ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทหารยิวไซออนิสต์ จับกุมผู้ว่าการเยรูซาเล็ม

    ในการกระทำอันก้าวร้าวล่าสุดทหารยิวไซออนิสต์ ได้จับกุมผู้ว่าการเยรูซาเล็ม

    การกระทำอันป่าเถื่อนของทหารยิวไซออนิสต์ในดินแดนปาเลสไตน์ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง

    ตามรายงานข่าวระบุว่า ทหารยิวไซออนิสต์ ได้บุกไปยังเขตพื้นที่ยึดครองเยรูซาเล็มและได้จับกุม Adnan Gheit ผู้ว่าการกรุงเยรูซาเล็ม

    ในขณะเดียวกันแหล่งข่าวปาเลสไตน์กล่าวว่าทหารยิวไซออนิสต์ได้จับกุมสมาชิกสี่คนของขบวนการฟาตาห์

    https://fa.alalamtv.net/news/4964096/نظامیان-صهیونیست-استاندار-قدس-را-بازداشت-کردند

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เรือบรรทุกน้ำมันอิหร่าน สองลำ กำลังเดินทางกลับประเทศ

    nournews - เรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านสองลำที่บรรทุกเชื้อเพลิงส่งไปเวเนซุเอลา หลังจากภารกิจเสร็จสิ้นแล้วกำลังเดินทางกลับอิหร่าน

    ในระหว่างการปฏิบัติงาน เรือบรรทุกน้ำมันทั้งห้าลำที่เดินทางไปยังเวเนซุเอลา ได้ปฏิบัติภารกิจโดยไม่มีปัญหาใด ๆ แม้จะมีภัยคุกคามจากสหรัฐอเมริกา

    https://nournews.ir/Fa/News/50858/بازگشت-2-نفتکش-ایرانی-به-کشور

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักวิเคราะห์ชาวอเมริกัน ชี้ การส่งเรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านที่ส่งไปยังเวเนซุเอลา เสมือนเป็น หนามยอกอก สำหรับ ทรัมป์

    nournews - นักวิเคราะห์ชาวอเมริกัน กล่าวว่าการส่งเรือบรรทุกน้ำอิหร่านไปยังเวเนซุเอลาที่ได้เข้าไปในซีกโลกตะวันตกแม้จะถูกคว่ำบาตรนั้นเสมือนเป็นหนายอกอกสำหรับทรัมป์

    Kahn Halinen กล่าวว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯทราบว่าคำพูดของพวกเขาไม่มีพื้นฐานทางกฎหมาย และสิ่งนี้ทำให้พวกเขาลังเลและสงสัยในความสามารถของพวกเขาที่จะดำเนินการกับอิหร่านที่ได้ส่งเชื้อเพลิงไปยังเวเนซุเอลาและค้าขายระหว่างสองประเทศ

    เขากล่าวเสริมว่า: "นี่เป็นมาตรการรายได้ให้กับอิหร่าน และจากมุมมองนี้มันจะเกิดร้อยร้าวในกำแพงของการคว่ำบาตรของสหรัฐที่ผิดกฎหมายต่อกรุงเตหะราน และในเวลาเดียวกันสหรัฐอเมริกาไม่สามารถและไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะยึดเรือของประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามในน่านน้ำสากล"

    "การส่งเรือน้ำมันอิหร่านครั้งนี้ทำให้การคว่ำบาตรที่ผิดกฎหมายอย่างสมบูรณ์ต่อทั้งสองประเทศนั้นอ่อนแอลง" เขากล่าวเสริม

    https://nournews.ir/Fa/News/50865/ارسال-نفتکش-ایران-به-ونزوئلا-خاری-در-چشم-ترامپ-بود

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ด่วน!!

    ซาอุละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยใช้เครื่องบินรบถล่มเยเมนที่เมืองซะอาดะห์และมะอ์ริบอย่างต่อเนื่อง

    รายงายข่าวระบุว่า พื้นที่ในประเทศเยเมนหลายแห่งโดยเฉพาะเมืองซะอาดะห์และมะอ์ริบถูกเครื่องบินรบซาอุดิอาราเบียโจมตีอย่างต่อเนื่องเมื่อ24ชั่วโมงที่ผ่านมา

    ทั้งนี้การโจมตีพลเรือนชาวเยเมนยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่สนใจสนธิสัญญาหยุดยิงแม้แต่น้อย!!!



     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การประท้วงในสหรัฐฯแพร่กระจายไปถึง 140 เมือง / ประกาศภาวะฉุกเฉินใน 21 มลรัฐ

    หนังสือพิมพ์”เดอะนิวยอร์กไทมส์”ได้ตีพิมพ์แผนที่ของพื้นที่ๆมีการประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติเกิดขึ้นและพื้นที่ๆกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาประจำการอยู่

    แผนที่แสดงที่ตั้งของพื้นที่ๆมีการประท้วงของประชาชนซึ่งเป็นสีแดงและที่ตั้งของกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติจะอยู่ในสีเหลือง

    การประท้วงได้แพร่กระจายไปอย่างน้อย 140 เมืองทั่วสหรัฐอเมริกา และอย่างน้อย 21 มลรัฐได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน!!



     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หรือเจ้าหน้าที่รัฐของอิรักจะเป็นผู้ทรยศ!!???!!

    ก่อนหน้านี้มีความเคลื่อนไหวมากมายระหว่างอิรัก-สหรัฐอเมริกา โดยประเด็นที่ถูกจับจ้องมากที่สุดเห็นจะเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อเจรจาในประเด็นความร่วมมือต่างๆแทบจะทุกด้านระหว่างอิรักกับอเมริกา ซึ่งเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงแบกแดดได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อวานนี้

    โดยในเรื่องนี้เลขาธิการขบวนการKata’ib (ฮิซบุลลอฮอิรัก)อย่าง ซัยยิดอัล ชุฮาดา ได้ออกมาให้ความเห็นบนทวีตเตอร์ส่วนตัวของเขาไว้อย่างน่าสนใจว่า

    “การเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างอิรัก-อเมริกา ที่กำลังจะเกิดขึ้น หากผู้เจรจาฝ่ายอิรักที่เคยดำริว่าจะขับไล่สหรัฐอเมริกาออกจากประเทศ ได้หลงลืมหยดเลือดที่สูญเสีย,บรรดาเด็กกำพร้า,บรรดาหญิงหม้ายและบรรดาผู้ที่ได้สละชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้วไซร้ พวกเขาคือผู้ทรยศ และถ้าผู้เจรจาฝ่ายอิรักเชื่อว่า พวกอเมริกันมีสิทธิ์ที่จะมีอำนาจหรือเข้ามาวางอำนาจในประเทศของเราแม้แต่เพียงทหาร1นาย พวกเขาก็คือผู้ทรยศเช่นกัน เราจะจับตาดูการเจรจาในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ถ้าการเจรจาในครั้งนี้เกิดขึ้นและอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติต่อเลือดของผู้ที่ได้สละชีวิตและนำพาไปสู่การถอนตัวของสหรัฐออกจากประเทศอิรัก มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้ามีอย่างอื่นเกิดขึ้นนอกจากสิ่งที่ได้กล่าวไปข้างต้นและพวกเรายังนิ่งเฉยอยู่ เรานี่แหละคือผู้ทรยศ!!!



     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การประท้วงในอเมริกาวันนี้ ถือเป็นเหตุการณ์จลาจลทางเชื้อชาติและสีผิวครั้งร้ายแรงสุดในรอบ 50 ปี(ครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา)

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประธานาธิบดีเวเนฯ : ฉันจะเยือนอิหร่านเร็วๆนี้ เพื่อขอบคุณ !!!

    ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา กล่าวว่า ในเร็วๆนี้ ฉันจะเดินทางเยือนอิหร่านเพื่อลงนามในข้อตกลงความร่วมมือในภาคพลังงานและภาคอื่นๆ

    ทั้งนี้ หลังจากที่เรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านลำที่ ห้า ได้ถึงเวเนซุเอลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาโดโร กล่าวว่า ฉันควรเดินทางด้วยตัวเองเพื่อขอบคุณประชาชนชาวอิหร่าน.....
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรณีศึกษา UNDER ARMOUR ฟอร์มตก มูลค่าหาย 5 แสนล้านใน 5 ปี / โดย ลงทุนแมน
    Under Armour เป็นแบรนด์กีฬาน้องใหม่
    ซึ่งถ้าเราเทียบเป็นนักกีฬาแล้ว
    ก็ไม่ต่างอะไรไปจากนักกีฬาดาวรุ่ง

    แบรนด์นี้ก่อตั้งธุรกิจมาเพียง 24 ปี
    เป็นหนึ่งในดาวรุ่งฟอร์มดี
    ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

    เรื่องนี้ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจ
    เข้าไปร่วมลงทุนในบริษัท จนปี 2015
    มูลค่าบริษัท Under Armour สูงถึง 7 แสนล้านบาท
    เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี..

    แต่หลังจากนั้น นักกีฬาดาวรุ่งคนนี้ก็เริ่มฟอร์มตก
    ไม่สามารถเติบโตได้เท่ากับที่หลายคนคาดหวังไว้
    ทำให้หุ้น Under Armour ถูกเทขายอย่างหนัก

    ปัจจุบัน Under Armour มีมูลค่าบริษัท
    เหลือเพียง 1.1 แสนล้านบาท
    ตกลงมาจากจุดสูงสุดในปี 2015 ถึง 84%

    แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ Under Armour?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ก่อนอื่นเรามาดูการเติบโตของรายได้บริษัท Under Armour

    ปี 2014 รายได้ 98,000 ล้านบาท
    ปี 2015 รายได้ 126,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29%
    ปี 2016 รายได้ 154,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%
    ปี 2017 รายได้ 159,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%
    ปี 2018 รายได้ 166,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%
    ปี 2019 รายได้ 168,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1%

    จะเห็นได้ว่ารายได้ของ Under Armour จากที่เคยเติบโตระเบิดต่อเนื่อง
    ระดับไม่ต่ำกว่า 20% ติดต่อกัน 20 ไตรมาส กลับหยุดชะงักลงในปี 2017

    ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าจุดแข็งของ Under Armour
    สวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมกีฬา

    ที่ผ่านมา Under Armour เติบโตมาจากเสื้อผ้าอุปกรณ์กีฬา
    กลุ่ม Performance Sportswear ที่โฟกัสการเจาะตลาดกลุ่มคอกีฬาจริงจัง

    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ก็คือ
    เราเริ่มมีมุมมองการสวมใส่แบรนด์กีฬาเปลี่ยนไป
    เปลี่ยนจากความจริงจัง กลายมาเป็นแฟชั่นมากขึ้น

    เทรนด์นี้ถูกเรียกว่า Athleisure มาจากคำว่า Athlete รวมกับ Leisure
    แปลว่าการแต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อผ้ากีฬาที่สามารถใส่ได้ทุกวัน

    เรื่องนี้เราอาจสังเกตได้จากแบรนด์กีฬาที่หายไปนาน
    แต่สามารถกลับมาเติบโตได้ เช่น Champion และ Fila

    อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ สัดส่วนรายได้ตามกลุ่มสินค้า

    Under Armour มีสัดส่วนรายได้จาก
    เสื้อผ้ากีฬา 66%
    รองเท้ากีฬา 21%
    อุปกรณ์อื่นๆ 13%

    ต่างจาก Nike และ Adidas ที่มีสัดส่วนรายได้จากรองเท้ากีฬาสูง
    ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มสินค้ากีฬาที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด

    นอกจากนี้ Under Armour ก็ยังเจอมรสุมอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น
    สินค้ากีฬาที่ทำให้นักกีฬาบาดเจ็บ
    สินค้าที่ร่วมกับซูเปอร์สตาร์แล้วไม่ประสบความสำเร็จ

    ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้รายได้ของ Under Armour เติบโตน้อยลง
    โดยเฉพาะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ รายได้หดตัว 2 ปี ติดต่อกัน

    แล้วสัดส่วนรายได้ของ Under Armour เป็นอย่างไร?
    รายได้ทุกๆ 100 บาทของ Under Armour มาจาก

    สหรัฐอเมริกา 69 บาท
    ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 12 บาท
    เอเชีย 12 บาท
    ลาตินอเมริกา 4 บาท
    และอื่นๆ 3 บาท

    เมื่อสหรัฐอเมริกาเป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัท
    การที่ยอดขายลดลงจึงกระทบต่อธุรกิจมหาศาล

    ซึ่งนอกจากผลกระทบต่อรายได้ กำไรแล้ว
    มันก็ยังกลายเป็นคำถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
    จะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอื่นๆ หรือไม่

    แต่เมื่อธุรกิจเราเป็นดั่งดาวรุ่ง
    ที่แบกความคาดหวังของนักลงทุนไว้มาก

    เมื่อเราฟอร์มตก ไม่สามารถทำผลงานได้สม่ำเสมอ
    จนท้ายที่สุดความคาดหวังกลายมาเป็นความผิดหวัง

    ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มันก็จะรุนแรง
    ในที่นี้ก็คือ มูลค่าบริษัท Under Armour ที่หายไป 84%
    หรือคิดเป็นเท่ากับ 5 แสนล้านบาท นั่นเอง..
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -Under Armour Investor Relations

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เงินเฟ้อติดลบ จะกระทบชีวิตเราอย่างไร? /โดย ลงทุนแมน
    ในวิชาการเงิน มักพร่ำสอนมาเสมอว่า เงินที่เราถืออยู่นั้นจะด้อยค่าลง
    ซึ่งเราควรนำเงินไปลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนให้ได้มากกว่าเงินเฟ้อ
    โดยเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3%

    หมายความว่า ถ้าวันนี้เราถือเงินอยู่ 100 บาท ณ สิ้นปี สินค้าและบริการจะมีราคาสูงขึ้นจนทำให้เสมือนเงินของเรามีมูลค่าลดลงเหลือ 97 บาท

    อย่างไรก็ตาม วันนี้สิ่งที่ประเทศไทยของเราเจอกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
    เพราะเงินเฟ้อกำลังติดลบในปีนี้
    เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
    เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
    ╚═══════════╝
    ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกับความหมายของเงินเฟ้อกันก่อน

    ภาวะเงินเฟ้อคือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าโดยเฉลี่ยนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้น
    ซึ่งหากเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นมากและเร็วเกินไปจะกระทบกับฐานะความเป็นอยู่ประชาชน และจะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นหมดความน่าเชื่อถือไปด้วย

    โดยการเกิดขึ้นของเงินเฟ้อนั้นอาจเกิดมาจากฝั่งผู้ซื้อ ที่ต้องการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเร็วมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่มีขายอยู่ในตลาด (Demand - Pull Inflation)

    หรืออาจเกิดจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจนทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถแบกรับต้นทุนดังกล่าวได้ จนต้องเพิ่มราคาสินค้าและบริการ (Cost - Push Inflation)

    แล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเงินเฟ้อของประเทศไทยที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
    2561 อัตราเงินเฟ้อ 1.1%
    2562 อัตราเงินเฟ้อ 0.7%

    ดังนั้น คำว่า “เงินเฟ้อจะโตปีละ 3%” ก็ไม่เป็นจริงเสมอไป อย่างน้อยๆ ก็ในช่วงที่ผ่านมานี้

    แต่ที่น่าสนใจคือ
    ในเดือนเมษายน 2563 อัตราเงินเฟ้อของไทยเท่ากับ -2.9% ซึ่งติดลบมากที่สุดในรอบ 11 ปี..

    ปรากฏการณ์เงินเฟ้อติดลบ ในทางเศรษฐศาสตร์เราจะเรียกว่า ภาวะเงินฝืด
    ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อระดับราคาสินค้าและบริการลดลงอย่างต่อเนื่อง

    แล้วสิ่งนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรในประเทศไทย

    เรื่องแรกเป็นเรื่องของราคาพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่มีทิศทางลดลงมาตั้งแต่ปี 2561 สังเกตได้จากค่าใช้จ่ายในการนำเข้าสินค้าประเภทเชื้อเพลิงนั้นลดลง

    ปี 2561 มูลค่านำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงเท่ากับ 1.3 ล้านล้านบาท
    ปี 2562 มูลค่านำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงเท่ากับ 1.1 ล้านล้านบาท

    โดยสินค้าประเภทเชื้อเพลิงทั้งน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน นับเป็นต้นทุนสำคัญสำหรับภาคการผลิตและการขนส่งของประเทศไทย

    อีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้คือ การเติบโตแบบก้าวกระโดดของของธุรกิจ E-Commerce

    ปี 2557 มูลค่าตลาดของ E-commerce เท่ากับ 2.0 ล้านล้านบาท
    หรือ 15% ของ GDP ทั้งประเทศ

    ปี 2561 มูลค่าตลาดของ E-commerce เท่ากับ 3.2 ล้านล้านบาท
    หรือ 19% ของ GDP ทั้งประเทศ

    เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการหลายรายนั้นลดลง
    แต่ E-Commerce ยังทำให้เกิดการแข่งขันสูง

    ทั้ง 2 ปัจจัย ราคาเชื้อเพลิง และ E-Commerce ทำให้ราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมาจึงมีแนวโน้มลดลง

    บางคนอาจบอกว่า
    ปรากฏการณ์เงินฝืดน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะราคาสินค้านั้นมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ

    อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่า ระดับราคาสินค้าที่ลดลง นั่นหมายถึง รายได้ของผู้ผลิตนั้นมีแนวโน้มลดลง

    ดังนั้น ผู้ผลิตก็อาจไม่มีแรงจูงใจที่จะผลิตสินค้าและบริการในปริมาณเท่าเดิม จนต้องลดการผลิตลง หรือแม้แต่ลดการจ้างงานลง ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ

    ที่สำคัญเรื่องนี้ยังกระทบไปถึงเรื่องของการบริโภคในระบบเศรษฐกิจ

    ลองนึกว่า ถ้าเรากำลังต้องการซื้อสินค้าสักชิ้นในวันนี้ แต่การที่เงินเฟ้อติดลบ จะทำให้คิดว่าเราควรรออีกสักพักให้ราคามันถูกลง แล้วค่อยซื้อจะดีกว่า

    ซึ่งการที่คนจำนวนมากตัดสินใจแบบนี้ จะส่งผลให้ผู้คนเลื่อนการบริโภค ผู้ผลิตขายสินค้าได้น้อยลง จนต้องลดราคาลงไปอีก วนกันเป็นลูปที่ทำให้เศรษฐกิจไม่ขยายตัว และในที่สุดก็จะไปกระทบกับรายได้และกำไรของธุรกิจ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องลดการผลิต และเลิกจ้างพนักงาน

    อีกเรื่องที่หลายคนคิดไม่ถึงคือ
    ภาวะเงินฝืดนั้นจะส่งผลเสียต่อลูกหนี้ หรือพูดง่ายๆ ภาระหนี้ที่แท้จริงของลูกหนี้นั้นมีมากขึ้น

    ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ
    ถ้าวันนี้เราเป็นเจ้าของร้านรองเท้าอยู่ โดยมีหนี้กับธนาคารอยู่ 100,000 บาท ร้านของเราขายรองเท้าเฉลี่ยคู่ละ 1,000 บาท ซึ่งต้องขาย 100 คู่ จึงจะสามารถนำเงินไปใช้หนี้ได้

    แต่เมื่อเกิดภาวะเงินฝืดขึ้น ราคารองเท้าลดลงจากคู่ละ 1,000 บาท เหลือคู่ละ 500 บาท หมายความว่า ตอนนี้ ร้านของเราต้องขายรองเท้าถึง 200 คู่ จึงจะสามารถนำเงินไปใช้หนี้ได้นั่นเอง

    ซึ่งแน่อนว่า
    ถ้าจำนวนครัวเรือนของไทยมีภาระหนี้สินจำนวนมาก
    การเกิดภาวะเงินฝืดจะยิ่งทำให้ภาระหนี้ที่แท้จริงนั้นกลับสูงขึ้นไปอีก
    ดังนั้น ถ้ามีคนบอกเราว่า ภาวะที่ราคาสินค้ามีแนวโน้มลดลงนั้นเป็นเรื่องที่ดี
    อาจต้องตอบเขากลับไปว่า มันก็ไม่จริงเสมอไป..
    ╔═══════════╗
    อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
    เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://www.bot.or.th/App/BTWS_STAT/statistics/ReportPage.aspx?reportID=409&language=th
    -http://www.indexpr.moc.go.th/price_present/cpi/data/index_47.asp?list_month=04&list_year=2563&list_region=country
    -https://www.bot.or.th/App/FinancialLiteracy/ExchangeRate/01_01_contentdownload_inflation.pdf
    -http://tradereport.moc.go.th/Report/Default.aspx?Report=MenucomRecode&ImExType=0&Lang=Th
    -https://www.etda.or.th
    -https://data.worldbank.org/country/thailand

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รู้จัก เซาเปาลู เมืองเจริญสุดของบราซิล ที่กำลังเจอศึกหนัก /โดย ลงทุนแมน
    ถ้าพูดถึง ศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศบราซิล
    หลายคนอาจนึกถึงเมือง รีโอเดจาเนโร
    เมืองใหญ่ที่มีรูปปั้นพระเยซูคริสต์บนยอดเขา มีชายหาดที่มีชื่อเสียง
    และเคยเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโอลิมปิก 2016

    แต่ความจริงแล้ว บราซิลมีศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเงินอยู่ที่เมือง “เซาเปาลู” (São Paulo)
    ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากรีโอเดจาเนโร ลงมาทางใต้ราว 400 กิโลเมตร

    ด้วยขนาดเศรษฐกิจถึง 1 ใน 4 ของประเทศ
    เมืองนี้เป็นที่ตั้งของตลาดหุ้น และสถาบันการเงินหลายแห่ง
    เซาเปาลูจึงเป็นเหมือนหัวรถจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้

    แต่ในวันนี้ บราซิลซึ่งมีปัญหาเศรษฐกิจอยู่แล้ว กลับถูกซ้ำเติมด้วยโรคระบาด
    โดยเซาเปาลูเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด

    เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    จุดเริ่มต้นของเซาเปาลู ถูกก่อตั้งโดยคณะนักบวชชาวโปรตุเกสในช่วงศตวรรษที่ 16
    ชื่อเซาเปาลู เป็นภาษาโปรตุเกส มาจากคำว่า เซนต์พอล ซึ่งเป็นนักบุญในคริสต์ศาสนา

    ในช่วงแรกเซาเปาลู มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง เมื่อเทียบกับเมืองหลวงเก่าของบราซิล
    อย่างรีโอเดจาเนโร
    แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้เศรษฐกิจของเซาเปาลูเติบโตอย่างรวดเร็วก็คือ “กาแฟ”

    ต้นกาแฟถูกนำเข้ามาปลูกที่บราซิลครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 18
    เมื่อกาแฟเริ่มเป็นที่นิยมในยุโรป จึงมีความสำคัญมากขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1830
    และเกิดการขยายตัวของการปลูกกาแฟในบราซิลเพื่อส่งออกไปยังยุโรป

    การปลูกกาแฟต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ระดับความสูง 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป
    มีอุณหภูมิอยู่ที่ 15-25 องศาเซลเซียส และมีปริมาณฝนที่พอเหมาะ

    รัฐเซาเปาลูตั้งอยู่ทางตอนใต้ของบราซิล มีภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้น
    และมีคุณสมบัติทุกอย่างที่กาแฟต้องการ
    พื้นที่รอบเมืองเซาเปาลูจึงกลายเป็นเขตปลูกกาแฟที่ใหญ่ที่สุดของบราซิล

    เซาเปาลูขึ้นแท่นเป็นศูนย์กลางการส่งออกกาแฟ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของบราซิล
    โดยมีท่าเรือซานโตส (Santos) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเซาเปาลู 55 กิโลเมตร
    เป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ส่งออกกาแฟจากบราซิลไปยังยุโรปและสหรัฐอเมริกา

    ในช่วงแรก แรงงานในไร่กาแฟใช้แรงงานทาสจากทวีปแอฟริกา
    แต่เมื่อการค้าทาสสิ้นสุดลงในช่วงศตวรรษที่ 18

    แรงงานส่วนใหญ่ของไร่กาแฟจึงกลายเป็นผู้อพยพจากยุโรป
    โดยเฉพาะจากอิตาลีตอนใต้ ซึ่งอพยพหนีความแร้นแค้นมาในช่วงปี ค.ศ. 1890 - ค.ศ. 1910
    เรื่องนี้จึงทำให้เซาเปาลูเป็นชุมชนชาวอิตาลีที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้

    ต่อมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
    ความต้องการกาแฟในยุโรปลดลง กระทบต่อการส่งออกกาแฟของบราซิลอย่างหนัก

    แรงงานชาวอิตาลีในไร่กาแฟต่างอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองเซาเปาลูเพื่อหางานทำ

    ในเวลานั้น บราซิลประสบปัญหาขาดแคลนสินค้าอุตสาหกรรมซึ่งต้องนำเข้าจากยุโรป
    จึงเริ่มมีโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อทดแทนการนำเข้า เช่น อุตสาหกรรมอาหารและสิ่งทอ

    ด้วยความที่เซาเปาลูมีแรงงานอพยพเข้ามามาก มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี
    เมืองแห่งนี้จึงกลายเป็นเขตอุตสาหกรรมที่สำคัญของบราซิล
    ดึงดูดผู้คนจากทั่วประเทศให้เข้ามาทำมาหากิน
    จนมีประชากรแซงหน้าเมืองหลวงเก่าอย่างรีโอเดจาเนโรในช่วงทศวรรษที่ 1970

    ในปัจจุบัน ด้วยประชากร 21.5 ล้านคน
    เซาเปาลูและปริมณฑลคือเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศบราซิล
    และยังพ่วงตำแหน่งเมืองใหญ่ที่สุดของทวีปอเมริกาใต้ และใหญ่ที่สุดของซีกโลกใต้อีกด้วย

    เซาเปาลูเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญที่สุดของประเทศ
    เป็นที่ตั้งของ Brasil Bolsa Balcão ตลาดหุ้นเพียงแห่งเดียวของบราซิล

    ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในบราซิลและทวีปอเมริกาใต้ Banco Itaú Unibanco
    มีสินทรัพย์กว่า 13 ล้านล้านบาท ก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เซาเปาลู
    รวมไปถึงบริษัทเหล็กกล้าที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ Companhia Siderúrgica Nacional

    ขนาดเศรษฐกิจของเซาเปาลูและปริมณฑลอยู่ที่ 15.0 ล้านล้านบาท
    หากหารด้วยจำนวนประชากร 21.5 ล้านคน
    จะทำให้มี GDP ต่อหัว 700,000 บาทต่อปี
    ซึ่งสูงกว่า GDP ต่อหัวของชาวบราซิลถึง 2.5 เท่า

    เซาเปาลูจึงเป็นเหมือนหัวรถจักรทางเศรษฐกิจของบราซิลมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ
    เป็นศูนย์กลางการส่งออกเหล็กกล้า ผลผลิตการเกษตร เช่น ถั่วเหลือง และกาแฟ

    แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังทศวรรษที่ 2010
    การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเซาเปาลูก็ค่อยๆ หดตัวลง

    เนื่องจากสินค้าทางการเกษตร เช่น ถั่วเหลือง มีราคาตกต่ำ
    ในขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเหล็กกล้าก็มีแนวโน้มลดลง

    หนี้สาธารณะของบราซิลเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีเกือบ 76% ของ GDP
    ทำให้รัฐบาลต้องตัดงบประมาณด้านต่างๆ ที่ส่งมาให้รัฐเซาเปาลู
    จนเกิดการประท้วงของประชาชนหลายต่อหลายครั้ง

    และก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อการระบาดของโควิด-19 เดินทางมาถึงบราซิล
    ผ่านผู้อพยพและนักท่องเที่ยวที่เดินทางกลับมาจากประเทศในยุโรป โดยเฉพาะอิตาลี

    บราซิลกลายเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโควิดมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา
    ด้วยจำนวนผู้ป่วยทะลุ 5 แสนราย
    โดยศูนย์กลางการระบาดอยู่ที่เซาเปาลู มีจำนวนผู้ป่วยเกือบ 1 แสนรายแล้ว

    ผู้ว่าการรัฐเซาเปาลูได้สั่งให้มีมาตรการ Lockdown
    ธุรกิจและร้านค้าต่างๆ ในเมืองเซาเปาลูและปริมณฑลได้รับผลกระทบอย่างหนัก

    เมื่อหัวรถจักรของบราซิลประสบปัญหา
    IMF คาดการณ์ว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิลในปีนี้จะ “ติดลบ” 5.3%

    ในขณะที่ประธานาธิบดีบราซิล กลับไม่เห็นด้วยกับมาตรการ Lockdown ของผู้ว่าการรัฐต่างๆ
    และออกมาแสดงท่าทีสนับสนุนประชาชนที่ออกมาต่อต้านการ Lockdown อย่างชัดเจน

    ความขัดแย้งกันของผู้นำ ยิ่งซ้ำเติมให้สถานการณ์โรคระบาดในบราซิลรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
    จำนวนผู้ติดเชื้อในเซาเปาลูยังคงเพิ่มสูง ในขณะที่ผู้เสียชีวิตมีเกือบ 7,000 รายแล้ว

    อย่างไรก็ตาม แนวโน้มสถานการณ์ของโรคระบาดอาจเลวร้ายกว่านี้
    หากคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า
    เซาเปาลู และเมืองใหญ่ๆ ของบราซิล ส่วนใหญ่แล้วตั้งอยู่ในซีกโลกใต้

    ซึ่งฤดูหนาวกำลังเข้ามาเยือน ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า..
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://agenciadenoticias.ibge.gov.br/en/agencia-news/2184-news-agency/news/26407-pib-da-cidade-de-sao-paulo-equivale-ao-da-soma-de-4-3-mil-municipios-brasileiros-2
    -https://www.thoughtco.com/the-history-of-sao-paulo-2136590
    -https://www.bbc.com/news/world-latin-america-52701524
    -https://www.macrotrends.net/cities/20287/sao-paulo/population
    -https://tradingeconomics.com/brazil/government-debt-to-gdp
    -https://advisor.visualcapitalist.com/covid-19-recovery-economic-forecast/
    -https://www.worldometers.info/coronavirus/

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 31 พฤษภาคม 2020 สำนักข่าวนิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า นางสาวอูรจ์ ราฮ์มาน (Urooj Rahman) ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน วัย 31 ปี ถูกตำรวจเมืองนิวยอร์กจับกุม ข้อหาทำลายทรัพย์สินของรัฐ หลังเธอโยนระเบิดขวด (Molotov cocktail) เข้าไปในรถยนต์ของกรมตำรวจนิวยอร์กจนเกิดเพลิงไหม้
    .
    นางราฮ์มาน กลายเป็นหนึ่งในผู้ก่อเหตุจลาจลหลายพันคนที่ถูกตำรวจจับกุม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การประท้วงบานปลายไปสู่การก่อจลาจลในหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ โดยสาเหตุของความโกลาหลทั่วสหรัฐฯในครั้งนี้ เริ่มมาจากกรณีที่ตำรวจอเมริกันผิวขาว กระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ จนทำให้นายจอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) ชาวอเมริกันผิวสีเสียชีวิต เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา
    .
    ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนรายนี้ ถูกจับพร้อมกับ นายโคลินฟอร์ด คิง แมตติส (Colinford King Mattis) นักกฎหมาย วัย 32 ปี ที่ทำงานในบริษัททนายความ Pryor Cashman LLP ซึ่งนายแมตติสเป็นเพื่อนของนางสาวราฮ์มาน ที่ร่วมกันก่อเหตุโยนระเบิดขวดใส่รถยนต์ของกรมตำรวจนิวยอร์ก โดยหลังก่อเหตุ นักกฎหมายทั้ง 2 คนพยายามขับรถตู้ออกมาจากพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อหลบหนีการจับกุม แต่พวกหนีไปได้ไม่กี่ช่วงตึก ก็ถูกรถตำรวจไล่ตามจับกุมไว้ได้ ซึ่งภายในรถตู้ของพวกเขา ตำรวจพบระเบิดขวดพร้อมใช้งาน วัตถุสำหรับประกอบระเบิดขวด ไฟแช็ก และน้ำมันเชื้อเพลิง โดยทั้ง 2 อาจถูกลงโทษจำคุก 5-20 ปี
    .
    อย่างไรก็ตาม วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักข่าวนิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า ศาลอาญากรุงนิวยอร์ก เขตบรูกลิน (Brooklyn) ได้อนุญาตให้นางสาวอูรจ์ ราฮ์มาน และนายโคลินฟอร์ด คิง แมตติส ได้รับการประกันตัวชั่วคราว โดยที่ทั้ง 2 คนได้วางเงินประกันตัวคนละ 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7,800,000 บาท

    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://www.nytimes.com/2020/05/31/nyregion/nyc-protests-lawyer-molotov-cocktail.html

    https://www.nytimes.com/aponline/2020/06/01/us/ap-us-america-protests-firebombing-charges.html

    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    องค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก กำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาซ้ำเติมอีกระลอก ในขณะที่ประเทศยังต้องรับมือกับไวรัสโควิด-19 อยู่ในเวลานี้ โดยพบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 5 ราย จำนวนนี้เป็นเด็กหญิงวัย 15 ปี รวมอยู่ด้วย
    .
    หน่วยงานด้านสาธารณสุขคองโกเผยว่า รายงานการเสียชีวิตมีขึ้นระหว่างวันที่ 18 ถึง 30 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยพบแหล่งระบาดใหม่ในบังดาคา จังหวัดเอกวาเตอร์ ทางตะวันตกของประเทศ แต่เพิ่งได้รับการยืนยันผลการตรวจสาเหตุการเสียชีวิตเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ทางการต้องเฝ้าระวังจับตาการระบาดกลุ่มของอีโบลารอบใหม่
    .
    โดยเชื้ออีโบลาเริ่มแพร่ระบาดในคองโก มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 และจนถึงขณะนี้ทางการยังไม่ได้ประกาศว่าการแพร่ระบาดได้ยุติลง ขณะที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้แล้วอย่างน้อยกว่า 2,200 คน และมีผู้ป่วยโรคหัดสะสมอีกอย่างน้อย 300,000 ราย
    .
    ส่วนสถานการณ์เชื้อโควิด-19 ในคองโก มีรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อล่าสุด 3,194 ราย รักษาหายแล้ว 454 ราย เสียชีวิต 72 ราย
    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://edition.cnn.com/2020/06/01/health/ebola-outbreak-congo-intl/index.html

    https://www.nytimes.com/2020/06/01/world/africa/ebola-outbreak-congo.html

    https://www.naewna.com/inter/496663

    https://www.posttoday.com/world/625056
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คนไทยจากญี่ปุ่นกลับมาอีก 1 เที่ยวบิน 110 คน พบ 7 คนไข้สูงต้องส่งรพ.
    คนไทยจากญี่ปุ่น เดินทางกลับมาอีก 110 คน ลงเครื่องที่สุวรรณภูมิ พบมีไข้สูง 7 คน นำส่งโรงพยาบาลทันที ที่เหลือ 103 คน ขึ้นรถบัส กักตัว 14 วัน ตามมาตรการของรัฐที่โรงแรมริมหาดพัทยา
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เปิดให้พุทธศาสนิกชนเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (ภูเขาทอง)

    หลังจากปิดวัดเป็นเวลา 2 เดือนเพราะโควิด-19

    ---

    ข้อปฏิบัติ

    1. สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หากมีอาการไข้ ไอ ให้งดเข้าสักการะ

    2. ตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้า

    3. ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ในจุดบริการก่อนเข้าไป

    4. เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2 เมตร ในการเดินเข้าไปกราบสักการะ

    5. นั่งรอตามจุดที่กำหนดไม่ให้มายืนรวมกลุ่ม

    ---

    เวลาเปิด - ปิด 07.00 - 19.00 น.

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แคนาดาขวางทรัมป์ ชวนรัสเซียร่วมจี 7
    เมื่อ 1 มิ.ย. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯโทรศัพท์คุยกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ให้เข้าร่วมการประชุมกลุ่มประเทศ อุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือจี 7 แต่ไม่มีรายละเอียด
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตลาดแรงงานเริ่มผงกหัว มั่นใจสมัครงานเพิ่ม 20%
    สัญญาณตลาดแรงงานเดือน พ.ค.เริ่มฟื้น คนสมัครงานเพิ่มขึ้น 20% เพราะเริ่มมั่นใจ พบในวิกฤติ ยังมีหลายธุรกิจรับพนักงาน หวังได้คนเก่งเข้ามาช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านวิบากกรรม
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อุตสาหกรรมแฟชั่น ทำลายโลกมากกว่าที่เราคิด /โดย ลงทุนแมน
    รู้หรือไม่ “อุตสาหกรรมแฟชั่น” สร้างผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมมากเป็นอันดับ 2 ของโลก
    ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราทิ้งเสื้อผ้าที่เราซื้อมาบ่อยครั้งเพียงสาเหตุเดียว
    แต่กระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมแฟชั่นกำลังเป็นตัวปัญหา
    ซึ่งจริงๆ แล้วเราสามารถทำให้มันดีขึ้นได้

    เรื่องนี้มีที่มาเป็นอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

    “น้ำ ดิน อากาศ”
    3 สิ่งนี้คือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นลำดับแรกๆ

    เรามาเริ่มกันที่ผลกระทบต่อ “น้ำ”

    รู้หรือไม่ว่า การผลิตเสื้อยืดเพียง 1 ตัว เราจะต้องใช้น้ำมากถึง 2,700 ลิตร
    ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอสำหรับคนๆ หนึ่งจะบริโภคได้ถึง 3 ปี

    เหตุผลที่ต้องใช้น้ำมากขนาดนี้ก็เป็นเพราะเสื้อยืดทำมาจาก “ฝ้าย”
    และฝ้ายเป็นพืชที่ต้องใช้น้ำในปริมาณที่สูงมากในการปลูก

    ในขณะที่ อินเดียซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการปลูกฝ้าย
    และทำอุตสาหกรรมแฟชั่นรายใหญ่ของโลก

    ต้องใช้น้ำจืดถึง 85% ของปริมาณการใช้ทั้งหมด ในการปลูกฝ้าย
    แต่คนอินเดียกว่า 100 ล้านคนกลับไม่สามารถเข้าถึงน้ำดื่มได้

    นอกจากนี้ ในกระบวนการ “ฟอกย้อมสีผ้า”
    ยังต้องใช้น้ำ และสารเคมีเป็นจำนวนมหาศาล
    กระบวนการนี้จะทำให้น้ำสะอาด กลายเป็นน้ำที่มีการปนเปื้อนในทันที..

    ถัดมาก็คือ ผลกระทบต่อ “ดิน”

    ปุ๋ยและสารเคมีที่ใช้สำหรับการปลูกฝ้ายในหลายแห่งจะทิ้งสารตกค้างไว้ในดิน
    ซึ่งในบางกรณีจะทำให้ดินเสียหายและเสื่อมคุณภาพไปในที่สุด

    นอกจากนี้ใน 1 ปีจะมีเสื้อผ้าเก่า และของเสียจากอุตสาหกรรมแฟชั่น
    ถูกโยนทิ้งในพื้นที่เปล่า หรือ พื้นที่ฝังกลบ มากกว่า 10 ล้านตันต่อปี

    น่าเสียดายที่ของเสียเหล่านี้ถูกนำไปรีไซเคิลไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ

    ส่วนผลกระทบต่อ “อากาศ”
    รู้หรือไม่ 10% ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก มาจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ

    โดยการผลิตเสื้อผ้า 1 ตัว
    กระบวนการผลิตจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ สูงถึง 3 - 4 กิโลกรัม
    ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหา “ภาวะเรือนกระจก” และ “ภาวะโลกร้อน” ตามมาอีกด้วย

    ดังนั้นถ้าเราไม่รีบแก้ปัญหานี้
    ทุกอย่างอาจจะสายเกินแก้..

    มีการคาดการณ์ว่า
    - ในอีก 10 ปีข้างหน้า ของเสียจากอุตสาหกรรมแฟชั่นในออสเตรเลียจะเพิ่มขึ้นจนสามารถนำวางเรียงเป็นแนวราบได้เต็มพื้นที่ทั้งประเทศออสเตรเลีย

    - ในอีก 30 ปีข้างหน้า โลกจะเหลือปริมาณน้ำสะอาด 75% ของปริมาณน้ำทั้งหมด

    - ในอีก 60 ปีข้างหน้า โลกจะเหลือปริมาณน้ำสะอาดเพียง 50% ของปริมาณน้ำทั้งหมด

    จากน้ำสะอาดที่เหมือนเป็นของราคาถูกในตอนนี้ มันอาจจะกลายเป็นของหายากในรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา

    แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ โดยไม่ให้กระทบกับการเติบโตของอุตสาหกรรมแฟชั่นได้อย่างไร?

    เราลองมาดูวิธีการแก้ปัญหาของแบรนด์ต่างๆ กันครับ

    เริ่มกันที่แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง “ZARA” ที่ได้มีการประกาศว่า
    ภายในปี 2025 แบรนด์จะหันมาใช้ผ้าฝ้าย และผ้าลินินแบบออร์แกนิก ซึ่งจะช่วยลดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมลงได้

    นอกจากนี้ ZARA จะหันมาใช้ผ้าโพลีเอสเตอร์ ที่ทำมาจาก “วัตถุดิบรีไซเคิล” แทนการใช้วัตถุดิบที่ผลิตใหม่

    ตามมาด้วยแบรนด์ Adidas และ H&M ก็ได้ประกาศว่าจะหันมาใช้ “ผ้ารีไซเคิล” เช่นกัน

    ตอนนี้หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยว่า “ผ้ารีไซเคิล” คืออะไร
    เราลองมาทำความรู้จักผ้าชนิดนี้กัน

    ผ้ารีไซเคิล คือ ผ้าที่ผลิตจากวัสดุเหลือใช้ อย่างเช่น ขวดน้ำที่นำไปเข้ากระบวนการต่างๆ จนสามารถนำไปทอผ้าได้ หรือเสื้อผ้าเก่าที่นำไปแปรสภาพเป็นเส้นใยและทอเป็นผ้าใหม่

    วิธีนี้เป็นวิธีที่น่าสนใจ
    เพราะไม่เพียงแค่เราจะสามารถลดปริมาณขยะพลาสติกและขยะเสื้อผ้าเก่าที่มีอยู่เดิม
    แต่ยังช่วยลดการผลิตวัสดุต่างๆ ขึ้นใหม่ได้

    ดังนั้น ถ้าเรานำของเดิมที่มีอยู่กลับมาใช้ใหม่ และมีการผลิตเพิ่มขึ้นใหม่น้อยลง
    โลกของเราจะสามารถแก้ปัญหาขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    และสำหรับผู้บริโภค มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าในอนาคตเราจะสามารถซื้อเสื้อผ้าใหม่ได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับโลกใบนี้..

    <AD>
    แล้วในไทย เรามีการผลิตผ้ารีไซเคิลแล้วหรือยัง?

    - SC GRAND “แบรนด์ผ้ารีไซเคิล”

    เป็นหนึ่งในโรงงานผลิตผ้ารีไซเคิลในไทย โดยการนำเสื้อผ้าเก่า และของเสียที่อยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ มารีไซเคิลเป็นผ้าใหม่หรือเรียกว่า ผ้ารีไซเคิลคอทตอนและผ้ารีไซเคิลโพลีเอสเตอร์

    โดยทางโรงงานของ SC GRAND จะใช้ “ระบบการผลิตแบบหมุนเวียน (Circular Fashion)”
    ระบบนี้จะเป็นกระบวนการผลิตผ้ารีไซเคิล จากวัตถุดิบที่มีอยู่แล้ว อย่างเช่น

    - เศษผ้าที่เหลือจากการตัดเย็บ
    - เสื้อผ้าเก่าที่ถูกทิ้ง
    - ของเสียจากอุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ

    ซึ่งระบบนี้จะมีแค่ที่โรงงานของ SC GRAND เท่านั้น (Zero waste and closed loop system)

    ต่อจากนี้ถ้าแบรนด์แฟชั่นต่างๆ หันมาใช้ผ้ารีไซเคิลมากขึ้น นั่นหมายความว่า โลกของเราก็จะดีขึ้นเช่นกัน

    References
    - www.circularoem.com
    - www.sustainyourstyle.org/en/whats-wrong-with-the-fashion-industry
    - https://www.businessoffashion.com/articles/intelligence/
    - https://www.dezeen.com/2019/07/18/zara-sustainable-fabrics-cotton-polyester-2025/
    - https://ourworldindata.org/water-accessd
    - https://www.businessinsider.com/
    - http://riverbluethemovie.eco

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,705
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินเดียหักดิบ “เปิดเมือง”
    แม้ยอดโควิดยังพุ่ง
    เมื่อเรื่องปากท้องสำคัญกว่าสุขภาพ
    .
    .
    สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อินเดียผ่าน “หลักไมล์” ที่สำคัญ หลังยอดผู้ติดเชื้อทะยานเกิน 1.8 แสนคน ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ เพิ่มถึงวันละกว่า 8,000 คน ทำลายสถิติใหม่ทุกวัน และยอดผู้เสียชีวิต พุ่งถึง 5,000 คน แซงประเทศต้นกำเนิดของโควิด – 19 อย่างจีนไปเรียบร้อย
    .
    แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ นายกฯ นเรนทรา โมดี กลับยังยึดกำหนดการเดิม เริ่ม “เปิดเมือง” ยุติการ “ล็อคดาวน์” ที่ดำรงอยู่อย่างเข้มข้นทั่วประเทศมาตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. นั่นทำให้โรงแรม ร้านอาหาร สถานที่สำคัญทางศาสนา หรือแม้แต่มหาวิทยาลัย โรงเรียน ก็กลับมาเปิดตามปกติอีกครั้ง ท่ามกลางความหวาดวิตกว่าการระบาดในอินเดียจะไม่จบง่ายๆ ไม่ต้องพูดถึง Second Wave เพราะแม้แต่ Wave แรก การระบาดในอินเดียก็ยังไม่หยุด
    .
    แล้วทำไม อินเดีย ถึงเลือกเส้นทางนี้? คำตอบง่ายๆ ก็คือ เพราะการ “ล็อคดาวน์” ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา สร้างความเสียหายที่ใหญ่หลวงกว่าเชื้อไวรัสไปมาก..
    .
    หากจำกันได้ ในช่วงแรก อินเดีย มีตัวเลขผู้ติดเชื้อน้อย จนคนไทยหลายคนสงสัยว่า “เครื่องเทศ” สามารถสร้างภูมิคุ้มกันโคโรนาไวรัส 2019 ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายความจริงก็ถูกเผยออกมาเรื่อยๆ ในช่วงเดือน มี.ค. เมื่อพบว่ามีผู้ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจมากผิดปกติในหลายเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นมุมไบ เดลี หรือเชนไน
    .
    จนในที่สุด รัฐบาลอินเดียก็พบว่า โคโรนาไวรัส 2019 มาถึงอินเดีย จนมีคนติดเชื้อได้สักระยะแล้ว เพียงแต่ขาดการ “ตรวจเชื้อ” อย่างเข้มข้น เมื่อไม่ตรวจ = ไม่เจอ ก็ทำให้การประเมินสถานการณ์นั้นผิดพลาดไปทั้งหมด
    .
    โมดี เริ่มแบนการเดินทางเข้า-ออกประเทศ นับตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. และเริ่มต้นมาตรการเข้มข้นด้วยการทดลอง “เคอร์ฟิว” ห้ามออกจากบ้าน 14 ชั่วโมง ในวันที่ 22 มี.ค. ตั้งแต่ทั่วประเทศยังมีผู้ติดเชื้อเพียง 315 ราย ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่าตัวเลขที่รัฐบาลมีในมือ น่าจะ “แย่” กว่าที่คนทั่วประเทศคิดไว้มาก
    .
    ในที่สุด วันที่ 24 มี.ค. 2 วันหลังจากนั้น อินเดียก็ประกาศ “ล็อคดาวน์” ขั้นเด็ดขาด ปิดระบบขนส่งมวลชนทุกอย่าง รวมถึง “รถไฟ” ซึ่งอินเดียมีเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อลดการเคลื่อนย้ายประชากร และจำกัดวงการระบาดให้อยู่เฉพาะในพื้นที่เมือง อย่างน้อย 21 วัน
    .
    ถือเป็นการล็อคดาวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่รัฐบาลอินเดีย อาจจะใช้ระยะเวลา “สั้น” ที่สุดในการประกาศล่วงหน้าด้วย เพราะคนอินเดีย มีเวลาเตรียมตัวแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น โดยโมดี ให้เวลาถึงแค่เที่ยงคืน ก่อนหยุดเคลื่อนย้ายทุกอย่าง
    .
    ผลที่ตามมาของการล็อคดาวน์สำหรับประเทศที่มีประชากร 1,300 ล้านคน และมีประชากรกว่า 200 ล้านคน อยู่ในภาวะ “ยากจน” และ “แออัด” ในเขตเมืองนั้น กลายเป็นความปั่นป่วนครั้งใหญ่ แรงงานยากจนหลายร้อยล้านคนต้อง “เดินเท้า” อย่างแออัดเพื่อกลับบ้านตัวเอง หลังจาก “ตกงาน” ทันทีด้วยคำสั่งล็อคดาวน์ มีรายงานว่าหลายคนต้องเดินไกลนับ 100 กิโลเมตร เพราะระบบขนส่งมวลชนปิดหมด
    .
    แน่นอน ด้วยประชากรมากขนาดนั้น ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ไม่สามารถปิดกั้นตามคำสั่งของรัฐบาลได้ทั้งหมด ในที่สุด การเคลื่อนย้ายประชากรหลังล็อคดาวน์ ก็เป็นการพาโรคระบาดกลับไปยังถิ่นพำนัก ชุมชนแออัด ซึ่งไม่สามารถ “เว้นระยะห่าง” ได้อยู่แล้ว หลายแห่งเริ่มมีรายงานผู้ติดเชื้อ รวมถึงชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย อย่างย่าน “ทราวี” ในมุมไบ
    .
    ที่สำคัญคืออินเดียเองมีปัญหาด้านสาธารณสุขที่หนักหน่วงอยู่แล้ว โดยปกติคนอินเดียในพื้นที่แออัดต้องรอคิวหลายวันเพื่อเข้าพบแพทย์แต่ละครั้ง และถือเป็นประเทศที่มีเหตุ “เผชิญหน้า” รุนแรง ระหว่างหมอ และคนไข้เป็นประจำ แม้นายกฯ โมดี มีแผนจะนำอินเดียเข้าสู่ระบบ “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ให้ทุกคนรักษาฟรี แต่เป้าหมายล่าสุดก็ยังห่างไกลจากความเป็นจริง
    .
    หากเกาหลีใต้ใช้วิธีคือ ตรวจโรค – กักกันโรค – สอบสวนเส้นทางโรค – และรักษาโรค เพื่อเอาชนะการระบาดของโรคนี้ อินเดียเอง ดูจะมีปัญหาทุกขั้นตอน การตรวจโรคนั้นไม่ง่ายเลย สำหรับพื้นที่ชุมชนแออัด ประชากรหนาแน่น เพราะเจ้าหน้าที่ในการคัดกรอง – เครื่องมือในการคัดกรองเองขาดแคลนอย่างเห็นได้ชัด เดือน มี.ค. – กลางเดือน เม.ย. อินเดีย “เทสต์” ได้ราวหลักหมื่นเท่านั้น ทำให้เจอผู้ติดเชื้อน้อย และรัฐบาลเองคิดว่าการ “ล็อคดาวน์” เฟสแรกประสบความสำเร็จ ทั้งที่ความเป็นจริงมากจากการ “ตรวจน้อย” มากกว่า
    .
    ขณะเดียวกัน “ระยะห่าง” ระหว่างประชาชน กับโรงพยาบาลในอินเดียนั้นค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้น ผู้ป่วยหลายคน เลือกที่จะป่วยอยู่ที่บ้าน แทนการไปพบแพทย์ ซึ่งกว่าจะได้พบ ก็ต้องไปต่อคิว ไม่รู้จะได้เจอเมื่อไหร่
    .
    อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของรัฐบาลอินเดีย กลับมองว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด – 19 กลับไม่ได้แย่อย่างที่กลัวกันแต่แรก แม้อินเดีย จะมีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มในอัตราที่น่ากังวล แต่ก็เป็นเพราะการระดมตรวจเชื้อเพิ่มจนได้มากกว่าวันละ 2-3 แสนคนต่อวัน และอัตราตายต่อผู้ติดเชื้อก็ค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ 3% เท่านั้น เพราะฉะนั้น ผลเสียต่อเศรษฐกิจ น่าจะใหญ่กว่าโรคระบาด
    .
    แต่ในอีกด้าน จาค็อบ จอห์น นักระบาดวิทยา แสดงความกังวลว่า อินเดียเองก็มีความ “เปราะบาง” ในระบบการเก็บข้อมูล และน่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อ – ผู้เสียชีวิต อีกมาก ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การเก็บสถิติของรัฐ ทำให้ไม่รู้ว่าความจริงที่อยู่เบื้องหลังนั้นคืออะไร
    .
    จอห์นเชื่อว่า “กราฟ” ของอินเดีย ยังไม่สูงที่สุด และกว่าจะ “พีค” ก็ล่วงเข้าไปถึงเดือน ก.ค. หรือเดือน ส.ค. และ “เดาใจ” รัฐบาลว่า การยอมผ่อนปรนล็อคดาวน์รอบนี้ เพราะรู้ว่าการล็อคดาวน์โดยปล่อยให้มี “รูรั่ว” จำนวนมาก ไม่น่าจะมีผลอะไรกับการควบคุมโรค และที่สำคัญคือได้เห็นผลกระทบกับปากท้องของคนยากจน ที่ไม่มีงานทำอย่างมหาศาล
    .
    อาวินด์ เคจรีวัล มุขยมนตรีแห่งเดลี ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบีบีซี ระบุว่า อินเดีย ได้ใช้ช่วงเวลา “ล็อคดาวน์” ในการเตรียมความพร้อมให้กับประชาชน และขณะนี้ ถือว่าพร้อมมากแล้ว จึงได้เดินทางเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปคือการ “เปิดเมือง”
    .
    รัฐบาลอินเดียเองก็แถลงความสำเร็จของล็อคดาวน์ว่าสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้ถึง 3 แสนคน และสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้มากถึง 7.1 หมื่นราย
    .
    แต่ที่ยังไม่ได้พูดถึง และยังประเมินไม่ได้ก็คือ ในอนาคต อินเดียจะมีผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตมากขึ้นเท่าไหร่ จากการเปิดเมืองมากขนาดนี้ เพราะดูแล้ว ด้วยจำนวนประชากร ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตในอินเดีย น่าจะต้องว่ากันไปยาวๆ แต่หากจะให้กลับไปปิดเมือง ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว เพราะผลเสียทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปากท้องของคนรากหญ้านั้นมากเกินไป
    .
    ทั้งหมดนี้ ประเมินกันได้เลยว่า นักท่องเที่ยวอินเดีย ที่เคยเป็นหนึ่งใน “ตัวชูโรง” ของรายได้จากการท่องเที่ยวบ้านเรา น่าจะหายไปอีกนาน หากยอดผู้ติดเชื้อในอินเดียยังคงเพิ่มขึ้นในอัตรานี้ และรัฐบาลอินเดีย จะเลือกใช้มาตรการผ่อนปรนแบบนี้
    .
    ดีไม่ดี บางทีอินเดีย อาจบรรลุ Herd Immunity หรือการมี “ภูมิคุ้มกันหมู่” ของประชากร เป็นที่แรกของโลก ก็เป็นได้..

    #COVID19 #โควิด19 #อินเดีย #เปิดเมือง #ภูมิคุ้มกันหมู่ #HerdImmunity

    อ้างอิงจาก



    https://www.bbc.com/news/world-asia-india-52816817

    https://www.nytimes.com/2020/05/29/world/asia/coronavirus-india-lockdown.html

     

แชร์หน้านี้

Loading...