? ถ้าคิดถึงผู้ใด ผู้นั้นจะให้โทษแก่เรา”
    หลวงปู่กล่าวทิ้งท้ายด้วยคำอมตะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2021
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    -ภูลังกา-ภูลังกา-1024x683.jpg
    ผาสบเป็ด ภูลังกา ภูลังกา บึงโขงหลง

    หลวงปู่โง่น โสรโย ลูกศิษย์ของหลวงปู่วัง

    ได้เล่าให้ฟังว่า “…การเจริญภาวนาของครูบาวังนั้นเป็นการปฏิบัติขั้นอุกฤษฏ์ จริงๆ เป็นที่เล่าลือกันทั่วไปในหมู่พวกสหธรรมิกด้วยกัน ครูบาวังชอบไปนั่งบำเพ็ญเพียรที่ชะง่อนผาอันสูงลิบลิ่วบนยอดภูลังกา ชะง่อนผานั้นกว้างประมาณ 2 ศอก กำลังเหมาะเจาะพอดี เวลานั่งลงไป ถ้าเอียงซ้ายหรือเอียงขวานิดเดียวเป็นต้องร่วงลงไปในเหวลึก หรือถ้าสัปหงกไปข้างหน้าก็หัวทิ่มลงเหวอีกเหมือนกัน””การปฏิบัติ ธรรมขั้นอุกฤษฏ์ของครูบาวังนี้ เป็นการเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันกับความตาย ครูบาวังจะนั่งอยู่บนชะง่อนผามรณะนั้นนานนับชั่วโมง บางครั้งนั่งอยู่ทั้งวันทั้งคืน เป็นการเจริญมหาสติปัฏฐานแบบเจโตวิมุตติ โดยใช้อำนาจของอัปปนาฌานเป็นบาทฐาน เป็นการปฏิบัติแบบสมถกรรมฐานเจือปนวิปัสสนากรรมฐาน เจริญกายคตาสติพิจารณาอาการ ๓๒ นั่นเอง…”
    ขอบพระคุณที่มา :- https://www.108prageji.com/หลวงปู่วัง-ฐิติสาโร/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2022
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ๑๐๙. นางผี..ดอยก่อ ผจญภัยบนดอยสูง

    thamnu onprasert
    61,112 views Dec 8, 2021
    ส่างอุ่นเปิงกลับไปเยี่ยมตาชีปะขาวเติง เขาได้พบกับนางผีเร่ร่อนตนหนึ่งบนดอยก่อ
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    lpkawyanvaro.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2022
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    หลวงพ่อโพรงโพธิ์ พระอภิญญาศิษย์รุ่นแรกของหลวงปู่เทพโลกอุดร// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    4,318 views Dec 9, 2021
    หลวงพ่อโพรงโพธิ์ หรือที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นองค์เดียวกันกับหลวงปู่อิเกสาโร ท่านเป็นพระลูกศิษย์รุ่นแรกๆของหลวงปู่เทพโลกอุดรเลยที่เดียว เป็นพระอภิญญาผู้มึภูมิธรรมสูงส่ง ญาติโยมเห็นท่านครั้งแรกในโพรงไม้โพธิ์ใหญ่ ท่านเข้าไปนั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่ในนั้น ญาติโยมทั้งหลายจึงเรียกท่านว่า..”หลวงพ่อโพรงโพธิ์”..
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    __LpDamP1-LpJaran64k.jpg

    หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เคยได้พบท่านโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรพบที่โคนต้นไทรใหญ่

    โดยได้รับการบอกเล่าจากเจ้าของที่ดินว่า ถึงปีหลวงปู่จะมาปักกลดอยู่ชั่วระยะหนึ่งเจ้าของที่เล่าว่าตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุได้ 80 ปีเศษ หลวงปู่ก็ยังคงทรงลักษณะเดิมไม่แปรเปลี่ยน

    หลวงพ่อจรัล เรียกท่านว่า “หลวงพ่อดำ” ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากท่านพอสมควร บางทีคนมีวาสนาได้พบท่านแล้วไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมีอยู่มาก

    คณะพระโลกอุดร เป็นชาวเนปาล อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนไทยการที่ท่านพูดภาษาไทยได้ก็เนื่องจากบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ สามารถรู้ภาษาคนและสัตว์ได้ท่านชอบปรากฏองค์ทางป่าเมืองกาญจนบุรี เช่น อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ

    ครั้งล่าสุดท่านปรากฏองค์ที่เขาใหญ่ ท่านอภิชาโต ภิกขุ และท่านพันเอกชม สุคันธรัต ไปเฝ้าท่านอยู่นานวันและท่านอภิชิโต ภิกขุได้มรณภาพได้ไม่นาน เรื่องราวบางตอนได้อาศัยท่านอภิชิโต ภิกขุเป็นผู้บอกเล่า มิได้เป็นนวนิยายเลื่อนลอยไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ และโปรดเข้าใจด้วยว่าภาพพระโลกอุดรองค์ที่สาม นามว่า “พระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพธิ์” การปรากฏกายธรรมในปัจจุบัน ส่วนมากมักจะเป็นพระโลกอุดรองค์ที่สาม และแทรกซ้อนด้วยหลวงปู่แจ้งฌาน ซึ่งเป็นศิษย์เอกคู่กับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านทั้งสองท่านอภิชิโต เรียกว่า “ครูฝึก” ปกติหลวงปู่ไม่ได้ลงมือสอนวิชาด้วยตนเอง ให้ศึกษากับครูฝึก เมื่อจบขั้นแล้วท่านจึงจะทำการทดสอบทุกครั้งไป
    :- https://www.gotoknow.org/posts/392332
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    อาจารย์ยอด : หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม ผจญผีโพง [ผี]

    AKedOLQ-Qg3T_QbpjawF0wX7bJd-9OaqebagInBwV7wV-Q=s48-c-k-c0x00ffffff-no-rj.jpg
    อาจารย์ยอด

    124,439 views Dec 9, 2021
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    เปิดดูไฟล์ 5830887
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม

    วัดป่าสันติธรรม (วัดป่าน้ำภู)
    ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย

    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม สมณะผู้มีจิตตั้งมั่นทายาทธรรมหลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่พัน ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแห่งวัดป่าน้ำภู อ.เมือง จ.เลย เดิมทีท่านเคยเรียนวิชาคาถาอาคมจนชำนิชำนาญมาตั้งแต่เป็นสามเณร ต่อเมื่อบวชศึกษาธรรมอยู่กับ หลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านก็ทิ้งวิชาเหล่านั้น ตั้งใจปฏิบัติตามแนวทางพระบรมศาสดา หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม เป็นพระเถระที่ชาวจังหวัดเลยให้ความเลื่อมใสศรัทธา เป็นพระเถระผู้ใหญ่สายคณะธรรมยุต เป็นพระที่เคร่งครัดในการวัตรปฏิบัติ

    หลวงปู่พัน เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๔ ที่บ้านนาโคก ต.นาอ้อ ปัจจุบันเป็น ต.ศรีสองรัก อ.เมือง จ.เลย โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายพา และนางเฟือย ไม่ทราบนามสกุล เป็นบุตรคนโตในจำนวน ๖ คน

    เมื่อตอนอายุยังน้อย ท่านได้บรรพชา เป็นสามเณรที่มหานิกาย ณ วัดโพธิ์ศรี บ้านนาโคก ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ และเดินทางไปเรียนหนังสือที่ วัดศรีจันทร์ บ้านนาอ้อ ต.นออ้อ จ.เลย มี ครูบามูล เป็นครูบาอาจารย์สอนหนังสือ

    ซึ่งในระหว่างบวชเป็นสามเณร ท่านมีโอกาสได้เคยติดตามครูบามูลเดินทางไปที่เมืองทุ่ง จ.ล้านช้าง ประเทศลาว เพื่อไปศึกษาวิชาอาคมกับหลวงปู่ยาครูน้อย ในระหว่างที่อยู่กับหลวงปู่ยาครูน้อยนี้ ท่านได้ติดตามท่านไปโปรดญาติโยม ที่เมืองปลา ประมาณ ๑ ปี ก็เดินทางกลับจังหวัดเลยและสามารถสอบนักธรรมตรีได้

    ในระหว่างที่ท่านติดตามหลวงปู่ยาครูน้อยไปที่เมืองปลา ประเทศลาวในครั้งนี้ ทำให้ท่านเห็นถึงความไม่ดี ไม่งามเกี่ยวกับการบูชาผี เพราะช่วงที่ท่านอยู่กับหลวงปู่ยาครูน้อยนั้น ท่านได้พาสามเณรพัน ไปปราบผี ที่เมืองปลาด้วยเหตุที่ว่า ในช่วงนั้นเกิดมีคนตายจำนวนมาก จึงมีศรัทธาชาวเมืองปลา มาขอบารมีหลวงปู่ยาครูน้อย ไปโปรดช่วยขับไล่ผีเจ้าที่ ที่มาเอาชีวิตคนในเมืองปลาแห่งนี้ (ซึ่งในเมืองปลานี้คนบูชาผี) โดยมีคนมานิมนต์ท่านในช่วงนี้คือ สิบตรีจันทร์เป็นหัวหน้ามานิมนต์ท่านไป

    [​IMG]
    หลวงปู่ยาครูน้อย
    หลวงปู่ยาครูน้อย ในสมัยนั้น มีชื่อเสียงด้านวิชาอาคม เป็นที่เลื่องลือถึงขนาดได้รับนิมนต์ให้ไปนั่งอธิษฐานจิตวัตถุมงคลที่กรุงเทพ เพื่อแจกทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเลยทีเดียว ตอนท่านบวชเป็นเณรนี้ ท่านเล่าประสบการณ์ที่อยู่เมืองปลาว่า “ท่านเคียดแค้นและไม่ชอบการบูชาผี เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้วยังมีโทษกับผู้บูชาอีก” ซึ่งในระหว่างบวชเณรนี้ หลวงปู่พันก็ได้ร่ำเรียนวิชา อาคมต่างๆ กับหลวงปู่ยาครูน้อยมาพอสมควร

    ท่านกล่าวว่า…“การนับถือผีเป็นที่พึ่งนั้น เราพึ่งได้จริงหรือ ผีนำความสุขความเจริญมาให้เราได้จริงหรือ คนเราส่วนมากมักจะไม่เข้าใจ มักจะถือตามกันมา ฟังตามกันมา สืบต่อกันมา ปฎิบัติต่อกันมา การบูชาผีผลสุดท้ายก็ผีนั้นแหละ กินหัวตัวเอง กินลูกบ้านหลายเมืองของตัวเอง ถึงขนาดนั้น ก็ยังไม่รู้สึกสำนึกตัวเองได้ ยังพากันนับถืออยู่ อย่างที่ย้านเมืองปลาเป็นตัวอย่าง ผีเจ้าบ้านอยากกินอะไร ต้องการให้ทำอะไรแบบไหน ก็ทำตามหมดแต่ผีเจ้าบ้าน ยังมาทำให้ลูกบ้านหลานเมือง ล้มตายกันออยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่ของดี ผีนั้นคำว่าผีแล้ว พากันกลัวเอานักเอาหนา แต่ก็ยังเอาผีมาเป็นที่พึ่ง มากราบมาไหว้มาสักการบูชากันอยู่ อย่างนี้แหละที่ท่านว่าคนโง่พึ่งผี คนดีพึ่งธรรม”

    หลังจากเณรพัน (หลวงปู่พัน) ท่านกลับมาจากเมืองปลาแล้วท่านก็สามารถสอบนักธรรมตรีได้ จนท่านบวชเณณได้ ๒-๓ ปี จนอายุ ๑๕ ท่านก็ได้ลาสิกขาออกมาช่วยบิดามารดา ทำไร่ ไถนา จนอายุครบ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุครั้งที่หนึ่ง ที่วัดศรีจันทร์ บ้านนาอ้อ โดยมี พระครูวิจารณ์สังฆกิจ เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์นำน้อย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ บวชได้ ๑ พรรษา ท่านก็ได้ลาสิกขาออกมา และแต่งงานกับ นางคำพุ มีตา มีบุตรทั้งหมด ๓ คน คือ นางหนูหลั่น บุญมา นางบุญเรียน ดาสา และ นายวิเชียร วรินทรา

    [​IMG]
    หลวงปู่ศรีจันทร์ วัณณาโภ
    จนในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นางคำพุ ผู้เป็นภรรยาได้เสียชีวิต รวมอายุ ๓๘ ปีเศษๆ นายพัน ได้เลี้ยงบุตรธิดาเรื่อยมา จนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ นายพันได้ อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกเป็นครั้ง ๒ ฝ่ายธรรมยุติ เมื่ออายุ ๔๖ ปี โดยได้อุปสมทบ ณ วัดศรีสุทธาวาส อ.เมือง จ.เลย โดยมี พระเทพวราลังการ (หลวงปู่ศรีจันทร์ วัณณาโภ) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระสมุห์ไกรศรี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการธีระพงศ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ฐิตธัมโม” แปลว่า “ผู้ตั้งอยู่ในธรรม

    [​IMG]
    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม วัดป่าสันติธรรม (วัดป่าน้ำภู) ในวัยพรรษายังไม่มาก
    [​IMG]
    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม วัดป่าสันติธรรม (วัดป่าน้ำภู)
    ◎ อยู่ที่ถ้ำผาปู่ กับหลวงปู่คำดี ปภาโส
    หลังจากที่ท่านบวชเป็นพระแล้ว ท่านก็กลับมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดถ้ำผาปู่ ฝึกอบรมกรรมฐาน ทำสมาธิภาวนาเดินจงกรมอยู่กับ หลวงปู่คำดี ปภาโส และ หลวงพ่อสีทน สีลธโน (ศิษย์ผู้ใหญ่หลวงปู่คำดี และเป็นพระพี่เลี้ยงท่าน) โดย หลวงปู่คำดี ท่านให้โอวาทกับหลวงปู่พัน ครั้งแรกว่า..

    “ท่านเคยเรียนวิชาอาคมอะไรมาก็ตาม ให้ทิ้งให้หมด หันมาสวดมนต์ ไหว้พระ เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งเท่านั้น”

    หลวงปู่พันในขณะเป็นพระภิกษุบวชใหม่นั้น ท่านก็ได้ละทิ้งวิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาจาก หลวงปู่ยาครูน้อยทั้งหมด แล้วหันไปบำเพ็ญภาวนาเอา “พุทโธ” เป็นหลักใจในการภาวนาเพียงอย่างเดียว

    ท่านเล่าว่า หลวงปู่คำดี ท่านจะสอนว่า…ให้ตั้งอกตั้งใจทำความเพียร นั่งภาวนาเดินจงกรมให้มากๆ เวลากลางคืนไม่ให้นอนก่อนสี่ทุ่ม เวลากลางวันไม่ให้นอนก่อนเที่ยง เวลาเช้าให้ตื่นตีสี ให้มีเวลาทำความเพียรให้มากๆ อย่าปล่อยให้วันคืนปีเดือนล่วงไปเสียไป
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,854
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont.)
    -ปภาโส.jpg
    หลวงปู่คำดี ปภาโส

    หลวงปู่พัน ท่านก็ปฎิบัติตามคำสอนของ หลวงปู่คำดี อย่างเคร่งครัด ตั้งหน้าตั้งตาทำความพากความเพียรอย่างเต็มกำลัง ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยทั้งกลางวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่งนอน ก็พยามทำอยู่อย่างนั้น เพราะจิตใจของท่านเคยได้รับความทุกข์ ความทรมานในทางโลกมาอย่างหนักหน่วงมาแล้ว ท่านจึงได้มุ่งมั่น ต่อความพรากความเพียร ภาวนาพุทโธๆ ๆ ๆ เท่าไรจิตก็ไม่อยู่กับพุทโธ จิตใจมีแต่แล่นไปตามความคิดตามอารมณ์อยู่อย่างนั้น

    ท่านว่า..ด้วยครั้งบวชเข้ามาเริ่มปฎิบัติใหม่ๆ ท่านเกือบจะเป็นบ้าไปเลย อย่างนั้นแหละ เพราะจิตไม่ยอมอยู่กับพุทโธ เสียทีเพราะอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามาขวางกั้นตันใจ พาให้จิตใจหลวงปู่ท่านเศร้าหมอง ซึ่งในช่วงนี้ท่านมีความกังวลอยู่สี่อย่าง คือ

    ๑. ห่วงหาอาลัยถึงอดีตโยมภรรยาที่ล้มหายตายจากไปจิตใจในช่วงนั้คิดว่ายังอายุน้อยๆไม่หน้าตายเลย
    ๒. ลูกยังเรียนไม่จบ ไม่น่าหนีมาบวชเลย หน้าจะรอให้ลูกเรียนจบมีงาน มีการ เลี้ยงดูตนเองได้เสียก่อน
    ๓. โกรธแค้น ชิงชัง ขโมยที่มาเอาควายไป
    ๔. มีความรักในหญิง

    อารมณ์ทั้ง ๔ นี้ที่ทำให้ท่านอัดอั้นตันใจ ไม่เป็นอันภาวนา ไม่ให้จิตอยู่กับพุทโธจนเกือบจะเป็นบ้า แต่พอท่านปฎิบัตินานเข้าจิตของท่านก็เริ่มสงบลง ปัญญาของท่านก็เกิดผุดขึ้นเกิดขึ้น คงเป็นเพราะวาสนาบารมีเก่าที่หลวงปู่พัน ท่านเคยได้สร้างสมอบรมมาแล้วแต่ปุเรชาติหนหลังครั้งก่อน เข้ามาช่วยดลบันดาลให้จิตใจของหลวงปู่พัน ท่านคิดออกได้คิดแก้ไขจิตใจของท่านที่เป็นห่วงกังวลอยู่นั้นให้สิ้นไป คือ

    ๑. อารมณ์ คิดห่วงอาลัยภรรยาที่ตายไป ท่านพิจารณาว่า เอ๋…แล้วเราจะไปเอาแน่อะไรกับความตายได้ เพราะคนเราทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องตายกันทั้งนั้น บางคนตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก็มีหรือบางคนคลอดออกจากครรภ์แล้วตายก็มี หรือบางคนเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วตายก็มีแล้วจะเอาอะไรแน่นอนครับความตาย

    ๒. อารมณ์ที่เข้ามาครอบงำจิตใจของท่านในตอนนั้น คือห่วงลูกว่าลูกยังเล็กอยู่ ยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย ท่านกลับหนีมาบวชก่อน ท่านพิจารณาว่า..

    “เอ๋..แล้วบางผู้บางคน พ่อแม่เขาตายหนีไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเป็นเล็กอยู่เป็นกำพร้ากำพลอย อาศัยอยู่กับแม่ป้า น้าสาว ลุงอาชาวบ้านเลี้ยงดูมาตั้งแต่เขาเป็นเด็กเป็นเล็กอยู่ เขายังใหญ่มาเป็นผู้เป็นคนได้ หากวาสนาเขาดีเขาเคยทำดีมาแต่ในชาติหนหลัง ก็คงเติบใหญ่มาได้เป็นคนดี แต่ถ้าเขาเคยทำไม่ดีมาก่อนก็คงสุดแท้แต่วาสนาที่เขาทำมาก่อน เพราะทุกคนต่างมีเวร มีกรรมติดตามกันมาทุกคน”

    ๓. อารมณ์ที่มีความเครีดแค้น โกรธพวกขโมยที่มาลักควายไปนั้น ท่านก็พิจารณาแก้อารมณ์ใจว่า ถ้าเราไปฆ่าเขาทิ้งแล้ว ก็เหมือนห่าหมาตายนั้นแหละ ไม่เกิดประโยชน์อันใด ลังแต่จะเป็นเวรเป็นกรรมสือต่อไปในภายภาคหน้าอีกไม่จบไม่สิ้น เราเองในชาติก่อนคงเคยไปลักขโมยของเขาไปชาตินี้เขาจึงมา จองเวร จองกรรมต่อ แล้วท่านก็อโหสิกรรมพร้อมทั้งแผ่นเมตตาไป”

    ๔. อารมณ์นี้หนักไม่น้อยเหมือนกัน คือรักชอบหญิง อารมณ์นี้คงเป็นเพราะวาสนาเก่า บุพเพสันนิวาสชาติเก่าก่อนภายหลังว่าคนเรานั้นเคยได้เป็นคู่ผัวตัวเมียกันมาที่เคยสร้างสมกันมาก่อน ท่านจึงพิจาณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องการเวียนวาย ตายเกิดมาพิจาณา ว่าถ้าเรายังหลงทาง ไม่เร่งรัดปฎิบัติ มัวแต่สนใจในเรื่องโลภ โกรธ หลงสุดท้ายเราก็ต้องมาเวียนเกิด เวียนตาย เวียนทุกข์อยู่ร่ำไป

    ด้วยอุบายธรรมที่เกิดขึ้นกับท่าน โดยแก้อารมณ์ใจที่กังวนได้สี่อารมณ์นี้ทำให้จิตของท่านเลิกฟุ้งซาน จิตใจเริ่มสงบลง

    ท่านจึงมาพิจารณาว่า ที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า ความจริง และ ความจำนั้นต่างกันมาก ความรู้ความเห็นที่ เห็นความจริงด้วยจิต ด้วยใจนั้นเราจะเชื่อเราจะซึ้งอย่างถึงจิต ถึงใจเราอย่างมั่นคงไปจนตาย ส่วนความจำนั้น คือว่าเราอ่านมา จำมาจากตำรับ ตำราหรือฟังจากครูบาอาจารย์นั้น ถึงจะเชื่อก็เชื่ออย่างไม่ซึ้งถึงจิตถึงใจจริง

    -ฐิตธัมโม-กับ-หลวงปู่ท่อน-ญาณธโร.jpg
    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดป่าน้ำภู จังหวัดเลย
    กับ หลวงปู่ท่อน ญาณธโร อดีตเจ้าอาวาส วัดศรีอภัยวัน จังหวัดเลย
    ◎ เล่าเรื่องภาวนาให้พระเณรฟัง
    เมื่อครั้งหลวงปู่พัน ปฎิบัติธรรมเริ่มเห็นความจริง เห็นอรรถ เห็นธรรมแล้ว ท่านก็เล่าเรื่องนี้ให้พระเณรฟัง เพราะมันกินใจลึงซึ้งถึงใจท่านมาก ส่วนพระเณรพอได้ยินได้ฟังท่านเล่า ก็สักแต่ได้ยินเท่านั้น ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก เพราะมิใช่เรื่องของคนอื่น

    หลังจากหลวงปู่พัน ท่านได้ไปทำกิจวัตรประจำวาระ คือ ไปสรงน้ำและไปทำความสะอาดที่บริเวณกุฎิของหลวงปู่คำดี ผู้เป็นครูบาอาจารย์ของท่าน วาระสรงน้ำให้หลวงปู่คำดีนั้น ๗ วันจะเวียนมาถึงหลวงปู่ครั้งหนึ่ง

    พอสรงน้ำหลวงปู่เสร็จ หลวงปู่คำดีท่านมานั่ง วาระวันนั้นว่างจากญาติโยมที่มากราบท่าน หลวงปู่คำดี ท่านจึงได้โอกาสอารมพระเณร คำพูดที่ท่านพูดเปรยๆ ออกมาทีแรกนั้น ท่านได้พูดขึ้นว่า…

    “ผู้ใดนำเรื่องของตัวเองมาเว้า ผู้นั้นเอาความโง่ของโตมาขาย”

    ท่านได้พูดขึ้นอย่างนี้แหละ พอหลวงปู่พันท่านได้ยินดังนั้น ในตอนนั้นท่านจึงเกิดความคิดขึ้นว่า เอ๋…ที่หลวงปู่คำดีพูดนั้น ท่านพูดให้ใครน่อ ท่านคงพูดให้เรากระมัง

    “เอ๋..แล้วเราก็ไม่เคยได้ไปเล่าให้ท่านฟัง แต่ท่านมารู้ได้อย่างไร หรือมีพระเณรไปเล่าให้ท่านฟังหนอ”

    และตั้งแต่นั้นหลวงปู่พัน ท่านก็ไม่เคยเล่าเรื่องผลการปฎิบัติของท่านให้ใครฟังอีกเลย เพราะเรื่องพวกนี้ครูบาอาจารย์ท่านไม่เล่าให้ใครฟังง่ายๆ หรอก เพราะไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล

    จิตได้ ฌาน
    พอจิตของหลวงปู่พัน สงบจากอารมณ์ ๔ อย่างที่ครบงำ ทำให้จิตใจ ของหลวงปู่เป็นทุกข์อยู่ในเวลานั้นได้จืดจางบางเบาจากจิตใจลงไปแล้ว จึงได้นำเอาเรื่องจิตสงบนี้ มาสนทนากับพระสหธรรมิก ที่ปฎิบัติอยู่ด้วยกันฟัง

    พอหมู่เพื่อสหธรรมิกได้ยินดังนั้นเข้า พระบางรูปก็ตอบว่า จิตสงบไม่ได้เป็นอย่างนี้ จิตสงบนั้นต้องสงบแน่นิ่งไปเลยซิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...