ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หลังเกาหลีใต้คลายล็อกดาวน์เปิดให้กลับมาทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น รวมถึงการแข่งฟุตบอลเคลีก ที่ต้องถือเป็นฟุตบอลลีกสำคัญของประเทศ ซึ่งหลังจากกลับมาแข่งขันกันได้ไม่กี่นัดก็เกิดเรื่องขึ้นเสียแล้ว
    .
    เมื่อ เอฟซี โซล สโมสรดังแห่งศึกเคลีก อยากจะสร้างบรรยากาศการเชียร์ที่คึกคักให้กับบรรดานักเตะ เพราะช่วงนี้มีมาตรการห้ามคนดูเข้ามาเชียร์ในสนาม เลยเกิดไอเดียนำ "ตุ๊กตายาง" มาไว้บนอัฒจันทร์ ถือป้ายเชียร์ สุดท้ายไม่วายโดนด่าเละ
    .
    นอกจากนี้ ตุ๊กตายางบางตัวยังถือป้ายโฆษณาโปรโมทร้านเซ็กส์ช็อปอีกด้วย ทำให้มีแฟนบอลจำนวนมาออกมาวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม ซึ่งต่อมา เอฟซี โซล ได้ชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความผิดพลาดในการประสานงาน พร้อมกับกล่าวขอโทษ และแสดงความเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว โดยทางสโมสรออกมาแถลงโดยระบุว่า
    .
    “ทางสโมสรขออภัยกับทางแฟนบอล เรารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งเกี่ยวกับหุ่นที่นำมาวางไว้บนที่นั่งระหว่างนัดการแข่งขันในวันที่ 17 พฤษภาคม 2020 อย่างไรก็ตาม เราอยากจะชี้แจงว่าแม้หุ่นเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นให้ดูคล้ายคนจริง แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์นำไปใช้ทางเพศ ซึ่งยืนยันโดยผู้ผลิตแล้ว เราได้รับสนับสนุนมาจากบริษัท DALCOM โดยระบุว่านำไปใช้เพื่อเป็นหุ่นลองแบบเสื้อ เราตรวจสอบมากถึง 3 รอบแล้วและพบว่าไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้เกี่ยวข้องกับทางเพศ จากการได้รับสนับสนุนมานั้น ทางบริษัท DALCOM ได้รับหุ่นคืนจากบริษัทถ่ายทอดสดแล้ว และจากกระบวนการนี้พวกเขาได้มอบชื่อของผู้จัดถ่ายทอดสดมาด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลเดียวที่บ่งชี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับผู้จัดถ่ายทอดสดด้วย เราล้มเหลวในการตรวจสอบตรงจุดนี้และเป็นความผิดพลาดของเราแต่เพียงผู้เดียว กราบขออภัยเป็นอย่างสูง”

    -------------------------------
    แหล่งข่าว



    https://japantoday.com/category/sports/korean-soccer-club-apologizes-for-putting-sex-dolls-in-seats

    https://www.catdumb.tv/korea-football-mannequins-290/
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกษตรกรที่ผ่านการตรวจสอบสิทธิ์ "เยียวยาเกษตรกร" แต่ไม่ได้เงิน 4 สถานะรีบติดต่อธนาคารเจ้าของบัญชี

    ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เตรียมปรับปรุงข้อมูลการตรวจสอบผลการโอนเงิน โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือ มาตรการเยียวยาเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรี 28 เมษายน 2563 ผ่าน เยียวยาเกษตรกรดอทคอม เพื่อให้เกษตรกรที่ผ่านการตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยา แต่ไม่ได้รับการโอนเงินเข้าบัญชีรับทราบใน 4 สถานะ
    ท่านได้รับสิทธิ์ โอนเงินไม่สำเร็จ บัญชีปิดไปแล้ว โปรดติดต่อธนาคารเจ้าของบัญชี
    ท่านได้รับสิทธิ์ โอนเงินไม่สำเร็จ บัญชีถูกอายัด โปรดติดต่อธนาคารเจ้าของบัญชี
    ท่านได้รับสิทธิ์ โอนเงินไม่สำเร็จ เลขที่บัญชีผิด โปรดติดต่อธนาคารเจ้าของบัญชี
    ท่านได้รับสิทธิ์ โอนเงินไม่สำเร็จ บัญชีไม่เคลื่อนไหว โปรดติดต่อธนาคาร

    มาตรการเยียวยาเกษตรกร คลิก https://www.moac.go.th/

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #Earthquake
    วันที่ 19 พ.ค. 2020
    เวลา 06:22 น. ตามเวลาประเทศไทย
    แผ่นดินไหว Mediterranean Sea
    Epicenter - 89km S of Gra Liyia, #Greece
    พิกัด (33.93°N,25.56°E)
    ขนาด 5.8
    ความลึก 10 กม.

    https://earthquake.usgs.gov/earthquakes/eventpage/us70009k7k/executive
    #Watchers

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #สภาพอากาศโลก
    19/05/20
    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาใน ประเทศจีน #China
    บุคคลนี้ เล่าประสบการณ์พิศวงในช่วงเวลาแห่งความตื่นตระหนกเมื่อ รถตู้ที่เขาขับรถถูกยกขึ้นโดยกระแสลม หมุนตลบ
    #twind #tornado
    CR Via @cgtnarabic
    #Watchers

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #สภาพอากาศโลก
    19/05/20
    ภาพถ่ายพายุไซโคลน "อำพัน" จากอวกาศ

    01:00 ซูเปอร์ไซโคลน “อำพัน” ในอ่าวเบงกอล อ่อนกำลังลงเทียบเท่าระดับ 4 ตามมาตราเฮอร์ริเคนแซฟเฟอร์–ซิมป์สัน ความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางพายุ 240 กม./ชม. เคลื่อนตัวทางทิศเหนือ แนวโน้มจะขึ้นฝั่งที่อินเดีย
    CR: paipibut
    #Watchers

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Space Operations Corps Japan
    18/05/20
    หน้าตาของธงฝูงบินปฏิบัติการอวกาศ หน่วยงานป้องกันตนเองใหม่ของญี่ปุ่น

    宇宙作戦隊の隊旗です。航空自衛隊の部隊の隊旗は、マークはみんな同じです。1本線は二等空佐が指揮する部隊を表します。あとは部隊の人数によって旗のサイズが変わります。
    เครดิตภาพ : 河野太郎
    Via: mrvob

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #Volcano
    18/05/20
    กิจกรรมของ #ภูเขาไฟ #Sakurajima ดำเนินต่อไปบนเกาะ #Kyūshū #Japan
    การระเบิดเมื่อวานนี้
    วันที่ 17 พฤษภาคม 2020 เวลาท้องถิ่น 18:55 น. พ่นควันเขม่าสูงราว1000m
    เครดิต : #UniverseNews
    #Watchers

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัฐสภาอิหร่านผ่านร่างกฎหมายต่อต้านอิสราเอล

    -=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

    สภาร่างกฎหมายของอิหร่านผ่านกฎหมายให้สัตยาบันเพื่อมาตรการที่ต่อต้านเป็นปฏิปักษ์ต่อระบบการปกครองไซออนนิสต์ของอิสราเอลด้วยการลงมติเป็นเอกฉันท์
    ฝ่ายนิติบัญญัติเห็นชอบในการจัดตั้งสถานทูตอิหร่านในปาเลสไตน์
    กฎหมายใหม่ยังห้ามการใช้ฮาร์ดแวร์ที่ผลิตโดยไซออนิสต์ ห้ามการใช้งานแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของระบอบการปกครองของอิสราเอล และห้ามไม่ให้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล องค์กรและบริษัทในเครือของไซออนนิสต์เข้าร่วมการจัดนิทรรศการและการชุมนุมของอิหร่าน
    กฎหมายใหม่กำหนดบทลงโทษ สำหรับความร่วมมือกับสถาบันที่เชื่อมโยงกับอิสราเอล และยังกำหนดว่าการเดินทางไปยังดินแดนที่ถูกรุกรานยึดครองโดยชาวอิหร่านจะต้องถูกจำคุกและถูกกีดกันหนังสือเดินทางไม่เกิน 5 ปี

    รัฐสภายังได้มอบหมายให้อัยการสูงสุดอิหร่านยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อผู้นำระบอบไซออนนิสต์ในศาลระหว่างประเทศ และอิหร่านจะเป็นเจ้าภาพฟ้องร้องในการก่ออาชญากรรมทั้งหมดเช่นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงครามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การรุกราน และกิจกรรมการก่อการร้ายทั้งภายในและภายนอกดินแดนที่ถูกรุกรานครอบครอง

    ฝ่ายนิติบัญญัติของอิหร่านได้พิจารณาลงโทษสถานหนักสำหรับการจารกรรมเพื่อระบอบการปกครองของอิสราเอล และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามแผนการทางการเมืองเพื่อริเริ่มการลงประชามติระดับชาติในดินแดนปาเลสไตน์ และกำหนดหน้าที่ขององค์กรอิหร่านทั้งหมดให้ต่อต้านระบบไซออนนิสต์อย่างเปิดเผย

    BY>>>>>Giant Khan<<<<<

    https://www.tasnimnews.com/en/news/2020/05/18/2268403/iran-s-parliament-passes-anti-israeli-motion

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนเริ่มการกักตุนน้ำมันขนานใหญ่โดยเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ 117 ลำกำลังนำน้ำมันดิบราคาถูกมาสู่จีน

    -=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

    ในขณะที่โลกกำลังลดการการนำเข้า แต่จีนกำลังใช้ประโยชน์จากน้ำมันดิบที่ถูกที่สุดในรอบหลายปีเพื่อสำรองน้ำมันขนาดใหญ่ จนจีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก

    ผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันดิบรายใหญ่จำนวน 117 ราย (VLCC) แต่ละรายสามารถขนส่งน้ำมันได้ 2 ล้านบาร์เรลกำลังเดินทางไปยังประเทศจีนเพื่อขนส่งน้ำมัน อาจหมายความว่าจีนจะมีน้ำมันอย่างน้อย 230 ล้านบาร์เรลในช่วงสามเดือนข้างหน้า กองทัพเรือน้ำมันที่เดินทางไปยังประเทศจีนอาจเป็นซุปเปอร์เทนเกอร์จำนวนมากที่สุดที่เดินทางไปยังผู้นำเข้าน้ำมันอันดับหนึ่งของโลกในครั้งเดียว
    ( หวั่นๆ....จะเกิดอะไรหรือเปล่าในเร็วๆนี้ )

    BY>>>>>Giant Khan<<<<<

    https://www.rt.com/business/488927-china-buys-super-cheap-oil/

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐฯอิจฉา หามาตรการตอบโต้การขายน้ำมันแลกทองคำ ของอิหร่าน-เวเนซุเอลา

    =-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=

    สหรัฐฯกำลังพิจารณามาตรการที่อาจใช้ในการตอบสนองต่อการขายน้ำมันเชื้อเพลิงของอิหร่านไปยังเวเนซุเอลา ซึ่งสหรัฐฯมี "ความมั่นใจในระดับสูง" ว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีนิโคลัสมาดูโรของรัฐบาลเวเนซุเอลากำลังจ่ายเป็นทองคำตันให้อิหร่านเป็นค่าซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเป็นทางการ
    มันไม่เพียงแต่ไม่เป็นที่ไม่พึงประสงค์จากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังไม่เป็นที่สบอารมณ์ และสหรัฐกำลังมองหามาตรการที่สามารถทำได้ เพื่อหยุดการซื้อขายนี้
    ภาคน้ำมันของอิหร่านและเวเนซุเอลา ที่ทั้งคู่ขัดแย้งอย่างลึกซึ้งกับสหรัฐฯ ที่สหรัฐใช้มาตรการคว่ำบาตร ทำให้มีความขาดแคลนน้ำมันเบนซินอย่างมากในเวเนซุเอลา
    เรือบรรทุกน้ำมันที่บรรทุกน้ำมันออกท่าเรืออิหร่านได้ออกเดินทางไปยังเวเนซุเอลา ตามข้อมูลการติดตามเรือของ Refinitiv Eikon ในวันพุธซึ่งช่วยบรรเทาความขาดแคลนน้ำมันเบนซินในประเทศเวเนซุเอลา
    เวเนซูเอลาต้องการน้ำมันเบนซินและผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงกลั่นรวมทั้งอุปกรณ์ซ่อมบำรุงอื่นๆ แต่เหมือนหมดหวังในขณะที่ประเทศดำเนินงานท่ามกลางการล่มสลายทางเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานของโรงกลั่นน้ำมันได้พิการเสียหายในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ภายใตัการคว่ำบารตของอเมริกา
    แต่ความร่วมมือล่าสุดระหว่างอิหร่านและเวเนซุเอลา เมื่อเดือนที่แล้วมีเที่ยวบินหลายเที่ยวจากกรุงเตหะรานได้นำวัสดุซ่อมแซมโรงกลั่นน้ำมันมาที่เวเนซุเอลาเพื่อช่วยในการเริ่มต้นเดินเครื่องใหม่ที่โรงกลั่น Cardon เริ่มผลิตได้ 310,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งก่อนหน้านี้เวเนซุเอลาสามารถผลิตได้ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันมี แต่ทั้งหมดต้องหยุดเนื่องจากขาดอุปกรณ์ในการบำรุงรักษา ภายใต้การคว่ำบาตรซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของทรัมป์เพื่อขับไล่ Maduro ออกไป

    ผู้นำฝ่ายค้าน Juan Guaido เป็นประธานาธิบดีชั่วคราวเมื่อปีที่แล้วหุ่นเชิดของอเมริกา ที่อเมริกาพยายามพลักดันให้มามีอำนาจแต่ดูเหมือนไม่ประสบความสำเร็จ
    เพราะMaduroนั้นยังคงอยู่ในอำนาจและได้รับการสนับสนุนจากกองทัพของเวเนซุเอลา และพันธมิตรอย่าง รัสเซีย จีน คิวบา และอิหร่าน ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของความหงุดหงิดของทรัมป์ และทรัมป์กำลังหามาตรการเพื่อใช้ในสงครามที่กำลังจะแพ้ในครั้งนี้ต่อไป
    ขอให้มีโชคดีบางนะนายทรัมป์....

    BY>>>>>Giant Khan<<<<<

    https://theiranproject.com/blog/202...se-to-iran-fuel-shipment-to-venezuela-source/

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มหาพายุจ่อถล่ม อินเดีย-บังคลาเทศ ธรรมชาติเริ่มเอาคืนในหลายๆเรื่องแล้ว

    =-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=

    อินเดียและบังคลาเทศเริ่มอพยพผู้คนมากกว่าสองล้านคน เนื่องจากพายุไซโคลนพัดเข้าหาชายฝั่งของพวกเขา โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำงานแข่งกับเวลา เพื่อเตรียมที่พักพิงชั่วคราว ในขณะที่ความกลัวในการอพยบผู้ประสพภัยในที่พักแออัด หวั่นเพิ่มการแพร่ระบาดการติดเชื้อ coronavirus
    พยากรณ์อินเดียกล่าวว่าพายุไซโคลนอำพันมีลมแรงถึง 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีลมกระโชกแรง 265 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเหนืออ่าวเบงกอลในปลายวันจันทร์ คาดการณ์ในวันพุธจะพัดขึ้นถล่มแผ่นดินทั้งอินเดียและบังคลาเทศ
    Shah Kamal เลขาธิการการจัดการด้านภัยพิบัติของบังคลาเทศกล่าวว่ามีผู้อพยบมากกว่า 12,078 คน ซึ่งรวมถึงโรงเรียนและวิทยาลัยกว่า 7,000 แห่ง ประชาชนราวสองล้านคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ในวันอังคารเขากล่าวเสริมว่าพวกเขามีความสามารถในการรับผู้อพยพได้มากกว่าห้าล้านคน แต่มีความหวั่นกลัวเรื่องการควบคุมโรคระบาดที่ระบาดในขณะนี้ ซึ่งอาจจะทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
    คาดการว่าพายุจะอ่อนตัวลงก่อนที่จะกระทบรัฐทางตะวันออกของอินเดียและชายฝั่งทางใต้และทางตะวันตกเฉียงใต้ของบังคลาเทศ แต่ยังคงมีลมแรงถึง 175 กม. ต่อชั่วโมง เจ้าหน้าที่บังกลาเทศเตือนว่าอาจเป็นพายุที่เลวร้ายที่สุดในการโจมตีในภูมิภาคตั้งแต่พายุไซโคลนซิดร์ในเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนกว่า 3,000 คน ในอินเดียผู้คนกว่า 200,000 คนในพื้นที่ต่ำจะถูกย้ายจากบ้านของพวกเขาในรัฐเบงกอลตะวันตกในวันอังคารที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวง Manturam Phakira กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าระวังพายุไซโคลนของรัฐโอริสสาตะวันออกของอินเดียกล่าวว่า ที่พักพิงจะเตรียมไว้รองรับผู้คนมากถึง 1.1 ล้านคนถึงแม้ว่าพื้นที่นี้คาดว่าจะสามารถหลบจากความรุนแรงของพายุได้ ชายฝั่งที่มีพื้นที่ราบต่ำของบังคลาเทศซึ่งมีประชากร 30 ล้านคนและภาคตะวันออกของอินเดีย มัดจะมีพายุไซโคลนพัดถล่มอยู่เป็นประจำโดยชีวิตของผู้คนหลายแสนคนในทศวรรษที่ผ่านมา Odisha ถูกพายุไซโคลนถล่มจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 10,000 คน ในปีพ. ศ. 2534 การรวมตัวของไต้ฝุ่นพายุทอร์นาโดและน้ำท่วมทำให้มีผู้เสียชีวิต 139,000 คนในบังคลาเทศ ในขณะที่ความถี่และความรุนแรงของพายุเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มีผู้เสียชีวิตลงเรี่อยๆเนื่องจากการที่ต้องอพยพอย่างรวดเร็วขึ้น และการสร้างที่พักพิงชั่วคราวที่ไม่ได้มาตรฐานตามชายฝั่งหลายพันแห่ง

    BY>>>>>Giant Khan<<<<<

    https://m.ednews.net/en/news/world/...te-millions-ahead-of-cyclone-amid-virus-fears

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิสราเอล รู้สึกไม่ปลอดภัยกับดาวเทียมนูร์-1 ที่ลอยข้ามหัวบ่อยๆบนท้องฟ้าของดินแดนที่รุกรานยึดครองมา

    =-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

    เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงอิสรสเอลกล่าวว่าการลอยผ่านของดาวเทียม 'Noor-1' ในดินแดนปาเลสไตน์ที่รุกรานครอบครองมา ทำให้เกิดความไม่มั่นคงสำหรับอิสราเอล

    “ ดาวเทียมนูร์ -1 ลอยผ่านดินแดนที่ถูกครอบครองเป็นประจำ ขณะที่ไซออนิสต์กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่หลังจากการผนวกฝั่งตะวันตกเข้ากับดินแดนที่ถูกยึดครองและปัญหานี้ มีผลกระทบเชิงลบและมันสร้างความลำบากได้เป็นอย่างมากสำหรับพวกอิสราเอล ทางเดินของดาวเทียมเหนือดินแดนที่ถูกยึดครองนั้นสร้างความไม่มั่นคงให้กับพวกเขา และความพยายามของสหรัฐในการสกัดกั้นลดความสำเร็จของ IRGC อาจแค่เป็นการปลอบใจต่อชาวไซออนิสต์จากเจ้าหน้าที่ของรัฐอเมริกันเท่านั้น ”
    ความสำเร็จของ IRGC
    ในการส่งดาวเทียมทางทหารครั้งแรกของอิหร่านที่มีชื่อว่า 'นอร์ -1' เข้าสู่วงโคจร เป็นดาวเทียมทางทหารดวงแรกของ IRGC มีความสำคัญในหลายมิติแสดงให้เห็นถึงการสร้างสมดุลใหม่ทั้งในภูมิภาคและโลก”
    การเปลี่ยนแปลงสมดุลไม่ได้เป็นที่พอใจของสหรัฐฯ เพราะอเมริกันได้ทำสงครามในภูมิภาคกับอิหร่านทุกรูปแบบมาช้านานแล้ว การพัฒนาของอิหร่านคือการประสบความล้มเหลวของอเมริกา ซึ่งอเมริกาได้ปล้นความมั่งคั่งของหลายประเทศในภูมิภาคด้วยข้ออ้างในการรักษาความปลอดภัย ต่อไปอเมริกาจะทำงานได้ยากขึ้น
    และศูนย์วิทยาศาสตร์เพนตากอนสหรัฐอเมริกาได้สารภาพถึงความสำเร็จของดาวเทียมทางการทหารของอิหร่านที่เปิดตัวสู่อวกาศนี้ด้วย”
    สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้เน้นย้ำเสมอว่าพลังของมันคือการกระจายความมั่นคงในภูมิภาคและพร้อมที่จะสร้างความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคเพื่อส่งเสริมและเพิ่มความมั่นคง สันติภาพในภูมิภาคนี้

    BY>>>>>Giant Khan<<<<<

    https://en.mehrnews.com/news/158723...-insecure-with-Noor-1-satellite-upon-occupied

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    sovereignman
    Infinite money printing: Fed now buying ETFs | Sovereign Man

    Simon Black May 12, 2020

    ถ้าคุณ ๆ กำลังคิดว่าเวลานี้ Fed หมดมุกหมดไอเดียบ้า ๆ แล้วหรือไง ...ไม่หรอก Federal Reserve ประกาศออกมาแล้วเมื่อคืนนี้ว่าพวกเขากำลังจะเข้าซื้อกองทุน ETFs (Exchange Traded Funds) ....ให้มีผลทันที

    เพื่อความกระจ่าง นี่หมายความว่า Fed กำลังจะเสกเงินจากกลางอากาศ เอาเงินที่พิมพ์ใหม่นี้เข้าซื้อ ETFs

    แล้วก็ไม่ใช่กองทุน ETF ทั่ว ๆ ไปนะ ...Fed ตั้งเป้าจะเอากองทุนที่เป็นเจ้าของหุ้นกู้ด้วย (หุ้นกู้เอกชนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ใกล้จะเน่าแล้ว...ผู้แปล)

    กุญแจสำคัญของเรื่องนี้คือ Fed กำลังพยายามจะ bailout พวกบริษัทเจ้าของหุ้นกู้ที่ล้มละลายทั่วประเทศ

    ในสถานการณ์ปกติ พวกบริษัทขนาดใหญ่หรือขนาดกลางจะสามารถสร้างหนี้โดยการออกหุ้นกู้ได้เพื่อใช้ในกิจการ ..นี่เป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่บริษัทที่สถานะการเงินดี ก็สามารถทำได้เป็นปกติ

    เช่น Apple ซึ่งมีกำไรมหาศาลมาหลายปี แต่ก็ยังสามารถมีหนี้ได้ถึง $90,000 ล้าน ดูได้จากสเตทเม้นท์การเงินของบริษัทล่าสุด ...แถมยังมีการออกบอนด์อีกถึง $8,000 ล้านเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

    บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกก็ทำกันอย่างนี้ ยอดรวมของหุ้นกู้บริษัทเหล่านี้สูงมาก ...นับสิบ ๆ ล้านล้านดอลล่าร์ (tens of trillions)

    ปัญหาคือ มีธุรกิจนับไม่ถ้วนทั่วโลก ทั้งใหญ่และเล็ก ที่ดู ๆ แล้วไม่น่าจะรอดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไปได้เลย

    บริษัทแอร์ไลน์ โรงแรม เชนส์ภัตตาคาร โรงงาน บริษัทชิปปิ้ง สโตร์ค้าปลีก เนอร์สเซอรรี่ บริษัทก่อสร้าง ฯลฯ พวกนี้ล้วนจะต้องพังลงเพราะโรคระบาดครั้งนี้

    ส่วนใหญ่ของกิจการเหล่านี้ล้วนแต่กู้ยืมกันเกินตัว และในเมื่อไม่มีรายรับเข้ามา มันก็จะต้องมีคลื่นยักษ์ แห่งการชักดาบในตลาดหุ้นกู้แน่ ๆ

    ตัวอย่างเช่น American Airlines มีหนี้ $21,000 ล้าน ..มีโอกาสถึง 0% ที่พวกเขาจะจ่ายดอกเบี้ยได้ และมันก็จะจุดชนวนการ default หุ้นกู้ของพวกเขา

    บริษัทอื่น ๆ อีกนับพันก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ..ไม่มีปัญญาจ่ายดอกเบี้ย

    แล้วไอ้ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือ ในไม่ช้านี้แล้ว หุ้นกู้เหล่านี้จะครบกำหนด mature และต้องใช้คืนเงินต้นแล้ว

    มันไม่เหมือนอย่างที่เราจำนองบ้านนะ เงินต้นจะค่อย ๆ ลดไปเรื่อย ๆ หลังผ่านไป 20 - 30 ปี ...แต่หุ้นกู้น่ะ จ่ายแค่ดอกเบี้ยมาตลอด

    เป็นการจ่ายที่เรียกว่า "คูปอง" ซึ่งมันก็คือดอกเบี้ยน่ะแหละ ..ส่วนต้นทั้งก้อนน่ะ เอาไว้จ่ายคืนครั้งเดียวตอนที่หุ้นกู้มัน mature หลังจากผ่านไป 7 -10 ปี

    แล้วที่ผ่าน ๆ มา เมื่อหุ้นกู้ของพวกเขาครบกำหนด บริษัทเกือบทั้งหมดก็มักจะออกบอนด์ใหม่ เป็นการ rollover ..ซึ่งมันก็คือการรีไฟแน้นซ์นั่นแหละ ดังนั้น แทนที่จะต้องจ่ายคืนต้น 1 พันล้านที่กำลังจะครบ ก็ออกหุ้นกู้ใหม่ 1 พันล้านต่อไปอีกสิบปี....ง่าย ๆ แค่นี้

    ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็ rollover หนี้ไปได้เรื่อย ๆ ซึ่งในเวลาปกติ วิธีนี้มันก็เวิร์คดีนะ

    แต่เวลานี้..มันไม่ปกติ

    เวลานี้ ตลาดบอนด์มันแช่แข็งอยู่ ไม่มีนักลงทุนคนไหนอยากซื้อหุ้นกู้ เช่นของบริษัทแอร์ไลน์หรือเรือสำราญอีกแล้ว

    แล้วบริษัทพวกนี้จำนวนมากก็มีบอนด์ที่กำลังจะครบกำหนดนับพัน ๆ ล้านดอลล่าร์

    ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะ rollover เพื่อ refinance หนี้ ...คงต้องพักชำระหนี้กันแล้ว นักลงทุนที่ถือหุ้นกู้พวกนี้ไว้ในมือก็รับกรรมเตรียมเจ๊งได้เลย

    นี่เป็นปัญหาใหญ่ เพราะมันจะทำให้เกิดปฏิกริยาลูกโซ่อย่างทั่วถึงในระบบการเงิน

    สมมติว่าบริษัท Rude Airways มีหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านที่กำลังจะครบกำหนด .....แต่ Rude Airways ไม่มีเงินสดในมือ..และก็ไม่มีหวังที่จะสร้างรายได้ในช่วง lockdown นี้ได้เลย

    ดังนั้น Rude Airways ก็จึงเตรียมขยับดาบ

    Big Ego Capital Partners (ชื่อสมมติ) เป็นกองทุนเฮ้ดจ์ฟันด์ที่บังเอิญไปถือบอนด์ของ Rude อยู่หลายพันล้าน พอ Rude Airways ชักดาบปั๊บ ...Big Ego ก็เลยพลอยพังไปด้วย

    แล้ว Big Ego ก็ไปเป็นหนี้ธนาคาร Liars Bank (สมมตือีก) อยู่จำนวนมาก ....พอ Big Ego เจ๊ง Liars Bank ก็เหมือนถูกทุบอย่างแรง

    คุณ ๆ พอได้ไอเดียแล้วนะ ..ถ้าบริษัทนับพัน ๆ แห่งที่มีหุ้นกู้รวม ๆ แล้ว หลายล้านล้านดอลล่าร์พร้อมใจกันไม่จ่ายหนี้ ปฏิกริยาลูกโซ่ในระบบการเงินก็จะต้องประสบหายนะ

    นี่คือสิ่งที่ Federal Reserve กำลังพยายามปกป้องอย่างสุดฤทธิ์ ด้วยเครื่องมืออย่างเดียวที่พวกเขามีอยู่ ..ใช่แล้ว พิมพ์เงิน

    และแล้ว Fed ก็จึงเสกเงินจากกลางอากาศ เพื่อเข้าซื้อหุ้นกู้บริษัทเอกชน (เหมือนแบ้งค์ชาติแถว ๆ นี้) และ ETF ที่ถือบอนด์

    ตามแผนก็คือ ช่วยให้บริษัทอย่าง Rude Airways สามารถ rollover หนี้ต่อไปได้ และป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกริยาลูกโซ่ในระบบการเงิน

    จากงานแถลงข่าวของ Fed เมื่อวาน ...Fed ประมาณการว่าจะมีการใช้เงินถึง $750,000 ล้านในตอนแรก และก็แน่อยู่แล้วว่ามันไม่พอ ต้องมีการเพิ่มอีกเยอะ

    แน่นอนว่า ก่อนหน้านี้ Fed ก็สร้างภาระไว้แล้ว $2.6 ล้านล้านดอลล่าร์ ....แล้วยังจะอีกหลายล้านล้านที่จะต้องสร้างในอนาคตอีกล่ะ

    ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เราไม่รู้ว่าโรคระบาดครั้งนี้จะมีผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจ ...มันจะเกิดเงินเฟ้อ ..depression หรือเศรษฐกิจชะงักงัน (stagflation) กันแน่

    ไม่มีใครรู้......

    แต่ที่แน่ ๆ ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ แบ้งค์ชาติทั่วโลกกำลังพิมพ์เงินกันอย่างมหาศาล ...นี่คือนโยบาย "ทำทุกอย่างที่จำเป็น"

    ถูกหรือผิด ....ตอนนี้มันก็ไม่แปลกแล้ว

    ยังไงมันก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครแก้ไขอะไรได้อีก

    อยู่ที่ว่าเราจะตัดสินใจกันยังไง

    มันไม่มี playbook แสดงวืธีเล่นที่แน่นอน ...ทุก ๆ scenario ที่เป็นไปได้ก็เอามากางไว้ดูกันบนโต๊ะแล้ว

    ถ้าพูดกันจากความจริงในประวัติศาสตร์ ..เมื่อไรก็ตามที่ธนาคารกลางมีการพิมพ์เงินกันอย่างมโหฬาร เมื่อนั้น real assets (โดยเฉพาะทองคำ) ก็จะเป็น safe havens จากวิกฤตทางการเงินทุกครั้ง

    *********************

    sovereignman
    Infinite money printing: Fed now buying ETFs | Sovereign Man

    Simon Black May 12, 2020

    Just when you thought they couldn’t come up with any more crazy ideas, the Federal Reserve announced last night that they will start buying Exchange Traded Funds, effective immediately.

    Just to be clear, this means that the Fed is going to conjure money out of thin air, and then use that new money to buy ETFs.

    But not just any ETF. The Fed is specifically targeting ETFs that own corporate bonds.

    The key idea here is that the Fed is trying to bail out bankrupt companies across the Land of the Free.

    Under normal circumstances, most medium and large businesses regularly issue corporate bonds (which is a type of debt) to help fund their companies.

    This is pretty normal; even very strong and healthy businesses regularly go into debt by issuing bonds.

    For example, Apple has been wildly profitable for years. But the company has about $90 billion in debt according to its most recent financial statements, plus they just issued another $8 billion in bonds last week.

    Companies all over the world do this, and the total size of the global corporate bond market is absolutely enormous– tens of trillions of dollars.

    The obvious problem is that there are countless businesses around the world, both big and small, that simply aren’t going to make it through this economic crisis.

    Airlines, hotels, restaurant chains, factories, shipping companies, retail stores, daycare facilities, construction companies, etc. have all been devastated by the pandemic.

    Most of these companies have borrowed extensively. And without any revenue, there’s likely going to be a giant wave of defaults in the corporate bond market.

    American Airlines, for example, has $21 billion in debt. There’s practically zero chance they’ll be able to make interest payments, which will trigger a default of their corporate bonds.

    Thousands of other companies are in a similar position; they won’t be able to make their payments.

    The even bigger problem is that, eventually, bonds mature and need to be paid back.

    Unlike the mortgage on your house, whose principal balance is slowly paid down over 20-30 years, most corporate bonds are interest-only.

    They pay what’s called a ‘coupon’, which is a regular interest payment, and then the entire principal balance is paid back when the bond ‘matures’ after perhaps 7-10 years.

    Usually when their corporate bonds mature, most companies simply issue new bonds. It’s sort of like a refinance; so instead of paying back $1 billion worth of bonds that are about to mature, the company will issue $1 billion in new bonds for another 10 years.

    In this way they keep rolling over their debt. And in normal times, that approach typically works just fine.

    But these are not normal times.

    Right now the bond market is frozen solid. And very few investors want to buy bonds of, say, an airline or cruise operator.

    But a lot of those companies have billions of dollars worth of bonds that are about to mature.

    And without a way to roll over those bonds and refinance the debt, they’ll be in default… meaning most investors who owns those bonds will suffer major losses.

    This is a huge problem because it can cause a chain reaction across the entire financial system.

    Let’s imagine “Rude Airways” has $10 billion worth of bonds that are about to mature.

    But Rude Airways is out of cash and has no hope of generating revenue while the lockdowns are in place.

    So instead of paying back the $10 billion, Rude Airways defaults.

    “Big Ego Capital Partners” is a hedge fund that owns billions of dollars worth of Rude’s bonds. So when Rude Airways defaults, Big Ego is also wiped out.

    Big Ego owes a lot of money to “Liars Bank”. So when Big Ego goes under, Liars Bank also takes a huge hit.

    You get the idea. If thousands of companies constituting trillions of dollars worth of bonds don’t pay, then the chain reaction across the entire financial system will be nothing short of cataclysmic.

    This is what the Fed is trying to prevent… with the only tool they have available: PRINTING MONEY.

    So, again, the Fed is going to conjure money out of thin air, and use that money to buy corporate bonds and bond ETFs.

    Their plan is to help companies like Rude Airways roll over their debts, and hopefully prevent a chain reaction of defaults across the entire financial system.

    According to yesterday’s press release, the Fed estimates spending $750 billion initially, though it’s clear they could easily blow past that number.

    That, of course, is on top of the trillions of dollars worth of other commitments they’ve already made, the $2.6 trillion they’ve already printed, and the trillions of dollars of other facilities they’ll create in the future.

    I’ve been writing about this a lot lately, but at the risk of beating this horse to death, I believe it’s worth repeating:

    There is so much we don’t know about the economic consequences of this pandemic. Will we see major inflation? Depression? Stagflation?

    No one really knows for sure.

    But one thing that has become totally obvious is that central banks around the world are going to continue printing incomprehensible sums of money– this is ‘whatever it takes’ monetary policy.

    I won’t bother opining on whether what they’re doing is right or wrong. It doesn’t matter.

    The reality is that it’s happening; they’re printing ridiculous quantities of money, and that’s that. Nothing we can do will change that fact.

    Our only decision is how we choose to react.

    Again, there’s no playbook here, and every possible scenario is on the table.

    But historically speaking, whenever central banks devalue their currencies by printing vast amounts of money, real assets (and especially gold and silver) generally tend to be safe havens from the monetary consequences.

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Virus compounds US dollar liquidity strains for emerging markets

    ทั้งไวรัส..และสภาพคล่องของดอลลาร์ กำลังสร้างความเครียดให้กับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่

    Global / 14-05-20 / by Felix Thompson

    เงินสกุลยูเอสดอลลาร์เป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าระหว่างประเทศมานานหลายทศวรรษ ..มาถึงตอนนี้กำลังมีความกังวลกันว่า Covid-19 จะมาสร้างความตึงเครียดให้กับสภาพคล่องของเงินดอลลาร์ ที่จะกระทบกับธุรกิจทั่วโลก ..และอาจจะหนักโดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่

    แหล่งข่าวจากธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ..เกือบ 90% ของธุรกรรมนานาชาติ ในปี 2019 ล้วนเกี่ยวข้องอยู่กับสกุลเงินดอลลาร์ ....ที่จริงแม้จะก่อนการระบาดของ Covid-19 แล้ว ...ธนาคารต่าง ๆ ที่จัดการกับการเงินของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ก็พบกับปัญหาการเข้าถึงเงินดอลลาร์อยู่แล้ว

    ในการสำรวจของ Asian Development Bank (ADB) เมื่อปี 2019 ..มีการสอบถามธนาคารต่าง ๆ จาก 50 ประเทศถึงอุปสรรคอันดับต้น ๆ ของการขยายตัวทางการค้า ...เกือบ 30% ยืนยันว่าอุปสรรคอยู่ที่สภาพคล่องของสกุลเงินยูเอสดอลลาร์

    แล้วพอเป็นอย่างนั้น จึงเกิดความกลัวกันว่า โคโรน่าไวรัสนี่แหละจะเป็นตัวเร่งให้เกิดเหตุการณ์ดอลลาร์ช้อร์ตมากขึ้นอีก ....การค้าสำหรับบางประเทศก็จะลำบากขึ้นไปอีก

    The Business 20 (B20) ...ภาคที่เป็นเอกชนของ G20.. ได้ส่งเรื่องถึง G20 เมื่อเดือนเมษายน เรียกร้องให้จัดการประชุม international forum เพื่อเตรียมแผนการบรรเทาปัญหาจาก Covid-19

    ในรายละเอียด มีการเสนอมาตรการที่รวมถึงข้อเรียกร้องให้ธนาคารกลางของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ...IMF ..World Bank ..US Federal Reserve ร่วมหารือกัน..ในประเด็นสภาพคล่องของยูเอสดอลลาร์

    เหตุผลคือ "เงินสกุลยูเอสดอลลาร์มีความสำคัญในการ finance การค้าของโลก"

    Steven Beck, ผู้บริหาร ADB กล่าวว่า โคโรน่าไวรัสเป็นต้นเหตุให้เกิดความกังวลในเรื่องสภาพคล่องของดอลลาร์ เหตุผลคือธุรกิจจำนวนมากมีการเก็บสะสมเงินสดไว้มากขึ้น

    “Cash is king ในสภาพการณ์แบบนี้ ...เพราะในวงรอบของเงินสด -- ระยะเวลาที่ธุรกิจจะผลิตสินค้าส่งเข้าตลาด ..ขายและรับชำระค่าสินค้า ต้องใช้เวลามากกว่าปกติ และในขณะเดียวกัน ธุรกิจก็มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตลอดเวลา"

    นี่ยังไม่ได้รวมถึงความจริงที่ว่า ธุรกิจจำนวนมากสามารถส่งออกได้น้อยลง ..รายรับเป็นยูเอสดอลลาร์ก็น้อยลง

    ปัญหาการติดขัดด้าน supply chains และดีมานด์ลดลงทั่วโลก ที่มันเกิดจากมาตรการ distancing นั้น อาจจะหมายถึงว่าการค้าโดยรวมของโลกร่วงลงไปถึงหนึ่งในสามในปีนี้ ...จากแหล่งข่าว World Trade Organization (WTO) เมื่อเดือนที่ผ่านมา

    หลายประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่มีโปรไฟล์ที่เสี่ยงมาก ก็จะมีความเปราะบางมากต่อการช้อร์ตครั้งนี้

    The European Bank for Reconstruction and Development (EBRD) ที่มีส่วนในการสนับสนุน 38 ประเทศในยุโรป เอเซีย และอัฟริกา ...เป็นอีกหนึ่งธนาคารเพื่อการพัฒนาที่กำลังสอดส่องในประเด็นของสภาพคล่องดอลลาร์อยู่ด้วย

    Rudolf Putz, ผู้บริหารฝ่าย Trade Facilitation Programme, ของ EBRD กล่าวว่าประเทศที่มีความเสี่ยงสูงนั่นแหละ จะเจ็บตัวมากที่สุด

    "เช่นในเลบานอน ผู้นำเข้าจะไม่สามารถเข้าถึงดอลลาร์ได้เลย นั่นเพราะประเทศนี้ไม่มีการส่งออกมากเพียงพอที่จะเก็บรายรับเป็นดอลลาร์ไว้ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถหาเงินกู้ดอลลาร์จากธนาคารต่างประเทศได้อีกด้วย ตัดโอกาสการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศไปเลย"

    เลบานอนต้องทนอยู่กับการขาดแคลนเงินดอลลาร์มาหลายเดือนแล้ว จากปัญหาทางเศรษฐกิจและหนี้ที่เพิ่มใหญ่ขึ้น จนเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องดอลลาร์มาตั้งแต่เดือนตุลาคม

    โคโรน่าไวรัสมาเพิ่มแรงกดดันเรื่องสภาพคล่อง ..Reuters รายงานว่า ธนาคารหลายแห่งได้หยุดการเบิกจ่ายเงินดอลลาร์ให้แก่บรรดาผู้ฝากมาตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว

    จากแหล่งข่าวของ Putz, แห่ง EBRD ....ทุกประเทศ ดูเหมือนจะต้องการการสนับสนุนทางการเงินจากเงินตราต่างประเทศกันทั้งนั้น ..ไม่เฉพาะเงินดอลลาร์

    เขากล่าวเสริมว่า "เงินยูเอสดอลลาร์เป็นสกุลที่สำคัญที่สุด เพราะการค้าระหว่างประเทศของประเทศในกลุ่มนี้ต้องใช้ดอลลาร์ ....และเงินดอลลาร์ก็สามารถจัดหาให้ได้จากกลุ่มธนาคารขนาดยักษ์ไม่กี่แห่งเท่านั้น"

    Putz กล่าวว่าความกังวลเรื่องการเงินนี้เป็นเพียงอาการหนึ่งของประเด็นที่อยู่ลึกกว่านั้น นั่นคือ ธนาคารผู้ให้กู้ไม่เต็มใจที่จะ finance ประเทศเหล่านั้นเลย

    IMF action

    ไม่นานหลังจากที่ B20 ส่งเรื่องให้กับ G20 ...IMF ก็มีการ boost เพิ่มสภาพคล่องยูเอสดอลลาร์ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ..โดยการเปิด Liquidity Line ระยะสั้นเมื่อกลางเดือนเมษายน ...(SSL Short-term Liquidity Line)

    Geoffrey Okamoto ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ IMF ได้เขียนในบล็อกในสัปดาห์ถัดมาว่า นี่เป็นการปิดแก้ปที่อาจเป็นอันตรายต่อระบบการเงินของโลก

    เขากล่าวต่อไปอีกว่า Federal Reserve ตัดสินใจทำ swap lines เมื่อเดือนมีนาคม เพื่อเตรียมให้มีสภาพคล่องของยูเอสดอลลาร์ หลังจากที่มีแรงซื้อจำนวนมากทั่วโลกจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทำให้ค่าดอลลาร์สูงขึ้น

    จากการที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ทำให้ Fed กำหนดค่าของดอลลาร์ liquidity swap lines ต่ำลง ให้กับธนาคารกลางหลัก ๆ เช่น Bank of England ..the European Central Bank ..และ the Bank of Japan

    จากนั้นไม่นาน ก็มีการเปิด swap lines กับอีกหลายชาติ รวมถึงประเทศตลาดเกิดใหม่เช่น บราซิล เพื่อช่วยให้มีสภาพคล่องดอลลาร์เพียงพอ ...และนั่นจะทำให้ธนาคารกลางของประเทศเหล่านี้สามารถใช้สกุลเงินของตนแลกเปลี่ยนเป็นยูเอสดอลลาร์กับ Fed ..อย่างน้อยก็ช่วยสภาพคล่องได้ชั่วคราว

    ขณะเดียวกัน Fed ก็ยังมีโครงการชั่วคราวการซื้อคืนพันธบัตร repurchase หรือ repo ซึ่งช่วยให้สถาบันการเงินนานาชาติที่ถือพันธบัตรสหรัฐ..มาสว้อปเป็นดอลลาร์กับ Fed ได้เลย

    Okamoto ยังกล่าวอีกว่า ความเสี่ยงจากสภาพคล่องยูเอสดอลลาร์ในประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ก็คือ Fed ไม่อาจทำสว้อปกับทกประเทศได้

    เขากล่าวเสริมอีกว่า "หลายชาติในตลาดเกิดใหม่ยังคงอยู่ในความเสี่ยงที่อาจเผชิญกับการชะงักกระทันหัน หลังจากการทำ swap lines ยุติไปแล้ว"

    IMF ยังบอกถึงแผน Liquidity Lines ระยะสั้น ของตนว่า มันคล้ายกับเป็นเบาะรองหลังด้านสภาพคล่อง และเข้าถึงได้ง่ายกว่าเครดิตไลน์ที่มีอยู่ (flexible credit line ..FCL)

    *************

    Virus compounds US dollar liquidity strains for emerging markets

    Global / 14-05-20 / by Felix Thompson

    The US dollar has been the lifeblood of international trade for decades, but fears are emerging that coronavirus-induced “strains” in dollar liquidity could hit businesses in emerging markets particularly hard.

    Nearly 90% of international transactions in 2019 involved US currency, according to the Bank for International Settlements. But even before Covid-19 struck, banks operating in trade finance in emerging markets had – in some instances – struggled to gain dollar access.

    In a 2019 Asian Development Bank (ADB) trade finance survey, for instance, banks from nearly 50 different countries were asked what the largest barriers to expanding trade finance operations were. Nearly 30% identified US dollar liquidity as an obstacle.

    As such, there are fears that the coronavirus will only exacerbate any dollar shortage issues, and hinder trade for some countries.

    The Business 20 (B20) – a voice for the private sector to the G20 – sent a letter to the G20 in April calling for the international forum’s members to put in place a global action plan to mitigate the shocks of Covid-19.

    The document puts forward a list of measures that could help, including a request for central banks in emerging markets, the International Monetary Fund (IMF), the World Bank and the US Federal Reserve to co-ordinate as they “may be needed to address the issue of US dollar liquidity”.

    Its reasoning was “the importance of USD currency in financing global trade flows”.

    ADB’s head of trade finance, Steven Beck, tells GTR that coronavirus is creating additional dollar liquidity concerns. One reason is that companies are hoarding cash, thereby making it more expensive.

    “Cash is king at a time like this, because the whole cash conversion cycle – the time it takes someone to produce something and get it to market, before selling it and getting paid for it – has slowed down dramatically. At the same time, companies still have expenses,” Beck says.

    He adds that the situation is compounded by the fact companies are exporting less, and so earning less in US dollars.

    The shuttering of supply chains and a drop in global demand due to distancing measures could mean trade as a whole falls by as much as a third this year, the World Trade Organization (WTO) said last month.

    Meanwhile a drop in remittances – money sent back by workers to their home countries – has also hampered US dollar liquidity in emerging markets.

    For the meantime, Beck says ADB is only seeing “some strains” on the US dollar liquidity front and is watching the situation closely.

    However, he notes that emerging markets with heightened risk profiles are more “vulnerable” to potential shortages.

    The European Bank for Reconstruction and Development (EBRD) – which provides support to 38 countries in Europe, Asia and Africa – is another development bank monitoring for potential dollar liquidity issues.

    According to Rudolf Putz, head of the EBRD’s Trade Facilitation Programme, nations with high country risk ratings are feeling the pain.

    “In Lebanon, for instance, it’s very difficult currently for importers in Lebanon to get access to US dollars, because they do not have sufficient exports to generate dollars. And they have problems in getting international banks to lend US dollars, which makes it difficult to import any merchandise,” he tells GTR.

    Lebanon has been dogged by US dollar liquidity issues for months, as underlying economic problems and growing national debt snowballed into a dollar liquidity crisis last October.

    Coronavirus has only added to those liquidity pressures, with Reuters reporting that some banks have stopped dispensing dollars to depositors since March.

    However, according to Putz, EBRD countries across the board are struggling to access trade finance support in any foreign currency – not just dollars.

    He adds: “It’s not only in US dollars, but this is the most critical currency, given that most of the foreign trade in emerging markets is done in US dollars, and US dollars can only be provided by a limited number of large international banking groups.”

    Putz says currency concerns are symptomatic of a deeper issue, which he categorises as a “general unwillingness of international lenders, exporters and foreign banks to provide [EBRD countries] with trade finance facilities”.

    IMF action

    Not long after the B20 sent its letter to the G20, the IMF moved to boost US dollar liquidity in emerging markets, launching a new short-term liquidity line (SLL) in mid-April.

    Geoffrey Okamoto, the IMF’s first deputy managing director, wrote in a blog post the following week that it was launched to fill “a critical gap in the global financial safety net”.

    He said that the US Federal Reserve’s decision to open up swap lines the month prior – in March – had done much to ease the US dollar liquidity situation after a rush by financial institutions around the globe to buy the currency sent it rising rapidly in early March.

    With the dollar rising sharply, the US Federal Reserve slashed the pricing on existing US dollar liquidity swap lines with major central banks – including the Bank of England, the European Central Bank and the Bank of Japan.

    Not long after, it opened these swap lines up to a host of other countries, including emerging nations like Brazil, to boost US dollar funding. That enabled central banks in developing markets to exchange domestic currency for US dollars from the Fed, offering a temporary boost to liquidity.

    Meanwhile, the Fed also brought in a temporary repurchase (repo) agreement. This let central banks and other international monetary authorities temporarily swap their US Treasury securities, held with the Federal Reserve, for US dollars.

    However, Okamoto said that a US dollar liquidity risk remained for developing countries, commenting: “The Fed and other central banks cannot provide swaps for all countries.”

    He added: “Many emerging market members of the IMF are still experiencing liquidity shortages or will face the risk of occasional ‘sudden stops’ for some time to come, and well after the swap lines are terminated.”

    The IMF says the new SLL is designed to act as a liquidity backstop and is cheaper to access than the existing flexible credit line (FCL).

    However, the SLL comes with the same qualification criteria as the FCL and is made for members with “very strong policy frameworks and fundamentals”.

    Colombia, Mexico and Poland are the only three countries to have used the FCL to date. Chile is set to receive approval in the coming weeks, having applied for a two-year FCL arrangement equivalent to SDR17.4bn (US$23.8bn).

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    X22Report Spotlight
    We Are Now In The Process Of Dismantling The Rothschild Banking System, Target Locked.

    เรากำลังอยู่ในช่วงการรื้อระบบแบ้งกิ้งของร้อธไชล์ด

    Jim willie...May 13, 2020

    *****โปรดใช้วิจารณญานครับ*****

    1:50...Jim...ยุคนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคที่กำลังอยู่ในการยึดอำนาจ เป็นการยึดอำนาจของพวก Big Pharma และพวกหน่วยงานสาธารณสุข..แบบยึดกันที่ control room กันเลย ที่ผ่าน ๆ มาพวกนี้จัดการกับนโยบายและสามารถเข้าคุมรัฐบาลได้เลย ...ผมจะยกถึงเรื่องการ lockdown และข้อมูลที่หลอกลวงด้านการสาธารณสุข medical fraud

    การ lockdown อาจจะยุติลงได้ถ้าคนเราหยุดตาย เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่คนยังถูกเทสต์โพสิตีฟ การระบาดของไวรัสก็ยังมีอยู่ต่อไป ....การตายไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรจะถูกเรียกเป็น Covid 19 ได้เลย ...การ lockdown จึงยังต้องอยู่ต่อไป

    เมื่อหลายเดือนก่อน มีอีเว้นท์ 201 ของ Rokefeller ที่มีการเปิดเผยเหมือนเป็นการเตือนเรา ...เรื่องนี้เป็นแผนระยาวมานับสิบปี เตรียมการ takeover โดยใช้โรคระบาด ......แม้แต่กฏหมายที่เตรียมไว้สำหรับการอนุมัติเงินช่วยเหลือก็เตรียมร่างมาตั้งแต่ กุมภาพันธ์ 2019 แล้วมาเปลี่ยนวันที่ เปลี่ยน wording บางแห่งกันเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เอง (H.R.6074 - Coronavirus Preparedness and Response Supplemental Appropriations Act, 2020 .....ผู้แปล) ...นี่ไม่ใช่เตรียมการเมื่อเดือนที่แล้ว แต่เป็นล่วงหน้า 14 เดือนมาแล้ว

    ตอนนี้มีผู้รู้ทันเกิดขึ้นมาก มีการต่อต้านการ lockdown เกิดขึ้นหลายรัฐ ....ทำให้เห็นว่าการยึดอำนาจดูเหมือนกำลังจะล้มเหลว

    20:50...Dave...เพราะอะไรพวกธนาคารกลางต่าง ๆ ถึงซื้อเข้า bad assets กันมาก

    Jim......มันก็เป็นการเอาไปดั๊มพ์ทิ้งไว้หลังบ้านของร้อธไชล์ดน่ะแหละ

    Dave.....คุณหมายความว่าเป็นหนึ่งในวิธีกำจัดระบบร้อธไชล์ดหรือเปล่า

    Jim....Yes, เพราะถึงแม้ทรัพย์สินพวกนั้นจะดูเหมือนเป็นอิสระ แต่มันก็ยังเกี่ยวพันอยู่กับร้อธไชล์ดอยู่ดี ...นี่เป็นการส่งให้ทรัพย์สินเน่า ๆ พวกนี้ไปอยู่กับ Fed โดยมีการระบาดของไวรัสเป็นตัวเร่ง ....ตอนแรกพวกเขาก็ยึดคืน Fed ..ต่อมาก็จัดการเอาทรัพย์สินเน่า ๆ ไปให้ Fed เก็บไว้ .......แรก ๆ ก็ให้ Fed เอาพันธบัตรไปเก็บไว้ ..ต่อมาก็เก็บพวกหุ้นกู้ corporate bonds เน่า ๆ ..มาตอนนี้เป็น ETFs

    22:00...Jim.....เมื่อวานนี้เองที่ Fed ประกาศว่าจะเข้ามาซื้อ ETFs ......ETFs พวกนี้กำลังอยู่ใน big trouble ..นี่ไม่ได้หมายถึงกองทุน ETF ที่ถือพวกโภคภัณท์ เช่นน้ำมัน..หรือทองคำหรอกนะ ...แต่หมายถึงกองทุน stock index ETF ทั้งหมดที่ถูกพวกเฮ้ดจ์ฟันด์ทำ arbirage นั่นแหละ ....Fed ถึงต้องช่วย bail out เอาไปเก็บไว้

    37:35 ......Dave....ขอพูดถึงเรื่องแหล่งข่าวของคุณที่ชื่อ maxwell ที่ว่า ระบบธนาคารกลางจะต้องมีการปรับโครงสร้างกันใหม่ หลังจากทำลายระบบโดยการโหลดทรัพย์สินเน่าเสียให้มัน เรื่องนี้จะต้องร่วมมือกันทำกับประเทศอื่น ๆ หรือไม่อย่างไร

    Jim....ผมไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ แต่จากหลายเรื่องที่ได้ยินมา หลาย ๆ รัฐบาลตอนนี้ไม่อยากให้ระบบธนาคารกลางมาคอยสั่งให้เราทำอะไรที่มีผลต่อเศรษฐกิจหรือระบบแบ้งกิ้งในประเทศเรา เราจะต้อง takeover ดูตัวอย่างจากอิตาลี ที่ถูกกดดันจาก ECB จนเป็นอย่างที่เห็น ...พวกร้อธไชล์ดไม่ชอบสิ่งที่อิตาลีอยากแก้ปัญหาของตนเอง

    ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่รัฐบาลหลายประเทศกำลังทำอยู่ คือสลัดตัวเองให้หลุดจากการเอาเปรียบทางการเงินของระบบธนาคารกลางแฟรนไชส์ของร้อธไชล์ด ที่ยึดอำนาจมานับชั่วอายุคน .....แต่สำหรับในยุโรป เรื่องของการเมืองอาจจะแยกกันยากสักหน่อย แต่เรื่องการเงินมัน break up แน่นอน ....เงินยูโรจะไม่สามารถไปต่อได้ แต่พวกฟาสซิสต์ที่อยู่ที่บรัสเซลล์คงจะอยู่ต่อไป

    43:00.....Jim....อีกเรื่องที่สำคัญเกี่ยวกับการป้องกันตัวของระบบร้อธไชล์ด ผมเคยพูดถึงมาแล้วตั้งแต่ปี 2018 แต่ตอนนี้มันเห็นชัดขึ้นทุกที ...นั่นคือ 80% ของคนทำงานระดับกลางของพวกแบ้งค์คาบาลถูกกำจัดไปแล้ว มีทั้งกำจัดทิ้งและถูกทำให้แปรพักตร์เพื่อเป็นพยานส่งหลักฐานการโกงในระบบแบ้งกิ้งคาบาลให้แก่ Serious Fraud Division ของ Interpol .....พวกนี้เป็นระดับกลาง ส่วนพวกชั้นท้อป 10% ปล่อยไว้ ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีคนทำงานให้อีกแล้ว

    ถ้าพวก bad assets ที่ถูกดั๊มพ์ใส่ระบบธนาคารกลางชั้นนำของร้อธไชล์ดในหลายประเทศ ....จะมีคนทำงานระดับกลางที่ไหนอยู่จัดการแก้ปัญหาให้อีก ....และอาจไม่มีใครอยู่จัดการในเรื่องการข่าวอีกด้วย ผมสังเกตุข่าวใน CNN เริ่มเปลี่ยนไป มีแต่ข่าวปลอมที่แสดงออกถึงความกลัว

    *****โปรดใช้วิจารณญานครับ*****



     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thailand Has Widest Income Inequality in the ASEAN

    คนไทย 91.7% มีทรัพย์สินน้อยกว่า $10,000 (ประมาณ 320,000 บ) ..มีเพียง 0.1% เท่านั้นที่ครอบครองทรัพย์สินมากกว่า $1 ล้าน (32 ล้านบาท) คำนวนเป็น Income Inequality Value เท่ากับ 90.2 Gini coefficient ..สูงสุดในอาเซียน ..สูงอันดับ 4 ในโลก ....(ข้อมูลต้นปี 2019)

    The Gini coefficient (ตั้งชื่อตาม Corrado Gini นักประชากรศาสตร์ชาวอิตาลี) ..เป็นมาตรวัดสถิติดีกรีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่ 0 - 100 ...ศูนย์หมายถึงเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์ ...ตัวเลขยิ่งมากหมายถึงความเหลื่อมล้ำยิ่งห่างมาก

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    56 ปี รถไฟหัวกระสุน “ชินคันเซ็น”
    .
    เมื่อเปรียบเทียบภาพที่เห็นจากมุมเดียวกัน แต่แตกต่างกันเพียงแค่ช่วงเวลาที่ห่างกันเกินกว่าครึ่งศตวรรษ เพราะภาพบนถูกถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2507 ส่วนภาพล่างก็ราวๆ ช่วงปี พ.ศ. 255X ความทันสมัยและเสน่ห์ของรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงจากแดนซามูไรนามว่า “ชินคันเซ็น” ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของคนที่เคยมีโอกาสได้สัมผัส หรือได้เห็นมันตามสื่อต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่เกิดมาบนโลกใบนี้ หากเปลี่ยนภาพบนเป็นภาพสี ก็คงคิดว่าเป็นภาพรถไฟที่วิ่งอยู่ในยุคปัจจุบันแน่ๆ
    .
    นวัตกรรมการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาลไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ เพราะในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี ค.ศ. 1930 ญี่ปุ่นต้องการสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อเหตุผลด้านการทหาร เพื่อเชื่อมต่อจักรวรรดิญี่ปุ่นกับประเทศที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่นในตอนนั้น เพราะเห็นอังกฤษและเยอรมันที่สมัยนั้นสามารถสร้างรถไฟความเร็วกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้งานแล้ว
    .
    ปลายปี 1938 แผนการสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงได้ถูกริเริ่มขึ้น ญี่ปุ่นได้วางเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากกรุงโตเกียว ออกสู่ภูมิภาคต่างๆ เป็นประเทศระยะทาง 984 กิโลเมตร ไม่เพียงเท่านั้น เส้นทางที่วางไว้ยังมุ่งออกนอกเกาะฮอนชู ผ่านอุโมงค์ใต้ไปยังเกาะอื่นๆ รวมทั้งวาดฝันว่าจะทำทางรถไฟลอดใต้ทะเลเชื่อไปถึงนครปูซาน ผ่านกรุงโซล ของเกาหลีใต้ จนกระทั่งไปถึงปักกิ่ง ประเทศจีนเลยทีเดียว
    .
    ในเดือนกันยายนปี 1940 มีการเคาะตัวเลขงบประมาณโครงการที่ตั้งงบฯ เอาไว้คือ 5.56 แสนล้านเยน (ประมาณ 1.67 แสนล้านบาท ที่ 100 เยน = 30 บาท)
    .
    แต่จากผลกระทบของสงครามโลก ทำให้ต้องระงับโครงการนี้ไปเดือนมิถุนายน ปี 1944
    .
    เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นอยู่ในภาวะประเทศผู้แพ้สงคราม ประเทศแทบจะไม่เหลืออะไร ในฐานะผู้แพ้สงคราม ญี่ปุ่นถูกบังคับให้ต้องเซ็นสัญญายอมแพ้ ห้ามมีการสะสมกำลังคนและอาวุธ และต้องยอมให้ฝ่ายพันธมิตร ซึ่งก็คือ อเมริกาเข้ามาควบคุมประเทศในช่วงแรก
    .
    เหล่านักวิจัยระดับแนวหน้าของกองทัพที่เคยสร้างผลงานอันโดดเด่นในช่วงสงคราม ตกงานและถูกเรียกตัวให้มาช่วยงานที่ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีรถไฟของประเทศ และรถไฟชินคันเซนจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าปราศจากบุคคลเหล่านี้
    .
    ทาดานาโอะ มิกิ : ผู้ซึ่งจบวิศวกรรมการต่อเรือ จาก Tokyo imperial university ปี 1933 และเคยทำงานในกองทัพเรือ เค้าเคยสร้างผลงานที่โด่งดังให้กองทัพ คือการออกแบบเครื่องบินทิ้งระเบิดให้มีความเร็วสูงจนติดอันดับโลก และถูกใช้ในการจู่โจมแบบพลีชีพ (Kamikazes) เขาถูกเรียกตัวให้มาช่วยที่ศูนย์วิจัยฯ โดยมีความคิดว่า รางรถไฟมาตราฐานที่ใช้กันอยู่ในญี่ปุ่นนั้น เป็นแบบรางแคบ เมื่อรถไฟวิ่งด้วยความเร็วมากๆ จะเกิดการสั่นและหลุดจากรางได้ วิศวกรรุ่นเก่าๆ เลยแก้ปัญหาด้วยการออกแบบรถไฟให้หนักๆ เพื่อจะได้ใช้น้ำหนักของตัวรถกดให้รถยึดติดกับราง
    .
    เขาได้ใช้ทฤษฎีของเขาเอง ซึ่งคิดแบบตรงข้ามกับวิศวกรรุ่นเก่าคือ เค้าจะออกแบบรถที่เพรียวลม น้ำหนักเบา และจุดศูนย์ถ่วงต่ำ จนทำให้ได้รถไฟรุ่น Super Express ขบวนแรกของญี่ปุ่นในปี 1957 ซึ่งวิ่งด้วยความเร็ว 145km/hr ซึ่งเร็วที่สุดในโลกตอนนั้น บนรางขนาด Cape gauge = 1.067 เมตร
    .
    ทาดาชิ (คิยูชิ) มัตซุไดระ : บุคคลผู้นี้เคยทำงานให้กับกองทัพเรือของญี่ปุ่นและเค้าคือผู้ที่คิดค้นการแก้ปัญหาการสั่นของเครื่องบินรบเมื่อบินด้วยคามเร็วสูง เมื่อได้เข้ามาทำงานในศูนย์วิจัยฯ เขาสนใจเรื่องการสั่นสะเทือนของรถไฟเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง แนวความคิดของเค้าที่ว่า “ข้อจำกัดของรถไฟเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงคือ การสั่น และเมื่อรถไฟสั่นมากๆ ก็มีโอกาสที่จะหลุดออกจากรางได้ ถ้าสามารถควบคุมการสั่นนี้ได้ รถไฟจะข้ามขีดจำกัดของความเร็วไปได้” ต่อมาเค้าพัฒนาแนวความคิดนี้จนกลายเป็น Air Spring System ลดการสั่นของรถเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงได้
    .
    ฮาจิเมะ คาวานาเบะ บุคคลผู้นี้ เคยทำงานให้กับกองทัพเรือ เกี่ยวกับการสื่อสาร เมื่อเค้าตกงานหลังสงคราม จึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับศูนย์วิจัยฯ แนวความคิดที่สำคัญของเค้าคือ “ระบบควบคุมรถไฟอัตโนมัตินั้น มีความสำคัญยิ่งในความปลอดภัยของรถไฟเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง” ต่อมาเค้าได้พัฒนาระบบที่เรียกว่า Automatic train control (ATC) ซึ่งระบบนี้ จะปล่อยคลื่นความถี่ต่ำลงสู่รางรถไฟ และคอยส่งข้อมูลให้รถไฟทราบสถานะต่างๆ อยู่ตลอดเวลา หากมีความผิดปกติใดๆ รถไฟจะชะลอความเร็วและหยุดโดยอัตโนมัติ
    .
    บุคคลทั้ง 3 คน ทำงานที่เดียวกันเป็นเวลาหลายปี แต่กลับมาเจอกันในวันหนึ่งของปี 1957 เพียงเพราะว่า นายทาเคชิ ชิโนฮารา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯขณะนั้น ต้องการปรึกษาพวกเขาเรื่อง หัวข้อการจัดบรรยายเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของศูนย์วิจัยฯ
    .

    พวกเค้าทั้งสามได้เล่าถึงความฝันของตนเอง ที่อยากจะพัฒนารถไฟความเร็วสูงเพื่อให้การเดินทางจากโตเกียวสู่โอซาก้าให้เหลือเวลาเพียง 3ชั่วโมง (จากตอนนั้นต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 8 ชม.)
    .
    ไม่น่าเชื่อว่าแนวความคิดของทั้งสามคน ทำให้นายทาเคชิ ชิโนฮารา ประกาศความฝันนี้ให้กับคนญี่ปุ่นทั่วประเทศได้ทราบในงานครบรอบ 50 ปี แห่งการก่อตั้งศูนย์วิจัย
    .
    แต่หลังจากสงครามโลก การรถไฟแห่งชาติญี่ปุ่นหรือ Japanese National Railways (JNR) ต้องประสบกับความยากลำบากอย่างหนัก ไม่เพียงต้องต่อสู้เพื่อให้องค์กรเอาตัวรอดจากแข่งขันกับทางด่วนรถยนต์และสายการบินภายในประเทศแต่ต้องการสร้างระบบรถไฟที่สามารถพัฒนาประเทศ โครงการรถไฟความเร็วสูงได้ถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้ง
    .
    นายทาเคชิ ชิโนฮารา ผู้อำนวยการสถาบันเทคนิคการรถไฟญี่ปุ่นในขณะนั้น แถลงข่าวต่อสาธารณะชนเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1957 ว่า
    .
    "มีความเป็นไปได้ของการเดินทางระหว่าง โตเกียว - โอซากา ในเวลา 3 ชั่วโมง"
    .
    เส้นทางที่ชื่อว่าว่า โทไคโด (Tokaido) ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟที่สำคัญที่สุดของประเทศมาตั้งแต่อดีต เชื่อมต่อ 2 พื้นที่สำคัญจากแถบคันไซ (โอซากา , เกียวโต) กับแถบคันโต ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองกรุงโตเกียว
    .
    ท่ามกลางการถกเถียงและความสงสัยในความเป็นไปได้ของโครงการ ภายในปีเดียวกันนั้น วันที่ 4 ตุลาคม 1957 สหภาพโซเวียตได้ส่งดาวเทียม Sputnik 1 ดาวเทียมดวงแรกของโลก ขับเคี่ยวกับทางสหรัฐอเมริกาไปแล้ว
    .
    เมื่อโลกภายนอกก้าวสู่การแข่งขันด้านสำรวจอวกาศกันแล้ว แต่ญี่ปุ่นกลับมามองประเทศตัวเอง ที่ยังใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟภายในประเทศของตัวเองระหว่าง โตเกียว - โอซากา ต้องใช้เวลา 8 ชั่วโมงกว่า ญี่ปุ่นจะอยู่กันเช่นนี้โดยไม่พัฒนาสิ่งใดๆ สู่ความก้าวหน้าบ้างเลยหรือ?
    .
    และนั้นคือก้าวสำคัญที่สุดที่ทำให้ญี่ปุ่นเริ่มต้นโครงการรถไฟหัวกระสุน โดยมีอีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดชินคันเซ็นได้ลืมตาออกมาวิ่งบนโลก ชายผู้มีฉายาว่า “ตาแก่สายฟ้า”
    .
    ชินจิ โซโกะ วัย 71 ปี ผู้ลุกกลับมาจากการเกษียณรับตำแหน่งประธานคนที่ 4 ของการรถไฟแห่งชาติญี่ปุ่น เขานำแผนของ ทาเคชิ ชิโนฮารา ขออนุมัติงบประมาณกับรัฐบาลญี่ปุ่น ผลักดันจนอนุมัติงบฯ มาให้ที่ 1.95 แสนล้านเยน (ประมาณ 5.84 หมื่นล้านบาท) เมื่อ 18 ธันวาคม ปี 1958 จากที่เคยประมาณการงบประมาณเอาไว้จริงที่สูงถึง 3 แสนล้านเยน (ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท) แต่กลัวว่างบฯ จะไม่ผ่านการอนุมัติเลยของบเพียงแค่ครึ่งเดียวก่อน
    .
    ต่อมาชินจิ ได้เดินทางไปธนาคารโลกที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เพื่อกู้เงิน 2 แสนล้านเยน (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท) สำหรับโครงการนี้ ลูกชายของชินจิกล่าวไว้ว่า
    .
    "ที่พ่อทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะญี่ปุ่นเองไม่มีเงินทุนสร้าง แต่ต้องการให้ธนาคารโลกกดดันให้ญี่ปุ่นทำโครงการจนสำเร็จ มีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ พ่อต้องการป้องกันพวกเขาขัดขวางโครงการ"
    .
    ประธานธนาคารโลกไม่ได้คล้อยตามกับชินจินัก เพราะมองว่ารถไฟคือพาหนะของยุคอดีต ชินพยายามอธิบายแม้จะมีอุปสรรคด้านภาษา เขากล่าวกับประธานธนาคารโลกตอนหนึ่งไว้ว่า
    .
    "ถ้าญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่ยังไม่พัฒนา นี่เป็นเหตุผลที่จำเป็นต้องมีระบบรถไฟที่ดีขึ้น ตอนคุณปลูกบ้านหลังใหม่ คุณนำสิ่งของใหม่ๆ มาตกแต่ง แต่เมื่อคุณจะสร้างระบบรถไฟใหม่ คุณก็ต้องใช้เทคโนโลยีล่าสุด"
    .
    ในที่สุดเดือนเมษายน 1961 ธนาคารโลกอนุมัติเงินกู้จำนวน 8 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท) แก่ญี่ปุ่น
    ในอัตราดอกเบี้ย 5.75 ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี คิดเป็นร้อยละ 15 ของมูลค่าโครงการ ซึ่งระหว่างการผ่อนชำระ เกิดการแข็งค่าของเงินเยนเทียบกับเหรียญสหรัฐ จึงส่งผลดีแก่ญี่ปุ่น ทำให้เงินงวดสุดท้ายถูกผ่อนชำระในเดือนพฤษภาคม 1981
    .
    สำหรับเส้นทาง Tokaido นี้มี 66 อุโมงค์และ 96 สะพาน และเส้นทางเป็นเส้นทางรถไฟสร้างใหม่ ไม่มีการตัดผ่านถนนเลย ดังนั้นจึงใช้คำของภาษาญี่ปุ่น 3 ตัวอักษรเพื่อเป็นชื่อเรียกของรถไฟใหม่นี้ว่า
    Shin แปลว่า ใหม่
    Kan แปลว่า รถไฟ
    Sen แปลว่า เส้นทาง
    รวมกันเป็น Shinkansen ที่แปลกว่า รถไฟเส้นทางใหม่ นั่นเอง
    .
    กลับมาด้านการทำงานในประเทศ ชินจิทำการแต่งตั้งนายฮิเดโอะ ชิมะ เป็นหัวหน้าทีมวิศวกรคนใหม่ พร้อมนำวิศวกรด้านเครื่องบินรบมือดีที่สุดอีก 20 คน เข้ามาเริ่มงานโครงการรถไฟความเร็วสูง ทีมงานได้ต่อสู้ในทุกๆ รายละเอียดจนก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ทั้งการออกแบบรูปทรงรถ เพื่อลดการแรงลมต้าน ลดการสั่น ลดเสียงที่ดังเมื่อทำการวิ่งด้วยความเร็วสูงผ่านอุโมงค์ การคิดค้นช่วงล่างของรถไฟ(โบกี้) ที่ต้องสามารถรับแรงสั่นได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ระบบเบรกที่ต้องรับมือ แผ่นดินไหว และอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ศูนย์ควบคุมที่คอยตรวจสอบ ความเร็ว ระยะห่างระหว่างขบวน
    .
    จนกระทั่งวันที่ 3 มีนาคม 1963 รถไฟความเร็วสูงหรือ Shinkansen ก็สามารถวิ่งทดสอบสำเร็จด้วยความเร็ว 257 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นสถิติโลกในตอนนั้น
    .
    ในที่สุดผลจากความพยายามและความเฉลียวฉลาดของทีมงานก็ประสบความสำเร็จ วันที่ 1 ตุลาคม 1964 ทันเวลาก่อนเริ่มกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่ญี่ปุ่นเจ้าภาพ บุคคลสำคัญมากมายถูกเชิญมาในพิธีเปิด Shinkansen ขบวนแรก แต่ในผู้คนเหล่านั้นไม่มี ชินจิ โซโกะ และ ฮิเดโอะ ชิมะ รวมอยู่ด้วย เนื่องจากทั้งสองต้องลาออกก่อนโครงการสำเร็จ เพื่อรับผิดชอบต่อการที่งบประมาณโครงการที่เกินกว่าที่ตั้งไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามหน้าประวัติศาสตร์จะมีพื้นที่สำหรับความอุทิศตน ความเสียสละทุ่มเทของสองท่านนี้จารึกไว้เพื่อบอกต่อแก่คนรุ่นหลังเสมอ
    .
    เวลา 6.00 น. Shinkansen ขบวนแรกรุ่น 0 Series (ตามภาพด้านบน) ในชื่อ Hikari No.1 ก็ได้เริ่มวิ่งให้บริการจากสถานีโตเกียว สู่ปลายทางสถานี ชิน - โอซากา และเมื่อวินาทีที่ขบวนวิ่งพ้นโค้งมากมายในกลางเมือง ผ่านสถานี ชิน - โยโกฮามา ออกสู่นอกเมือง Hikari No.1 ได้เริ่มเร่งความเร็ว ทะยานสู่ความเร็วที่ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ท่ามกลางเสียงยินดีของผู้โดยสาร จนกระทั่งในเวลา 10 โมงก็ถึงสถานีปลายทาง โดยใช้เวลา 4 ชั่วโมงตรงตามที่กำหนดไว้ (ขณะที่รถไฟรุ่นปัจจุบันปัจจุบันใช้เวลา 2 ชั่วโมง 25 นาที สำหรับขบวนที่เร็วที่สุด)
    .
    การเริ่มต้นของ Shinkansen และการเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1964 เป็นสัญญาณบอกแก่คนทั่วโลกอย่างภาคภูมิว่า ญี่ปุ่นเริ่มก้าวกระโดด ไม่ได้อยู่ในสภาพประเทศผู้แพ้สงครามอีกต่อไป และชินคันเซ็น ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของประเทศญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง = 0
    .
    ที่มา : http://www.japantimes.co.jp/life/2014/09/27/lifestyle/shinkansen-50-fast-track-future/#.VCv8eRaKySo
    http://www.jrtr.net/jrtr11/pdf/history.pdf
    http://english.jr-central.co.jp/index.html
    http://www.theguardian.com/cities/2014/sep/30/-sp-shinkansen-bullet-train-tokyo-rail-japan-50-years
    http://ajw.asahi.com/article/behind_news/social_affairs/AJ201410010061
    http://www.rappler.com/world/regions/asia-pacific/70024-japan-shinkanse-bullet-train-50-years

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินเดียป่วย 100,000 แล้ว
    .
    เมื่อไม่กี่วันมานี้รัฐบาลอินเดียมีประกาศเรื่องการขยายการปิดเมืองออกไปถึงสิ้นเดือนนี้ โดยรอบนี้ให้อำนาจรัฐและท้องถิ่นต่าง ๆ ในการตัดสินใจว่าจะกำหนดมาตรการปิดเมืองกันอย่างไร เพื่อให้การควบคุมโรคสามารถกระทำได้ ควบคู่กับการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ
    .
    แม้ว่าอินเดียจะดำเนินนโยบายปิดเมืองมาอย่างเข้มข้นตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในอินเดียนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวานนี้มีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 100,000 คนแล้ว ซึ่งทำให้อินเดียขึ้นมาเป็น 3 ของเอเชียเป็นรองเพียงตุรกี และอิหร่านเท่านั้น
    .
    แต่ที่น่าสนใจคือมีรายงานของผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบาดวิทยาระบุว่าตัวเลขที่เห็นในทุกวันนี้ยังคงไม่ใช่ช่วงพีคที่สุดของอินเดีย ฉะนั้นเราจะยังคงตัวเลขผู้ติดเชื้อของอินเดียเพิ่มขึ้นไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งมีการคาดกันว่าอินเดียจะถึงจุดสูงสุดในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน หรือ กรกฎาคม
    .
    ในขณะเดียวกันตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้ยังเป็นผลสำคัญมาจากนโยบายตรวจหาเชื้อที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นของหลายรัฐในอินเดีย จนตอนนี้มีการตรวจหาเชื้อไปมากกว่า 2 ล้านรายแล้ว
    .
    เมื่อดูภาพรวมตอนนี้อินเดียมีผู้ป่วยที่ยังคงรักษาตัวอยู่ราว 57,926 คน หายป่วยแล้ว 39,206 คน และเสียชีวิต 3,155 คน
    .
    อย่างไรก็ตามเรายังคงต้องมาติดตามกันดูว่าสถานการณ์ในอินเดียจะเป็นอย่างไรโดยเฉพาะหลังมีการเริ่มคลายปิดเมืองในหลายพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลยังเริ่มอนุญาติให้แรงงานข้ามรัฐเดินทางกลับบ้านได้โดยรถไฟ และรถบัส ขบวนพิเศษด้วย
    .
    สำหรับสถานการณ์โควิด19ในเอเชียใต้นั้น
    ปากีสถาน 42,125 ราย
    บังคลาเทศ 23,870 ราย
    อัฟกานิสถาน 7,072 ราย
    มัลดีฟ 1,094 ราย
    ศรีลังกา 986 ราย
    เนปาล 357 ราย
    ภูฏาน 21 ราย
    .
    #กระแสเอเชียใต้ #อินเดีย #โควิด19 #ตัวเลขผู้ติดเชื้อ #เอเชียใต้

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,768
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไซโคลนลูกใหญ่กำลังเข้าอินเดีย
    .
    เรียกได้ว่าช่วงนี้อินเดียเจอภัยธรรมชาติค่อนข้างจะบ่อยมากครับ ปัญหาโควิด-19ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ ล่าสุดอินเดียกำลังจะเผชิญภัยธรรมชาติครั้งใหญ่จากอ่าวเบงกอลอีกครั้ง
    .
    ใช่แล้วครับ อินเดียกำลังจะเจอกับพายุไซโคลนลูกขนาดมหิมา หรือใหญ่เป็นพิเศษซึ่งตอนนี้ก่อตัวขึ้นในอ่าวเบงกอลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายรัฐตามแนวชายฝั่งตะวันออกเริ่มมีฝนตก ซึ่งเป็นผลมาจากเจ้าไซโคลนลูกนี้
    .
    ทั้งนี้ไซโคลนลูกล่าสุดนี้ถูกตั้งชื่อว่า "อำพัน" ชื่อดูเบา ๆ แต่ความเร็วลมของพายุนั้นไม่เบาเลย ตอนนี้อยู่ที่ราว ๆ 115-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    .
    ทั้งนี้กรมอุตุนิยมวิทยาอินเดีย หรือ ไอเอ็มดี ได้พยากรณ์ว่าไซโคลนอำพันจะเดินทางมาจากอ่าวเบงกอลและตรงขึ้นไปทางเหนือ โดยคาดว่าจะขึ้นฝั่งในราว ๆ วันที่ 19 -20 พฤษภาคมนี้ ด้วยความเร็วลมสูงสุดถึง 170-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม "พายุไซโคลนระดับรุนแรงมาก"
    .
    ในการนี้คาดว่าไซโคลนลูกนี้จะขึ้นฝั่งในบริเวณรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย แต่อิทธิพลของมันจะส่งผลกระทบไปอย่างรัฐโอริสสา รวมถึงประเทศบังคลาเทศร่วมด้วย ทั้งลมกระโชกแรง และฝนตกปริมาณ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาไฟดับ และน้ำท่วมฉับพลันได้ด้วย
    .
    ตอนนี้ทางการอินเดียได้ประกาศงดให้เรือประมงทุกชนิดออกจากท่าเพื่อไปยังอ่าวเบงกอล ทั้งยังได้เตรียมทีมหน่วยงานเผชิญภัยพิบัติแห่งชาติมากกว่า 17 ทีมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในรัฐโอริสสาและเบงกอลตะวันตก
    .
    รัฐบาลทั้งสองรัฐได้ออกประกาศเตือนประชาชนในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตนี้ เช่นการเตรียมข้าวของเครื่องใช้จำเป็น อาหารแห้ง และอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่าง ๆ เป็นต้น
    .
    #กระแสเอเชียใต้ #อินเดีย #ไซโคลน #ภัยพิบัติ #พายุ

     

แชร์หน้านี้

Loading...