ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เปิดค่ายอพยพรักบัน (Rukban) ที่อเมริกาฝึกกลุ่มก่อการร้ายในซีเรีย:
    ข่าวนี้ เชื่อว่าหลายคนไม่เคยดูเพราะไม่มีในสื่อกระแสหลักของไทยเพราะคนทำงานสื่อกระแสหลักของไทยส่วนใหญ่เป็นแค่คนอ่านภาษาอังกฤษออก แต่ *ไม่มีพื้นความรู้ความเข้าใจประวัติศาสตร์และสังคมอเมริกัน* จริงๆ เท่าไหร่
    เวลาอ่านข่าวจากสื่อกากๆ ของมะกันจึงพากันหลงเชื่อหัวปักหัวปำ ไม่รู้ว่าเป็นข่าวที่เขาต้องการล้างสมอง จึงพากันช่วยกระจายข่าวโฆษณาชวนเชื่อของพวกมะกันต่อไปอย่างไร้สติ
    อเมริกาส่งทหารเข้าซีเรียอย่างผิดกฎหมาย จากนั้นก็ปล้นน้ำมันในซีเรียและกำลังปล้นอยู่จนทุกวันนี้ ขณะเดียวกัน ก็ตั้งค่ายผู้อพยพขึ้นมา กวาดต้อนชาวซีเรียมาอยู่และไม่ยอมให้สหประชาชาติหรือรัฐบาลซีเรียเข้าไปดู
    จากนั้น ก็คัดเลือกคนหนุ่มๆ จากค่ายผู้อพยพเหล่านี้มาฝีกให้เป็นกลุ่มก่อการร้ายไอสิส คอยปล้นสะดมภ์และฆ่าชาวซีเรียและรัฐบาลซีเรียด้วยกันเพื่ออิสราเอล
    ไม่เลวจริง ทำไม่ได้หรอกครับ
    @ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    บารัก โอบามาและภรรยา เข้าร่วมต่อสู้กับเครือข่ายคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา:

    อย่างที่ผมเล่าให้อ่าน ตอนนี้ อเมริกาแบ่งเป็น ๒ ขั้วชัดเจน เพราะอยู่ระหว่างหาเสียงจะเลือกตั้งใหม่ เครือข่ายรัฐบาลเงาหรือกลุ่มยิวไซออนิสต์ ได้ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนผู้ประท้วง โดยมีโจ ไบเดน บารัก โอบามา จอร์จ โซรอส ฮิลลารี คลินตัน ฯลฯ

    คนพวกนี้คือเครือข่ายเดียวกันคือฝ่ายพรรคเดโมแครตซึ่งกลุ่มนายทุนยิวไซออนิสต์ เช่น จอร์จ โซรอสเป็นผู้อุปถัมภ์นักการเมืองหลายคนอยู่

    กลายเป็นว่ารัฐบาลกำลังต่อสู้กับผู้ประท้วงที่มีฝ่ายค้านสนับสนุนกันแล้ว บรรดาตำรวจและทหารที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตจึงหันมาสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วง ไม่ฟังคำสั่งโดนัลด์ ทรัมป์กันเป็นแถว

    https://www.worldtribune.com/yes-the-riots-are-being-brought-to-you-live-by-the-democratic-party/

    อย่าไปไว้ใจพวกเดโมแครตครับ พวกนี้คือยิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลัง เน้นผลประโยชน์ของพวกยิวไซออนิสต์ ไม่ใช่คนผิวดำ นายบารัก โอบามาเป็นแค่หุ่นเชิดพวกนี้เท่านั้น ข้อสำคัญ บารัก โอบามาสมัยเป็นประธานาธิบดี ได้รางวัลโนเบลเพราะพูดไว้ดีตอนหาเสียง แต่ไม่ได้ทำอะไรให้คู่ควรแก่รางวัลเลย ความชั่วของเขาที่ควรจดจำก็คือ

    ๑.เขาเอาทหารอเมริกันบุกลิเบีย โค่นมูอัมมาร์ กัดดาฟี ปล้นทองคำลิเบียไป ปล่อยให้ลิเบียเป็น failed State (รัฐล้มเหลว) เต็มไปด้วยการค้าทาสมาจนบัดนี้

    ๒.สร้างกลุ่มก่อการร้ายไอสิสป่วนซีเรีย แล้วส่งทหารไปซีเรียแต่สร้างภาพว่าตนเข้าซีเรียเพื่อปราบไอสิส

    ๓.ทำสงครามพันทางโค่นรัฐบาลยูเครน ตั้งรัฐบาลยูเครนใหม่ที่เป็นหุ่นเชิดของอเมริกามาจนบัดนี้

    ๔.สนับสนุนการทำรัฐประหารในฮอนดูรัส ตั้งหุ่นเชิดอเมริกาเป็นประธานาธิบดีที่นั่นมาจนบัดนี้

    คนดำอย่างนายบารัก โอบามาหรือจะมาช่วยคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา? บารักไม่เคยใช้อำนาจของตนเองทำอะไรเพื่อคนผิวดำมาก่อนจะสิ้นสุดวาระการเป็นประธานาธิบดีเลย นอกจากใช้หลักวาทศิลป์ เป็นนักพูดจอมขี้โม้ไปวันๆ จนหมดสมัย

    ไม่ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ที่เป็นประธานาธิบดีขณะนี้ หรือนายโจ ไบเดนที่เป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน ไม่มีใครเลยจะเป็นทางออกที่ดีให้อเมริกา การเมืองสกปรกในอเมริกา ทำให้ได้ผู้นำที่หาดีไม่ได้สักคน ปัญหาความขัดแย้งในอเมริกาจะมีอยู่ต่อไปจนกระทั่งประเทศแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ นั่นแหละครับถึงจะจบลง

    @ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวเด่น‼️ ผู้ว่าเกาสง”หานกั๋วยู๋” ถูกลงคะแนนถอดถอนพ้นจากตำแหน่ง อาจถึงคราวดิ่งของพรรคก๊กมินตั๋ง

    นายหานกั๋วยู๋แต่เดิมที่ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการเขตเกาสงอย่างล้นหลาม ทั้งที่แต่เดิมเป็นเขตท้องถิ่นของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า(พรรคสีเขียว DPP) แต่กลับได้คะแนนเสียงชนะ แต่เมื่อยังดำรงตำแหน่งไม่กี่เดือน เมื่อถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวัน พรรคก๊กมินตั๋ง(สีฟ้า)เห็นโอกาสที่จะพอสู้ได้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างไช่อิงเหวิน เพราะคนอื่นในพรรคแทบดูแล้วไม่น่าจะมีทางสู้ได้ เลยตัดสินใจส่งนายหานกั๋วยู๋ลงแข่งเลือกตั้งปธน. ทั้งๆที่เพิ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าไม่นาน

    ปากบอกเพราะประชาชนผู้สนับสนุนผลักดัน แต่ใครล่ะจะไม่อยากได้เก้าอี้ปธน.ที่อำนาจสูงสุดในมือ แต่ตัวนายหานเองกลับไม่มีประสบการณ์เด่นอะไรให้เห็น มีแค่วาทะศิลป์

    สุดท้ายประชาชนไต้หวันทั่วประเทศต่างลงคะแนนท่วมท้นให้แก่ไช่อิงเหวินพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าแบบถล่มทะลายจนก๊กมินตั๋ง(กั๋วหมินตั่ง) แทบแทรกแผ่นดิน เพราะหวังไว้มากคิดว่าถึงแพ้ก็พอสูสี

    พรรคก๊กมินตั่งถูกหาว่าเป็น China-friendly ส่วนไช่อิงเหวินต่อต้านจีนอย่างแข็งขันกลับได้ใจวัยรุ่นและคนในชาติ เมื่อต่างคนต่างดำรงตำแหน่งตน เริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง โชคเหมือนจะเข้าข้างนายหานที่เกิดโควิด และเหมือนจะโชคดีของไต้หวันด้วย เพราะคิดดูแล้วถ้านายหานดำรงตำแหน่งและเจอโควิด ไต้หวันจะสามารถข้ามผ่านได้อย่างแบบนี้หรือไม่ จนทั่วโลกยอมรับในการควบคุมโรค

    ถึงแม้ดูเหมือนว่าไช่อิงเหวินขึ้นมาปุ้ปเจอบททดสอบ แต่ต้องยอมรับเลยว่าทีมของเธอนั้นเข้มแข็งจริงๆ และทำได้ดีจนฝ่ายตรงข้ามเองหมดเรื่องโจมตี พูดไม่ออกและ ประชาชนผู้สนับสนุนพรรคก๊กมินตั่งเองก็ได้แต่เงียบ เพราะผลงานที่ออกมาเป็นที่พอใจแก่คนส่วนใหญ่

    นายหานถูกลงคะแนนให้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าเกาสง ด้วยคะแนนเสียงท้วมท้นมากกว่าตอนที่ได้รับตำแหน่งเสียอีก เหตุมาจากที่หลายคนไม่พอใจเรื่อง 說話不算話 ไม่มีสัจจะ เพราะตอนนั้นเป็นคนบอกเองว่า “ยังไงก็จะไม่ทิ้งคนเกาสงจะอยู่ครบ4ปี และจะทำให้ดีกว่าคนเก่า(พรรคตรงข้าม) แต่พอเห็นมีคนสนับสนุนเยอะกลับกลายเป็นว่าอยากคว้าเก้าอี้ปธน.และลืมคำพูดที่ได้สัญญาไว้ บวกกับผลงานไม่เป็นที่พอใจแก่คนท้องถิ่น ทำให้คะแนนออกมาวันนี้ลงถอดถอนนั้นท้วมท้นมากกว่าตอนที่ได้ตำแหน่งเสียอีก

    หลายคนมองว่าเป็นการตัดรากถอนโคนฝ่ายพรรคก๊กมินตั่งทีเดียว

    ขอบอกไว้ก่อนว่าแอดเป็นคนไทยที่มองผ่านสื่อทั้ง2ฝ่าย และดูจากผลงานจริงๆ ไม่มีสี ใครทำดีก็ว่าดี ทุกคนเห็น ประชาชนเห็น อันนี้ก็ต้องยอมลงมาถึงจะอับอายก็ตาม เพราะคะแนนเสียงออกมาแบบนั้น

    #ฉันเลือกคุณได้ฉันเอาคุณออกได้เช่นกัน

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ถอดบทเรียนองค์กรจีน ฝ่าวิกฤต COVID-19 ด้วย ‘WFH’ และ ‘Digital Transformation’

    .

    Harvard Business Review สัมภาษณ์ผู้บริหารระดับ CEO ในองค์กรทั่วประเทศจีน เกี่ยวกับการรับมือและพาองค์กรฝ่าวิกฤตCOVID-19 โดยสามารถสรุปเป็นบทเรียนได้ดังนี้

    1. ทำงานทางไกล Work from Home สามารถทำได้ แต่ต้องให้ทุกคนเห็นเป้าหมายเดียวกัน

    ก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์ COVID-19 ระบาด Work from Home เป็นสิ่งที่พบได้น้อยในจีน แต่ภายใต้การLockdown การทำงานแบบนี้จึงเป็นเพียงทางเลือกเดียว ซึ่งหลายองค์กรในจีนสามารถทำงานรูปแบบนี้ได้ แต่ต้องมีการอบรมโดยเฉพาะระดับผู้จัดการ ให้เข้าใจถึงเป้าหมายและรูปแบบการทำงานแบบนี้เสียก่อน

    .

    2. Digital transformation เกิดขึ้นได้จริงและรวดเร็ว จากแรงกระตุ้นของวิกฤตCOVID-19

    New Oriental Group บริษัทการศึกษารายใหญ่ของจีน เขาพยายามอย่างหนักในการผลักดันระบบการศึกษาออนไลน์ แต่ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนักจากผู้ปกครองและเด็กนักเรียน แต่การมาของCOVID-19 ทำให้เป้าหมายของเขาที่ติดหล่มมากว่า2ปี เดินหน้าต่อไปได้อย่างคาดไม่ถึง

    .

    3.การเกิดขึ้นของการสื่อสารภายในองค์กรรูปแบบใหม่ยุคดิจิทัล

    แม้หลายองค์กรจะกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ หลังสถานการณ์COVID-19ดีขึ้นในจีน แต่การประชุมในแต่ละครั้ง ผู้บริหารเลือกใช้การประชุมแบบเสมือน ผ่านVideo conference โดยให้เหตุผลว่า การประชุมแบบนี้ช่วยลดการพูดคุยของแต่ละบุคคล และเพิ่มประสิทธิภาพการประชุมให้ตรงเป้าหมาย อีกทั้งยังกระชับมากขึ้น

    .

    4. กระตุ้นให้ผู้คนในองค์กรยังคงปฏิสัมพันธ์กันแม้ไม่ได้เจอหน้า

    การทำงานWork from Home ที่ทุกคนในทีม ยังคงเห็นหน้ากันผ่านทาง Video ช่วยกระตุ้นให้ทุกคนยังคงมีปฏิสัมพันธ์ และการเห็นวิถีชีวิตของแต่ละคนยามอยู่บ้าน ยังทำให้ความสัมพันธ์ในทีมเพิ่มมากขึ้น

    .

    5. สนับสนุนให้คนในองค์กรได้เรียนรู้เพิ่มเติมผ่านระบบดิจิทัล

    การเข้ามาของระบบดิจิทัล นอกจากช่วยในการทำงาน ยังสามารถช่วยให้คนในองค์กรได้เรียนรู้และร่วมแชร์ประสบการณ์-ความรู้แก่กัน ผ่านระบบดิจิทัลขณะอยู่ที่บ้านได้อีกด้วย เมื่อทรัพยากรบุคคลมีศักยภาพเพิ่มขึ้น องค์กรก็จะเดินหน้าไปไกลขึ้น

    .

    6. วิกฤตสร้างโอกาสความร่วมมือและโมเดลธุรกิจใหม่กับคู่ค้าและลูกค้า

    Huanxi Media Group ผู้ผลิตภาพยนตร์รายใหญ่ของจีน สูญเงินมหาศาล เนื่องจากหนังที่มีคิวฉายในช่วงตรุษจีน ไม่สามารถฉายได้ แต่สามารถกู้วิกฤตได้ด้วยการร่วมมือกับ TikTok เพื่อ Liveสดฉายหนังรูปแบบออนไลน์ และสร้างรายได้สูงถึง 91ล้านดอลลาร์

    .

    7. สร้างวิธีการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของคนในองค์กรแบบReal-time และเข้าถึงง่าย

    การใช้ “ดิจิทัล” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ยังทำให้การประเมินงานสามารถทำได้ง่ายขึ้น อย่างการดูผ่านระบบลงงานแบบReal-timeหรือรายวัน ผ่านDashboard

    .

    8.ผู้บริหารต้องมีความโปร่งใสและตรงไปตรงมาในการแจ้งสถานการณ์และการตัดสินใจขององค์กรแก่พนักงาน

    ผู้บริหารควรมี “ความโปร่งใส และตรงไปตรงมา” เพื่อให้ทราบความเป็นไปของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพราะทุกคนในองค์กรไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด ล้วนมีผลต่อการขับเคลื่อนองค์กร และการทำเช่นนี้ จะทำให้คนในองค์กรมีความวิตกกังวลต่ออนาคตการทำงาน ลดน้อยลงด้วย

    .

    9. ปรับองค์กรให้ยืดหยุ่นต่อการตัดสินใจแบบทันท่วงทีแต่ละสถานการณ์

    วัฒนธรรมการทำงานขององค์กรจีน จะแบ่งโครงสร้างการทำงานเป็นหลายระดับ ดังนั้น การตัดสินใจอะไรสักอย่าง ค่อนข้างใช้เวลานาน แต่ในสถานการณ์วิกฤต การตัดสินใจอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นสิ่งจำเป็น

    .

    10. การขอความร่วมมือแบบตามความสมัครใจและงานอาสาสมัครเพื่อสังคม ช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมมากขึ้นของพนักงานในองค์กร

    ผู้บริหารองค์กรในจีนจำนวนไม่น้อย พบว่า การขอความร่วมมือจากพนักงานแบบ “ตามความสมัครใจ” อย่างงานอาสาสมัครเพื่อสังคมช่วงการระบาดใหญ่ ได้รับผลตอบรับที่ดี โดยเฉพาะพนักงานบริการส่วนหน้า ทำให้หลายองค์กรมีแพลนที่จะใช้การทำงานในเชิงอาสาสมัครเพื่อสังคม เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กร

    .

    เห็นได้เลยว่า การทำงานแบบ WFH และ Digital transformation มีผลโดยตรงต่อการกู้วิกฤตของแต่ละองค์กร แต่การปรับตัวขององค์กร และการให้พนักงานได้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่มิอาจมองข้าม

    .

    อ้างอิงจาก:

    https://hbr.org/2020/06/lessons-from-chinese-companies-response-to-covid-19

    #OnUFO #CEO #CHINA #COVID19 #WFH #DigitalTransformation

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยาคุตสค์ เมืองหนาวที่สุดในโลก
    .
    ตลอดช่วงสามเดือนในฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยของเมืองยาคุตสค์จะอยู่ที่ราว -40 องศาเซลเซียส เมืองยาคุตสค์ตั้งอยู่ทางตะวันออกของภูมิภาคไซบีเรีย ในรัฐซาฮา ของรัสเซีย และได้ชื่อว่าเป็นเมืองหนาวที่สุดในโลก มีผู้อยู่อาศัยมากถึง 280,000 คน
    .
    เนื่องจากในฤดูหนาวพื้นดินจะเย็นจนเป็นน้ำแข็ง ดังนั้นแล้วอาคารส่วนใหญ่จึงถูกสร้างให้ยกขึ้นสูงอีกชั้นหนึ่งจากพื้นดิน
    .
    Steeve Luncker ช่างภาพผู้เติบโตในบริเวณเทือกเขาแอลป์ ของสวิสเซอร์แลนด์ ตัดสินใจเดินทางไปเป็นประจักษ์พยานความหนาวยังสถานที่แห่งนี้ ตัวเขาต้องการรู้ว่าอุณหภูมิที่ติดลบมากขนาดนั้นจะส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย
    .
    “ใครจะไปคิดว่าแค่เดินออกจากบ้านไปโบกรถจะกลายเป็นเรื่องอันตรายได้” ช่างภาพหนุ่มกล่าว เพราะวิถีชีวิตในเมืองยาคุตสค์ การจะออกไปข้างนอกคุณต้องวางแผนอย่างรัดกุม ชาวเมืองไม่แวะสถานที่ที่ไม่ได้ตั้งใจไป ไม่เดินดูข้าวของเตร็ดเตร่ “ความหนาวบงการชีวิตเราทุกอย่าง”
    .
    กล้องที่เขาใช้คือ กล้อง Rolleiflex แบบเลนส์คู่ แต่ด้วยสภาพอากาศนั้นเอื้อให้เขาถ่ายภาพได้เพียงครั้งละไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น ก่อนที่เครื่องมือจะกลายเป็นน้ำแข็งและม้วนฟิล์มจะแข็งจนแตกหักเอา รวมไปถึงนิ้วของเขาด้วยที่ชาจนแทบไม่รู้สึกระหว่างการทำงาน
    .
    ผู้คนในไซบีเรียก็รู้สึกหนาวไม่ต่างจากเรา เพียงแต่ว่าพวกเขามีวิธีการเตรียมตัวและรับมือที่ดีกว่า” เขากล่าว

    อ่านเรื่องราวฉบับเต็มได้ที่ https://ngthai.com/cultures/6973/yakutsk-the-coldest-city/

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Black Lives Matter: ชมภาพการเดินขบวนต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวในนิวยอร์ก ผ่านสายตาช่างภาพชาวไทย
    .
    ชีวิตคนดำนั้นมีความหมาย หรือ Black Lives Matter กลายเป็นวลีที่ชาวสหรัฐฯ และผู้คนอีกหลายประเทศใช้ในการเดินขบวนเพื่อเรียกการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว
    .
    การเดินขบวนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา จับกุม 'จอร์จ ฟลอยด์' ชายชาวอเมริกันผิวดำ วัย 46 ปี ด้วยความรุนแรงจนเสียชีวิต ทั้งที่เขาไม่มีความผิดชัดเจน
    .
    นิวยอร์ก เมืองใหญ่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีหลากหลายทางเชื้อชาติของประชากรในสหรัฐฯ ได้มีการจัดเดินขบวนครั้งใหญ่เช่นเดียวกัน
    .
    ปรัชญา จันทร์คง ช่างภาพชาวไทยผู้อาศัยอยู่ที่นั่น ได้บันทึกภาพผู้คนที่ออกมาเดินขบวนในหลากหลายย่าน
    .
    โดยภาพเหล่านี้ไม่ได้เน้นความรุนแรง หากแต่ถ่ายทอดจิตวิญญาณผู้ชุมนุมหลากหลายสีผิวที่ใฝ่หาความยุติธรรม ท่ามกลางการเผชิญหน้าของเจ้าหน้าที่รัฐ ภายใต้ภาวะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายเมือง
    .
    แม้การเรียกร้องความเท่าเทียมทางสีผิวจะเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต แต่ตราบที่อคติภายในจิตใจยังคงไม่จางหาย กงล้อประวัติศาสตร์ก็จะยังคงหมุนย้อนเช่นนี้ต่อไป

    Photo by ปรัชญา จันทร์คง / Pratya Jankong

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เตือนไว้ก่อนว่า ถ้าเริ่มอ่านไปได้ 10 บรรทัด.. คุณจะไม่ได้ทำอะไรไปอีก 10 นาที เพราะ วางไม่ลง..
    -Blockdit แหล่งรวมความรู้ Blockdit.com/download

    “โอซามา บิน ลาเดน” อาชญากรหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา

    ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.2011 ซึ่งเป็นวันข้างแรม...

    เหนือน่านฟ้าในคืนเดือนมืดของเมืองแอบบอตทาบัต ปากีสถาน...

    แฮลิคอปเตอร์สีดำทมึน 2 ลำ กำลังโฉบเหนือบ้านหลังหนึ่ง...

    พร้อมกับการลงมาของหน่วยซีล หน่วยไนท์ สตอล์กเกอร์ และสุนัขชื่อ ไคโร

    พวกเขากำลังทำภารกิจลับสุดยอด

    ภารกิจลับในการลอบสังหารชายคนหนึ่ง

    ชายผู้เป็นทายาทมหาเศรษฐีของซาอุดิอาระเบีย...

    ชายผู้เป็นนักรบมุจาฮิดีนเพื่อต่อกรคอมมิวนิสต์ในอัฟกานิสถาน...

    ชายผู้ถูกขับไล่ออกจากประเทศบ้านเกิดเพราะขัดแข้งขัดขามหาอำนาจ...

    ชายผู้อยู่เบื้องหลังการถล่มของตึกแฝด อาคารเพนตากอนในอเมริกา และวินาศกรรมทั่วโลก...

    ชายผู้สร้างเครือข่ายก่อการร้ายที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุด...

    ชายผู้ถูกอเมริกาตามล่ากว่า 20 ปี...

    ชายผู้เป็นทั้งอาชญากรและวีรบุรุษ...

    และชายที่ชื่อว่า “โอซามา บิน ลาเดน”

    ชื่อที่คนอเมริกันจะจดจำไปทั้งศตวรรษ ในฐานะอาชญากรที่ชั่วร้ายที่สุดของสหรัฐอเมริกา

    เรื่องราวของชายคนนี้จะเป็นอย่างไร และค่ำคืนของภารกิจลับนี้จะเป็นจุดสิ้นสุดหรือไม่...

    โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...

    เริ่มแรกผมขอเล่าไปถึงเรื่องของการก่อตั้งประเทศหนึ่งครับ นั่นคือ ซาอุดิอาราเบีย

    โดยในช่วงที่จักรวรรดิออตโตมันเรืองอำนาจ ทำให้ชนเผ่าอาหรับนั้นไม่ได้ลืมตาอ้าปากครับหลายๆเผ่าจึงแตกกระจัดกระจายกันไปไม่ได้รวมกันเป็นประเทศหรืออาณาจักรใหญ่ๆ

    แต่แล้วก็มีเผ่าๆหนึ่งที่ผงาดขึ้นมาครับ คือเผ่าอานิซาร์ ซึ่งเผ่านี้เนี่ยมีผู้นำ คือ อับดุล อาซีส และเผอิญว่าดินแดนที่เผ่านี้ครอบครองเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม คือเมกกะและเมดินา

    อับดุล อาซีส จึงทำการรวบรวมเผ่าอาหรับที่กระจัดกระจายไป แล้วใช้ดินแดนนี้เป็นศูนย์กลางแล้วตั้งประเทศขึ้นมา คือ ซาอุดิอาราเบีย จากนั้นก็สถาปนาราชวงศ์ขึ้นมา คือ ราชวงศ์ซาอุด แล้วตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรก โดยทุกอย่างได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษ

    เมื่อตั้งประเทศขึ้นมาแล้ว กษัตริย์อับดุล อาซีสต้องการสร้างพระราชวัง บูรณะสถานที่สำคัญต่างๆ แล้วอับดุล อาซีสก็ได้พบกับผู้รับเหมาก่อสร้างที่อพยพมาจากเยเมนคนหนึ่งครับ คือ เชคโมฮัมหมัด บิน ลาเดน

    โดยฝีไม้ลายมือในการก่อสร้างของชายคนนี้ถูกใจกษัตริย์อับดุล อาซีสอย่างมาก! จนไว้ใจให้ทำงานก่อสร้างสำคัญๆหลายอย่าง สายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ซาอุดกับตระกูลบิน ลาเดนจึงค่อยๆแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆครับ

    และแล้วแจ๊คพอตก็มาตกที่ซาอุดิอาราเบีย คือ การค้นพบน้ำมันมหาศาล เปลี่ยนจากประเทศจนๆให้กลายเป็นประเทศโคตรรวย! ยกฐานะทั้งราชวงศ์ซาอุด และฐานะของตระกูลบิน ลาเดนเป็นอภิมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินเป็นหมื่นๆล้าน!

    เชคโมฮัมหมัด บิน ลาเดนนั้นมีภรรยากว่า 20 คนครับ และมีลูกทั้งหมด 50 คน ลูกๆเหล่านี้ต่างก็เติบโตมาอย่างใกล้ชิดกับราชวงศ์ซาอุด โดยมีลูกชาย 2 คนที่เป็นตัวละครสำคัญที่ผมจะพูดถึง คือ ซาเล็ม บิน ลาเดน และ โอซามา บินลาเดน...

    ภาพจาก The International Churchill Society (อับดุล อาซีสและวินสตัน เชอร์ชิล)
    ซึ่งเรื่องได้เริ่มมาจากการเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น คือ เชคโมฮัมหมัด บิน ลาเดน ได้เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกครับ! ทำให้กิจการทั้งหมดนั้นต้องตกมาอยู่ในมือของ ซาเล็ม บินลาเดน

    ตัวของซาเล็ม เมื่อได้เข้ามาบริหารงานแล้ว ตัวแทนดูแลผลประโยชน์ของตระกูลที่ชื่อว่า จิม บาธ ได้เข้าหาเขาแล้วบอกว่ามีตระกูลนักการเมืองจากอเมริกาสนใจที่จะตีสนิทกับตระกูลบิน ลาเดน โดยมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งตระกูลนั้น คือ ตระกูลบุชนั่นเองครับ! (คุ้นกันรึเปล่า?)

    ตั้งแต่นั้นตระกูลบุชกับตระกูลบิน ลาเดนก็ได้มีการสานสัมพันธ์ต่อกันเรื่อยๆครับ ถึงขนาดที่ว่า เมื่อจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่เป็นทายาทตระกูล ได้จัดตั้งบริษัทน้ำมันที่ชื่อ อาบัสโตร์ (ภายหลังเปลี่ยนเป็น Bush Exploration) ตระกูลบิน ลาเดนนี่แหละครับที่เป็นผู้สนับสนุนเงินทุนก้อนโตให้บริษัทอาบัสโตร์ จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลนั้นลึกซึ้งพอสมควร

    เรามาพูดถึง โอซามา บิน ลาเดน ลูกชายอีกคนของเชคโมฮัมหมัด บิน ลาเดน กันบ้างครับ(ผมขอเรียกว่าโอซามานะครับ จะได้ไม่สับสนกับคนอื่นในตระกูล) ตัวโอซามานั้นเรียกได้ว่าโตมาบนกองเงินกองทองเลยล่ะครับ ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยคิง อับดุล อาซีส โดยชีวิตวัยเรียนของโอซามา เขามักไปเที่ยวบาร์ ไนท์คลับและคาสิโนในเบรุตบ่อยๆ! (ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าจะโตมาเป็นนักรบเคร่งศาสนา)

    แต่แล้วโอซามา ก็เริ่มสนใจศึกษาเรื่องศาสนาครับ โดยเฉพาะแนวทางสลาฟีย์หรือวาฮาบี ที่เป็นแนวทางบริสุทธิ์ของอิสลาม แนวคิดนี้ทำให้เขาเลื่อมใสจนถึงขนาดคลั่งไคล้เลยทีเดียว

    และแล้วชีวิตของชายหนุ่มวัยกลัดมันอย่างโอซามาก็ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นใน ค.ศ.1979 คือ สงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน

    ภาพจาก Nextews (ทหารโซเวียตเคลื่อนกำลังเข้ายึดอัฟกานิสถาน)
    สงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน เป็นสมรภูมิหนึ่งในช่วงสงครามเย็น โดยในช่วงปลายทศวรรษ 1970 รัฐบาลอัฟกานิสถานพยายามที่จะเปลี่ยนประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ครับ แต่ก็อย่างว่า คอมมิวนิสต์กับอิสลาม ดูยังไงๆก็ไปกันไม่รอดแน่นอน! ดังนั้นจึงเกิดกระแสต่อต้านจากประชาชนอัฟกันอย่างท่วมท้น แล้วรัฐบาลก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยต้องไปพึ่งโซเวียต

    โซเวียตเห็นดังนั้นก็หงุดหงิด “น้องอัฟกันทำไมไร้น้ำยาแบบนี้ แค่เปลี่ยนประเทศเป็นคอมมิวนิสต์มันจะยากอะไร มา เดี๋ยวพี่ทำให้ดู” ว่าแล้วก็ยกกองทัพแดงเข้าครอบครองอัฟกานิสถานแล้วจัดการกวาดล้างคนไม่เห็นด้วย คราวนี้ก็เกิดเป็นสงครามสิครับ!

    อเมริกาเห็นคอมมิวนิสต์ของโซเวียตเข้าไปมีอิทธิพลในอัฟกานิสถาน ก็เริ่มร้อนๆหนาวๆสิครับทีนี้ แต่จะส่งกองทัพตัวเองไปสู้โต้งๆก็ใช่ที่ เพราะไม่ใช่แนวทางของสงครามเย็น ดังนั้นอเมริกาจึงปลุกปั่นมุสลิมทั่วโลกที่เห็นเพื่อนร่วมศาสนาถูกรังแกในอัฟกานิสถานว่า “พี่น้องมุสลิม บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราต้องช่วยกันทำสงครามจิฮัด ช่วยเพื่อนร่วมศาสนา และขับไล่พวกผีร้ายคอมมิวนิสต์ออกไปจากแผ่นดินอัฟกานิสถาน” น่าเหลือเชื่อจริงๆนะครับที่อเมริกาปลุกปั่นการรบเพื่อศาสนา...

    ว่าแล้วอเมริกาก็สร้างนักรบมุจาฮิดีนขึ้นมาครับ ซึ่งทหารก็มาจากชาวมุสลิมศรัทธาแรงกล้าในอัฟกานิสถานและทั่วโลก โดยอเมริกาให้การสนับสนุนเสบียง อาวุธ ข่าวสาร พร้อมทั้งให้ CIA ฝึกการรบให้...

    โอซามา ได้รับรู้เหตุการณ์ในอัฟกานิสถาน ทำให้เขายอมไม่ได้ที่ศาสนาของเขาต้องแปดเปื้อนโดยพวกคอมมิวนิสต์ ว่าแล้วก็เก็บกระเป๋าพกความศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแรงกล้า แล้วมุ่งสู่อัฟกานิสถานตามคำเชิญชวนของอเมริกา เข้าไปฝึกรบกับ CIA จนกลายเป็นนักรบมุจาฮิดีน ทำการรบแบบกองโจรต่อต้านกองทัพแดงของโซเวียต

    อเมริกาไม่เคยคาดคิดเลยว่า เหล่านักรบที่ตัวเองฝึกให้อยู่ในตอนนี้นั้น จะกลายเป็นเหล่าหัวโจกที่จะสร้างปัญหายิ่งกว่าพวกคอมมิวนิสต์ในอนาคต...

    ภาพจาก Wikimedia Commons (ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน พบปะนักรบมุจาฮิดีน)
    ในหมู่นักรบมุจาฮิดีน โอซามานั้นโดดเด่นสุดๆ อาจจะเพราะรวยแถมเป็นเด็กเส้นจากราชวงศ์ซาอุด ที่สนับสนุนการรบนี้ด้วย ทำให้มีนักรบมากมายที่นับถือแล้วยกให้เป็นพี่ใหญ่เลยทีเดียวครับ และนักรบเหล่านี้จะรวมเข้าไปอยู่ในเครือข่ายอัลเคดาในอนาคต

    สงครามในอัฟกานิสถานรบกันอยู่ทั้งหมด 9 ปีครับ แล้วในที่สุด ค.ศ.1989 โซเวียตจำต้องยอมแพ้แล้วยกทัพกลับประเทศไปอย่างเจ็บใจ จากการแพ้ของโซเวียตนี่แหละครับ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศพังทลาย เป็นเหตุให้โซเวียตต้องล่มสลายไปในที่สุด

    หลังโซเวียตจากไป อัฟกานิสถานใช่ว่าจะสงบครับ เกิดการตีกันเองของนักรบมุจาฮิดินว่าใครจะได้ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ เลยกลายเป็นสงครามกลางเมืองซะงั้น! ซึ่งรบกันอยู่ 5 ปี จนกลุ่มที่ชนะคือ กลุ่มตาลีบัน ทำให้ ค.ศ.1994 อัฟกานิสถานเข้าสู่ยุคการปกครองอันโหดร้ายของตาลีบันในที่สุดครับ

    เหล่านักรบมุจาฮิดีนที่มาจากประเทศอื่นนั้น ต่างแยกย้ายกลับภูมิลำเนาของตัวเองตั้งแต่โซเวียตจากไป รวมถึงโอซามาด้วย ที่กลับไปซาอุดิอาราเบีย ซึ่งก็ต้องพบกับข่าวที่น่าเศร้าของครอบครัวตัวเองครับ...

    ยังจำบริษัทอาบัสโตร์ของจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้มั้ยครับ? บริษัทนี้เมื่อได้รับเงินทุนจากตระกูลบิน ลาเดน ก็บริหารงานไป แต่ก็ไปไม่รอด จนต้องขายบริษัทไปในที่สุดครับ และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ซาเล็ม บิน ลาเดน เสียชีวิตจากเครื่องบินตกที่เท็กซัสอย่างปริศนา?

    ข่าวนี้ทำให้โอซามานั้นสลดใจอย่างมาก นี่เป็นสาเหตุแรกแห่งความแค้นเคืองตระกูลบุชและอเมริกาหรือเปล่า ก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แค่พอมีเค้าอยู่นิดหน่อยเท่านั้น

    และเมื่อโอซามากลับมาที่ซาอุได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นอีกครั้งหนึ่งใน ค.ศ.1991 นั่นคือ สงครามอ่าวเปอร์เซีย...

    ภาพจาก teleSUR English (ซัดดัม ฮุสเซน นำทหารบุกคูเวต)
    โดยสาเหตุของสงครามมาจากความบอบช้ำและล้มเหลวทางเศรษฐกิจของอิรักจากสงครามอิรัก-อิหร่าน ทั้งยังไม่มีเงินมาใช้หนี้สงคราม ซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำอิรักในตอนนั้นจึงมองซ้ายมองขวาแล้วเห็นประเทศเล็กๆที่อยู่ทางใต้ของอิรัก นั่นคือ ประเทศคูเวต

    โดยคูเวตร่ำรวยจากการขายน้ำมันครับ เมื่อซัดดัมเห็นแบบนั้นแล้วจึงอิจฉาตาร้อน “ประเทศเอ็งเล็กเท่าจังหวัดในประเทศข้า แต่ไหงเจริญแถมรวยกว่าลิบลับ อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย ขอข้ายึดหน่อยแล้วกัน!!” ว่าแล้วก็ยกกองทัพเข้ายึดคูเวตทันที

    การกระทำของซัดดัมทำให้นานาชาติรวมถึงอาหรับรุมประนาม แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าทำอะไรเพราะยังกลัวกองทัพอิรักอยู่...

    แต่แล้วอเมริกาก็กระโดดเข้ามาแจมในงานนี้ (อีกแล้ว)ครับ โดยนำฐานทัพมาตั้งที่ซาอุดิอาราเบีย โดยเฉพาะเมืองเมกกะและเมืองเมดินา

    โอซามาเห็นดังนั้นแล้วก็พยายามเจรจากับราชวงศ์ซาอุดว่า เขาจะรวบรวมนักรบมุจาฮิดีนมาขับไล่อิรักออกไปจากคูเวตเอง แต่โดนราชวงศ์ซาอุดปฏิเสธอย่างไม่ใยดี...

    และในที่สุดอเมริกาก็ขับไล่กองทัพอิรักออกไปจากคูเวตได้สำเร็จ สิ้นสุดสงครามอ่าวเปอร์เซีย...

    โอซามาโกรธราชวงศ์ซาอุดอย่างมากที่ไปเป็นเบี้ยล่างต่างชาติ แถมเอาทหารนอกรีตเข้ามาเหยียบดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีปัญหากันหนักหน่วงทีเดียวครับ จนเรื่องรู้ไปถึงหูอเมริกา...

    อเมริกาจึงคิดว่า “ไอ้นี่วอนซะแล้ว” ดังนั้นจึงกดดันราชวงศ์ซาอุดให้ขับไล่โอซามาออกจากประเทศ ตัดสิทธิการเป็นพลเมืองซาอุ แล้วยึดทรัพย์สิน พร้อมทั้งตัดขาดจากตระกูลบิน ลาเดน

    โอซามาเมื่อถูกไล่ออกจากประเทศ จึงหนีหัวซุกหัวซุนอย่างโกรธแค้นไปที่ประเทศซูดาน เข้าไปเป็นผู้ช่วยรัฐบาลซูดานที่เป็นมุสลิมในเรื่องเศรษฐกิจ ในช่วงนี้แหละครับ โอซามาเริ่มสร้างองค์กรก่อการร้ายอัคเคดาขึ้นมา แล้วเริ่มปฏิบัติการก่อวินาศกรรม...

    เริ่มตั้งแต่ใน ค.ศ.1993 บุคคลซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับอัลเคดา ได้ใช้รถบรรทุกขนระเบิดเข้าไประเบิดในลานจอดรถของตึกเวิลด์เทรด โดยมีผู้เสียชีวิตถึง 6 คน!

    ปี ค.ศ.1996 ทหารอเมริกันในซาอุดิอาราเบียเสียชีวิตจากรถบรรทุกขนระเบิด 19 คน!

    แล้วรัฐบาลอเมริกากับซาอุจึงบอกว่า “ไม่ไหวแล้ว!” แล้วทำการตามล่าตัวโอซามาในซูดาน โดยกดดันรัฐบาลซูดานให้เก็บโอซามาซะ!

    แต่โอซามาไหวตัวทันครับ จึงหนีออกจากซูดาน แล้วไปซบอกเพื่อนเก่าที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา นั่นคือ กลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถานนั่นเอง...

    จากการสนับสนุนของตาลีบัน โอซามาจึงก่อตั้งกองกำลังของตนเองอย่างเต็มรูปแบบ แล้วใช้กลยุทธ์ที่ร่ำเรียนมาจาก CIA ในการทำสงครามกองโจร แต่เป็นในรูปแบบของการก่อการร้าย โดยจะโจมตีที่จุดเปราะบางของสังคม เช่น ฆ่าผู้หญิง ฆ่าเด็ก ฆ่าคนแก่ ฆ่านักบวช บอมบ์สถานที่สำคัญ เพื่อให้ความหวาดกลัวและความเกลียดชังฟุ้งกระจายไปทั่วสังคม ทำให้คนเกลียดชังมุสลิม แล้วมุสลิมที่ถูกเกลียดชังจะโดนดูถูก รังแก กดดันจนต้องจำใจยอมเข้ามาเป็นพวกของอัลเคดาในที่สุด! (จิตวิทยาสุดๆไปเลยครับ)

    และใน ค.ศ.1998 มือระเบิดพลีชีพของอัลเคดาก็จัดการบอมบ์สถานทูตอเมริกาในแทนซาเนียและเคนยา มีผู้เสียชีวิต 224 คน!

    ยังไม่พอ ใน ค.ศ.2000 อัลเคดาก็ใช้เรือขนระเบิด ไปบอมบ์เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอสโคลของอเมริกาในเยเมน ลูกเรือเสียชีวิต 17 คน!

    และในที่สุด 11 กันยายน ค.ศ.2001 อัลเคดาก็ได้มอบฝันร้ายที่ไม่มีวันลืมให้กับอเมริกา...

    ภาพจาก Yahoo News (การระเบิดสถานทูตอเมริกาในแทนซาเนีย)
    การก่อวินาศกรรม 911 ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อเมริกาที่ศัตรูได้ไปหยามหน้าถึงถิ่นขนาดนี้ (อีกเคสเป็นเหตุการณ์เพิร์ล ฮาเบอร์ แต่เกิดบนเกาะฮาวาย ไม่ได้เกิดบนแผ่นดินใหญ่ของอเมริกา)

    โดยโอซามา ได้จัดการให้นักรบของเขาทำการจี้เครื่องบินพาณิชย์ 4 ลำ เข้าพุ่งชนสัญลักษณ์ที่เป็นเชิงอำนาจของอเมริกา นั่นคือ ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่แทนอำนาจทางเศรษฐกิจ อาคารเพนตากอน ที่แทนอำนาจทางทหาร และอาคารรัฐสภา(หรือไม่ก็ทำเนียบขาว) ที่แทนอำนาจทางการเมือง

    โดยเครื่องบิน 3 ลำ สามารถพุ่งชนเป้าหมายได้สำเร็จ นั่นคือ ตึกเวิลด์เทรดทั้ง 2 ตึก ถล่มลงมาอย่างราบคาบ และอาคารเพนตากอนเสียหายบางส่วน แต่เครื่องบินอีกลำหนึ่งไปไม่ถึงเป้าหมาย เพราะผู้โดยสารบนเครื่องขัดขืน เครื่องจึงตกกลางทางซะก่อน

    ภาพจาก The Conversation (การถล่มของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์)
    จากเหตุการณ์ 911 นี่แหละครับ ทำให้อเมริกาตกใจ หวาดกลัว แล้วในที่สุดกลายเป็นความโกรธแค้น ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช จึงเล็งเป้าไปที่อัลเคดาและโอซามา บินลา เดน แล้วประกาศการทำสงครามต่อต้านก่อการร้ายในที่สุดครับ แล้วบุชยังกล่าวอีกว่า “ทุกประเทศจะต้องตัดสินใจเลือกในตอนนี้แล้วว่า หากคุณไม่อยู่ข้างเรา คุณก็อยู่ข้างเดียวกับผู้ก่อการร้าย” ซึ่งเป็นการสะท้อนครับว่า อเมริกาทำการบีบประเทศต่างๆให้ต้องเลือกข้างว่าจะเป็นพันธมิตรหรือเป็นศัตรู

    จากนั้นบุชก็ส่งคำขู่ไปยังตาลีบันครับว่า “ให้เอ็งส่งตัวเพื่อนมาทันที ไม่งั้นตูจะจัดการล้างบางทั้งเอ็งทั้งเพื่อน!” แล้วก็ได้คำตอบจากตาลีบันกลับมาว่า “แล้วไง ใครแคร์”

    ดังนั้น 7 ตุลาคม ค.ศ.2001 อเมริกาและผองเพื่อนก็ได้นำกองทัพเข้าสู่อัฟกานิสถานภายใต้ปฏิบัติการเสรีภาพยั่งยืน (Operation Enduring Freedom) กรูกันเข้าไปรุมสหบาทารัฐบาลตาลีบันในกรุงคาบูล...

    ภาพจาก CNN (ปฏิบัติการเสรีภาพยั่งยืน)
    ภายในเวลาเพียง 2 เดือนก็สามารถโค่นล้มตาลีบันลงได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อเมริกาตะหงิดๆครับ นั่นคือ หาตัวโอซามา บิน ลาเดนไม่พบ!! บุชจึงสั่งให้หน่วยข่าวกรองเร่งปูพรมค้นหาโดยด่วน!

    แล้วใน ค.ศ.2002 หน่วยข่าวกรองก็พบที่ซ่อนของโอซามาครับ ซึ่งอยู่ในหุบเขาชาฮีคอต ที่เป็นภูมิประเทศแบบภูเขาสูงสลับซับซ้อน อเมริกาจึงไม่รอช้า ทำการส่งทหารภายใต้ปฏิบัติการ อนาคอนดา (Operation of Anaconda) แต่ทหารอเมริกาก็พบกับความล้มเหลวอีกครั้งครับ เนื่องจากอัลเคดาชำนาญภูมิประเทศมากกว่า ทำให้อเมริกาสูญเสียทหารไปจำนวนมาก แถมโอซามายังหนีไปได้อีก ซึ่งสร้างความอัปยศให้อเมริกาอย่างมาก!

    จากการเสียหน้าในอัฟกานิสถาน ทำให้อเมริกาเบนหน้าไปที่อิรักแทนครับ! โดยให้เหตุผลว่าอิรักเป็นหนึ่งในแกนแห่งความชั่วร้าย (มีอิรัก อิหร่าน เกาหลีเหนือ) ที่ครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ ทั้งยังสนับสนุนอัลเคดา อเมริกาจึงมีความจำเป็นในการปลดอาวุธของอิรักซะ!

    แล้วก็ไม่รอคำอนุมัติของนานาชาติ นำกองทัพเข้าล้างบางโค่นล้มรัฐบาลซัดดัมลงในที่สุด

    ในตอนนี้ อเมริกาได้หลวมตัวเข้าไปในสงครามที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งยืดเยื้อ ยาวนาน และ ริดลอนทรัพยากรไปมหาศาล ทั้งยังถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ร้าย รังแกประเทศเล็กประเทศน้อย ทำตัวเป็นตำรวจโลก (แน่ล่ะครับ สิ่งที่อเมริกาสู้อยู่ไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นกลุ่มบุคคลที่ซ่อนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้) อเมริกายังต้องจัดการกลุ่มกบฏในอิรัก เจอปัญหาตาลีบันที่ฟื้นกำลังมาก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน อีกทั้งอัคเคดาก็ยังอยู่แถมยังขยายสาขาไปเรื่อยๆไม่รู้จบ...

    ภาพจาก Tactical Life (ปฏิบัติการอนาคอนดา)
    เครือข่ายอัลเคดาของโอซามายิ่งขยายตัวใหญ่ขึ้นจากวีรกรรมของกลุ่ม ทำให้มีมุสลิมมากมายจากทั่วโลกเข้ามาสวามิภักดิ์ ไม่ก็มอบเงินสนับสนุน

    อีกทั้งโอซามาหนีรอดจากการถล่มอย่างบ้าคลั่งของอเมริกาในอัฟกานิสถานมาได้ ทำให้อเมริกาตั้งค่าหัวและปักหมุดว่าเป็นอาชญากรที่ชั่วร้ายที่สุด แต่จนแล้วจนรอดอเมริกาก็ไม่สามารถจับตัวโอซามาได้ซักทีครับ เพราะการไม่ปรากฏร่องรอยและหายเข้าไปในกลีบเมฆของโอซามา...

    โอซามารู้ว่าจะถูกดักฟังและแท็กตำแหน่งจากโทรศัพท์ ดังนั้นเขาจึงเลิกใช้มันทันที ทำให้อเมริกาไม่พบร่องรอยใดๆของโอซามา โดยตัวโอซามาและพรรคพวกหันไปใช้การสื่อสารแบบยุคหินครับ คือการใช้คนใกล้ชิดที่ไว้ใจได้ไปทำหน้าที่ส่งข่าวสารหรือคำสั่งของเขา ซึ่งเรียกว่า "คนส่งสาร" โดยบอกปากต่อปาก แล้วจึงส่งต่อทางอีเมลล์

    หรือไม่ก็ใช้เครื่องมือไฮเทคควบคู่ผสมผสานกันให้อเมริกางงเล่นๆครับ เช่น คนส่งสารของโอซามาจะถือแผ่นดิสก์ใส่รหัสลับ ไปมอบให้กันในประเทศใดประเทศหนึ่งที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ แต่บางครั้งก็ใช้แฟกส์ บางครั้งก็ใช้อีเมลล์ ทำให้ตรวจจับได้ยากมาก!!

    และยังเป็นเรื่องยากไปอีกที่จะหาตำแหน่งของโอซามา เพราะแหล่งกบดานนั้นเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางทีไปอยู่บ้านหลังหนึ่งในรัสเซีย บางทีไปอยู่ในภูเขา บางทีไปอยู่ในป่า ซึ่งว่ากันว่าโอซามาย้ายที่อยู่สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง บางทีไปนอนในกระท่อมสร้างด้วยดินโคลน บางทีนอนในถ้ำ บางทีนอนในเมือง ซึ่งนอกจากจะมีคนสนิทติดตามเป็นเงาแล้ว ยังมีขบวนรักษาความปลอดภัยเป็นโขยงติดอาวุธหนัก แถมรถบรรทุกติดปืนต้านอากาศยาน และยังมักเดินทางตอนกลางคืน นั่งในรถติดฟิล์มกรองแสงสีดำ

    โอซามาไม่เผยตัวออกมาให้สาธารณชนเห็น เขาเพียงชักใยอยู่หลังเงามืด ทำให้อเมริกาไม่สามารถจับเขาได้เลยกว่า 20 ปี! แต่การก่อวินาศกรรมของอัลเคดาก็ยังเกิดขึ้นต่อไปครับ หลังเหตุการณ์ 911...

    ภาพจาก ICP (การตั้งค่าหัวล่าบิน ลาเดน)
    และแล้วโอซามาก็สั่งสอนเพื่อนซี้ของอเมริกาอย่างอังกฤษครับ โดยใน ค.ศ.2005 เกิดการวางระเบิดรถไฟใต้ดินสามขบวนในลอนดอน และรถบัส 1 คัน มีผู้เสียชีวิต 56 คน บาดเจ็บกว่า 700 คน!

    ค.ศ.2008 เกิดเหตุระเบิดในโรงแรมมาริออต ปากีสถาน มีผู้เสียชีวิต 60 คน โดยเป็นการเตือนปากีสถานจากโอซามาว่า ห้ามยุ่งหรือไปแอบจับมือกับอเมริกาเด็ดขาด (พี่ก็เตือนกันแรงไปนะบางที...)

    จนแล้วจนรอด CIA ก็ตามหาโอซามาไม่พบซักที จนบุชออกมาสั่งให้ใช้วิธีการที่รุนแรงในการรีดความจริงจากผู้ก่อการร้าย โดยใช้วิธีการทรมานต่างๆนานา จุดนี้แหละครับ(และอีกหลายๆจุด) ที่ทำให้คะแนนความนิยมของบุชดิ่งลงเหว...

    ค.ศ.2009 เกิดการระเบิดพลีชีพที่ค่ายแชปแมนของอเมริกาในอัฟกานิสถาน การระเบิดนี้ถือว่าหยามอเมริกาอย่างมาก เพราะเจ้าหน้าที่ CIA และทหารอเมริกันเสียชีวิต 10 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 7 คน

    การตามล่าตัวโอซามาทำให้อเมริกานั้นทั้งเสียบุคลากร ทรัพยากร และเงินไปมหาศาล แล้วเริ่มคิดที่จะล้มเลิกในภารกิจนี้ในช่วงปลายของบุช ที่ไม่สนการตามล่าตัวโอซามาแล้ว แต่สนใจว่าระเบิดครั้งต่อไปจะเป็นที่ไหน?

    จนมาถึงในสมัยของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ใน ค.ศ.2009 ที่กลับมาให้ความสำคัญในการล่าตัวโอซามาอีกครั้ง

    ภาพจาก Evening Standard (การวางระเบิดในลอนดอน)
    การทรมานนักโทษตามวิธีของบุช ถึงแม้จะดูโหดร้ายอยู่บ้างแต่ก็สามารถรีดเอาคำตอบจากปากผู้ก่อการร้ายในการตามล่าตัวโอซามาได้ นั่นคือ “ตามคนส่งสารไป”

    โดย CIA สืบจนสามารถตามหาผู้ต้องสงสัยที่เป็นคนส่งสารของโอซามา

    ตัวของบารัค โอบามาก็ได้เน้นย้ำ CIA ให้ควานหาตัวคนส่งสารคนนี้มาให้ได้ แล้วกำหนดที่อยู่ของโอซามา บิน ลาเดน...

    และในที่สุด ค.ศ.2011 CIA ก็ได้ตามร่องรอยจนพบแหล่งกบดานของโอซามาครับ (หลังจากที่พยายามควานหาตัว 10 กว่าปี) โดยตำแหน่งที่อยู่ของโอซามา คือ บ้านที่มีกำแพงล้อมรอบ ในเมืองแอบบอตทาบัต ปากีสถาน ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนฝึกทหารของปากีสถาน โดย CIA เน้นย้ำกับรัฐบาลว่า พวกเขามั่นใจในข้อมูลนี้มาก และเชื่อว่าบิน ลาเดน อยู่ในบ้านหลังนั้นจริงๆ!!

    ดังนั้น รัฐบาลจึงมีการประชุมกันว่าควรจะจัดการอย่างไรดี บ้างก็บอกเอามิสไซค์บอมบ์ บ้างก็บอกใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด บ้างก็บอกใช้โดรนลอบสังหาร แต่แล้วในที่สุดก็ตกลงกันได้ครับว่าวิธีที่ดีที่สุด คือ ใช้หน่วยพิเศษเข้าไปลอบสังหารแบบเงียบเชียบ

    โดยภารกิจนี้ได้มอบหมายให้หน่วยซีล หน่วยไนท์สตอล์กเกอร์ และสุนัขชื่อไคโร 1 ตัว ลอบเข้าไปในบ้านหลังนั้นแล้วสังหารโอซามา บิน ลาเดน โดยไม่มีการบอกรัฐบาลปากีสถาน เพราะกลัวว่าปากีสถานอาจรู้เห็นเป็นใจด้วยกับอัลเคดา โดยให้ชื่อภารกิจว่า ปฏิบัติการณ์หอกเนปจูน

    ดังนั้น ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.2011 ซึ่งเป็นคืนเดือนมืด เฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ ได้บินเหนือน่านฟ้าของแอบบอตทาบัตอย่างเงียบเชียบ (มารู้ภายหลังครับว่าฮอ 2 ลำนั้น เป็นเทคโนโลยีลับของอเมริกา นั่นคือ Silence Blackhawk ที่สามารถบินได้เงียบมากๆ)

    แต่ทุกอย่างใช่ว่าจะราบรื่นครับ เมื่อฮอลำหนึ่งเกิดเสียการทรงตัวและกระแทกพื้นและหางไปชนกับกำแพงหิน จึงทำให้ฮออีกลำจำเป็นต้องบินไปจอดนอกรั้วบ้าน (แทนที่ตอนแรกจะจอดบนหลังคาบ้าน) ฮิลลาลี คลินตันได้พูดไว้ว่า “นั่นเป็นช่วงที่ตึงเครียดที่สุด ทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์ Blackhawk down ที่โซมาเลีย”

    แต่แล้วภารกิจก็สามารถดำเนินต่อไปได้ หน่วยซีลได้กระจายกำลังทั่วสนามหน้าบ้าน แล้วจึงเริ่มเข้าไปหาตัวโอซามา หน่วยซีลได้บุกเข้าไปในบ้านแล้วจัดการฆ่าทุกคนที่เจอ (ยกเว้นผู้หญิงและเด็กบางคน) ทุกวินาทีได้ดำเนินไปอย่างตึงเครียดและกดดันในการควานหาตัวคนๆหนึ่งในบ้านที่เต็มไปด้วยความมืด ลึกลับ ทั้งยังกว้างขวาง

    และแล้วเมื่อเวลาผ่านไป 15 นาที หน่วยปฏิบัติการก็ได้พูดขึ้นว่า “E-KIA” ซึ่งเป็นรหัสย่อ หมายความว่า เป้าหมายถูกสังหารเรียบร้อยแล้ว...

    ฮอลำหนึ่งได้บินมาสนับสนุนพร้อมรับศพของโอซามา บิน ลาเดนไปยังพื้นที่ปลอดภัย แล้วในที่สุดก็มีการยืนยันว่า เป็นศพของโอซามา บิน ลาเดนจริงๆ (ทางอเมริกาว่าไว้แบบนั้น แต่เราที่เป็นคนนอกก็ไม่ได้เห็นศพด้วยอยู่ดีนะครับ ซึ่งหลายๆสื่อก็ต่างกังขาในการลอบสังหารบิน ลาเดน)

    แต่อย่างไรก็ตาม ในที่สุดชีวิตของชายผู้เป็นอาชญากรหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา...

    ชายผู้ถูกสร้างขึ้นมาโดยอเมริกา และถูกทำลายไปโดยอเมริกา...

    ชายผู้ฝากรอยแผลเป็นหลายร้อยแผลให้กับพญาอินทรี...

    และชายผู้เปลี่ยนแปลงโลกไปในทิศทางที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...

    แต่ถึงแม้ โอซามา บิน ลาเดน จะตายไป แต่อุดมการณ์ของเขาไม่ได้ตายตามไปด้วย...

    ในไม่ช้าก็จะมีบิน ลาเดน คนที่สอง คนที่สามตาม ออกมา เหมือนการตัดหัวของไฮดรา...

    และนี่คือโลกในศตวรรษที่ 21...

    โลกที่ยังมีความขัดแย้งไม่จบไม่สิ้น...

    ภาพจาก Wired (การติดตามดูภารกิจสุดท้ายในการสังหารบิน ลาเดนของรัฐบาลอเมริกา)
    อ้างอิง

    https://www.armyupress.army.mil/Jou...tion-Anaconda-Shah-i-Khot-Valley-Afghanistan/
    https://www.britannica.com/place/Saudi-Arabia
    https://www.britannica.com/biography/Osama-bin-Laden
    http://fathom.lib.uchicago.edu/1/777777190152/
    https://publicintegrity.org/environment/a-brief-history-of-bush-harken-and-the-sec/

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รู้จัก Yandex บริษัทที่ครองโลกออนไลน์ในรัสเซีย /โดย ลงทุนแมน
    ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์
    เพื่อตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวัน

    เราค้นหาข้อมูลจาก Google
    เราสั่งซื้อสินค้าจาก Amazon
    เราเรียกรถและสั่งอาหารผ่าน Uber, Grab
    เราติดตามดูวิดีโอใน YouTube
    เราฟังเพลงโปรดบน Spotify

    แต่เชื่อหรือไม่ว่า ที่ประเทศรัสเซีย ผู้คนจะสามารถใช้บริการเหล่านี้ได้ ผ่านบริษัทที่มีชื่อว่า “Yandex” เพียงรายเดียว

    บริษัทนี้ประกอบธุรกิจอะไรบ้าง ทำไมถึงครองใจคนรัสเซียเหนือแพลตฟอร์มชื่อดังรายอื่น
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
    มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    Yandex เป็นบริษัทเทคโนโลยีใหญ่สุดของรัสเซีย
    ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1997 หรือ 23 ปีที่แล้ว โดยนักธุรกิจชื่อ Arkady Volozh

    คำว่า Yandex นั้น ย่อมาจาก Yet Another Indexer
    เพราะธุรกิจแรกของบริษัทคือ การทำเว็บไซต์ค้นหาข้อมูล

    ในตลาด Search Engine ระดับโลก Google คือผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยส่วนแบ่งสูงถึง 92% ขณะที่ Yandex มีผู้ใช้งานเป็นอันดับ 5 ด้วยส่วนแบ่งราว 0.5%

    แต่ภายในประเทศรัสเซีย
    Yandex สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้มากสุดที่ 58% จนถูกยกย่องให้เป็น Google แห่งรัสเซีย

    อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของอาณาจักร Yandex เท่านั้น เนื่องจากบริษัททำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตอีกกว่า 70 ประเภท

    เราลองมาดูตัวอย่างที่น่าสนใจกัน

    Yandex.Direct ธุรกิจโฆษณาออนไลน์ เหมือนกับ Google Ads โดยครองส่วนแบ่งตลาดรัสเซียอยู่ 61%

    Yandex.Market แพลตฟอร์มซื้อสินค้าออนไลน์เหมือนกับ Amazon ปัจจุบันมีผู้ใช้งานประจำ 19 ล้านบัญชีคนต่อเดือน

    Yandex.Taxi แพลตฟอร์มเรียกรถ เหมือนกับ Uber แต่ครองใจผู้ใช้ในประเทศได้ถึง 60% จนสุดท้ายในปี 2018 คู่แข่งอย่าง Uber ต้องยอมขายกิจการในรัสเซีย แลกกับการถือหุ้น 36.6% ของ Yandex.Taxi แทน

    Yandex.Eats บริการส่งอาหาร และ Yandex.Lavka บริการส่งของชำ ที่กำลังเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่
    ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2020 กลุ่มธุรกิจด้านขนส่ง เติบโต 49% เทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว

    Yandex.Music แพลตฟอร์มฟังเพลงออนไลน์เหมือนกับ Spotify และ Yandex.Video แพลตฟอร์มดูวิดีโอออนไลน์เหมือนกับ YouTube ล่าสุดมีจำนวนสมาชิกรวมกันทั้งหมด 4.3 ล้านบัญชี

    นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
    Yandex.Flight แพลตฟอร์มจองตั๋วเครื่องบิน
    Yandex.Messenger แอปพลิเคชันแช็ต
    Yandex.Disk บริการเก็บข้อมูลบนคลาวด์
    Yandex.Money ระบบจ่ายเงินและธนาคารออนไลน์
    Alisa ผู้ช่วยอัจฉริยะ เหมือนกับ Alexa ของ Amazon

    แม้แต่ในช่วงเหตุการณ์ COVID-19 ที่รัสเซียเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการระบาดรุนแรง บริษัทก็ได้มีการพัฒนาชุดอุปกรณ์ตรวจเชื้อไวรัสฟรี แจกให้กับประชาชน

    โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัททุกๆ 100 บาท
    64 บาท มาจาก ค่าโฆษณา
    24 บาท มาจาก ธุรกิจเรียกรถและดิลิเวอรี
    12 บาท มาจาก ธุรกิจอื่นๆ เช่น ค่าสมัครสมาชิกสื่อบันเทิง

    ถ้าถามว่า สาเหตุที่ทำให้ Yandex ประสบความสำเร็จในการครอบครองพื้นที่โลกออนไลน์คืออะไร?
    คำตอบน่าจะเป็น การไม่ลังเลที่จะคว้าโอกาสต่างๆ มาไว้ในมือ

    กลยุทธ์ของบริษัทคือ การวิเคราะห์ว่าธุรกิจใดที่พอมีศักยภาพ และต่างชาติเริ่มมาทำตลาดแล้ว แต่ยังไม่ค่อยตอบโจทย์คนท้องถิ่นสักเท่าไร Yandex ก็จะเข้าไปแข่งขัน โดยปรับรูปแบบบริการให้ง่ายและสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค

    เนื่องจากบริษัทมีข้อได้เปรียบ ตรงที่สามารถออกแบบแพลตฟอร์มรองรับการใช้งานภาษารัสเซีย ได้ถูกต้องและแม่นยำกว่า

    ทำให้ผลการดำเนินงานของ Yandex เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามการพัฒนาของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต

    แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การอ่อนค่าลงของสกุลเงินรูเบิล จากกรณีที่รัสเซียถูกประเทศมหาอำนาจคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ มาตั้งแต่กลางปี 2014 หลังผนวกดินแดนไครเมียในยูเครน เข้าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง ประกอบกับการขยายธุรกิจต่างๆ ส่งผลต่ออัตรากำไรบริษัทพอสมควร

    ปี 2013 (เงิน 1 รูเบิล เท่ากับ 1.01 บาท)
    รายได้ 39,900 ล้านบาท
    กำไร 13,600 ล้านบาท

    ปี 2017 (เงิน 1 รูเบิล เท่ากับ 0.55 บาท)
    รายได้ 52,000 ล้านบาท
    กำไร 4,800 ล้านบาท

    ปี 2018 (เงิน 1 รูเบิล เท่ากับ 0.47 บาท)
    รายได้ 60,000 ล้านบาท
    กำไร 20,800 ล้านบาท
    โดยปีนี้มีกำไรพิเศษ จากการแยกธุรกิจ Yandex.Market ออกไปร่วมทุนกับบริษัทอื่น

    ปี 2019 (เงิน 1 รูเบิล เท่ากับ 0.49 บาท)
    รายได้ 86,000 ล้านบาท
    กำไร 5,500 ล้านบาท

    ทั้งนี้ Yandex จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ที่สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 420,000 ล้านบาท

    และมีการประเมินว่า นาย Arkady Volozh ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและ CEO มีทรัพย์สินส่วนตัวสูงถึง 42,000 ล้านบาท

    อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง การประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับข้อมูลเยอะๆ ก็ทำให้มีปัญหาอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากรัฐบาลกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญ ที่อาจหลุดไปอยู่ในมือประเทศคู่ขัดแย้งได้

    เมื่อไม่นานมานี้ Yandex จึงถูกสั่งให้ปรับโครงสร้างบริษัท โดยไม่ให้มีผู้ถือหุ้นรายเดียวเกิน 10% และจำกัดสัดส่วนผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติทั้งหมด ไม่เกิน 50%

    เรื่องของ Yandex ทำให้เรารู้ว่า
    ในหลายประเทศ แบรนด์ต่างชาติที่แข็งแกร่ง มักทำให้เจ้าของกิจการท้องถิ่นหวาดกลัว จนไม่กล้าทำอะไร
    แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่บริษัทเหล่านั้นสู้เราได้ยาก คือความเข้าใจลักษณะเฉพาะของผู้บริโภคในประเทศ

    ดังนั้น ถ้าลองเปิดประตูสู่โอกาสไปเรื่อยๆ
    สุดท้ายเราก็อาจประสบความสำเร็จได้
    เหมือนกรณีของ Yandex ที่กลายเป็นทุกอย่างในชีวิตของคนรัสเซียไปเสียแล้ว..
    ╔═══════════╗
    อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
    มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://en.m.wikipedia.org/wiki/Yandex
    -https://www.wired.co.uk/article/russias-search-engineer
    -https://www.oberlo.com/statistics/search-engine-market-share
    -https://yandex.com/support/all-services/
    -https://www.statista.com/statistics/225701/revenue-of-yandex-since-2007/
    -https://www.statista.com/statistics/225709/net-income-of-yandex/
    -https://ir.yandex/news-releases/news-release-details/yandex-announces-first-quarter-2020-financial-results
    -https://ir.yandex/news-releases/news-release-details/yandex-announces-fourth-quarter-and-full-year-2018-financial
    -https://www.reuters.com/article/us-yandex-fund-law/russias-yandex-gets-green-light-from-putin-over-new-governance-structure-idUSKBN1Y10WS
    -https://en.m.wikipedia.org/wiki/Arkady_Volozh

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เซเนกัล จากอดีตเมืองท่าค้าทาส สู่ความท้าทายในปัจจุบัน /โดย ลงทุนแมน
    ช่วงศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 19 เปรียบเสมือนฝันร้ายของชาวแอฟริกัน
    มหาอำนาจในยุคล่าอาณานิคมต่างเดินทางมาแอฟริกาเพราะต้องการ “แรงงานทาส”

    หนึ่งในแหล่งค้าทาสที่สำคัญในสมัยนั้น คือประเทศที่มีเมืองหลวงตั้งอยู่ตะวันตกสุดของทวีปแอฟริกา
    ที่ชื่อว่า “สาธารณรัฐเซเนกัล”

    ประเทศนี้ผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
    มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ชื่อประเทศ เซเนกัล มาจากภาษาโปรตุเกสที่หมายความว่า ส่วนหนึ่งของผืนน้ำ
    เนื่องจากดินแดนฝั่งตะวันตกของประเทศติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก

    เมืองหลวงของเซเนกัลชื่อว่า “ดาการ์” ตั้งอยู่ตะวันตกสุดของประเทศ และตะวันตกสุดของทวีปแอฟริกา

    ทำเลที่ตั้งที่เอื้ออำนวยต่อการค้าทางทะเล
    ทำให้ดาการ์กลายเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญของแอฟริกาตะวันตก

    ชาติแรกที่เข้ามาตั้งสถานีการค้าคือ โปรตุเกส เจ้าอาณานิคมโลกในยุคแรกๆ
    เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ากับนายทุนชาวแอฟริกัน
    โดยเฉพาะ “แรงงานทาส”
    เพื่อนำไปใช้แรงงานในไร่อ้อยประเทศบราซิล ซึ่งเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสในสมัยนั้น

    ทาสในทวีปแอฟริกาจะถูกนำมาที่เมืองดาการ์
    แล้วขึ้นเรือไปยังเกาะที่ชื่อว่า กอรี
    เกาะเล็กๆ ห่างจากเมืองดาการ์ออกไปในมหาสมุทรแอตแลนติก 3 กิโลเมตร
    เพื่อรอการแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่น
    สถานที่บนเกาะแห่งนี้จึงถูกเรียกว่า “House of Slaves”

    หลังจากโปรตุเกส มหาอำนาจในสมัยนั้นก็ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาครอบครองเกาะแห่งนี้
    ทั้งอังกฤษ เนเธอร์แลนด์
    เพื่อส่งออกทาสไปใช้แรงงานในอาณานิคมของตน

    แต่ชาติที่เข้ามามีอิทธิพลต่อเซเนกัลมากที่สุดคือ ฝรั่งเศส

    ปี ค.ศ. 1659 พื้นที่แถบแอฟริกาตะวันตก กลายเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
    ซึ่งรวมถึงเซเนกัล

    ฝรั่งเศสตั้งให้ดาการ์เป็นศูนย์กลางการค้ากับประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก
    และได้สิทธิ์ครอบครองเกาะกอรีต่อจากเนเธอร์แลนด์
    เพื่อส่งออกทาสไปใช้แรงงานในตอนใต้ของอเมริกาเหนือ

    และตั้งเมืองท่าเพื่อขยายการค้าที่ปากแม่น้ำเซเนกัล
    ห่างจากเมืองดาการ์ขึ้นเหนือไปตามแนวชายฝั่ง 300 กิโลเมตร
    โดยให้ชื่อเมืองนี้ว่า “เซนต์-หลุยส์”

    ฝรั่งเศสวางรากฐานให้เซเนกัลเป็นประตูการค้าสู่ทวีปแอฟริกา
    สร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่าง ดาการ์ และ เซนต์-หลุยส์ เพื่อการส่งสินค้า

    นอกจากนี้ ยังวางรากฐานการศึกษาให้คนท้องถิ่น
    เพื่อให้มาช่วยเรื่องการค้าขายสินค้า
    โดยการก่อตั้ง มหาวิทยาลัยในดาการ์ และ เซนต์-หลุยส์

    จึงเป็นสาเหตุให้เซเนกัลใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ
    และใช้ ฟรังก์เซฟา เป็นสกุลเงินหลักของประเทศ

    และแล้วการค้าทาสที่มีมากว่า 5 ศตวรรษก็สิ้นสุดลงในช่วงกลางศตวรรษที่ 19

    ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 เซเนกัลก็หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
    แล้วปกครองประเทศด้วยประธานาธิบดี และรัฐบาลท้องถิ่นตั้งแต่นั้นมา

    แม้เซเนกัลจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของแอฟริกาตะวันตก
    แต่เนื่องจากพื้นที่กว่าครึ่งของประเทศทางตอนบนอยู่ในเขตทะเลทรายสะฮารา
    ทำให้พื้นที่ในการทำเกษตรกรรมมีจำกัด
    จึงต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหาร และพลังงานจากต่างประเทศในปริมาณมาก

    ประกอบกับสินค้าส่งออกหลักอย่าง แร่ฟอสเฟต สินค้าจากการทำประมง น้ำมันถั่วลิสง มีมูลค่าต่ำ

    รัฐบาลกู้หนี้จากต่างประเทศจำนวนมากมาใช้จ่าย
    และแทรกแซงราคาสินค้าในประเทศให้อยู่ในระดับต่ำ
    เซเนกัลจึงขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง

    จนในปี ค.ศ. 1994 รัฐบาลเซเนกัลก็ต้องปฏิรูปเศรษฐกิจ

    เริ่มจากการลดค่าเงินฟรังก์เซฟาลง 50% ทำให้เงินเฟ้อในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 32% ทันที เพราะสินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น

    จากเดิมที่เซเนกัลใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ผูกกับค่าเงินยูโร ก็เปลี่ยนมาใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว
    ลดการแทรกแซงราคาสินค้าจากภาครัฐ
    และรับเงินช่วยเหลือจาก IMF และประเทศอื่น เช่น ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา

    แม้เศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อไปได้
    แต่เซเนกัลยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องเหมือนเดิม
    จากการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าและเงินสนับสนุนจากต่างชาติตลอดเวลา

    ปี 2016 ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 4.2% ของ GDP
    ปี 2017 ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 7.3% ของ GDP
    ปี 2018 ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 6.9% ของ GDP

    เพราะฉะนั้น
    ความท้าทายของเซเนกัลในตอนนี้
    คือจะจัดการทรัพยากร และเพิ่มมูลค่าสินค้าในประเทศอย่างไร
    ให้พึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น
    ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากต่างประเทศตลอดเวลา

    จากเรื่องของเซเนกัล เป็นบทเรียนที่ทำให้เราได้เรียนรู้
    ถึงแม้ว่าประเทศส่วนใหญ่ในแอฟริกาตอนนี้จะมีฐานะดีขึ้นจากในอดีตที่มีการค้าทาส
    แต่ประเทศเหล่านี้ก็จะมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็ก
    เพราะว่าขาดการพัฒนาสินค้าที่สามารถส่งออกได้ในมูลค่าสูง
    และต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ

    ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะเป็นตรงกันข้ามคือ
    การนำเข้าสินค้าจะเป็นการนำเข้ามาเพื่อผลิตให้ได้สินค้าที่มูลค่าสูงเพื่อส่งออก

    เคล็ดลับมันอยู่ที่ ประเทศเหล่านี้จะทำอย่างไร
    เพื่อหลุดพ้นจากปัญหานี้
    ซึ่งถ้าทำได้ ก็จะช่วยทำให้เศรษฐกิจทัดเทียมกับประเทศอื่นได้ในที่สุด..
    ╔═══════════╗
    อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
    มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://www.worldbank.org/en/country/senegal/overview
    -https://www.britannica.com/place/Senegal
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Senegal
    -https://tradingeconomics.com/senegal/current-account-to-gdp
    -https://www.britannica.com/place/Goree-Island
    -https://www.britannica.com/topic/transatlantic-slave-trade

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี X ลงทุนแมน
    กรณีศึกษา สิ่งที่ขาดหายไปในระบบเศรษฐกิจไทย

    ประชากรสิงคโปร์ มี GDP ต่อคนต่อเดือนอยู่ที่ 169,900 บาท
    ประชากรสหรัฐอเมริกา มี GDP ต่อคนต่อเดือนอยู่ที่ 165,400 บาท
    ประชากรญี่ปุ่น มี GDP ต่อคนต่อเดือนอยู่ที่ 103,300 บาท
    ประชากรเกาหลีใต้ มี GDP ต่อคนต่อเดือนอยู่ที่ 82,500 บาท
    ประชากรไทย มี GDP ต่อคนต่อเดือนอยู่ที่ 19,100 บาท

    จะเห็นว่าตัวเลข GDP ของเรายังห่างไกลจากประเทศเหล่านี้รวมถึงประเทศอื่นๆ
    แล้วความห่างชั้นนี้เกิดจากอะไร?

    ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มีอยู่หลายปัจจัย หนึ่งในนั้นก็คือ
    ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกด้วยสินค้าการเกษตร
    ต่างจากประเทศสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ที่คิดค้นเทคโนโลยี และเน้นการสร้างนวัตกรรม
    ทำให้มูลค่าสินค้าที่เราส่งออก ไม่สามารถเทียบได้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว

    สมมติเราขายข้าวหอม 1 ตันราคา 16,000 บาท
    ขณะที่ราคา iPhone 11 Pro หนึ่งเครื่องราคาเริ่มต้น 35,900 บาท
    เราขายข้าวหอม 2 ตันยังไม่เท่ากับราคา iPhone 11 Pro เครื่องเดียว

    แล้วจะทำอย่างไร ให้ประเทศเรานอกจากจะโดดเด่นเรื่องสินค้าการเกษตรแล้ว
    ยังเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยี พร้อมกับสร้างแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง
    เพื่อให้ประเทศมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

    จริงๆ แล้วประเทศไทยก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เป็นเทคโนโลยีมานานแล้ว
    เรามีทั้งโรงงานผลิตรถยนต์, โรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า, โรงงานผลิตชิ้นส่วน IT

    และหากถามต่อว่าโรงงานเหล่านี้ มีกี่โรงงานที่ผลิตสินค้าที่เจ้าของเป็นคนไทย
    ก็คงต้องตอบว่า น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่เจ้าของโรงงานก็คือบริษัทต่างชาติ
    หรือไม่ก็เป็นโรงงานคนไทยที่มีสถานะเป็นเพียง OEM ผลิตสินค้าจนถึงอะไหล่ให้แก่แบรนด์สินค้าจากต่างประเทศ

    จริงอยู่ว่าเรื่องนี้ ผลดีก็คือการสร้างงานทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น
    แต่ผลเสียก็รุนแรงไม่น้อย เมื่อโมเดลโครงสร้างเศรษฐกิจแบบนี้
    ประเทศไทยจะเป็นเพียงแค่ลูกจ้างที่กินเงินเดือนจากบริษัทต่างชาติอยู่ร่ำไป

    คำถามต่อมาก็คือแล้วทำไมคนไทย ไม่คิดสร้างแบรนด์สินค้า จนถึงเทคโนโลยีทันสมัย
    ให้เทียบชั้นกับต่างประเทศ

    เรื่องนี้มีหลายปัญหาที่ฝังรากลึกมานาน
    หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นชัดเจนสุด ก็คือบริษัทขนาดใหญ่ในบ้านเรา ส่วนใหญ่เลือกซื้อเทคโนโลยีจากต่างชาติ
    เพื่อมาผลิตสินค้า มากกว่าที่จะคิดค้นเทคโนโลยีขึ้นมาเอง

    แรงงานไทย จึงเป็นแค่ “ผู้ใช้” ไม่ใช่อยู่ในสถานะ “ผู้คิดค้น” เทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้นมา
    ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะหากบริษัทเสียเวลานั่งคิดเทคโนโลยีขึ้นมาเอง
    ก็จะเสียเวลา และเสียเปรียบในการแข่งขัน สุดท้ายก็ถูกบริษัทคู่แข่งแซงหน้า

    แต่ผลเสียที่ตามมาก็คือ แรงงานมีฝีมือ พนักงานมันสมองดีๆ
    ไม่มีโอกาสนำสิ่งที่เรียนรู้จากในรั้วมหาวิทยาลัย มาใช้กับการทำงานในบริษัทได้อย่างเต็มที่

    ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่นักศึกษาที่จบใหม่ทั้งสาย วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ ก็รับรู้มาจากเพื่อนและรุ่นพี่
    ทำให้หลายคนเมื่อเรียนจบ จึงเลือกทำงานในอาชีพที่ไม่ตรงกับวุฒิการศึกษา
    เพราะมองว่าโอกาสก้าวหน้าของตัวเองถูกจำกัดด้วย วัฒนธรรมธุรกิจแบบสำเร็จรูป

    แล้วจะดีกว่าไหม หากคนที่เรียนจบปริญญาตรีคณะ วิศวกรรม วิทยาศาสตร์
    จะก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ ด้วยการเป็นเจ้าของธุรกิจสร้างนวัตกรรมเป็นของตัวเอง ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผนวกกับความรู้ด้านธุรกิจ

    เรื่องนี้ถือว่าสำคัญ เพราะหากคนที่มีพื้นฐานแข็งแรงในวิชาชีพ วิศวกรรม และวิทยาศาตร์
    เมื่อเขาได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ก็จะทำให้กล้าที่จะออกจากกรอบเดิมๆ
    ทั้งการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ สร้างสรรค์เทคโนโลยีล้ำสมัย สร้างโมเดลธุรกิจที่มาตอบโจทย์ตลาด

    และถ้าหากประเทศเรามีประชากรที่คอยสร้างสรรค์เทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
    เราก็อาจจะหลุดพ้นจากการเป็นแค่ประเทศที่รับจ้างผลิต
    มาเป็นประเทศที่เป็นเจ้าของธุรกิจระดับโลกมากขึ้น เหมือนอย่าง ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา..

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มองเห็นปัญหานี้มานาน จึงได้มีการก่อตั้งบัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม (Graduate School of Management and Innovation) หรือ GMI เพื่อมาเติมองค์ความรู้ในด้านนี้

    ยกตัวอย่างเช่น สาขาการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน, การจัดการสำรับเป็นผู้ประกอบการเชิงนวัตกรรม
    บริหารจัดการองค์กร, การจัดการธุรกิจดิจิทัล, การจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

    แล้วในภาพรวมหลักสูตร GMI สอนอะไรแก่คนที่มาเรียน?

    ยกตัวอย่าง หากเราทำงานในบริษัทไทยที่ซื้อเทคโนโลยีการทำงานมาจากต่างประเทศ
    หากเราเรียนหลักสูตรนี้ ก็จะสอนให้เราไม่ใช่แค่เป็น “ผู้ใช้” อย่างเดียว
    แต่จะสอนให้เราคิดต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่ตรงหน้า ให้เหนือชั้นกว่าเดิม
    ขณะเดียวกันก็ยังสอนให้เรามองโลกธุรกิจในมุมที่กว้างและลึกขึ้น ทั้งการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
    จนถึงการคิดแบบผู้นำการเปลี่ยนแปลงขององค์กร

    สรุปแล้วหลักสูตรนี้ นอกจากเราจะได้ความรู้เชิงวิชาการแล้วนั้น ยังปลูกฝังให้ผู้ที่มาเรียนมีวิธีคิดนอกกรอบ
    และแค่คิดอย่างเดียวคงไร้ประโยชน์ แต่หลักสูตร GMI ยังสอนให้เราลงมือทำในสิ่งที่ใครหลายคนไม่ทำ

    ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา ถ้ามหาวิทยาลัยต่างๆ ช่วยกันพัฒนาระบบการศึกษาให้ดีขึ้น ก็จะส่งผลให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นตามมาในอนาคตเช่นกัน..

    เว็บไซต์บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม (Graduate School of Management and Innovation)
    http://www.gmi.kmutt.ac.th/

    Facebook https://www.facebook.com/gmikmutt/

    References
    -มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
    -IMF
    -World Bank
    -worldometer
    -https://www.finnomena.com/investment-reader/middle-income-trap/

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วิกฤติ บราซิล ที่รุนแรงสุดในรอบ 120 ปี / โดย ลงทุนแมน
    3 ล้านล้านบาท คือ ความเสียหายของมูลค่าทางเศรษฐกิจที่บราซิลจะได้รับ จากผลของโควิด-19 ในปีนี้ ซึ่งนับเป็นความรุนแรงทางเศรษฐกิจของประเทศมากที่สุดในรอบ 120 ปี

    แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นที่บราซิล ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับที่ 9 ของโลก
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
    เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
    ╚═══════════╝
    ปี 2019 GDP ของบราซิลมีมูลค่ากว่า 59 ล้านล้านบาท ใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ในทวีปอเมริกาใต้ อันดับที่ 9 ของโลก และใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 3.5 เท่า

    ช่วงระหว่างปี 2000-2012 บราซิลนับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดย GDP ของบราซิลเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% ในช่วงเวลาดังกล่าว

    ทำให้บราซิล ถูกจัดเป็น1 ใน 4 ประเทศกำลังพัฒนาที่มีศักยภาพสูง มีบทบาทสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกอย่างมาก ณ ขณะนั้น

    แต่แล้วเศรษฐกิจของบราซิลที่กำลังเติบโตมาดี กลับต้องมาเจอปัญหาที่เป็นจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศ

    เรื่องที่เป็นจุดเริ่มก็คือ การเตรียมพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อ 2014 โดยรัฐบาลบราซิลใช้เงินกว่า 480,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นต้นทุนในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่แพงที่สุด นับตั้งแต่จัดการแข่งขันกันมา

    โดยวิธีการหาเงินของรัฐบาลเพื่อจัดงานดังกล่าวก็คือ มีการขึ้นภาษี รวมทั้งตัดงบประมาณในการบริการสาธารณะของประเทศ ในขณะที่ผลตอบแทนของการจัดการแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้มากเหมือนเงินที่ได้จ่ายไป

    เรื่องที่สองก็คือ การทุจริตคอร์รัปชันภายในบริษัทน้ำมันแห่งชาติของบราซิลที่มีชื่อว่า Petrobras ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการคอร์รัปชันครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของบราซิล และเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้

    สาเหตุนั้นเกิดจากการที่ ผู้บริหารของ Petrobras บริษัทน้ำมันแห่งชาติของบราซิล รับสินบนจากบริษัทก่อสร้างต่างๆ เพื่อแลกกับการให้งานโครงการต่างๆ ของ Petrobras ด้วยมูลค่างานที่สูงมาก

    โดยมูลค่างานที่สูง นั่นหมายถึง ภาระการเงิน การคลังของรัฐบาลในการก่อสร้างโครงการต่างๆ นั้นสูงไปด้วย

    และแน่นอนว่า การที่ Petrobras เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของบราซิล เรื่องนี้จึงทำให้ชาวบราซิลจำนวนมาก เชื่อว่ามีคนในรัฐบาลรู้เห็นด้วย โดยเฉพาะ อดีตประธานาธิบดี Dilma Rousseff ที่ตอนนั้นโดนประชาชนจำนวนมากออกมาเดินขบวนขับไล่จากเหตุการณ์ดังกล่าว

    เรื่องที่สาม เศรษฐกิจจีนที่ส่งสัญญาณชะลอตัวในช่วงระหว่างปี 2015 ซึ่งเกิดจากรัฐบาลจีนในขณะนั้นต้องการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตแบบยั่งยืนในระยะยาว จึงทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง พอเรื่องเป็นแบบนี้จึงทำให้เศรษฐกิจของบราซิลได้รับผลกระทบไปด้วย เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์นับเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ

    แค่ 3 เรื่องนี้โดยที่ไม่นับสถานการณ์โควิด-19 ก็เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจของบราซิลเจอกับฝันร้าย

    ในปี 2014 บราซิลมีอัตราการว่างงาน 7%
    ในปี 2016 บราซิลมีอัตราการว่างงาน 12%
    ซึ่ง ณ ตอนนั้นมีผู้ว่างงานกว่า 12.3 ล้านคน

    ทำให้ช่วงเวลาระหว่างปี 2014-2016 ประเทศเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นวิกฤติเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศ

    แต่มาวันนี้ สิ่งที่หลายคนโดยเฉพาะชาวบราซิลไม่อยากเห็นอีกครั้งก็คือ วิกฤติเศรษฐกิจของบราซิลกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และดูเหมือนจะเลวร้ายกว่าครั้งล่าสุดเสียอีก

    อย่างแรกคือ ภัยร้ายทางเศรษฐกิจที่หลายประเทศ รวมทั้งบราซิลกำลังต่อสู้นั่นคือก็คือ โควิด-19

    ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ของหลายประเทศเริ่มจะดีขึ้น แต่ในบราซิลดูเหมือนว่ากำลังย่ำแย่

    รู้ไหมว่าวันนี้ บราซิลกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสม สูงมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ด้วยจำนวนกว่า 500,000 คน และเสียชีวิตไปแล้วกว่า 30,000 คน

    โดยเฉพาะที่เซาเปาลู เมืองที่ใหญ่สุดของประเทศ และมีประชากรกว่า 46 ล้านคน เป็นเมืองที่มีผู้ติดเชื้อถึง 21% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งประเทศ กำลังประสบกับการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจอย่างหนัก เนื่องจากมีการปิดสถานที่ทำงาน สถาบันการศึกษา ร้านอาหาร

    โดยปัจจุบันนั้น มูลค่าเศรษฐกิจของเซาเปาลูเมืองเดียว มีมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 19 ล้านล้านบาทหรือกว่า 32% ของ GDP บราซิล

    อย่างที่สองคือ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้ ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโควิด-19 จนทำให้ความต้องการสินค้าต่างๆ นั้นลดลงอย่างมาก

    ปัจจุบัน จีนนับเป็นตลาดส่งออกหลักของบราซิล โดยมูลค่าการส่งออกของบราซิลไปจีนเกือบ 1 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

    เมื่อรวมกับการตกต่ำของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ จึงทำให้ปีนี้ เศรษฐกิจของบราซิลกำลังพบความท้าทายอย่างหนัก

    โดยคาดกันว่า อัตราการเติบโต GDP ของบราซิลจะติดลบถึง 4.7% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1900 หรือในรอบ 120 ปีเลยทีเดียว..
    ╔═══════════╗
    อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
    เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://www.reuters.com/article/brazil-economy-world-bank/brazil-economy-to-shrink-by-5-this-year-says-world-bank-idUSL2N2C107F?mod=article_inline
    -https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_GDP_(nominal)
    -https://www.aljazeera.com/programmes/countingthecost/2020/05/bolsonaro-coronavirus-response-threat-brazil-economy-200523074243877.html
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Economy_of_Brazil
    -https://en.wikipedia.org/wiki/2014_Brazilian_economic_crisis
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Economics_of_the_FIFA_World_Cup
    -http://www.worldstopexports.com/brazils-top-10-exports/
    -https://data.worldbank.org/country/brazil
    -https://www.worldometers.info/coronavirus/
    -https://www.fitchratings.com/research/sovereigns/fitch-revises-brazil-outlook-to-negative-affirms-idr-at-bb-05-05-2020
    -https://www.youtube.com/watch?v=uMXumMJZYYI

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Jun 6) ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทาง ศก.จากเชื้อชาติของสหรัฐทวีความรุนแรงขึ้น :ผลสำรวจของ Financial Times ที่ทำร่วมกับ Peter G Peterson Foundation ระหว่างวันที่ 20-26 พ.ค. พบว่าผลของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 ต่อภาคครัวเรือนอเมริกันมีรูปแบบ racial disparities เนื่องจากส่งผลกระทบต่อครัวเรือน African-Americans มากกว่าครัวเรือนที่เป็นผิวขาว ซึ่งยิ่งสะท้อนปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากเชื้อชาติที่มีอยู่เดิมในสหรัฐฯ

    แบบสำรวจพบกว่า สัดส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็น African-Americans ที่เผชิญปัญหาในช่วงที่มีการแพร่ระบาดนั้นสูงกว่าเมื่อเทียบกับผู้ตอบแบบสอบถามผิวขาว ทั้งในแง่ผลกระทบทางรายได้จาก COVID-19 (74%/58%), การถูกเลิกจ้าง (25%/19%) และ สัดส่วนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐก็สูงกว่าเช่นกัน (98%/72%)

    นอกจากนี้ มุมมองของคน African-Americans ต่อแนวโน้มการแพร่ระบาดในเดือน มิ.ย. ยังแย่กว่าเมื่อเทียบกับผลการสำรวจคนผิวขาว (43%/32%) ซึ่งสอดคล้องกับสัดส่วนผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ที่ส่วนมากเป็นคน African-Americans และ Latino Americans มากกว่าคนผิวขาว และทำให้คน African-Americans สนับสนุนการชะลอการเปิดเมืองมากกว่า (52%/36%)

    ทั้งนี้ ชาวอเมริกันผิวขาวเป็นฐานเสียงหลักของประธานาธิบดี Trump ซึ่งชูเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีของครัวเรือนอเมริกันเป็นนโยบายหาเสียงหลัก โดยแม้ว่าสัดส่วนผู้สอบแบบสอบถามกว่าร้อยละ 36 จะตอบว่าความเป็นอยู่ของตนดีขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดี Trump ดำรงตำแหน่ง ซึ่งสูงกว่าร้อยละ 29 ที่ตอบว่าความเป็นอยู่แย่ลง แต่ในผลสำรวจความนิยมระดับประเทศล่าสุดซึ่งจัดทำโดย Washington Post-ABC News กลับพบกว่าคะแนนนิยมของประธานาธิบดี Trump นั้นเป็นรองนาย Joe Biden ผู้ลงสมัครจากพรรค Democrat

    Source: BoTSS

    https://www.ft.com/content/e22636d7-8259-4b97-bcf8-19349cee61fd

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สภา #ฮ่องกง อลหม่านผ่าน “กม.หมิ่นเพลงชาติ #จีน” สส.ฝ่ายประชาธิปไตยโยนแก๊สไข่เน่า เหม็นทั้งสภา "โจชัว หว่อง” ยันไม่ย้ายหนีไปต่างประเทศ
    .
    สภานิติบัญญัติฮ่องกงโหวตผ่านกฎหมายหมิ่นเพลงชาติจีน ท่ามกลางการประท้วงวุ่นวาย สส.ฝ่ายหนุนประชาธิปไตย 2 คนสาดของเหลวกลิ่นเหม็นคละคลุ้งห้องประชุม พร้อมตะโกนว่า “รัฐฆาตกรเน่าเหม็นตลอดไป สิ่งที่พวกเราทำในวันนี้ เพื่อเตือนให้โลกรู้ว่าเราไม่ควรให้อภัยพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการฆ่าประชาชนตัวเองเมื่อ 31 ปีก่อน”
    .
    สภาต้องหยุดประชุมไปหลายชั่วโมง เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่ และสภาเดินหน้าต่อผ่านกฎหมายลงโทษ ผู้ที่การกระทำใดๆ ที่ไม่เคารพต่อเพลงชาติและธงชาติจีนต้องถูกคุมขังไม่เกิน 3 ปี และหรือปรับเงิน 50,000 ดอลลาร์ฮ่องกง

    ในวันที่ 4 มิ.ย. ปีนี้ เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลฮ่องกงได้สั่งห้ามการจัดงานรำลึกเหตุการณ์ปราบปรามนักศึกษาที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ชาวฮ่องกงจำนวนมากก็ยังออกมาชุมนุม พร้อมตะโกน “เอกราชฮ่องกง” จนเกิดการปะทะกับตำรวจปราบจราจล

    ขณะเดียวกัน #โจชัวหว่อง แกนนำการประท้วงฮ่องกง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า ระบบหนึ่งประเทศสองระบบของฮ่องกงถูกกัดกร่อนอย่างร้ายแรงโดยปักกิ่ง ให้กลายเป็น “หนึ่งประเทศหนึ่งระบบ”
    .
    โจชัว หว่อง ยืนยันว่า เขาจะไม่ย้ายออกไปอาศัยในต่างประเทศ เพราะฮ่องกงเป็นบ้านของเขา แต่เขามีความปรารถนาให้อังกฤษภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ประกาศคว่ำบาตรต่อปักกิ่ง
    .
    หว่องเปิดเผยว่า ประชาชนชาวฮ่องกงยินดีต่อการเสนอของจอห์นสัน ที่ประกาศจะให้สัญชาติต่อประชาชนชาวฮ่องกงจำนวน 3 ล้านคนที่มีสิทธิ์ถือหนังสือเดินทางพลเมืองอังกฤษโพ้นทะเล BNO (British National Overseas passport) แต่เขาชี้ว่า สถานการณ์ในเวลานี้ อังกฤษต้องกดดันจีนให้ล้มเลิกการใช้กฎหมายความมั่นคงใหม่กับฮ่องกง
    .
    โจชัว หว่อง วัย 23 ปี กล่าวว่า เขาไม่มีหนังสือเดินทาง BNO ซึ่งทางอังกฤษได้เปิดโอกาสให้พลเมืองฮ่องกงลงทะเบียน ก่อนที่จะส่งมอบเกาะฮ่องกงในปี 1997

    สถานทูตจีนประจำกรุงลอนดอนออกแถลงตอบโต้ข้อเสนอให้สัญชาติชาวฮ่องกงของนายกรัฐมนตรีอังกฤษว่า เป็นการละเมิดคำมั่นสัญญาของอังกฤษที่ว่า พลเมืองฮ่องกงที่มีสิทธิได้รับหนังสือเดินทาง BNO จะไม่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ในอังกฤษ
    .
    สถานทูตจีนระบุว่า “อังกฤษได้ระบุอย่างชัดเจนใน MOU ที่แลกเปลี่ยนกับจีนว่า ผู้ถือหนังสือเดินทาง BNO คือ พลเมืองจีนที่อาศัยในฮ่องกง และจะไม่ได้รับสิทธิ์ให้อาศัยอยู่ในอังกฤษ พร้อมยืนยันว่า หากว่าอังกฤษทำการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวจะไม่เพียงแต่ผิดคำพูดของตัวเอง แต่ยังเป็นการละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ”

    https://mgronline.com/around/detail/9630000058021

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คลิปฯ ตำรวจผลักชายวัย 75 ปี ล้มฟาดพื้นบาดเจ็บ แย้งคำแถลงฯ ว่าเขาสะดุดเอง

    นิวยอร์กเดลินิวส์ รายงาน (4 มิ.ย.) เหตุชายวัย 75 ปีบาดเจ็บ ขณะที่ตำรวจเมืองบัฟฟาโล (Buffalo) ในรัฐนิวยอร์ก เข้าเคลียร์พื้นที่การชุมนุมในวันพฤหัสบดี (4 มิ.ย.) โดยเหตุการณ์นี้ ในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ รายงานว่า ชายคนดังกล่าวได้ถอยล้มสะดุดเอง

    ก่อนที่เวลาต่อมาจะมีคลิปฯ ของผู้สื่อข่าว NBFO เผยเหตุการณ์ว่า ชายวัย 75 ปี ถูกเจ้าหน้าที่สองคนผลักอก จนล้มหงายฟาดพื้น มีเลือดออกบริเวณศีรษะ นอนแน่นิ่ง ต่อมาได้ส่งเขาไปที่โรงพยาบาลด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส

    รายงานข่าวกล่าวว่า เจ้าหน้าที่สองคนที่เกี่ยวข้อง ถูกพักงานฯ แล้ว

    ด้านนักแสดงชาวอเมริกันเชื้อสายปากีสถาน คูเมล นันเจียอานี่ (Kumail Nanjiani@kumailn) ได้ทวิตฯ (5 มิ.ย.) ข้อความซึ่งมีผู้รีทวิตฯ กว่า 3 แสนครั้ง โดยเขากล่าวว่า "เจ้าหน้าที่แถลงอย่างเป็นทางการว่าชายคนนั้นสะดุดและล้มลงเอง นี่หากเราไม่มีวิดีโอก็คงจะไม่มีใครแสดงความรับผิดชอบ ทำไม? ก็เพราะ“ แอปเปิลที่ไม่ดีหนึ่งผล” ผลักเขาลง แต่แอปเปิ้ลที่ดีอีก 20 ผล จะปล่อยให้คนทำผิดรอดไป มันเป็นที่ระบบ"

    ข่าว - https://www.nydailynews.com/news/na...0200605-c5llu4zb3bbgdf3wxlmnrljt3a-story.html

    - https://www.nytimes.com/2020/06/05/us/buffalo-police-shove-protester-unrest.html

    - https://www.huffpost.com/entry/kuma...__EwmbTdteq_OzV014RPQ7xpW9FQe4v6x58DLa5zeW7oc

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบรนด์ลูกหัวเว่ย ‘Honor Play 4 Pro’ ฟีเจอร์ ‘วัดอุณหภูมิร่างกายด้วยอินฟราเรด’

    ‘Honor’ แบรนด์สมาร์ทโฟนในเครือ Huawei บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ‘Honor Play 4 Pro’ ที่มีฟีเจอร์โดดเด่นอย่าง ‘เซนเซอร์วัดอุณหภูมิร่างกายด้วยอินฟราเรด’ สามารถวัดได้ตั้งแต่ -20°C ไปจนถึง 100°C เหมือนปรอทใช้วัดไข้ที่โรงพยาบาล

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คนงาน #ไทย ใน #ไต้หวัน เก็บหอยเชอรี่จิ้มน้ำพริก กินดิบๆ แกล้มเหล้า พยาธิชอนไชไปตามเส้นเลือดอัมพาตไปทั้งตัว อาการโคม่า
    .
    สถานีวิทยุนานาชาติไต้หวัน หรือ RTI รายงานว่า นายสุเมธ (นามสมมุติ) แรงงานไทยอายุ 51 ปี จากศรีสะเกษ พร้อมเพื่อนโรงงานเดียวกันอาศัยช่วงวันหยุด ไปจับปลาในหนองน้ำข้างโรงงานมาย่างกินแกล้มเหล้า นายสุเมธฯ ในอาการเมา เก็บหอยเชอรี่ริมหนองมาจิ้มพริกกินดิบๆ
    .
    หลังจากผ่านไปประมาณ 5-6 วัน นายสุเมธฯ เริ่มมีอาการคันที่สีข้างและตามแขน อีก 3 วันต่อมา เริ่มมีอาการเวียนศีรษะ จนวันที่ 15 พ.ค. อาการหนักขึ้น เท้าชา และแขนไม่มีเรี่ยวแรง ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล
    ❗️
    แพทย์ตรวจร่างกายอย่างละเอียด พบปอดและไขสันหลังอักเสบ ต้องทำการรักษาโดยด่วน และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา อาการของนายสุเมธฯ ก็ทรุดหนัก ไม่ได้สติ ขณะฟื้นพูดจาไม่รู้เรื่อง
    .
    ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 คนงานไทยในโรงงาน นครไถหนาน 3 คน ไปเก็บหอยโข่งตามทุ่งนาและริมคลอง จากนั้นใช้ไฟแช็คเผาหอยโข่งพออุ่นๆ ควักเนื้อมาทานกันสดๆ กลางทุ่ง ต่างบอกว่าอร่อย จึงเก็บใส่ถุงใบใหญ่นำกลับไปยังโรงงาน ยำด้วยพริก มะนาวและเกลือ เรียกเพื่อนๆ ในโรงงานเดียวกันอีก 3 คนมาทานด้วยกัน
    .
    หลังทานไปแล้วไม่กี่วัน เริ่มมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน และปวดกล้ามเนื้อไปทั้งตัว แรกๆ เข้าใจผิดคิดว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ไปรักษาที่คลินิคแต่อาการไม่ดีขึ้น หลังเวลาผ่านไป 2 สัปดาห์อาการปวดหัว คลื่นไส้อาเจียนรุนแรงขึ้น โรงงานพาไปรักษาที่โรงพยาบาล จึงทราบว่า อาการปวดหัวและกล้ามเนื้อ มาจากทานหอยโข่งดิบ พยาธิในหอยโข่งชอนไชเข้าสู่ไขสันหลัง ยังดีที่ไม่ได้ขึ้นสมอง หลังจากให้ยารักษาเป็นการเฉพาะเป็นเวลา 3 สัปดาห์ อาการดีขึ้น
    .
    ก่อนออกจากโรงพยาบาล แพทย์ลงทุนไปหาหอยโข่งมาโชว์ให้คนงานไทยทั้ง 6 คนดู และเตือนว่า ห้ามทานอีกเด็ดขาด
    ❗️
    ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา มีคนงานไทยที่ป่วยเนื่องจากพยาธิขึ้นสมองแล้วมากกว่า 50 ราย สาเหตุสำคัญมาจากการทานอาหารจำพวกหอย โดยเฉพาะหอยเชอรี่โดยไม่ได้ปรุงให้สุกเสียก่อน บางรายเสียชีวิต บางรายพิการอัมพาต หรือตาบอด เพราะพยาธิในหอยชอนไชเข้าไปในเยื่อหุ้มสมอง ไขสันหลัง และลูกตา
    ❗️
    กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวัน เตือนแรงงานต่างชาติ หลีกเลี่ยงทานอาหารสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะหอยทาก หอยโข่ง หรือหอยเชอรี่ที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ชุ่มชื้นริมคลองหรือในป่า เนื่องจากเป็นพาหะของพยาธิ อาจชอนไชไปตามเส้นเลือด เข้าไปในไขสันหลัง และขึ้นสมองได้
    .
    ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับตัวอ่อน ระยะติดต่อของพยาธิจนเกิดอาการของโรค ประมาณ 3-36 วัน อาการเริ่มแรกภายใน 1-2 ชม. หลังได้รับตัวอ่อนพยาธิเข้าไป อาจมีอาการปวดท้อง ท้องร่วง มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง ส่วนอาการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ คือปวดศีรษะอย่างรุนแรง อาจมีอาการผิดปกติของการมองเห็น ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการโคม่า หากรักษาไม่ถูกวิธี ผู้ป่วยอาจหมดสติ และเสียชีวิตได้
    .
    โรคที่เกิดจากพยาธินั้นสามารถป้องกันได้ โดยการรับประทานแต่อาหารที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น โดยเฉพาะในกุ้ง หอย ปู ปลา มักมีพยาธิอาศัยอยู่มาก จึงขอย้ำเตือนอีกครั้งว่าอย่าทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาร้า ก้อย ลาบดิบๆ เพราะล้วนมีพยาธิแฝงอยู่โดยที่เราไม่รู้

    https://th.rti.org.tw/radio/programMessageView/id/102747

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สำนักข่าว Vietnam Plus ของเวียดนาม เสนอข่าว “Cambodia to monitor all social media posts” เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2563 ระบุว่า Neth Savoeun ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กัมพูชา สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกนายตรวจตราการใช้งานสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะการนำเสนอเนื้อหาที่เป็นการโจมตีรัฐบาลกัมพูชา
    .
    ขณะที่ Chhay Kim Khoeun โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กัมพูชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ผบ.ตร. ขอให้เจ้าหน้าที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องป้องกันกลุ่มที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลไม่ให้ก่อการได้
    .
    Kim Khoeun ยังเรียกร้องให้ผู้ใช้สื่อออนไลน์นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าสิ่งที่ทำลายสังคม และตำรวจพร้อมจะดำเนินคดีกับผู้ที่โพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ผู้สร้างข่าวปลอม รวมถึงผู้ที่ยุยงปลุกปั่น ทั้งนี้ ย้อนไปเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน สม รังสี (Sam Rainsy) อดีตผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความปลุกระดมให้ประชาชนชาวกัมพูชาก่อการอารยขัดขืนด้วยการไม่จ่ายหนี้ และหยุดให้บริการสินเชื่อ

    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://sggpnews.org.vn/international/cambodia-to-monitor-all-social-media-posts-87053.html

    https://vnexplorer.net/cambodia-to-monitor-all-social-media-posts-a202047734.html
    https://www.naewna.com/inter/497500
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถานการณ์ในซีเรียกำลังมันครับ:

    ข่าวนี้เป็นอีกข่าวที่ไม่มีในสื่อกระแสหลักของไทยและเทศ พอรัฐบาลซีเรียไล่กองทัพอเมริกันออกจากซีเรียเท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป รัฐบาลอเมริกันเป็นพวกหน้าด้าน ไม่รู้จักเคารพกฎหมายมาแต่บรรพบุรุษ

    วลาดิเมียร์ ปูตินจึงขออนุญาตรัฐบาลซีเรียสร้างฐานทัพใหม่ที่เมืองความิชิลี ไม่ห่างจากฐานทัพมะกันที่พากันมาตั้งเพื่อปล้นน้ำมันในซีเรียเท่าใดนัก จากนั้น รัสเซียก็เพิ่มกำลังทหารและสรรพาวุธเข้ามาไว้ที่ฐานทัพนี้จนแน่นปึ๊ก และหลังจากนั้น ทหารรัสเซียก็ลาดตระเวณไปใกล้ๆ ฐานทัพมะกัน บล็อคเส้นทางมิให้ทหารมะกันไปมาสะดวกบ้าง ส่งกองพลลาดตระเวณไปใกล้ๆ ฐานทัพมะกันเพื่อสอดส่องดูพฤติกรรมปล้นน้ำมันในซีเรียบ้าง

    ตอนนี้ กองทัพเสนียดจัญไรของมะกันที่กำลังปล้นน้ำมันในซีเรียอยู่ไม่สุขแล้วละครับ ส่งกองทัพมาปล้นน้ำมันในซีเรีย แต่ต้องมาหวาดผวากับกองทัพรัสเซียที่มาอยู่ใกล้ๆ ถึงปล้นได้ก็ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ ต้องดูว่าพวกทหารเสนียดจัญไรมะกันเหล่านี้จะหน้าด้าน หน้าทนและหน้ากระเบื้องสังกะสีไปอีกนานเท่าไหร่

    อย่างที่ผมบอก ทหารมะกันในซีเรียปล้นน้ำมันในซีเรียฉันใด คนผิวดำในอเมริกาก็ปล้นคนรวยฉันนั้น นิสัยปล้นมันติดอยู่ในนิสัยของชาวมะกันเป็นปรกติวิสัยอยู่แล้ว โทษกันไปมาก็เหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ถ้าประชาชนที่ประท้วงบอกว่ารัฐบาลก็ส่งทหารไปปล้นน้ำมันในซีเรีย ปล้นทองคำในอิรักและลิเบีย ปล้นฝิ่นและแร่ธาตุต่างๆ ในอาฟกานิสถาน ฯลฯ รัฐบาลอเมริกาก็จะไปต่อไม่เป็น เพราะเป็นความจริงเช่นกัน

    หวังว่าอีกไม่นาน ทหารเสนียดจัญไรมะกันเหล่านี้จะถูกไล่ออกไปจากซีเรียเหมือนหมูเหมือนหมาเร็วๆ ครับ

    https://www.themoscowtimes.com/2020...ria-as-moscow-expands-presence-reports-a70484

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฟิลิปปินส์ : ภาพแรงงาน ที่กลับจากต่างประเทศใช้ทางเดินเท้าและที่ว่างในสนามบินนินอยหลับนอน รอตรวจโรค 5 วันก่อนจะกลับบ้านได้ ทำให้หลายสื่อออกมาตำหนิการจัดการ แรงงานเหล่านี้ควรต้อนรับพวกเขาด้วยพรมแดงเพราะพวกเขาคือรายได้หลักของประเทศ และกระตุ้นให้ฝ่ายที่รับผิดชอบดูแลพวกเขา และทบทวนการจัดการเพราะยังมีเที่ยวบินอีกมากที่กำลังขนแรงงานกลับ

    Cr : RAPPLER

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    .....พฤติกรรมตำรวจ ....ต่อหน้าสื่อทำท่าคุกเข่า แต่พอลับหลัง ผลักคนชราวัย 75 ปี ล้มลงหมดสติ .....

     

แชร์หน้านี้

Loading...