ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชีวิตนางรำในช่วงวิกฤติโควิด-19

    คณะชาตรีจงกลโปร่งน้ำใจที่ให้บริการเเสดงรำแก้บนกำลังเตรียมตัวเดินทางไปทำการแสดง บริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์ หลังจากที่ได้มีการเปิดให้ประชาชนกลับมาสักการะศาลท้าวมหาพรหมอีกครั้ง แต่จำนวนคนที่มาก็น้อยลงกว่าเดิมมากต่างจากในช่วงปกติที่มีทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวเดินทางมาเคารพสักการะขอพรจำนวนมาก ทำให้การว่าจ้างคณะรำแก้บนลดลง จากที่เมื่อก่อนมีผู้ว่าจ้างคณะละครชาตรีเพื่อรำแก้บนร้อยกว่ารอบต่อวัน แต่ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่ง ซึ่งตอนนี้ทางศาลศาลท้าวมหาพรหม ได้ขยายเวลาปิดจากเดิมเป็น 19.00 น. ทำให้มีความหวังว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนค่าจ้างคณะรำแก้บนยังคงคิดค่าบริการเดิม คือ นางรำ 2 คน 260 บาท 4 คน 360 บาท 6 คน 610 บาท และ 8 คน 710 บาท และนางรำทุกคนจะใส่อุปกรณ์ป้องกัน คือ Face Shield ขณะทำการแสดง และจะใส่หน้ากากอนามัยในช่วงพักการแสดง และใช้แอลกอฮอล์ในการทำความสะอาดพื้นที่และอุปกรณ์ต่างๆ

    The post ชีวิตนางรำในช่วงวิกฤติโควิด-19 appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    บราซิลอ่วม เหยื่อโควิดกำลังพุ่ง ตายเพิ่ม 1.3 พัน ติดเชื้ออีก 2.8 หมื่น
    บราซิลวิกฤติหนัก ผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 กำลังพุ่ง ช่วง 24 ชม.ล่าสุด ตายมากกว่า 1,300 ศพ ติดเชื้อเกิน 2.8 หมื่นราย ทำยอดสะสมผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะจ่อ 6 แสนแล้ว
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไฟป่าพรุบาเจาะเหลืออีก 20% จ.นราธิวาส ขอสนับสนุน ฮ.ดับไฟ ปภ.ช่วยเสริม
    รองผู้ว่าราชการ จ.นราธิวาส เผย ไฟป่าพรุบาเจาะเหลืออีก 20% เร่งระดมสรรพกำลังเข้าดับไฟป่า ขณะเดียวกับที่รอลุ้นฝนตกมาช่วยให้น้ำเต็มป่าพรุ ล่าสุด ร้องไปยัง ปภ.ขอเฮลิคอปเตอร์ KA-32 มาช่วยอีกแรง
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เหม็นคลุ้ง กระดูกปริศนาเพียบ “วีระ” ป่าไม้-ปทส. บุกตรวจที่ “ทวี ไกรคุปต์”
    “วีระ สมความคิด” พาเจ้าหน้าที่ป่าไม้และ ปทส. บุกตรวจที่ “ทวี ไกรคุปต์” ใน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ได้กลิ่นเหม็นคลุ้ง ตะลึง เจอกระดูกปริศนาเพียบ พบเอกสารสำคัญมีชื่อ “ปารีณา” ถูกทิ้ง
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หญิงสหรัฐฯ ช็อก! เจอแอลลิเกเตอร์ยักษ์ 2 ตัว กัดกันอยู่หน้าบ้าน (คลิป)
    หญิงที่อาศัยในรัฐฟลอริดากำลังจะออกไปซื้อกาแฟในช่วงเช้า แต่ไม่ทันที่เธอจะได้ออกไปข้างนอก เธอก็ถูกขัดขวางโดยแอลลิเกเตอร์สองตัวที่ต่อสู้กันหน้าบ้านของเธอ
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ระงับการจัดส่งคนไทยไปเก็บผลไม้ป่า ที่ ฟินแลนด์และสวีเดน

    โควิด-19 วันนี้ (4 มิ.ย. 63) – นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย ตามที่ในช่วงฤดูร้อนของฟินแลนด์และสวีเดน (กรกฎาคม-กันยายน) ของทุกปี จะมีคนงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้ป่า และเดินทางไปทำงานในตำแหน่งคนงานตามฤดูกาล (Seasonal Work) และคนงานสนับสนุน (Staff) เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่มีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก ซึ่งจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 พบว่า สาธารณรัฐฟินแลนด์มีผู้ป่วยยืนยัน จำนวน 6,628 คนเป็นผู้ป่วยรายใหม่ 29 คน เสียชีวิต 312 คน สำหรับราชอาณาจักรสวีเดน มีผู้ป่วยยืนยัน จำนวน 34,440 คน เป็นผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 597 และเสียชีวิต 4,125 คน แสดงให้เห็นว่าทั้งสองประเทศยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง และกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้แจ้งความเห็นของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ ว่าคนไทยไม่ควรเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฤดูกาล ปี 2020 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในทั้งสองประเทศที่ยังคงดำเนินอยู่ และยังไม่มีแนวโน้มจะหมดไปในช่วงฤดูกาลดังกล่าว ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองคนงานไทย กรมการจัดหางานจึงขอแจ้งระงับการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่า และการเดินทางไปทำงานในตำแหน่งคนงานตามฤดูกาล (Seasonal Work) และคนงานสนับสนุน (Staff) ในฟินแลนด์และสวีเดน ฤดูกาลปี 2020 หากพบเห็นว่ามีสาย/นายหน้า หรือผู้ใด โฆษณา ชักชวน หรือรับสมัครคนหางานไปทำงานเก็บผลไม้ป่าในประเทศดังกล่าว ขอให้แจ้งกรมการจัดหางานทราบ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

    “สำหรับคนงานไทยที่ไม่ได้เดินทางไปเก็บผลไม้ป่า หรือเดินทางไปทำงานตามฤดูกาล (Seasonal Work) และคนงานสนับสนุน (Staff) ที่ฟินแลนด์ และสวีเดนในปีนี้ หากประสงค์จะหางานทำ สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 ตามภูมิลำเนา ซึ่งกรมการจัดหางานได้จัดเตรียมตำแหน่งงานว่างทั้งในประเทศ และต่างประเทศไว้รองรับ รวมทั้งการแนะแนวประกอบอาชีพอิสระ เพื่อเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพต่อไป ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน” นายสุชาติฯ กล่าว

    The post ระงับการจัดส่งคนไทยไปเก็บผลไม้ป่า ที่ ฟินแลนด์และสวีเดน appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    4 มิถุนายน 2020 สนามแม่เหล็กของโลก สามเหตุการณ์แยกกันในเวลา 10:29 น. 11:25 และ 12:17 ของแม่เหล็กหมุนวนออกไปยัง magnetotail
    FB_IMG_1591281280081.jpg FB_IMG_1591281282709.jpg FB_IMG_1591281285475.jpg
    June 4, 2020. Earth's magnetosphere. Three separate events at 10:29. 11:25, and 12:17 of magnetic eddies spinning off into the magnetotail.

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เห็นข่าวที่มินนิโซต้าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์การต่อสู้ของอัตลักษณ์เลยแหละ เรื่องคนดำ กับคนขาว ที่เราเห็นว่าคนดำกับคนขาวอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกในสหรัฐอเมริกาทุกๆวันนี้ตามข่าว ตามสื่อ ตามหนัง Hollywood นี้จริงๆมันแค่ภาพที่สื่อช่วยกันประกอบสร้างกันมาทั้งนั้นแหละ

    ถ้าติดตามเหตุการณ์ และความเคลื่อนไหวของทางฝั่งสหรัฐอเมริกามาตลอดก็จะพบว่ามันมีคดีที่ตำรวจคนขาว หรือคนผิวขาวหาเรื่องทะเลาะ หาเรื่องดูถูก หาเรื่องรังแกคนดำกันตลอด ไม่ใช่มีแค่เคสตำรวจเมื่อตอนต้นสัปดาห์เพียงอย่างเดียว แต่คดีตำรวจไล่ยิงผู้ต้องสงสัยที่เป็นคนดำมีเยอะมากนะครับในสหรัฐอเมริกา

    และมีมาตลอดด้วย มีคนเคยทำสถิติขึ้นเป็นภาพ Infographic เทียบกันไว้ (น่าจะของหนังสือพิมพ์ The Guardian และ Vox เดี๋ยวแปะรูปไว้ให้ข้างล่าง) ว่าสัดส่วนปริมาณของคนดำในอเมริกานั้นมีเพียงประมาณ 13% ของประชากรทั้งหมดเอง แต่อัตราการถูกตำรวจวิสามัญโดยที่ผู้ร้ายไม่มีอาวุธนั้นอยู่ที่ 39%

    ในขณะที่คนขาวในอเมริกานั้นคิดเป็นสัดส่วน 63% ของประชากรทั้งหมด แต่อัตราการถูกวิสามัญโดยตำรวจนั้นห่างจากจากคนดำเพียงแค่ไม่เกิน 10% คือ 46% ถือเป็นสัดส่วนที่ไม่สมดุลอย่างมาก และบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าตำรวจอเมริกามีแนวโน้มที่จะลงมือยิงวิสามัญคนดำได้มากกว่าคนขาว

    สถิติการจับยาของตำรวจที่อเมริกานั้นก็สะท้อนภาพได้ค่อนข้างดีเช่นกัน คือในจำนวนประชากรคนขาว 100,000 คนเนี่ย จะมีเพียง 300 คนนิดๆเท่านั้นที่โดนจับคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติด แต่ในประชากรคนดำจำนวน 100,000 คนนั้น จะมีเกือบ 900 คนที่โดนตำรวจจับในคดียาเสพติด (อันนี้ยังอาจเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันต่อได้)

    ในเบื้องต้น สถิติและการสำรวจเหล่านี้จึงช่วยเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าความขัดแย้ง และความเกลียดชังระหว่างคนดำและคนขาวมีค่อนข้างสูง ในระดับที่ว่าตำรวจเห็นโจรคนขาว ตำรวจอาจจะไม่ยิงถ้าไม่ถือปืน แต่ถ้าเป็นคนดำ ต่อให้ไม่ถือปืน ตำรวจก็มีแนวโน้มที่จะยิงวิสามัญคนดำอยู่ดี

    ถ้าพูดกันในแง่ประวัติศาสตร์ก็จะเห็นว่าประเทศอเมริกานี้ เป็นประเทศที่มีจิตใจชอบเหยียดคนต่างชาติมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประเด็น Xenophobia เนี่ย ไม่ได้เพิ่งมามีตอน 10-20 ปีนี้แต่อย่างใด ถ้าใครเคยดูสารคดี หรือภาพถ่ายย้อนยุคก็จะเห็นว่าช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ประมาณ 1900-1950s คนอเมริกายังเห็นคนดำเป็นทาสอยู่เลย

    มีสวนสัตว์มนุษย์เอาคนแอฟริกา เอาคนฟิลิปปินส์มาวางจัดโชว์เป็นนิทรรศการของแปลกจากต่างประเทศกันอยู่เลยครับ และกว่าคนดำในอเมริกาทั้งหมดจะมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง หรือโหวตเลือกนักการเมืองของตัวเองได้จริงๆจังๆก็กลางๆยุค 1960s ไปแล้ว ถึงมีการแก้กฎหมายให้โหวตได้ตามข้อบัญญัติ Voting Rights Act

    นอกจากเหยียดกันในด้านกฎหมาย กีดกันกันในเรื่องสิทธิทางการเมืองแล้ว ก็ยังมีขบวนการไล่ฆ่าไล่กระทืบคนผิวดำอย่าง Ku Klux Klan กันอีก (สมัยนั้นมีกันเป็น 3,000,000-4,000,000 คนเลยนะสมาชิกองค์กร KKK เนี่ย) มีกันมาเป็น 100 ปี จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่

    ความเกลียดชัง ความรังเกียจ การเหยียดคนดำในหมู่คนผิวขาวนี้จริงๆก็มาจากแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม ที่เชื่อว่าตนเองและคนขาวนั้นมีความสูงส่งมากกว่า เก่งกว่า เหนือกว่าอะไรทำนองนี้ ก็เลยต้องกีดกันคนดำไม่ให้เข้ามาอยู่ร่วมกับคนขาว ไม่ให้มาทำงานร่วมกับคนขาว

    คนดำก็ต้องมีย่านคนดำ อย่างเมื่อก่อนที่ถูกพูดถึงบ่อยๆก็คือย่าน Harlem ในนิวยอร์คซิตี้ สมัยยุค 1950s ก็เป็นถิ่นและชุมชนที่รวมเอาคนดำจำนวนมากมากองอยู่รวมกัน เพราะไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ คนเขารังเกียจ สมัยนั้นเกือบ 100% ของประชากรในย่าน Harlem จึงเป็นคนดำซะส่วนใหญ่

    คนขาวเขารังเกียจ กลัวว่าจะไปก่ออาชญากรรม กลัวจะไปขโมยจักรยาน ขโมยไก่ทอดเขา ไปอยู่ย่านคนขาวเขาก็ไม่ต้อนรับ เอาง่ายๆไม่ต้องไปมองที่ไหนไกล เมื่อตอนต้นเดือนมีนักการเมืองคนหนึ่งในอเมริกาพูดออกสื่อว่า

    “If you have a problem figuring out whether you’re for ME or DONALD TRUMP, then you ain’t BLACK” คำกล่าวนี้แปลออกมาเป็นภาษาง่ายๆได้ว่าถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้คนดำออกไปเลือก Donald Trump เป็นประธานาธิบดีอีก ก็จงลาออกจากการเป็นคนดำไปได้เลย

    (การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ที่ผ่านมามีคนดำโหวตให้ Donald Trump เป็นประธานาธิบดีมากกว่า 1,000,000 คน)

    ทายสิครับว่าใครเป็นคนกล่าวคำพูดนี้ออกมา... เฉลย Joe Biden นั่นแหละ นี่ขนาด Joe Biden เขาประกาศตัวและหาเสียงโดยใช้ฉลากของความเป็นคนหัวก้าวหน้าแบบเดียวกับ Barack Obama นะครับ เขายังหลุดปากเหยียดคนดำออกมาขนาดนี้ เป็นบทสะท้อนข้อนึง

    ว่าคนอเมริกาจำนวนมากนั้นลึกๆแล้วก็ยังมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อคนดำ รู้สึกเหยียดคนดำอยู่ดี ต่อให้ผ่านการต่อสู้ การเรียกร้อง การเปลี่ยนแปลงปฏิรูปสังคมมานานจนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้วก็ตาม มันมีความรู้สึกเหยียดและเกลียดกลัวคนดำอยู่ภายในจิตใจของคนอเมริกาทุกระดับชนชั้นจากชนชั้นกลางธรรมดาๆอย่างตำรวจ ไปจนถึงนักการเมืองภายในพรรค Democrat เอง

    ขนาดในหนังสยองขวัญ หนังเอาชีวิตรอดของวงการ Hollywood คนดำยังตายก่อนเลย เหตุการณ์ที่ตำรวจบังเอิญฆ่าคนดำโดยอุบัติเหตุเมื่อหลายวันก่อนจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนดำหลายๆคนจะโกรธและพากันออกมาประท้วง แล้วก่อจลาจลกันใหญ่โตขนาดขว้างปาก้อนหินใส่ตำรวจ ปล้นร้านขายของกัน

    พูดถึงตรงนี้แล้ว สรุปคนดำเลวจริงไหม ชอบขายยาบ้า ชอบขโมยของ ชอบตั้งตัวเป็นนักเลงทำร้ายร่างกายคนอื่นจริงไหม ตอบได้ว่ามันก็จริงส่วนหนึ่งครับ แต่ถ้าหันมาพิจารณาในภาพมุมกว้าง หรือภาพมุมสูง (Bird’s-eye view) นั้นคุณจะเห็นว่ามันมีเหตุและผลของมันอยู่

    คือมันไม่ได้ว่าคนดำเกิดมาแล้วเลวเลย หรือ เกิดมาแล้วโตมาเป็นอาชญากรกันเลย ที่เห็นๆกันว่าคนดำชอบดีลยาบ้า พี้ยา ขโมยจักรยาน ขโมยไก่ทอด ล้วงกระเป๋ากันตามข่าวเนี่ย ส่วนหนึ่งมันมาจากว่าคนดำไม่มีทางเลือกในชีวิตแต่แรก จะทำงานเขาก็ไม่ค่อยรับเข้าทำงานกัน จะทำงานสุจริต ขายของ ส่งของก็โดนตำรวจเพ่งเล็ง แกล้งเรียกตรวจตลอด

    ในชีวิตคนดำช่วงหนึ่งในอเมริกา งานในโลกขาวสะอาดจึงค่อนข้างหายาก หลายคนก็หาไม่ได้เลย ก็เลยต้องเลือกเส้นทางใต้ดินตามๆกัน รับยาบ้ามาขาย เอาไอซ์ เอาปืน เอาสิ่งผิดกฎหมายมาดีลขายกัน เพราะได้เงินง่าย อันนี้ไม่ได้พูดลอยๆนะครับ มันก็เหมือนกับกรณีคนที่เพิ่งออกจากคุกในไทยอะครับ

    คุณคิดว่าคนมีประวัติติดตัวในคุก ออกจากคุกมามีสักกี่ % ที่เจ้าของธุรกิจ เถ้าแก่จะกล้าจ้าง คือมันมี Perception หรือ อะไรบางอย่างที่บอกให้เรากลัว หรือกังวลว่าเขาจะก่อเหตุทำอะไรซ้ำอีกน่ะ อันนี้ผมไม่ได้บอกว่าคนดำเหมือนนักโทษนะ แต่สื่อ และสภาพแวดล้อมทางสังคมมันสร้างภาพตัวแทนให้คนส่วนใหญ่คิด

    ว่าคนนั้นคนนี้ไม่ดี ความเกลียด กลัว รังเกียจมันเลยเกิดขึ้น แล้วนำมาซึ่งการกีดกัน คนดำก็เหมือนกันครับ พอมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับคนดำโผล่ขึ้นมามากๆสมัยทีวีเพิ่งมีใช้กันแพร่หลาย คนดำก็ถูกสื่อวาดภาพให้เป็นผู้ร้ายไปจนได้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นๆมากนักเมื่อเทียบกับคนขาว

    คนขาวจนๆ กับคนดำจนๆ ในสมัย 50-60 ปีก่อน ยังไงคนขาวจนๆก็มีโอกาสเปลี่ยนสถานะทางสังคมได้ง่ายกว่าคนดำ คนดำเนี่ย ขนาดสมัยปัจจุบันช่วง 20-30 ปีก่อน จะเปลี่ยนสถานะทางสังคมได้ยังต้องเข้าสู่ตลาดธุรกิจผิดกฎหมาย ตั้งตัวเป็นนายหน้า เป็นมาเฟีย นักเลงกันอยู่เลย

    เพราะช่องทางหลักมันไปได้ยาก ก็อาจจะพอมีบางส่วนที่นิสัยแย่ เลว ชอบแซวผู้หญิง ชอบค้ายา ชอบก่อเรื่องกันจริงๆ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ ที่เห็นคนดำรวยๆ ใส่ทอง ใส่เพชรเต็มคอ แหวนวงเท่าไข่ไก่ตามหนัง ตามซีรีส์นี้ส่วนน้อยนะ ไม่ได้มีกันเยอะแบบที่หลายๆคนเข้าใจกัน

    พวกที่ทำเลว ก็นั่นแหละครับตามสภาพแวดล้อม เรื่องพวกนี้มันเกิดจากสภาพแวดล้อมทั้งนั้น เกิดในสลัม ก็โตแบบสลัม เกิดมาในชุมชนคนค้ายาก็มักมีแนวโน้มจะเป็นแบบนั้น ของแบบนี้ต้องแก้กันทั้งระบบ ถ้าเขาลืมตาอ้าปาก ได้เข้าถึงโอกาสและสิทธิที่เท่าเทียมกันแต่แรก เรื่องพวกนี้ก็ไม่เกิด

    และก็คงไม่เกิดภาพจำแบบด้านลบที่คนขาวมองไปที่คนดำแบบทุกวันนี้ แบบที่ตำรวจหลายๆคนมองว่าคนดำต้องเป็นอาชญากร และจำเป็นต้องวิสามัญทิ้งแบบในหลายๆเคสที่เกิดในอเมริกาทุกวันนี้ คนขาวก็ต้องหัดเปลี่ยน mindset กันด้วย มันเชื่อมถึงกันหมด ปัญหานี้จริงๆเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก แก้ยาก แต่จำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไข

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อคนไม่แคร์จำนวนผู้ป่วย COVID-19 อีกต่อไป

    แม้ว่าวันนี้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 1.2 แสนราย และนับเป็นการเพิ่มเกิน 1 แสนรายเป็นระยะเวลา 8 วันติดกัน

    ในขณะที่การคลาย Lockdown กำลังเกิดพร้อมกันทั่วโลก แม้แต่ในประเทศที่ผู้ป่วยขึ้นระดับ 5,000 - 10,000 คนต่อวัน อย่าง สหรัฐ อินเดีย เองก็ปิดเมืองต่อไปไม่ไหวเพราะ ศก.จะเจ๊งไปก่อน

    ดังนั้นแล้วตัวเลขคนป่วยใหม่ต่อวันคงอยู่ในระดับนี้ และตัวเลขนี้อาจจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตเป็น 1.5 - 2 แสนคนต่อวัน อย่างเป็นเรื่องปกติ

    หากย้อนไปเมื่อเดือน มีนาคม - เมษายน หากเราเจอคนป่วยเพิ่มระดับนี้ต่อวันคงจิตตก หดหู่ ไม่กล้าออกไปไหน และตลาดหุ้นคงได้รับแรงกดดันมหาศาล

    แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัว และการเห็นตัวเลขคนป่วยทุกๆวัน จากเดิม 6-7 หมื่นคน เพิ่มไปทีละนิดๆ จนเกิดความเคยชินไปเรียบร้อยแล้ว

    ประกอบกับการช่วยพยุงหนี้เสีย จาก FED และธนาคารกลางทั่วโลกที่งัดเครื่องมือ ออกมาทุกอย่าง ช่วยชะลอและเลื่อนเวลาการผิดนัดชำระของธุรกิจในภาพรวมออกไปได้ 3-6 เดือน

    เพื่อรอให้ความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจกลับฟื้นมาเท่าเดิม

    ตลาดหุ้นต่างๆทั่วโลกขานรับความเคยชินและปัจจัยของเงินพยุงธุรกิจเหล่านี้ โดยการขึ้นมาจนระดับเทียบเท่าก่อนมี CoVID ไปแล้ว
    - ตลาด DJIA ขาดอีก 12% จะเท่าเดิม
    - ตลาด NASDAQ ขึ้นมาเท่าเดิมแล้ว
    - ตลาด DAX ขาดอีก 6% จะเท่าเดิม
    - ตลาด Nikkei ขาดอีก 4% จะเท่าเดิม
    - ตลาด SET ขาดอีก 15% จะเท่าเดิม

    (ลองนึกสภาพหาก FED ไม่เอาเงินมาพยุงหนี้ น่าจะเกิดปัญหาหนี้ Default กันอย่างสนุกสนานในช่วงนี้)
    ====================================
    เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ผมค่อนข้างเชื่อว่า แม้ผู้ป่วยจะพุ่งแตะ 2-3 แสนคนต่อวัน เราอาจจะไม่ได้เห็นการปิดเมืองแบบ Fully Lockdown อีกต่อไปแล้ว ทั้ง สหรัฐ จีน หรือ ไทยเองก็ตาม

    เพราะการปิดแค่รอบเดียวก็เห็นผลแล้วว่า ธุรกิจ ทุก Sector ยับเยินแค่ไหน ขนาดพี่ใหญ่อย่างจีน GDP ยังลงไป -6.8% ในไตรมาสแรก

    หากต้องปิดอีกรอบ ต่อให้แบงค์ชาติหรือ FED เลื่อนเวลาจ่ายหนี้ แต่การที่รายได้หายไปดื้อๆอีกครั้ง หลายธุรกิจคงไม่มีสายป่านพอไปจ่าย Fix Cost อื่นๆได้อีกต่อไป

    สภาพคงทำได้แค่ เปิดเมืองแบบหลวมๆ ป้องกันตัวเองไปจากโรค และอยู่ให้ถึงวันที่วัคซีนมาใช้ได้ทั่วถึงในอนาคต

    การท่องเที่ยวคงทยอยๆกลับมาได้ (ถ้ารัฐไม่สั่งปิดอีกรอบ) เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องการเดินทางมาตั้งสมัยบรรพบุรุษ

    ในเมื่อคนไม่แคร์ผู้ป่วย CoVID อีกต่อไป (แบบที่เราไม่แคร์ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก) ตลาดหุ้นต่อจากนี้อาจจะไม่ลงอีกแล้ว

    เว้นแต่! จนกว่าจะเกิดปัญหาอื่นๆที่เป็นผลพวงของ CoVID ให้ทั่วโลกตกใจกันอีกครั้ง

    #SoloInvestor
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ว่า เฟซบุ๊กออกแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร เรื่องการระงับการออนไลน์ของบัญชีผู้ใช้งานจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาตินิยมผิวขาวสุดโต่ง เช่น "พราวด์ บอยส์" ( Proud Boys ) และ "อเมริกัน การ์ด" ( American Guard ) ที่เฟซบุ๊กขึ้นบัญชีดำให้เป็น "กลุ่มคนมีพฤติกรรมอันตราย" และห้ามใช้งานแพลตฟอร์มของบริษัท
    .
    พร้อมกันนี้ เฟซบุ๊ก ยังปิดบัญชีอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งอ้าง "การสวามิภักดิ์" ต่อ "แอนติฟา" หนึ่งในขบวนการเคลื่อนไหวที่มีจุดยืนทางการเมืองซ้ายจัด ในวันเดียวกับที่ทวิตเตอร์ยืนยันการปิดบัญชีของผู้ใช้งานคนหนึ่งที่อ้างตัวเป็นแนวร่วมของแอนติฟา และมีแต่การทวีตข้อความกระตุ้นให้เกิดความรุนแรง พร้อมทั้งการเผยแพร่ข่าวปลอม
    .
    โดยทวิตเตอร์กล่าวว่า แม้บัญชีดังกล่าวจะมีผู้ติดตาม "ไม่กี่ร้อยคน" แต่รูปแบบการทวีตข้อความของบัญชีนี้อาจเป็นชนวนให้สถานการณ์ลุกลามขยายวงกว้างได้
    .
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    https://www.nationtv.tv/main/content/378779333/
    https://apnews.com/583432c84feb1d26...AP&utm_campaign=SocialFlow&utm_source=Twitter
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ❗️[Live] บรรยากาศการชุมนุมในฮ่องกงคืนนี้ค่ะ
    .
    ปกติ วันที่ 4 มิย (วันนี้) คนฮ่องกงจะมารวมตัวจุดเทียน #รำลึกเหตุการณ์เทียนอันเหมิน กันทุกปี ที่สวนสาธารณะ Victoria Park (Causeway Bay)
    .
    แต่ปีนี้ตำรวจไม่อนุญาตให้ชุมนุม เนื่องจากสถานการณ์โควิด ซึ่งก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่จัดชุมนุมมา 30 ปี ที่ถูกสั่งห้ามค่ะ
    .
    เพราะฉะนั้น คนฮ่องกงจึงกระจายตัวชุมนุมกันตามจุดต่างๆ แทนค่ะ
    .
    #ขอความร่วมมืองดความเห็นทางการเมืองหรือใช้ถ้อยคำรุนแรงค่ะ
    .
    #eatlike852

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ❗️ #โควิดฮ่องกงวันนี้ (4 มิย)
    ผู้ติดเชื้อใหม่ +1
    .
    เป็นชายวัย 72 ปี #ติดเชื้อในฮ่องกง โดยเป็นผู้อาศัยอยู่ใน Lek Yuen Estate (Sha Tin) ที่เป็น cluster ล่าสุดในฮ่องกง
    .
    ผู้ติดเชื้อรายนี้ จัดเป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 8 ที่อาศัยอยู่ในการเคหะแห่งนี้
    .
    [อัพเดท] ขณะนี้ ทางการตัดสินใจอพยพผู้อยู่อาศัยบางส่วนออกจากตึกแล้ว
    .
    #eatlike852 #covid19hongkong

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ❤️ #หมื่นนี้ที่รอคอย
    รัฐบาลฮ่องกงเตรียมแจกเงินเยียวยาประชาชน คนละ 10,000 เหรียญ ผ่านธนาคาร 21 แห่ง
    .
    ส่งข่าวด่วนให้นอนฝันดี
    ใกล้ความจริงมาทุกทีแล้วจ้ะ! คนไทยในฮ่องกง!
    .
    คืนนี้มีข่าวประชาสัมพันธ์จากรัฐบาลแจ้งมาว่า
    รัฐบาลจะจ่ายเงินเยียวยาคนละ HK$10,000 (ราว 41,000 บาท) #ผ่านธนาคารที่ร่วมโครงการ 21 แห่ง
    .
    โดยผู้มีสิทธิ์ได้รับเงิน จะต้อง #มีบัญชีภายใต้ชื่อของตนเอง (ไม่ใช่ชื่อบัญชีร่วม) และจะสามารถ #ลงทะเบียนเพื่อรับเงิน ได้ 2 วิธี คือ:-
    .
    (1) ผ่านระบบ internet banking ของธนาคาร (วิธีนี้จะได้รับเงินเร็วที่สุด)
    (2) ยื่นแบบฟอร์มที่ธนาคาร
    .
    โดยธนาคารที่เข้าร่วม คือ
    1. Bank of China (Hong Kong)
    2. Bank of Communications (Hong Kong)
    3. Bank of East Asia
    4. China CITIC Bank International
    5. China Construction Bank (Asia)
    6. Chiyu Banking Corporation
    7. Chong Hing Bank
    8. Citibank (Hong Kong)
    9. CMB Wing Lung Bank
    10. Dah Sing Bank
    11. DBS Bank (Hong Kong)
    12. Fubon Bank
    13. Hang Seng Bank
    14. The Hongkong and Shanghai Banking Corporation
    15. Industrial and Commercial Bank of China (Asia)
    16. Nanyang Commercial Bank
    17. OCBC Wing Hang Bank
    18. Public Bank (Hong Kong)
    19. Shanghai Commercial Bank
    20. Standard Chartered Bank (Hong Kong)
    21. ZA Bank
    .
    ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังเตรียมความพร้อมในขั้นสุดท้าย คาดว่าจะ #เปิดให้ลงทะเบียนได้ประมาณสิ้นเดือนนี้ และ #เริ่มแจกเงินตั้งแต่เดือนหน้า
    .
    #หมายเหตุ
    ผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยานี้ ต้องเป็น #พลเมืองฮ่องกงแบบถาวรเท่านั้น (Hong Kong PERMANENT Resident) และ #มีอายุ18ปีขึ้นไป
    .
    Source:
    https://www.thestandard.com.hk/brea...7/HK$10,000-payout-from-July-through-21-banks
    .
    https://www.info.gov.hk/gia/general/202006/03/P2020060300487.htm?fontSize=1
    .
    #eatlike852 #covid19hongkong

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายกฯอังกฤษ เรียกการประชุมสุดยอดวัคซีน “ช่วงเวลาที่โลกมารวมกัน”

    โควิด-19 วันนี้ (4 มิ.ย. 63) – บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เปิดตัวการประชุมวัคซีนโลก (The Global Vaccine Summit : Gavi) ขึ้น ในสหราชอาณาจักร โดยบอริสกล่าวว่า “นี่คือช่วงเวลาที่แท้จริงเมื่อโลกมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อต่อสู้เอาชนะโรค”

    “เพื่อเอาชนะไวรัสโคโรนา เราต้องมุ่งเน้นความฉลาดของเราในการค้นหาวัคซีนและทำให้มั่นใจได้ว่าประเทศ , บริษัทยา และพันธมิตรระหว่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลก ให้ความร่วมมือกันและกันในระดับที่เหนือกว่าสิ่งที่เราเคยพบเห็นกันมาก่อน” นายกฯ อังกฤษ กล่าว

    การประชุมวัคซีนโลกหวังที่จะยกระดับการวิจัยวัคซีนอย่างน้อย 7.4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.33 แสนล้านบาท)

    นายกฯ อังกฤษ ขอให้ผู้ที่เข้าร่วมการประชุมวัคซีนโลกนี้ ใช้ประโยชน์จากกำลังซื้อ “เพื่อให้มั่นใจว่าวัคซีนในอนาคต จะมีราคาที่ไม่แพงและพร้อมให้ทุกคนที่มีความต้องการ”

    สุดท้าย นายกฯ อังกฤษ กล่าวว่า “สหราชอาณาจักรยังคงเป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดในความพยายามระดับนานาชาติในการค้นหาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา และเราจะรักษาสถานภาพผู้บริจาคชั้นนำในการประชุมวัคซีนโลก โดยมีรวมมูลค่า 1.65 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 6.56 หมื่นล้านบาท) ในอีกห้าปีข้างหน้า”

    The post นายกฯอังกฤษ เรียกการประชุมสุดยอดวัคซีน “ช่วงเวลาที่โลกมารวมกัน” appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกาหลีใต้รายงาน ผู้ติดเชื้อใหม่ 39 ราย โดยเกิดการระบาดซ้ำระลอกเล็กๆ ในหลายจุด

    โควิด-19 วันนี้ (4 มิ.ย. 63) – ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Centers for Disease Control and Prevention : KCDC) รายงานว่า ประเทศเกาหลีใต้มีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โรคโควิด-19 รายใหม่ 39 รายและ 33 รายเป็นการติดเชื้อในประเทศ

    ยุน แทโฮ (Yoon Tae-ho) เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขของเกาหลีใต้ เผยว่ามีการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มเล็กๆ ในตัวเมืองหลวงโซล และพื้นที่โดยรอบ และเตือนการแพร่ระบาดเล็กๆ เหล่านี้กำลังระบาดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ยากต่อการติดตามการแพร่ระบาดของโรค

    โดยการแพร่ระบาดที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ การแพร่ระบาดของผู้ป่วย 120 ราย ที่มีเหตุเชื่อมโยงกับศูนย์โลจิสติกส์ในเมืองบูชอน (Bucheon) ซึ่งเป็นเมืองปริมณฑลของกรุงโซล ในขณะที่ 66 รายเชื่อมโยงกับกลุ่มศาสนาในเขตกรุงโซล และอีกหลายกรณีที่เชื่อมโยงกับกลุ่มศาสนาเช่นกัน

    จำนวนผู้ป่วยทั้งหมด: เกาหลีใต้ยืนยันมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 11,629 ราย นับตั้งแต่การระบาดใหญ่ 10,499 รายหายเป็นปกติแล้ว เหลือที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 857 ราย และเสียชีวิตกว่า 273 ราย

    The post เกาหลีใต้รายงาน ผู้ติดเชื้อใหม่ 39 ราย โดยเกิดการระบาดซ้ำระลอกเล็กๆ ในหลายจุด appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เผย"รถไฟรางคู่" กระทบทุ่งสามร้อยยอด ทางลอดแคบ หวั่นสูญอาชีพเกษตร
    ชาวบ้านอำเภอสามร้อยยอด เดือดร้อนจากโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ทางลอดแคบ กระทบอาชีพ เพราะรถบรรทุก รถเพื่อการเกษตรผ่านไม่ได้ วอนเร่งแก้ไข หลังยื่นข้อเสนอไปหลายครั้งแต่เงียบ
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เคยได้ยินเรื่องราวของตระกูล "Rothschild" กันรึเปล่า?
    ว่ากันว่า นี่คือชื่อของตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด ผู้ซึ่งใช้อำนาจคอยควบคุมชักใยผู้นำโลกใบนี้อยู่เบื้องหลัง
    แต่.. อันที่จริงตระกูลนี้ มีที่ไปที่มาอย่างไรกันแน่!?
    ทำไมครอบครัวของคนกลุ่มหนึ่ง ถึงกลายมาเป็นทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าวได้!?
    และคำถามสำคัญก็คือ.. พวกเขาคือกลุ่มคนที่รวยที่สุดในโลกใบนี้จริงหรือ??
    [เราจะพาคุณย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของ Rothschild]
    ต้นกำเนิดของตระกูลนี้ เราต้องกลับไปในยุคกลางของยุโรป เมื่อปี 1528
    ช่วงนั้น แทบจะทุกดินแดนในยุโรปจะถูกปกครองโดยศาสนาคริสต์ ส่วนชาวยิวทั่วๆ ไปที่ไม่ได้นับถือคริสต์ ก็พากันอาศัยอยู่กันตามนอกกำแพงเมือง
    ปกติที่บ้านชาวยิว จะแขวนรูปต่างๆ ไว้ตรงหน้าบ้าน เพื่อแสดงให้เห็นชัดว่าบ้านหลังนี้เป็นของใคร
    มีตระกูลหนึ่ง แขวนรูปโล่สีแดงเอาไว้หน้าบ้าน ซึ่งในภาษาเยอรมัน "โล่สีแดง หรือ Red Shield" ก็อ่านว่า Roth Schild พอดี
    พวกเขาจึงได้รับการเรียกชื่อว่าตระกูล Rothschild และสืบทอดนามสกุลมาจนถึงทุกวันนี้
    ที่เราหยิบยกเรื่องคริสต์และยิวมาพูดนั้น ก็เพราะว่ายุคก่อน ชาวคริสต์จะมองว่าการให้ยืมเงินและคิดดอกเบี้ยนั้นเป็นบาป
    เมื่อปล่อยกู้แล้วไม่ได้ดอกเบี้ย ชาวคริสต์ก็เลยไม่มีใครสนใจทำธุรกิจดังกล่าว
    ธุรกิจการปล่อยกู้ส่วนใหญ่ จึงตกอยู่ในมือของตระกูลชาวยิวหลายๆ ครอบครัวในเวลานั้นแทน
    และแน่นอนว่าตระกูล Rothschild เอง ก็เป็นตระกูลที่เชี่ยวชาญในด้านการให้กู้ยืมเงินเป็นพิเศษด้วย จนทำให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นมากว่าตระกูลยิวอื่นๆ
    [สู่การเป็นแหล่งเงินของกษัตริย์]
    ผ่านมาเป็นเวลากว่า 200 ปี ตระกูล Rothschild ก็สืบทอดธุรกิจการเงินมาจากรุ่นสู่รุ่น
    จนกระทั่งในปี 1769 ผู้นำตระกูล Mayer Amschel Rothschild กลายเป็นเศรษฐีชาวยิวที่มีชื่อเสียง จนมีโอกาสได้ทำงานเป็นคนเก็บภาษีในอาณาจักร
    ด้วยความร่ำรวยและเส้นสายที่มากขึ้นนี้เอง นำไปสู่การส่งลูกทั้ง 5 คนของเขา ไปประจำอยู่ตามประเทศสำคัญๆ ในยุโรป เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวนี้มีเครือข่ายมากยิ่งขึ้น
    ธุรกิจที่ว่า ก็คือการให้คนในประเทศต่างๆ มายืมเงิน ก่อนจะเก็บรายได้จากดอกเบี้ยอีกที
    ด้วยความที่มีสาขาให้บริการอยู่ในหลายประเทศ บ่อยครั้งธุรกิจธนาคารของพวกเขา ก็เข้าไปพัวพันกับสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    เพราะการทำสงครามต้องใช้เงินจำนวนมาก และย่อมต้องดิ้นรนมาขอกู้เงินแลกกับดอกเบี้ยที่สูง
    กระทั่งบางครั้ง พวกเขาก็สนับสนุนเงินทุนให้กับทั้ง 2 ฝั่งของสงคราม อย่างที่เกิดขึ้นกับอังกฤษและฝรั่งเศส ในสงครามนโปเลียน
    จุดนี้ทำให้หลายคนสงสัยว่า ตระกูล Rothschild อาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสงครามเสียเองด้วย
    ซึ่งแม้ข้อมูลดังกล่าวไม่มีหลักฐานยืนยันมากพอ แ
    ต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ตระกูลนี้มีฐานะร่ำรวยขึ้น และมีเส้นสายในราชวงศ์ต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
    จนสุดท้ายไม่ว่าบัลลังก์จะเปลี่ยนมือไปอยู่กับกษัตริย์คนไหน พวกเขาก็จะค่อยเป็นผู้ให้บริการเงินกู้แก่กษัตริย์ในยุโรปอยู่เสมอ
    [การขึ้นเป็นเจ้าแห่งการเงินในยุโรป]
    การทำงานของตระกูล Rothschild ถูกมองว่าเป็นต้นแบบ ของบริการธนาคารระหว่างประเทศในยุคเริ่มแรก
    นอกจากการปล่อยกู้เป็นเครือข่ายในยุโรปแล้ว ยังนำเงินที่ได้จากดอกเบี้ย ไปลงทุนต่อยอดอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น..
    ในปี 1868 พวกเขาเข้าซื้อ หนึ่งในโรงผลิตไวน์ ที่มีมูลค่ามากที่สุดในฝรั่งเศส
    ในปี 1875 พวกเขาเข้าถือหุ้นคลองสุเอซ เมกะโปรเจ็คต์ของมนุษย์ในยุคนั้น
    ต่อมาในปี 1883 พวกเขาก็ได้ครอบครองกิจการน้ำมันทั้งในยุโรปและเอเชีย ในยุคที่น้ำมันกำลังเริ่มเฟื่องฟู
    จนทำให้พวกเขากลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ John D. Rockefeller และบริษัท Standard Oil ที่กำลังรุ่งเรืองในสหรัฐอเมริกา
    ซึ่งทั้งความรวย อำนาจ และธุรกิจอันหลากหลาย ส่งผลให้ตระกูล Rothschild ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนร่ำรวยที่สุดในโลกยุคนั้น
    น่าเสียดาย ที่ไม่มีแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือมากพอ เราเลยขอไม่ฟันธงตัวเลขอย่างชัดเจน
    แต่ถ้าคุณอยากรู้ตัวเลขล่ะก็...
    บางแห่งประเมินว่าพวกเขามีทรัพย์สิน ที่เทียบกับค่าเงินปัจจุบันสูงถึง 60 ล้านล้านบาท
    แต่บางแห่งก็ประเมินไว้ว่า น่าจะมีอยู่ราวๆ 1.2 ล้านล้านบาทเท่านั้น

    [แต่ความร่ำรวย ใช่ว่าจะคงอยู่เสมอไป]
    ด้วยความที่ตระกูล Rothschild มีตระกูลสาขาอยู่มากมายทั่วทวีปยุโรป จนกลายเป็นเหมือนบริษัทขนาดใหญ่
    เมื่อสาขาใดสาขาหนึ่งเริ่มเสื่อมถอย ก็อาจจะฉุดทำให้ความร่ำรวยของทั้งตระกูลลดลงไปก็เป็นได้
    ในปี 1900 ตระกูล Rothschild ต้องเสียตระกูลสาขาในอิตาลีไป เนื่องจากไม่มีทายาทมาสืบทอด
    ต่อมาเป็นตระกูล Rothschild สาขาเยอรมนี ที่ลูกทั้ง 11 คนนั้นเป็นผู้หญิงหมด ตามธรรมเนียมจะต้องแต่งเข้าบ้านอื่น ทำให้ไม่มีใครมาสืบทอดกิจการต่อ
    แต่นั่นยังไม่ใช่จุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะพวกเขายังประคับประคองตัวเองผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ จนกระทั่งมาถึงสงครามโลกครั้งที่ 2
    อ่านถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า ตระกูลนี้ก็เคยหากินกับสงครามไม่ใช่เหรอ!?
    ปัญหาสำคัญก็คือ เรารู้กันดีว่า Adolf Hitler มีนโยบายกำจัดชาวยิว ซึ่งแม้กระทั่งคนรวยระดับนี้ก็ไม่รอดจากการถูกกวาดล้างไปด้วย
    ในปี 1938 เมื่อนาซีเข้ายึดออสเตรีย ตระกูล Rothschild สาขาหลักยังต้องหนีเอาชีวิตรอดจากการถูกจับกุบ พวกเขายอมขายทรัพย์สินออกไปหลายอย่าง
    แต่ก็มีคนในตระกูลหลายคนที่ถูกจับตัวไป
    แม้นาซีจะมีนโยบายต่อต้านชาวยิวมากแค่ไหน แต่ทุกเรื่องก็สามารถใช้ "เงิน" ในการเจรจาได้อยู่ดี
    มีข้อมูลบางแห่งระบุว่า Rothschild ต้องจ่ายเงินสูงถึง 12,000 ล้านบาทในยุคนั้น เพื่อไถ่ตัวสมาชิกตระกูลเพียงหนึ่งคน จากการถูกนาซีจับกุมไป
    ซึ่งภายหลังในปี 1940 ที่เยอรมนีบุกฝรั่งเศส ตระกูล Rothschild สาขาปารีส ก็ต้องยอมเสียทรัพย์สินในกรณีคล้ายๆ กันอีกด้วย
    [ตระกูล Rothschild ในยุคสมัยปัจจุบัน]
    มรสุมที่ตระกูล Rothschild ต้องพบ ทำให้ตระกูลสาขาหลายแห่งต้องล่มสลายไป
    น่าเสียดายที่ตามข้อมูล Rothschild ก็ยังคงร่ำรวยอยู่ แต่ดูเหมือนว่า จะไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีรวยที่สุดอย่างที่เขาเคยเป็นอีกต่อไปแล้ว
    ในปัจจุบัน ทายาทของตระกูลอย่าง Evelyn de Rothschild ก็ยังคงรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน ให้ควีนอลิซซาเบธที่ 2
    ส่วน Jacob Rothschild ก็มีชื่อเสียงในฐานะนักการเงิน ที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์อังกฤษเช่นกัน
    ถ้าเราไปดูในการจัดอันดับเศรษฐีโลก..
    ก็พบว่าตระกูล Rothschild คนแรกที่ปรากฏในรายชื่อ ต้องเลื่อนหน้าจอลงไปถึงอันดับที่ 1,800 ของโลก ด้วยทรัพย์สินประมาณ 440,000 ล้านบาท
    ชื่อของเขาคือ Benjamin de Rothschild นักธุรกิจธนาคารในฝรั่งเศส ซึ่งสืบทอดกิจการจากพ่อในสวิตเซอร์แลนด์อีกทีหนึ่ง
    แต่.. มาถึงจุดนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า Rothschild เป็นตระกูลเศรษฐีชักใยโลกอยู่เบื้องหลังไม่ใช่เหรอ!?
    เพราะฉะนั้น พวกเขาจะต้องปกปิดทรัพย์สินที่มีอยู่แน่ๆ!!
    ซึ่งในจุดนี้ก็... อาจจะมีความจริงส่วนหนึ่ง
    เนื่องจากโครงสร้างครอบครัวที่มีคนในตระกูลจำนวนมาก กระจายกันอยู่ในหลายประเทศ
    และความที่เป็นบริษัทจำกัด ไม่ได้เข้าตลาดหุ้น ย่อมทำให้ข้อมูลทั้งหมดไม่เปิดเผยออกมาสู่โลกภายนอก เหมือนกับบริษัทมหาชนอื่นๆ
    แต่การจะประเมินว่าทรัพย์สินของพวกเขามีมหาศาล จนสามารถควบคุมการเงินโลกทั้งใบ เรื่องนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนได้มากพอ
    ซึ่งเรื่องไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือนั้น ก็ถูกตั้งทฤษฎีโยงว่า เป็นแผนของตระกูล Rothschild ที่ต้องการปกปิดตัวตนอีกนั่นแหละ
    สุดท้าย เรื่องของตระกูล Rothschild ก็จะถูกบอกเล่าต่อ ทั้งในเรื่องของบทเรียนทางธุรกิจ และทฤษฎีสมคบคิด ควบคู่กันไปอีกนานแสนนาน...
    แล้วคุณเองล่ะครับ คิดว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร!?
    -----------------------------------------
    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน
    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First ไว้ด้วยนะ
    หรือติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง
    - เว็บไซต์ https://www.BillionMindset.com/
    - อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/
    - ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เยอรมัน เจ้าแห่งการรีไซเคิล /โดย ลงทุนแมน
    นอกจากจะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่อง วิศวกรรมยานยนต์แล้ว
    เยอรมนี ยังมีชื่อในการเป็นผู้นำทางด้านรีไซเคิลอีกด้วย
    รู้ไหมว่ากว่า 67% ของขยะในประเทศนี้จะถูกนำไปรีไซเคิล
    ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในโลก
    การที่ทำให้อัตราการรีไซเคิลสูงได้ขนาดนี้ นอกจากเรื่องเทคโนโลยีการรีไซเคิลของเยอรมนีนั้นจะไม่แพ้ชาติใดในโลก
    การให้ความร่วมมือของประชาชน
    และมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล
    ก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทุกคนตระหนักในเรื่องการรีไซเคิลมากขึ้น
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    เริ่มจากภาครัฐกันก่อน
    เยอรมนีมีทั้งหมด 16 รัฐ
    แต่ว่ารัฐบาลมอบหมายให้แต่ละรัฐนั้นมีมาตรการจัดการขยะของตนเอง
    ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นหน้าที่ของเทศบาลในแต่ละเมือง
    โดยจะดูแลตั้งแต่การเก็บ การลำเลียงไปกำจัด หรือรีไซเคิล
    ส่วนด้านผู้ผลิตสินค้า ทางรัฐบาลก็มอบหมายให้แต่ละบริษัทเป็นคนรับผิดชอบขยะที่เกิดมาจากสินค้าของตัวเองด้วย
    และเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วไป
    การแยกขยะในครัวเรือน ก็จะมีการแบ่งแยกตามสีของถังขยะ
    ตามหมวดหมู่แบ่งแยกกันไป
    แต่ทางเทศบาลในเยอรมนีจะค่อนข้างเข้มงวดกับการจัดการขยะ
    โดยหากไม่ทำตามกฎอาจจะมีค่าปรับสูงสุด อยู่ที่ประมาณ 87,000 บาท
    มาดูที่ภาคประชาชน
    ก็พบว่า ประชาชนส่วนมากให้ความร่วมมือในการรีไซเคิลเป็นอย่างมาก
    โดยอ้างอิงจาก Statista ประชากรกว่า 80% นั้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในการผลิตสินค้ามาก ว่าต้องสามารถนำไปรีไซเคิลได้
    สุดท้าย
    พอทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
    ก็ทำให้อุตสาหกรรม การจัดการขยะและรีไซเคิลนั้น กลายเป็นอีกอุตสาหกรรมที่สำคัญของเศรษฐกิจเยอรมันไปด้วย
    โดยในเวลานี้ มีจำนวนบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดขยะสูงถึง 11,000 บริษัท
    มีพนักงานรวม 270,000 คน
    สร้างรายได้รวม 2.4 ล้านล้านบาทต่อปี
    และมีโรงงานเกี่ยวกับการจัดการขยะรวม 15,500 แห่งทั่วประเทศ
    ก็ทำให้เห็นได้ว่า
    ในระบบเศรษฐกิจ นอกจากจะมีฝ่ายที่ผลิตเป็นจำนวนมากแล้ว
    ฝ่ายที่ต้องกำจัดก็ต้องมีมากไม่แพ้กัน
    เพื่อที่จะสามารถจัดการกับขยะมหาศาลในประเทศได้
    อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นประเทศเจ้าแห่งการรีไซเคิล และเจ้าแห่งการกำจัดขยะ แต่เยอรมนีเองก็ยังเจอปัญหา เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศ
    นั่นคือ ขยะส่วนมากกลับถูกนำไปรีไซเคิลในรูปแบบของเชื้อเพลิงพลังงาน เช่น การเผาในโรงไฟฟ้า มากกว่านำกลับมาผลิตเป็นสินค้าใหม่จริงๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจถือได้ว่ายังไม่เป็นการรีไซเคิลแบบสมบูรณ์เท่าไรนัก
    นอกจากนี้ เยอรมนีเองก็ยังยอมรับว่าประเทศตัวเองนั้นยังมีปริมาณขยะมากเกินไป และอยากจะลดปริมาณขยะลงอยู่ดี
    จะเห็นได้ว่า ถึงแม้จะเป็นผู้นำ ก็ยังต้องมีเรื่องให้ปรับปรุงแก้ไขอยู่เสมอ
    เป้าหมายตอนนี้ของทุกประเทศ
    ก็คงเป็นการที่จะทำอย่างไรให้สามารถนำขยะมา รีไซเคิล ให้ได้มากที่สุด
    และถึงจะตามหลังประเทศอย่างเยอรมนี
    แต่การเริ่มต้นตอนนี้ ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย..
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://www.huffpost.com/entry/germany-recycling-reality_n_5d30fccbe4b004b6adad52f8
    -http://www.climateaction.org/news/germany-is-the-worlds-leading-nation-for-recycling
    -https://www.weforum.org/agenda/2017/12/germany-รีไซเคิลs-more-than-any-other-country/
    -https://www.bmu.de/fileadmin/Daten_BMU/Pools/Broschueren/abfallwirtschaft_2018_en_bf.pdf
    -https://www.statista.com/statistics/866577/plastic-and-non-recyclable-products-usage-concern-in-germany/
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ถ้าพูดถึงคนรวยที่สุดในยุคนี้.. เราพอจะนึกชื่อใครออกบ้าง!?
    คุณคงรู้จัก Jeff Bezos เจ้าของ Amazon ผู้มีทรัพย์สิน 4.5 ล้านล้านบาท
    แต่คุณทราบกันหรือไม่ ถ้าย้อนกลับไปประมาณ 100 ปีนั้น
    มีชายคนหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่ารวยกว่า Jeff Bezos ถึง 3 เท่า
    รวยกว่า Bill Gate หรือ Mark Zuckerberg ประมาณ 4 เท่า
    และรวยกว่าคุณธนินท์ เจียรวนนท์ มหาเศรษฐีของไทยถึง 14 เท่า!!
    ว่ากันว่า เขาคือคนรวยที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เพราะถ้าเทียบค่าเงินปัจจุบัน ทรัพย์สินของเขาจะสูงกว่า 13 ล้านล้านบาท
    เราจะพาคุณไปรู้จักกับ "ราชาน้ำมัน" อย่าง "John D. Rockefeller" กันให้มากยิ่งขึ้นครับ..
    [เด็กหนุ่มในครอบครัวพ่อค้าเร่...]
    John D. Rockefeller เกิดเมื่อปี 1839 ในครอบครัวของพ่อค้าชาวนิวยอร์ก
    ด้วยความที่พ่อมีอาชีพค้าขาย เขาจึงได้เรียนรู้ทักษะการค้าและเจรจาต่อรอง แลกกับการที่เขาต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ตามอาชีพของพ่อ
    จนกระทั่งในวัย 15 ปี หลังจากย้ายมาอยู่ในรัฐโอไฮโอ เขามีโอกาสได้ทำงานจริงๆ จังๆ ครั้งแรก ในบริษัทนายหน้าขายผักและธัญพืช
    หลังจากทำไปได้ 3 ปี พ่อหนุ่ม John เลือกที่จะลาออก แล้วมาเปิดบริษัทค้าขายพืชผักเป็นของตัวเอง
    นับเป็นโชคดีของ John ที่ประสบการณ์และคอนเนคชั่นจากการทำงาน ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจ จนเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเปิดกิจการได้
    ซึ่งจุดนี้นับว่าน่าสนใจมาก เพราะตอนนั้นเขาอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น
    และหลังจากเปิดบริษัทไปได้แค่ปีเดียว บริษัทก็สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 15 ล้านบาท จนเจ้าหนี้ทั้งหลายอยากจะสนับสนุนให้เขาขยายกิจการต่อไป
    และการได้รับความร่วมมืออันดี จากสถาบันการเงินในท้องถิ่นนี้เอง จะเปลี่ยนชีวิต John ไปตลอดกาล
    [จากคนขายผัก สู่การเป็นราชาน้ำมัน]
    ในปี 1859 ได้มีการค้นพบบ่อน้ำมันแห่งแรกของสหรัฐฯ ในรัฐเพนซิลเวเนีย
    ย้อนกลับไปในยุคนั้น แม้อุตสาหกรรมรถยนต์ยังไม่ทันเกิด แต่คนก็ใช้งานน้ำมันกันในการเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟและแสงสว่าง
    มันก็เลยเป็นสินค้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง
    ดังนั้น การค้นพบจึงนำไปสู่ "ยุคตื่นน้ำมัน" มีคนเข้ามาแสวงโชคเพื่อขุดหาน้ำมันในรัฐนี้กันเป็นจำนวนมาก
    John เองก็เป็นอีกคนที่สนใจในธุรกิจนี้ แต่หลังจากที่เขาศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เขาก็ตระหนักถึงความเสี่ยงของคนที่ต้องล้มละลายไปเพราะหาน้ำมันไม่ได้
    ดังนั้นเขาเลยได้ไอเดียธุรกิจอีกอย่างแทน ด้วยแนวคิดที่ว่า...
    "ปล่อยให้คนอื่นรับความเสี่ยงในการหาน้ำมันไป ส่วนเราก็กลั่นน้ำมันที่คนเหล่านั้นหามาได้แทน"
    เขารออย่างใจเย็นเป็นเวลาเกือบ 4 ปี จนกระทั่งรัฐบาลสร้างทางรถไฟเสร็จเรียบร้อยในปี 1863
    ถึงเวลานี้ John วิ่งเข้าหาแหล่งทุนทุกที่ที่มี เพื่อสร้างบริษัทกลั่นน้ำมันของตัวเองขึ้น และสถาบันการเงินก็พร้อมสนับสนุนเด็กหนุ่มคนนี้
    การมีต้นทุนนี้ บริษัทจึงสามารถจ้างคนที่มีความรู้ด้วยเงินเดือนสูงได้ ทำให้ธุรกิจกลั่นน้ำมันของเขา สามารถใช้น้ำมันดิบทุกหยดอย่างคุ้มค่ามากกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ
    นอกจากน้ำมัน ยังได้ผลผลิตอย่าง ขี้ผึ้งพาราฟิน น้ำมันดิน และแนพธา ออกมาขายอย่างคุ้มค่า
    นั่นทำให้ธุรกิจของเขาได้เปรียบ นำมาซึ่งรายได้และกำไรที่มากกว่าคู่แข่ง
    และแทนที่จะใช้เงินไปกับการเสวยสุข เขาเลือกนำกำไรที่ได้ ไปไล่ซื้อกิจการของโรงกลั่นคู่แข่งในพื้นที่มาเป็นของตัวเอง
    จนกระทั่งปี 1870 ชายวัย 31 ปีคนนี้ ก็กลายเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ทุกโรงในรัฐโอไฮโอแล้ว!!
    [Standard Oil บริษัทล้านล้านแรก ในประวัติศาสตร์อเมริกัน]
    เมื่อ John เป็นเจ้าของโรงกลั่นจำนวนมาก เขาจึงตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นมาเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมด
    ก่อนที่ตัวเขาและบริษัท จะออกรวบรวมกิจการที่เหลือ ด้วยวิธีการต่างๆ
    ไม่ว่าจะเป็นการชวนเข้าเป็นหุ้นส่วนแบบสันติ ซึ่งก็มีหลายคนที่เต็มใจขายกิจการให้กับเขา
    หรืออาศัยการตัดราคาน้ำมันเ พื่อทำให้คู่แข่งต้องยอมแพ้เข้าร่วมกิจการ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จมากในยุคนั้น
    ทำให้ในภายในปี 1880 บริษัท Standard Oil ก็กลายเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันทั้งหมด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
    และเป็นผู้กลั่นน้ำมันกว่า 90% ของน้ำมันทั้งหมดในสหรัฐฯ
    ซึ่งตามมาด้วยข้อครหาว่า การทำธุรกิจของ Standard Oil นั่นคือการขาดผูกขาด และทำลายการแข่งขันในประเทศตัวเอง
    ว่ากันว่าตอนยุค 1885 ที่ Standard Oil มาตั้งสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก เป็นจุดสูงสุดในอาชีพของ John D. Rockefeller
    เขามีบ่อน้ำมันกว่า 20,000 แห่ง มีท่อส่งน้ำมันยาวกว่า 6,000 กิโลเมตร มีพนักงานกว่า 100,000 คนที่ทำงานให้
    และที่สำคัญ Standard Oil กลายเป็นบริษัทแรกในประวัติศาสตร์อเมริกัน ที่มีมูลค่าระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (32 ล้านล้านบาท) หากเทียบเป็นค่าเงินปัจจุบัน
    ซึ่งนั่นเป็นอิทธิพลของบริษัทที่ใหญ่ระดับ Apple, Microsoft หรือ Amazon เลยทีเดียว
    [จุดจบราชา และการเสื่อมถอยของ Standard Oil]
    ในช่วงที่ Standard Oil ครองบ่อน้ำมันในสหรัฐอเมริกาอยู่ ภายนอกประเทศก็พบบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ ทั้งในรัสเซียและเอเชีย
    บ่อน้ำมันทั้งคู่ ถูกควบคุมดูแลโดยตระกูล Rothschilds แห่งฝรั่งเศส ที่กำลังเริ่มมีอิทธิพล และขยายอำนาจเข้ามาในสหรัฐฯ
    นั่นทำให้ Standard Oil ต้องพบคู่แข่งรายใหญ่ ที่มีอำนาจสูสีกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
    และอุปสรรคสำคัญก็มาถึง เมื่อรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ อนุมัติกฎหมายป้องกันการผูกขาดทางการค้าในปี 1890
    (นี่คือต้นแบบของกฎหมายป้องกันการผูกขาดในยุคปัจจุบัน และบางคนมองว่าเป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อจัดการกับ Standard Oil โดยเฉพาะ)
    เพราะหลังจากนั้น ทางอัยการของโอไฮโอ รัฐที่เป็นจุดกำเนิดธุรกิจของ John ก็ทำการฟ้องร้อง Standard Oil ด้วยข้อหาผูกขาดทางการค้าทันที
    การสืบสวนที่ใช้เวลานับสิบปี จนกระทั่งปี 1911 ทางรัฐบาลก็เอาผิดบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ได้
    ชัยชนะของภาครัฐในวันนั้น ส่งผลให้ Standard Oil ต้องแยกบริษัทออกเป็น 34 บริษัท และไม่สามารถมีอำนาจในการผูกขาดทางการค้าได้เหมือนเดิม
    แต่ถ้าถามว่า.. กระทบกับรายได้ของ John D. Rockefeller มากหรือไม่!?
    ก็ตอบว่า... มีบ้าง แต่แทบจะไม่กระทบอะไรมากนัก
    ตอนนั้นเขาอายุถึง 72 ปี กำลังอยู่ในช่วงวางมือจากกิจการแล้ว
    กิจการที่แยกออกไป มีความสามารถในการผูกขาดน้อยลง บางบริษัทมีกำไรมาก บางบริษัทกำไรน้อย
    แต่เขายังคงได้ส่วนแบ่งจากหุ้นในบริษัทน้ำมันเล็กๆ ทั้ง 34 บริษัท ซึ่งภายหลัง ก็สืบทอดกันมาเป็นธุรกิจน้ำมันยักษ์ใหญ่ในยุคปัจจุบัน เช่น..
    Standard Oil of California กลายมาเป็น Chevron ในปี 1984
    Standard Oil Company (New Jersey) กลายมาเป็น Exxon ในปี 1972
    หรือ Standard of Ohio ที่ตอนนี้ถูก BP บริษัทพลังงานอังกฤษเข้าซื้อไปแล้ว
    จะเรียกได้ว่า John คือผู้มีส่วนในการให้กำเนิดบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลกยุคนี้ ก็คงไม่ผิดนัก
    ในปี 1937 John D. Rockefeller เสียชีวิตลงด้วยวัย 97 ปี
    แต่แม้จะผ่านมาเป็นเวลากว่าศตวรรษ แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถแย่งตำแหน่งคนรวยที่สุดในสหรัฐฯ ไปจากเขาได้
    และชื่อของเจ้าแห่งวงการน้ำมันคนนี้ ก็กลายเป็นอีกหนึ่งในตำนานของวงการธุรกิจ ไปตลอดกาล...

    -----------------------------------------
    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน
    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First ไว้ด้วยนะ
    หรือติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง
    - เว็บไซต์ https://www.BillionMindset.com/
    - อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/
    - ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มาตรการแจกเงินเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลหลายประเทศใช้เพื่อพยุงปากท้องในแต่ละครัวเรือนในช่วงวิกฤตโควิด-19 ล่าสุดรัฐบาลกัมพูชามีแผนจะใช้นโยบายนี้ด้วยเช่นกัน
    .
    วันนี้สื่อซินหัวรายงานว่า เจ้าหน้าที่อาวุโสประจำกระทรวงการวางแผนของกัมพูชา รายงานว่ากัมพูชาวางแผนแจกเงินอุดหนุนให้แก่ครอบครัวยากจนและขาดแคลนจำนวน 562,686 ครัวเรือน ซึ่งมีสมาชิกเกือบ 2.3 ล้านคน ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19
    .
    ด้านนาย เต็ง ปัญญา ทน อธิบดีกรมวางแผน กล่าวเพิ่มเติมกับสำนักข่าวว่า พวกเขายากจน และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังสูญเสียรายได้ และกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหารเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ครอบครัวที่ยากจน และเปราะบางเหล่านี้ จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล
    .
    แต่เขายังไม่ทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงิน และเวลาที่พวกเขาจะได้รับเงิน เราจะส่งข้อมูลนี้ไปถึงสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผ่านทางกระทรวงเศรษฐกิจ และการคลังเพื่อให้นายกฯ เป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้
    .
    จนถึงขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขกัมพูชารายงานการตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ได้รับการยืนยันผลรวม 125 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่มาจากต่างประเทศ และยังไม่มีรายงานการตรวจพบผู้ป่วยเสียชีวิต โดยขณะนี้ยังเหลือผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกเพียง 2 ราย
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    http://www.xinhuanet.com/english/2020-06/03/c_139111616.htm
    https://www.naewna.com/inter/497047
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjH
     

แชร์หน้านี้

Loading...