ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐ : นิวยอร์ก ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุอิสซาเบลลามีคนตาย 98 ศพ คาดว่าอาจเสียชีวิตด้วยโควิด 46 ศพยืนยันว่าป่วยโควิดเสียชีวิต อีก 52 ไม่ได้ตรวจระบุป่วยเสียชีวิต ทางศูนย์ต้องสั่งรถห้องเย็นแช่ศพไว้ด้านหลังตึก ใช้ผ้าใบสีดำกั้นเพื่อหลบสายตา หากทั้งหมดเสียชีวิตด้วยโควิด ถือว่าเป็นการเสียชีวิตหมู่ด้วยโควิดที่ มากที่สุดในสหรัฐ
    นิวยอร์กติดเชื้อ 319,213 รายเสียชีวิต 24,368 ราย
    ยอดสหรัฐ 1,160,774 รายเสียชีวิต 67,444 ราย

    คลิปมุมสูง
    https://m.facebook.com/groups/220900739128637?view=permalink&id=237927074092670

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิหร่าน : เป็นอีกชาติที่ยอดเสียชีวิตเพิ่มสูง
    ปัจจุบันยอดผู้ติดเชื่อ 96,448 รายเสียชีวิต 6,156 ราย ซึ่งสื่อหลายสำนักวิเคราะห์ว่าตัวเลขที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โคลอมเบีย : Coffin dance ตำรวจจัดรถแห่เต้นแบกโลงศพรอบเมือง เพื่อเตือนประชาชน นับเป็นชาติที่สองที่ตำรวจออกมาแดนซ์รณรงค์โควิด

    ระหว่างเปรู โคลอมเบีย / โหวตให้ใคร
    คลิปเปรู

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปิด 6 หมู่บ้าน ในพื้นที่บ้านบาโงซิเเน อ.ยะหา จ.ยะลา หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 23 คน บางคนพบว่าติดเชื้อจากญาติ ที่เดินทางกลับจากการประกอบศาสนกิจที่มาเลเซีย เเต่ไม่เเสดงอาการ เมือกลับบ้าน จึงนำเชื้อมาติดทั้งครอบครัว
    จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ที่เพิ่มขึ้นเเบบก้าวกระโดดของจังหวัดยะลา มาจากการตรวจสอบคัดกรองเเบบปูพรมกว่า 3,000 ราย ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในเวลา 15.00 น. วันนี้(3 พ.ค.63) สสจ.ยะลา จะเเถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง #ยะลา #COVID19 #ThaiPBSศูนย์ข่าวภาคใต้

    เครดิตข่าว ไทยพีบีเอส

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวยืนยันออกทีวีเมื่อกี้

    BREAKING: ยะลา พบ ผู้ติดเชื้อเพิ่ม 40 ราย จากผลตรวจเชิงรุก เฉพาะที่ อ.ยะหา พบ 23 ราย ขอตรวจเชื้อใหม่ทั้งหมด แถลงข่าว 10.30 น.นี้ที่ จ.ยะลา

    นายแพทย์ สงกรานต์ ไหมชุม สาธารณสุขจังหวัดยะลา เปิดเผยว่า ผลการตรวจเชื้อโควิด-19 เชิงรุกของจังหวัดยะลา กว่า 3,000 ราย ผลจากห้องปฏิบัติการพบผู้ติดเชื้อ 40 ราย

    เป็นกลุ่มบุคคลที่ถูกกักตัวที่มาจากต่างประเทศ และประชาชนในพื้นที่ต.บาโงยซิแน อ.ยะหา จ.ยะลา จำนวน 23 ราย

    ซึ่งได้นำทั้งหมดเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแล้ว แต่เนื่องจากยังมีความผิดปกติหลายประการ จึงขอสอบสวนโรคใหม่ และตรวจเชื้อทั้งหมดใหม่อีกครั้ง โดยจะแถลงข่าวในเวลา 10.30 น.ที่จังหวัดยะลา

    #TheReporters #เดอะรีพอร์ตเตอร์ #COVID19 #โควิด19

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ⚠️ วิกฤตเศรษฐกิจจากไวรัสโควิดอาจต้องเจอกับปัญหาเฟสที่ 2 ...

    ปัญหาที่พูดถึงนี้ไม่ใช่การระบาดของไวรัสในเฟสที่ 2 แต่ในทางตรงกันข้ามกัน ผู้คนกำลังกลัวการระบาดต่อเนื่องโดยที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ทำให้แม้แต่การกลับเปิดเมืองอีกครั้งก็ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้

    ในช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมานั้น หลายๆเมืองที่เริ่มกลับมาเปิดใหม่นั้นพบว่าปัญหาของเศรษฐกิจไม่ได้มาจากด้านผู้ให้บริการปิด (Supply) อย่างเดียว แต่กำลังมาจากด้านความต้องการใช้ (Demand) ที่ยังไม่พร้อมเป็นหลักด้วย

    ความพยายามของรัฐบาลต่างๆทั่วโลกที่พยายามอัดฉีดทั้งเงินและสภาพคล่องต่างๆเข้าพยุงเศรษฐกิจโลกไว้อาจจะต้องเจอกับปัญหาหนักอีกขั้นที่ยังไม่มีทางออกได้หากยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัส

    โดยก่อนหน้านี้หลายๆฝ่ายเชื่อว่าหลังจากที่สามารถควบคุมการระบาดในระยะแรกได้แล้ว การกลับมาเปิดเมือง เปิดให้สถานที่บริการต่างๆกลับมาค้าขายได้อีกครั้ง เปิดห้าง เปิดตลาด จะเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ หลายฝ่ายพยายามเน้นตรงนี้

    แต่... #หลายๆประเทศที่เริ่มกลับมาเปิดเมืองแล้วกลับไม่ได้รับผลตามที่คิด...

    อิตาลี ที่เริ่มกลับมาเปิดร้านค้าซักพักแล้วกล่าวว่า ตราบใดที่ไม่มีนักท่องเที่ยวร้านค้าพวกเขาก็ขายไม่ออก
    สหรัฐ ผู้คนที่เริ่มออกมานอกบ้านนั้น ก็ออกมาเพื่อทำธุระที่สำคัญเสร็จแล้วก็กลับเพราะยังกลัวติดโรค
    แม้แต่ในจีน ถึงแม้หลายห้างจะเปิดกลับมาเป็นปกติแต่อัตราการจับจ่ายใช้สอยนั้นลดหายไปเยอะ ไม่ได้เหมือนแต่ก่อน

    #ปัญหาด้านเศรษฐกิจจากไวรัสโควิดนี้กำลังเคลื่อนตัวจากด้านของ Supply ไปทางด้าน Demand อย่างชัดเจน

    ถึงแม้ร้านค้าจะเปิด ปล่อยให้มีการเดินทางได้ แต่ตราบใดที่ผู้คนยังไม่รู้สึกปลอดภัย การจะให้ไปเดินห้างเตร็ดเตร่เหมือนเดิม ทานข้าวในร้านโปรดกับเพื่อนฟูง สังสรรค์ในที่แออัดกับคนแปลกหน้าจำนวนมาก หรือใช้เงินกับการท่องเที่ยวไปในที่ๆไม่รู้ว่าจะมีไวรัสระบาดหรือป่าว ก็คงยังเป็นไปได้ยาก

    ต่อให้รัฐบาลทั่วโลกต่างพยายามให้เงินประชาชนเพื่อกระตุ้นการใช้ พยายามเปิดธุรกิจต่างๆให้กลับมาดำเนินการได้ แต่หากยังไม่สามารถแก้ปัญหาความกลัวไวรัสนี้ได้ การใช้จ่ายก็อาจจะไม่กลับมาใกล้เคียงกับระดับที่เคยเป็นอยู่ แล้วปัญหาที่จะตามมาคือเงินที่คอยช่วยผู้ประกอบการต่างๆอยู่จะมีสายป่านที่ยาวเพียงพอหรือไม่...

    ไม่แปลกใจที่หลายๆนักวิเคราะห์ที่มุ่งเน้นเรื่องเศรษฐกิจ (ที่ไม่มองเรื่องสุขภาพ) จะเห็นด้วยกับการทำ Herd Immunity... ต้องติดตามดูกันต่อไปว่ารัฐบาลต่างๆทั่วโลกจะรับมือกับปัญหาด้าน Demand นี้ต่อไปอย่างไร

    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรานะครับ ฝากกด Like และ Share ให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์นะครับ ขอบคุณมากๆครับ

    #OilTradingKP

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Chart จาก The Economist แสดงตัวอย่างการเดินทางของประชาชนในประเทศจีนจนถึงช่วงเมษายน น่าจะทำให้พอเห็นภาพว่าหลังจบ lockdown ในแต่ละประเทศ พฤติกรรมการเดินทางและใช้จ่ายของคนในประเทศจะเป็นยังไง

    ปรากฎว่าเข้าเดือนเมษาไปแล้ว คนก็ยังเดินทางไปในที่ต่างๆลดลง ทำให้รายจ่ายที่โดนตัดไปเต็มๆคือพวกรายจ่ายท่องเที่ยว เดินทาง หรือของที่มองว่าไม่สำคัญต่อชีวิตประจำวันเท่าไหร่ จริงๆมีเรื่องน่าสนใจอยู่อีกคือ รูปแบบของการเดินทางด้วยรถสาธารณะ รวมถึงรถไฟฟ้า ก็ยังลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติอยู่ (ลดลง 10%-20%) และคนหันมาหรือต้องการที่จะใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น ทำให้การจราจรติดขัดเหมือนเดิม เลยทำให้ดูเหมือนว่าถ้าดูจากรถติด-ไม่ติด จะเหมือนว่าเมืองกลับมาปกติแล้ว

    จริงๆจะมีอีกการเปรียบเทียบคือระหว่าง Sweden กับ Denmark ที่เป็นประเทศใกล้ๆกัน แต่มีวิธีการจัดการไวรัสต่างกันคือเคสของ Sweden เขาไม่ได้ lockdown อะไร พยายามให้ประชาชนใช้ชีวิตปกติ ตรงกันข้ามกับ Denmark ที่ใช้มาตรการเหมือนๆประเทศอื่นรวมถึงไทย

    ปรากฎว่า การใช้จ่ายของประชาชนก็ลดลงใกล้เคียงกัน เลยพอจะบอกได้ว่าไม่ว่าจะปิดเมืองหรือไม่ปิด สิ่งที่หายไปคือความมั่นใจในการใช้จ่ายก็หายไปอยู่ดี ทั้งความกลัวจะติดไวรัส และความไม่มั่นใจในรายได้สำหรับอนาคต(https://www.cnbc.com/2020/04/30/cor...ntract-as-severely-as-the-rest-of-europe.html)

    ดูๆแล้วก็น่าเป็นห่วงสำหรับประเทศไทยที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ กว่าจะฟื้นตัวคงต้องใช้เวลานานพอสมควร

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #volcano
    03/05/20
    การหายใจออกและการระเบิดเล็ก ๆ เป็นครั้งคราว คงดำเนินต่อไป ภายใต้หิมะปกคลุม ภูเขาไฟ #Popocatépetl
    ในเม็กซิโก
    2 พฤษภาคม เวลา 11:03 น. เวลาท้องถิ่น
    ผ่านทาง @ Claudiald07
    #Watchers

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #War
    // เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยิงตอบโต้กันข้ามพรมแดน //

    03/05/20
    โซล – เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยิงปืนโต้ตอบกันไปมาที่บริเวณหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ชายแดนของเกาหลีใต้ในช่วงเข้าวันนี้ ทำให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างสองเกาหลีที่มีชายแดนติดต่อกัน

    คณะเสนาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ กล่าวในแถลงการณ์ว่า เมื่อเวลา 7.41 น. เช้าวันนี้ มีการยิงปืนหลายนัดมาจากทางฝ่ายเกาหลีเหนือ มายังบริเวณหน่วยรักษาความปลอดภัยของเกาหลีใต้ที่บริเวณชายแดนติดกับเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นเขตปลอดทหาร โดยทางฝ่ายเกาหลีใต้ได้ยิงปืนตอบโต้ไป 2 นัด พร้อมกับประกาศเตือนเกาหลีเหนือตามระเบียบปฎิบัติของฝ่ายเกาหลีใต้ ขณะนื้ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดการคาดเดาเกี่ยวกับสุขภาพและสถานที่อยู่ของนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ หลังจากที่เขาไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนมาตั้งแต่วันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา ก่อนที่ทางการเกาหลีเหนือจะเผยแพร่ภาพที่นายคิมไปเป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานผลิตปุ๋ยแห่งหนึ่งเพื่อสยบข่าวลือที่ว่า เขาป่วยหนักหรืออาจจะเสียชีวิตแล้ว
    Cr: mcot
    https://www.mcot.net/viewtna/5eae401ae3f8e40af4442c41
    #Watchers

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #เสียงสะท้อนจากรถพยาบาลในมอสโคว์
    #Covidวิกฤติหนักในรัสเซีย

    ตอนนี้สถานการณ์ Covid-19 ในภูมิภาคยุโรปกำลังจะเปลี่ยนไป หลายคนเริ่มเป็นกังวลว่า จุดศูนย์กลางการระบาดแห่งใหม่ มีความเป็นไปได้สูงที่จะขยับไปอยู่ที่รัสเซีย

    ตัวเลขล่าสุด รัสเซียมีผู้ติดเชื้อวันนี้ (2 พฤษภาคม) อยู่ที่ 124,054 คน ในจำนวนนี้ เป็นผู้ติดเชื้อในมอสโคว์ และปริมณฑลมากกว่า 57,300 ราย คิดเป็น 64%ของผู้ติดเชื้อทั้งประเทศ

    ถึงแม้ว่ารัสเซียจะมีมาตรการรับมือกับเหตุการณ์ไวรัสโคโรน่าอย่างเข้มงวด สั่งปิดพรมแดนกับจีนตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม และแบนนักเดินทางต่างชาติเข้าประเทศตั้งแต่ 18 มีนาคม พร้อมมาตรการเคอร์ฟิวสุดโหด ใครฝ่าฝืน มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 7 ปี

    การตรวจเชื้อไวรัส Covid-19 ก็ตรวจไปแล้วมากกว่า 1 ล้านคน คิดเป็นค่าเฉลี่ย 7,469 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ก็ถือว่าไม่น้อยนะคะ ค่าเฉลี่ยพอๆกับสหรัฐอเมริกาทีเดียว

    ส่วนอุปกรณ์การแพทย์ยังมีเหลือพอที่จะส่งไปช่วยเหลือสหรัฐอเมริกา และอิตาลีอีกต่างหาก

    แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในรัสเซียกลับพุ่งขึ้นอย่างมากช่วงเดือนเมษายน มาช้ากว่าประเทศอื่นในยุโรป แต่มาแรงแซงโค้ง ใช้เวลาไต่จากหลักพัน ขึ้นสู่หลักแสนในเวลาแค่เดือนเดียว

    สาเหตุที่เกิดการระบาดใหญ่ในรัสเซีย ทั้งๆที่คุมได้ดีในช่วงต้นๆ อาจคล้ายๆที่สหรัฐอเมริกา คือตั้งรับการแพร่ระบาดจากผู้ที่เดินทางกลับจากกลุ่มประเทศเสี่ยงอย่าง อิตาลี หรือสเปน ช้าเกินไป และคนรัสเซียไม่ค่อยตื่นตัวในการป้องกันตัวจากเชื้อไวรัส ยังนิยมพบปะ สังสรรค์กันทั่วไป

    แต่จุดที่น่าสังเกตอีกจุดหนึ่ง คือสิ่งที่เห็นในสื่อ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นในสถานการณ์จริง

    สำนักข่าว Moscow Times จึงได้ลงภาคสนาม สุ่มสัมภาษณ์บุคลากร ที่ทำงานเป็นกองหน้าที่ประสบพบเจอกับผู้ติดเชื้อทุกวัน นั่นก็คือคนขับรถพยาบาล และหน่วยกู้ชีพ ที่ติดตามรถพยาบาลไปรับผู้ป่วย

    ข้อเท็จจริงที่ได้จากคนเจ้าหน้าที่หน้างาน น่าเป็นห่วงมาก

    คุณหมอกู้ชีพท่านหนึ่งในมอสโคว์ ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ทีมกู้ชีพทำงานกันหนักมาก และตัวเธอเองเข้ากะมาแล้ว 24 ชั่วโมง ทำงานจนจับไข้

    ในสถานการณ์ทั่วไป จะมีหน่วยกู้ชีพอยู่ 7 ทีม ผลัดเวรกันทำงาน แต่ตอนนี้เหลืออยู่แค่ 2 ทีมครึ่ง!!
    ขาดแคลนหนักจนบางครั้งต้องออกรถพยาบาลไปรับผู้ป่วยโดยไม่มีหมอ

    แล้วทีมที่เหลือหายไปไหน?

    ก็ได้คำตอบว่า ทีมหมอกู้ชีพฉุกเฉินจำนวนมากติดเชื้อ Covid-19 จากการปฏิบัติหน้าที่รับ-ส่งคนไข้กันทุกวัน

    และตั้งแต่ปฏิบัติงานในช่วงวิกฤติไวรัสโคโรน่าระบาด ยังไม่มีใครเคยในทีมของเธอได้ตรวจเชื้อเลยสักครั้ง ทั้งๆที่เราควรได้ตรวจเชื้ออย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง!!

    คนขับรถพยาบาลอีกท่านหนึ่งในมอสโคว์ ยืนยันกับสำนักข่าวมอสโคว์ว่า มีหมอกู้ภัย และคนขับรถพยาบาลติดเชื้อกันเยอะ และเขาเพิ่งเสียเพื่อนร่วมงานไปคนหนึ่งเพราะติดเชื้อ Covid นับเป็นคนขับรถพยาบาลคนที่ 9 แล้วที่เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโคโรน่า และยังมีหลายคนที่กลายเป็นผูติดเชื้อ บางคนอาการวิกฤติหนักถึงขนาดต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

    คุณหมอกู้ชีพอีกท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ตอนนี้อุปกรณ์ป้องกันตัว อย่างชุด PPE ขาดแคลนอย่างมาก แทบไม่มีจะใช้ จนต้องไปหาชุดป้องกันสำหรับคนงานก่อสร้างมาใส่แทน ใส่เสร็จก็ต้องซักเอง ฆ่าเชื้อเอง ตากเอง แถวๆที่ทำงานนั่นแหละ ส่วนชุด PPE เต็มยศที่เห็นออกข่าวทั่วประเทศนั้น มีจริงแต่ใน TV เท่านั้น เพราะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานจริงๆบอกเลย ชุดป้องกันเชื้อแบบนั้นหาแทบไม่ได้แล้ว

    ในเขตเมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก มีรายงานว่าพบทีมกู้ชีพ และคนขับรถพยาบาลติดเชื้อ Covid-19 แล้วถึง 111 เคส แล้วในมอสโคว์ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นอันดับ 1 ของประเทศ จะมากกว่าเคสในเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กขนาดไหน

    พอมีหลายเสียงของบุคลกรการแพทย์ทุกระดับ สะท้อนไปถึงรัฐบาล ประธานาธิบดีปูติน ก็เลยออกมา บอกว่า เขาได้อนุมัติงบช่วยเหลือพิเศษถึง 1 หมื่นล้าน รูเบิ้ล (4,500 ล้านบาท) ที่จะมาจัดสรรเป็นเงินโบนัสพิเศษให้แก่บุคลากรการแพทย์แต่ละคนอีกคนละ 25,000 - 50,000 รูเบิ้ล/เดือน (11,000 - 22,000 บาท/เดือน) ไม่นับงบที่ทางผู้ว่าการเมืองมอสโคว์จะเพิ่มให้เป็นพิเศษอีกต่างหาก

    แต่คนขับรถพยาบาลคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า เขาเพิ่งจะได้งบช่วยเหลือพิเศษมาแค่ 7,200 รูเบิ้ลเท่านั้น (ประมาณ 3,200 บาท) จากชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่พวกเขาไม่ต้องการแค่เงินปิดปาก เขาต้องการความปลอดภัยในการทำงาน มีชุดป้องกันเชื้อที่เหมาะสมให้ โดยไม่ต้องออกรถไปด้วยความกลัวว่าอาจเป็นคนที่ต้องนอนอยู่ท้ายรถเสียเองเข้าสักวันแทนที่จะเป็นคนขับ

    เสียงสะท้อนของทีมแพทย์รัสเซียยังบอกอีกว่า การระบาดในรัสเซีย ยังไม่ถึงจุดพีค ผู้ว่าการมอสโคว์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ออกสื่อว่าอาจมีชาวมอสโคว์ถึง 2% มีโอกาสติดเชื้อ

    ในมอสโคว์มีประชากรอยู่ราวๆ 12.7 ล้านคน เท่ากับว่า มีในมอสโคว์อาจพบผู้ติดเชื้อสูงถึง 250,000 คน

    ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยสำหรับวิกฤติไวรัสโคโรน่าในรัสเซีย ที่อาจมีปัญหาที่ซุกซ่อนไว้อยู่เยอะ หากยังแก้ไม่สำเร็จ ยอดก็อาจกระโดดไกลได้อีกนะคะ น่าเป็นห่วงจริงๆค่ะ

    แหล่งข้อมูล

    https://www.themoscowtimes.com/2020...ing-on-empty-as-they-fight-coronavirus-a70170
    https://www.themoscowtimes.com/2020/05/02/2-of-moscow-residents-have-coronavirus-mayor-a70173
    https://en.m.wikipedia.org/wiki/2020_coronavirus_pandemic_in_Russia
    https://news.cgtn.com/news/2020-04-...ia-s-coronavirus-cases--Q1y5CXZ1gk/index.html
    https://www.statista.com/statistics/1109794/coronavirus-covid-19-diagnostics-in-russia/
    https://www.aa.com.tr/en/latest-on-...-19-testing-ratio-per-country-million/1800124

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตลาดหุ้นซาอุดิอาระเบียปรับตัวลดลงวันเดียว -8% หนักที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือนหลังจากที่รัฐมนตรีคลังออกมายอมรับว่าจะต้องทางประเทศจะต้อง "#เจ็บปวดสาหัส" จากการใช้มาตรการลดค่าใช้จ่ายของประเทศลงอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับไวรัสโควิดและราคาน้ำมันตกต่ำ

    ดัชนีหุ้น Tadawul ที่ลดลง -8% วันนี้นั้นถือว่ามากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม โดนฉุดนำโดยบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัฐบาลซาอุ Saudi Aramco ปรับตัวลดลง -6% ลงมาเหลือราคา 29.7 ริยัลต่อหุ้น ต่อกว่าราคา IPO เมื่อปลายปีที่แล้วที่ 32 ริยัลต่อหุ้นถึงเกือบ 10%

    นาย Mohammed Al-Jadaan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของซาอุดีอาระเบียได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ว่า “วิกฤติครั้งนี้รุนแรงต่อประเทศมากเพราะกำลังเจอปัญญา 2 อย่างในเวลาเดียวกัน รัฐบาลจะต้องทำการลดการใช้จ่ายและลดสวัสดิการประเทศอย่างหนักอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คาดว่าอาจต้องตัดงบประมาณประเทศลงถึง 20% - 30%”

    รัฐบาลซาอุเจอปัญหาใหญ่ๆเข้าไปสองเรื่องพร้อมกัน

    1️⃣ เรื่องไวรัสโควิดนั้น - กระทบซาอุรุนแรงพอสมควร โดยซาอุนั้นมีผู้ติดเชื้อรวมทะลุ 25,000 รายไปแล้ว และจากข่าวที่หลายคนอาจจะได้ยินคือมีกลุ่มราชวงศ์ที่ได้รับการติดเชื้อด้วย และโดยรวมนั้นมีผู้เสียชีวิตในประเทศแล้ว 176 ราย โดยทางซาอุนั้นเป็นประเทศแรกๆที่ปิดการบินเข้าออกในประเทศอย่างสิ้นเชิงและล่าสุดนั้นก็ยังกันไม่ให้ชาวต่างชาติสามารถเข้าประเทศได้

    2️⃣ เรื่องราคาน้ำมันตก - เรื่องนี้เราได้พูดถึงกันบ่อยๆอยู่แล้วในเพจว่า ซาอุนั้นพึ่งพารายไดจากการส่งออกน้ำมันอยู่สูงถึง 70%-80% ของรายได้ของประเทศ การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมากว่า -70% นับตั้งแต่ต้นปีนั้นย่อมส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อรายได้ของประเทศ ล่าสุดนั้นทางประเทศซาอุกับกลุ่มโอเปกและพันธมิตรพยายามจะช่วยกันลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมันไว้

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมารัฐบาลซาอุเพิ่งโดนปรับ Rating ลงจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody โดยเปลี่ยนจากระดับมั่นคง (Stable) ลงไปเป็นลบ (Negative) ถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศพี่ใหญ่ของกลุ่มโอเปก เจ้าของบ่อน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดต่อราคาน้ำมัน จะมีความเสี่ยงต่อความแข็งแรงด้านการเงินและการคลังถึงขนาดนี้จาก Moody

    ⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #OilTradingKP

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชาวนาหลายครัวเรือน กักตุนข้าวเปลือกนาปรังไว้กินเอง ตัดใจ ไม่ขายแม้ราคารับซื้อสูง หวั่นโรคโควิด-19 ระบาดยาวนาน อาจเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ข้าวสารในตลาดจะขึ้นราคา ขณะที่ชาวบ้านไม่มีเงินซื้อ จึงต้องกักตุนไว้ก่อน

    อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000046276
    .........................................
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : https://lin.ee/CeuFxbm
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจ้าหน้าที่ด่านคัดกรองท่าเรือเฟอร์รี่ เกาะสมุย ผงะ! พบแรงงานชาวพม่า 10 คน แอบเดินทางลงเรือเข้ามายังเกาะสมุย ตรวจสอบไม่มีเอกสารหรือหนังสือรับรองแต่อย่างใด หวั่นนำเชื้อโควิด-19 เข้ามา แจ้งตำรวจจับ

    อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000046279
    .........................................
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : https://lin.ee/CeuFxbm
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นางสิริมา...
    โสเภณีผู้บรรลุธรรม
    .
    .
    ในสมัยพุทธกาล ณ เมืองเวสาลี
    เป็นเมืองที่กว้างใหญ่ไพศาล
    เศรษฐกิจการค้าเจริญรุ่งเรืองมาก
    .
    .
    สิ่งที่น่าสนใจคือ
    หนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองนี้
    คือโสเภณีชื่อดังคนหนึ่ง ชื่อนางอัมพปาลี
    ถูกแต่งตั้งเป็นนาง “นครโสภิณี”
    คือเป็นหญิงงามเมืองหรือโสเภณีประจำเมืองเวสาลี
    .
    .
    เรียกว่าความงามของนาง
    สวยสะคราญโฉมหาผู้ใดเทียบได้ยาก
    มีศิลปะวิทยาการชั้นสูง ร้องเพลงเพราะ ฟ้อนรำสวย
    เอาใจเก่ง เข้าใจการปรนนิบัติผู้ชายเป็นอย่างดี
    .
    .
    ทำให้ค่าตัวนางสูงมาก
    ผู้ชายใดอยากครอบครองนาง
    ต้องจ่ายค่าตัวสูงถึง 50 กหาปณะ
    หรือคิดเป็นเงินบาทคือ 130,000 บาท!
    .
    .
    เรียกได้ว่าต้องเป็นระดับเศรษฐีเท่านั้น
    ถึงจะครอบครองนางได้
    .
    .
    สมัยนั้น เหล่าเศรษฐีที่เป็นชายฉกรรจ์
    กระทั่งกษัตริย์เมืองน้อยเมืองใหญ่
    ต่างมีความฝัน มีความปรารถนา
    ที่อยากมาสัมผัสนางซักครั้งในชีวิตทั้งนั้น
    ทำให้มีพ่อค้านักธุรกิจมากมาย
    เดินทางมาที่เวสาลี เพื่อได้ร่วมอภิรมย์กับนาง
    .
    .
    กลายเป็นนำพาให้เศรษฐกิจการค้าการขาย
    พลอยรุ่งเรื่องเติบโตขึ้นมาด้วย
    เพราะนางอัมพปาลี เป็น magnet นั่นเอง
    .
    .
    ว่ากันว่า หนึ่งในแขกของนางอัมพปาลี
    คือพระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์
    เห็นเวสาลีเจริญเพราะมีนางนครโสภิณี
    จึงเอาไอเดียไปใช้ที่เมืองของตัวเองบ้าง
    .
    .
    กลับเมืองไป ประกาศตามหาหญิงงามที่สุด
    ก็ได้สตรีสาวสวยมีเสน่ห์คนหนึ่ง ชื่อนางสาลวดี
    เป็นนางนครโสภิณีคนแรกแห่งเมืองราชคฤห์
    .
    .
    นางสาลวดี ถูกฝึกถูกเทรนศิลปะวิทยาการต่างๆ
    ด้วยพื้นฐานทุนเดิมนางสวยมากอยู่แล้ว
    พอโดนฝึกเคี่ยวกรำอย่างหนักจนเป็นผู้หญิงที่มีงามพร้อม
    ทั้งสวยทั้งฉลาดทั้งมารยาทงาม
    เล่นดนตรีเก่ง ร้องเพลงไพเราะ พูดจามีเสน่ห์
    .
    .
    ทำให้นางค่าตัวแพงกว่านางอัมพปาลีอีก
    คือใครอยากเชยชมนาง ต้องจ่ายขั้นต่ำถึง 100 กหาปนะ หรือเกือบ 260,000 บาท!!
    แพงกว่านางอัมพปาลีถึง 2 เท่า!
    .
    .
    จากคนฐานะธรรมดา
    กลายเป็นร่ำรวยเงินทองขึ้นมา
    นางเลยใช้ชีวิตประมาท
    ทำให้ตัวเองเผลอผิดพลาด ปล่อยตัวเองตั้งครรภ์ขึ้นมา
    ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอุปสรรคสำคัญของอาชีพนาง
    ถ้าให้ใครรู้ ความ popular ของนางก็จะลดลง
    .
    .
    นางจึงปิดบังไว้ พอเด็กคลอดออกมาเป็นผู้ชาย
    ก็รีบให้สาวใช้เอาไปทิ้งทันที
    แต่เด็กผู้ชายนั้นกลับมีบุญ
    มีเจ้าชายมาเจอ เลยเก็บไปเลี้ยง
    เด็กน้อยผู้ถูกทิ้งคนนั้น โตขึ้นมาสนใจศึกษาการแพทย์
    จนสุดท้ายกลายเป็น หมอชีวกโกมารภัจจ์
    หมอที่เก่งที่สุดในพระไตรปิฎก
    เป็นหมอประจำตัวพระพุทธเจ้า
    .
    .
    กลับมาที่นางสาลวดี
    พอทิ้งลูกไปแล้ว ก็กลับมาเป็นหญิงงามเมืองเหมือนเดิม
    มีแขกเหรื่อไปมาหาสู่ไม่ขาด
    แต่สุดท้ายนางก็พลาดท้องอีก
    .
    .
    แต่คราวนี้ลูกออกมาเป็นผู้หญิง
    นางคิดว่าไหนๆนางก็เริ่มแก่ละ
    เลี้ยงเด็กคนนี้ไว้สืบทอดตำแหน่งนางนครโสภิณีของนางดีกว่า นางเลยเลี้ยงไว้ และตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า “นางสิริมา”
    .
    .
    พอเติบใหญ่ นางสิริมาก็ครองได้ตำแหน่งนางนครโสภิณีแห่งเมืองราชคฤห์ต่อจากแม่ของนางสมใจ
    .
    .
    นางสิริมาเป็นสตรีที่งามล้นเหลือยิ่งกว่าแม่ของตน
    ความงามของนาง ถูกว่ากันว่างามจนใครเห็นก็เป็นต้องตกตะลึง อีกทั้งโตขึ้นมากับแม่ที่เป็นโสเภณีที่งามและค่าตัวแพงที่สุดในชมพูทวีป
    จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาในทุกแง่ทุกมุม
    ทุกเทคนิคเคล็ดลับในการเป็นโสเภณีตั้งแต่ยังเด็ก
    .
    .
    ด้วยความครบทั้งภายนอกภายในแห่งความเป็นโสเภณีจึงทำให้นางมีค่าตัวสูงถึง 1,000 กหาปณะ หรือ 2.6 ล้านบาท!!
    แพงกว่าแม่ของนาง นางสาลวดีถึง 10 เท่า!
    .
    .
    จะได้เชยชมนางครั้งหนึ่ง ต้องจ่ายถึง 2.6 ล้านเลย
    นางจึงเป็นมหาเศรษฐีณีผู้ร่ำรวย
    บ้านไม่รู้ใหญ่แค่ไหน แต่ใหญ่พอที่จะมีบริวารคนรับใช้ถึง 500 คน!
    .
    .
    จุดที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้
    Job ใหญ่ครั้งหนึ่งที่นางออกงาน
    ในลักษณะที่ค่อนข้างประหลาดคือ
    มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ นางอุตตรา
    มาจ้างนางสิริมาให้ไปบำเรอสามีตัวเอง
    เป็นงานเหมา 15 วัน 15 คืน
    ซึ่งต้องจ่ายสูงถึง 15,000 กหาปณะ หรือ 39 ล้านบาท!
    .
    .
    สาเหตุที่นางอุตตราทำเช่นนั้น
    คือพื้นฐานเดิมทางเกิดในครอบครัวที่ใจบุญสุนทาน
    จิตใจใฝ่หาทางธรรมมาโดยตลอด
    เคยฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า
    พ่อแม่ของนาง รวมทั้งตัวนางอุตตราเองก็บรรลุธรรมระดับโสดาบัน
    .
    .
    แต่พอแต่งงานมาในครอบครัวเศรษฐีเหมือนกัน
    บ้านสามีโดยเฉพาะตัวสามี
    เป็นคนไม่ใส่ใจธรรมะเลยแม้แต่น้อย
    ใช้เงินกินบุญเก่าวาสนาเก่าไปวันๆ
    และปฏิเสธไม่ให้นางอุตตราทำบุญทำทานใดๆทั้งสิ้น
    นางเลยไม่เคยได้ตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม
    เหมือนตอนก่อนแต่งงาน
    .
    .
    นางอุตตราจึงขอสามี
    จะจ้างนางสิริงาม หญิงงามที่สุดในเมืองด้วยเงินของพ่อแม่ตัวเอง
    มาปรนนิบัติสามี 15 วัน
    และขอช่วงเวลานี้ จะนิมนต์พระสงฆ์มารับบิณฑบาต
    และถือศีลแปด ปฏิบัติธรรมที่บ้าน
    .
    .
    สามีได้ยินชื่อเสียงความงามของนางสิริมามานาน
    เลยไม่ปฏิเสธ ยิ่งเจอตัวจริงยิ่งหลงใหล
    และขอบใจภรรยายิ่งนัก
    .
    .
    นางสิริมาก็มาบริการท่านเศรษฐีสามีของนางอุตตรา
    สามีก็เบิกบานกาย นางอุตตราก็เบิกบานใจ
    เพราะได้ทำบุญใส่บาตร
    นิมนต์มารับบิณฑบาตตลอด 15 วัน
    ได้ถือศีลอุโบสถปฏิบัติธรรมสมดังตั้งใจ
    .
    .
    วันเวลาผ่านไปจนถึงใกล้วันท้ายๆ
    นางสิริมาด้วยอยู่มาหลายวัน
    อยู่ๆเลยเกิดความหึงหวง
    อยากเป็นใหญ่ในเรือนแทนนางอุตตรา
    เลยตรงเข้ามา ตักน้ำมันร้อนๆจะมาราดนางอุตตรา
    .
    .
    นางอุตตราเห็นดังนั้น
    จึงรีบทำสมาธิรีบเข้าฌานในจังหวะเร่งด่วนและเฉพาะหน้าสุด ทำจิตรวมเป็นสมาธิเพื่อแผ่เมตตาไปยังนางสิริมา โดยอธิษฐานจิตในใจว่า
    .
    .
    “หญิงนี้เป็นสหายของเรา และเป็นผู้มีคุณกับเรา
    ถ้าไม่มีเขา เราคงไม่ได้ทำทานและฟังธรรมเช่นนี้
    ถ้าเรามีความโกรธ ขอให้น้ำมันร้อนๆนั้นลวกเรา
    แต่เราถ้าไม่มีความโกรธ ขออย่าให้น้ำมันลวกเราเลย”
    .
    .
    สุดท้ายน้ำมันร้อนเดือดจัด
    ที่นางสิริมามาราดเทใส่หัวนางอุตตราก็กลายเป็นน้ำเย็น
    บ่าวไพร่นางอุตตรารีบเข้ามาจับตัวนางสิริมา
    และจะรุมทำร้ายให้จงหนัก
    .
    .
    นางอุตตรารีบเอาตัวเข้าไปขวาง
    ไม่ให้บ่าวไพร่รุมทำร้าย
    นางสิริมาเห็นดังนั้นก็รู้สึกตัว รู้สึกผิดสุดๆในใน
    เลยเข้าไปกราบที่เท้านางอุตตรา
    ขอโทษด้วยความรู้สึกอยู่เต็มหัวใจ
    อยากให้นางยกโทษให้
    .
    .
    นางอุตตราบอกว่า...
    “พรุ่งนี้พระพุทธเจ้าจะเสด็จมารับบิณฑบาต
    ให้ไปขอโทษพระองค์แทน
    ถ้าพระองค์ยกโทษให้
    เราก็จะยกโทษให้”
    .
    .
    รุ่งเช้าพอพระพุทธเจ้าเสด็จมาและทราบเรื่อง
    ทรงยกโทษให้นางสิริมา
    และทรงยกย่องนางอุตตราเป็นเอตทัคคะ
    ผู้เป็นเลิศด้านยินดีในฌาน
    และเทศนาเป็นพระคาถาว่า
    .
    .
    “อักโกเธนะ ชิเน โกธัง
    อสาธุง สาธุน่ ชิเน
    ชิเน กะทะริยัง ทาเนนะ
    สัจเจนาลิกะวาทินัง”
    .
    .
    แปลเป็นไทยได้ว่า...
    พึงชนะคนโกรธด้วยความใจเย็น
    พึงชนะคนร้ายๆด้วยความดี
    พึงชนะคนขี้เหนียวด้วยการให้
    พึงชนะคนพูดเหลวไหวด้วยการพูดความจริง
    .
    .
    จบเทศนานี้และพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงนางสิริมาก็บรรลุโสดาบันทันที กลับบ้านไป เลิกประกอบอาชีพโสเภณี
    เข้าทางธรรมะ รักษาศีล ปฏิบัติธรรท
    ใส่บาตรพระ 8 รูปทุกวันเป็นประจำ
    โดยถวายของอันประณีตที่สุดเท่าที่จะหาไก้
    .
    .
    นางสิริมาทำแบบทุกวัน จนเวลาผ่านไป..
    มีภิกษุรูปหนึ่ง คุยกับพระอีกรูปที่เพิ่งไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนางสิริมามา พระท่านนั้นเล่าถึงอาหารอันประณีตและความงดงามของนางสิริมา
    .
    .
    ภิกษุรูปนี้ แค่ได้ฟังเรื่องเล่า
    ฟังคำบรรยายความงามของนางสิริมา
    ก็เกิดความหลงรักแค่เพียงจากเรื่องเล่า
    ทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัวจริง
    วันพรุ่งนี้เลยขอไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนาง
    เพื่อได้เห็นนางสิริมาตัวจริงกับตาตัวเอง
    .
    .
    รุ่งขึ้น ภิกษุรูปนี้ก็ได้เดินทางไปรับบิณฑบาต
    แต่วันนั้นนางสิริมาไม่สบายหนัก
    แทบจะลุกจากห้องไม่ไหว
    แต่ก็พยายามลุกออกมา
    โดยที่หน้าตาไม่ได้แต่ง
    เพราะไม่ไหวจริงๆ
    .
    .
    ภิกษุผู้ลุ่มหลงยิ่งเห็นตัวจริงของนางก็ยิ่งหลงรัก
    คิดในใจว่า “ขนาดป่วยไม่สบาย
    ยังงดงามขนาดนี้
    นี่ถ้าไม่เจ็บไข้ ได้แต่งตัวตามปกติ
    จะสวยงามปานนางฟ้าแค่ไหนเนี่ย”
    .
    .
    ภิกษุผู้นั้นก็เกิดราคะ
    ลุ่มหลงในนางสิริมา
    กลับกุฏิไปก็ไม่ฉัน ฉันอาหารไม่ลง
    ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์
    เอาแต่เฝ้าคิดถึงนางสิริมา
    ไม่กินไม่นอนอยู่หลายวัน
    .
    .
    ตัดกลับมาที่นางสิริมา
    วันนั้นนางไม่สบายหนักจริงๆ
    และการใส่บาตรในครั้งนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายของนาง
    เพราะตกเย็นนางก็เสียชีวิตจากความเจ็บป่วย
    .
    .
    พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องภิกษุผู้ลุ่มหลง
    และการตายของนางสิริมา
    จึงขอให้เก็บศพนางสิริมาไว้อย่างดี
    ห้ามให้หมาให้นกมาแทะ
    .
    .
    จนเวลาผ่านไปถึงวันที่ 4
    ศพเริ่มเน่าเหม็นส่งกลิ่นคละคลุ้ง
    มีน้ำหนองน้ำเลือดไหลออกมาตามทวารต่างๆ
    ผิวพรรณแตกและเริ่มร่างกายเริ่มพอง
    สภาพคือแทบดูไม่ได้ ใครเห็นเป็นจะอ้วก
    .
    .
    วันนั้นพระเจ้าพิมพิสารประกาศให้ชาวเมืองทุกคนมาประชุมกันที่หน้าศพนางสิริมา
    พระพุทธเจ้าและคณะภิกษุสงฆ์ก็เดินทางมาที่นี่
    .
    .
    ภิกษุผู้ลุ่มหลงไม่รู้ว่านางสิริมาตายแล้ว
    ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปหา
    แค่ได้ยินคำว่า “สิริมา”
    เลยรีบผุดลุกจากกุฏิ เดินทางตามไปกับหมู่พระภิกษุ
    .
    .
    เมื่อทุกคนมาพร้อมกัน
    พระพุทธเจ้าให้พระราชาประกาศขายศพนางสิริมา
    เท่ากับราคาค่าตัวของนาง 1 วันคือ 1,000 กหาปณะ
    ปรากฏไม่มีใครซื้อ
    .
    .
    เลยให้ประกาศลดลงเรื่อยๆ
    จาก 1,000
    เหลือ 500
    เหลือ 250
    เหลือ 200
    เหลือ 100
    เหลือ 50
    เหลือ 20
    เหลือ 10
    เหลือ 1
    ก็ยังไม่มีใครเอา
    จนกระทั่งประกาศให้ฟรีๆเลย
    ก็ยังไม่มีใครเอา
    .
    .
    พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเทศนาสั่งสอน
    โดยใช้ศพของนางสิริมาเป็นอุบาย
    ว่าให้ทุกคนดูนะ นี่คือผู้หญิงที่งามที่สุดของเมืองนี้
    ใครจะเชยชมนาง ต้องจ่ายถึง 1,000 กหาปณะ
    แต่วันนี้พอนางตายไปแล้ว
    ผ่านเวลาไปแค่ไม่กี่วัน
    ความงามของนางสิ้นและเสื่อมลง
    ไม่เหลือเค้าเดิมความงามใดๆอีก
    และเมื่อหมดซึ่งความงามแล้ว
    ยกให้เปล่าๆก็ไม่มีใครเอาแม้แต่คนเดียว
    .
    .
    พอเทศนาจบ ภิกษุผู้ลุ่มหลงผู้นั้นก็บรรลุโสดาบัน
    ส่วนนางสิริมาพอตายไปก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา
    และกลับมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าที่หน้าศพของตัวเอง
    ได้บรรลุธรรมเพิ่มอีกสองขั้นเป็นระดับอนาคามี
    .
    .
    .
    .
    สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องของนางสิริมา
    มี 3 อย่างด้วยกัน
    .
    .
    เรื่องแรกคือ
    คนเราต่อให้ทำผิดแค่ไหน
    เมื่อรู้ตัวแล้ว ยังมีโอกาสกลับตัว
    และเข้าถึงธรรมได้เสมอ
    ไม่มีคำว่าช้าหรือสายเกินไป
    .
    .
    นางสิริมาประกอบอาชีพที่ไม่ดีงามนัก
    หมิ่นเหม่ต่อการผิดศีลข้อสามตลอดเวลา
    ถูกแม่เลี้ยงดูมาอย่างผิดทิศผิดทาง
    จนกระทั่งเกือบจะได้ฆ่าคนไปแล้ว
    .
    .
    แต่เมื่อรู้ตัวเองว่าหลงผิด
    แล้วกลับมาตั้งจิตในธรรม
    ไม่มีอะไรสายไปทั้งนั้น
    .
    .
    เรื่องที่สอง
    คือ อำนาจของกิเลส
    .
    .
    เราเรียนรู้จากภิกษุที่ลุ่มหลง
    เป็นภิกษุแท้ๆ อยู่ในเพศสมณะ
    แต่กลับปล่อยใจให้พ่ายต่อกิเลสราคะ
    .
    .
    อำนาจของกิเลสมีฤทธิ์แรงจริงๆ
    ขนาดสมณะเพศยังหลุดได้
    แถมหลุดไปไกล
    คนธรรมดาอย่างเราๆ
    จึงต้องเฝ้าใจเราให้ดี
    อย่าปล่อยให้กิเลสมีอำนาจมาเหนือใจเราได้
    .
    .
    เรื่องที่สามคือเรื่องความไม่เที่ยงของร่างกาย
    ร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง
    เป็นสิ่งที่เรายืมมาจากธรรมชาติชั่วคราว
    สุดท้ายต้องเสื่อมและสลายคืนธรรมชาติในที่สุด
    .
    .
    การเสื่อมของร่างกาย
    จริงเป็นเรื่องที่แน่นอนและธรรมดาที่สุดในโลกนี้
    แต่หลายครั้งกับหลายคนที่เป็นทุกข์
    เพราะอยากยึดไว้ ไม่อยากให้เสื่อม
    .
    .
    บางคนทุกข์เพราะหน้าเริ่มมีตีนกาขึ้น
    บางคนทุกข์เพราะเป็นโรคต่างๆที่เกิดจากร่างกายเสื่อมถอย
    บางคนทุกข์เพราะพยายามไปยื้อ ให้ร่างกายดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา
    บางคนก็ทุกข์ก็ไปยึดติดลุ่มหลงในกายของคนอื่น
    .
    .
    ร่างกาย เป็นสิ่งที่เสื่อมแน่นอน
    เดี๋ยวนี้มีศาสตร์ชะลอวัย แต่ก็ทำได้แค่ชะลอ
    เทคโนโลยีไปไกลแค่ไหน แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องเสื่อมลง
    .
    .
    แทนที่เราจะทำใจและเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง
    และคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่มีใครหนีได้
    มีแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
    .
    .
    แต่พวกเรากลับ...
    พยายามฝืนความเป็นจริงของธรรมชาติ
    และทุกข์กับความเป็นจริงของธรรมชาติ
    .
    .
    ความจริงที่เราเห็นอีกอย่างก็คือ...
    ต่อให้ร่างกายภายนอก
    ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
    สวยงามแค่ไหน
    พอตายไปไม่กี่วัน
    ทุกคนจะกลับมาหน้าตาเหมือนกันหมดอยู่ดี
    .
    .
    อยู่อย่างเข้าใจมัน เข้าใจธรรมชาติ
    เข้าใจความเป็นไป และอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย

    เจริญพร

    #เพจธรรมะย่อยมาแล้ว
    #ธรรมะดีๆที่ใครๆก็เข้าถึงได้

    =====

    #แอดไลน์ เพื่อไม่ให้พลาดทุกธรรมะดีๆ และบางทีไม่ได้โพสต์ในเฟสบุค คลิ๊ก >>> https://reff.in/e42e

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หลานเคอ ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยาแห่งรัฐ สังกัดมหาวิทยาลัยฯ และสมาชิกหลักของทีมวิจัย กล่าวว่าความหนาแน่นของไวรัสฯ ในละอองลอยในอากาศ ณ ห้องแยกโรคและห้องผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจนั้นต่ำมาก แต่กลับเพิ่มขึ้นในบริเวณห้องน้ำของผู้ป่วยขณะที่ความหนาแน่นของไวรัสฯ ในละอองลอยในอากาศ ณ พื้นที่สาธารณะที่อยู่ภายใต้การกักกันโรคอันเข้มงวดส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ

    อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000046222
    .........................................
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : https://lin.ee/CeuFxbm
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    thefederalist
    อีกมุมมองหนึ่งของ Quarantine
    **โปรดใช้วิจารณญาน**

    Why Social Distancing Might Actually Result In More Coronavirus Deaths
    Social Distancing อาจจะมีผลให้มีการเสียชีวิตจากโคโรน่าไวรัสมากขึ้นหรือเปล่า

    สิ่งที่สื่อและฝ่ายบริหารจัดการไม่ได้บอกกับเราว่า ยิ่งเราดีเลย์การพัฒนาการของ herd immunity ไปนานมากขึ้นเท่าไหร่ ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงก็ยิ่งมีโอกาสติดเชื้อและเสียชีวิตมากขึ้นเท่านั้น

    By Anonymous

    Covid-19 เป็นโรคระบาดร้ายแรง ตอนนี้เราได้เรียนรู้แล้วว่า มันไม่ใช่ "ถ้า" แต่เป็น "เมื่อไหร่" ที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะมากขึ้นไปอีก ....ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่ สิ่งที่เราทำอยู่คือ ยืดเวลาเพื่อรักษาเส้นกร้าฟให้มันราบเรียบไปเรื่อย ๆ รอจนมีวัคซีนออกมา

    เราจึงแยกตัวกักกันตัวเองที่บ้าน จนทำให้เศรษฐกิจชะงักอย่างที่เห็น ๆ อยู่ หลายคนต้องตกงาน เรายินดีทำอย่างนั้นเพื่อให้ระบบสาธารณสุขเป็นผู้จัดการกับผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ

    แต่ถ้าผมจะบอกว่าวิธีการกักกันตัวเองแบบนี้จะมีผลให้เกิดการเสียชีวิตมากขึ้นล่ะ ....นี่คือคำอธิบาย

    ทางเดียวที่เราจะชนะ Covid-19 ก็คือการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า herd immunity ....herd immunity (ภูมิคุ้มกันหมู่) หมายถึง เมื่อมีเปอร์เซนต์ที่แน่นอนของคนจำนวนหนึ่งพัฒนาภูมิคุ้มกันต่อไวรัสได้แล้ว ประชาชนที่เหลือทั้งหมดก็จะได้รับภูมิคุ้มกันไปด้วย เปอร์เซนต์แน่นอนที่ว่านั้นอยู่ที่ประมาณ 60-70% ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่จำเป็นต้องให้วัคซีนกับประชาชนทั้ง 100% ที่จะกำจัดการระบาดของโรค เช่น โปลิโอ ฝีดาษ และหัด

    ทั้งสื่อและทีมผู้จัดการกับโรคระบาดก็ดูเหมือนจะยอมรับว่าเรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับ herd immunity ด้วยเหมือนกันในการเอาชนะ Covid-19 ....ซึ่งถ้าเรามีวัคซีนก่อนทุกอย่างก็โอเค แต่ในเมื่อวัคซีนยังต้องรอ เราก็คงต้องอาศัยรอให้มีผู้ติดเชื้อและพัฒนาภูมิคุ้มกัน

    ในขณะเดียวกัน เราก็ได้รับการบอกเล่าให้ quarantine ให้มากที่สุดที่จะมากได้ เพื่อให้ระบบสาธารณสุขเป็นฝ่ายจัดการกับผู้ติดเชื้อไปก่อน ...ง่าย ๆ อย่างนั้น แต่ไม่หรอก มันซับซ้อนกว่านั้น

    สิ่งที่สื่อและฝ่ายบริหารจัดการไม่ได้บอกกับเราว่า ยิ่งเราดีเลย์การพัฒนาการของ herd immunity ไปนานมากขึ้นเท่าไหร่ ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงก็ยิ่งมีโอกาสติดเชื้อและเสียชีวิตมากขึ้นเท่านั้น ...ถึงแม้จะยังคงรักษาแนวทางการ quarantine อย่างเข้มงวด ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ

    เหตุผลคือ มีแต่ผู้ที่อายุน้อยและสุขภาพดีเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายสนับสนุนให้เกิด herd immunity ได้ ...ผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคประจำตัวมีระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่แข็งแรงพอที่จะสามารถพัฒนาได้

    นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ทางการแพทย์ ...เคยมีตัวอย่างการระบาดที่เกิดขึ้นของโรคที่ภูมิคุ้มกันหมู่ยังไม่พอ

    เช่นในปี 2019 มีการระบาดใหญ่ของโรคหัดเกิดขึ้นที่นิวยอร์คซิตี้ ..ปี 2014 โรคหัดระบาดในดิสนี่ย์แลนด์ที่รุนแรงที่สุดในรอบยี่สิบปี

    การขาด herd immunity ที่มีปริมาณคนจำนวนหนึ่งที่มากพอที่จะหยุดการระบาดใหญ่ได้ ..การระบาดของโรคในอนาคตก็จะรุนแรงขึ้น

    มีการทำโมเดลของ Imperial College ว่าเมื่อมีการผ่อนคลาย จะทำให้มีการระบาดเพิ่มมากขึ้นในเดือนกันยายนเป็นต้นไป ทำนายได้ว่าจะถึงจุดพีคตอนปลายปี ...แต่ถ้ายิ่งการบังคับมีมากเท่าไหร่ การระบาดในรอบถัดไปจะยิ่งมากขึ้นถ้ายังไม่มีวัคซีน สาเหตุจากการ build-up ของภูมิคุ้มกันหมู่เกิดขึ้นไม่มากพอ

    ดังนั้น ถ้ามีการยุติการเก็บตัวสำหรับผู้มีความเสี่ยงต่ำเสียแต่ตอนนี้ ...herd immunity จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้จะต้องเก็บตัวเฉพาะผู้สูงอายุและผู้มีความเสี่ยงสูงแยกออกไปในระหว่างนี้ ให้ห่างแม้แต่กับสมาชิกในครอบครัวที่อายุน้อย ...เราก็จะรักษาชีวิตคนไว้ได้อีกมาก และลดแรงกดดันระบบสาธารณสุขได้อีกด้วย

    วิธีนี้ยังลดแรงกดดันด้าน panic ที่เกิดขึ้นจากการเก็บตัว full quarantine ....โมเดลนี้มีความยืดหยุ่นแต่ยังไม่มีโมเดลไหนนำไปพิจารณา..ซึ่งคงไม่มีบุคคลากรการแพทย์ที่อยู่แนวหน้าคนไหนจะให้การรับรอง ...และมันยังก่อให้เกิดผลกระทบน้อยทางเศรษฐกิจอีกด้วย

    นอกจากนี้ การกักกันตัวเฉพาะผู้สูงอายุและผู้มีความเสี่ยงสูงยังเป็นสิ่งที่ practical ง่ายต่อการปฏิบัติ เพราะยิ่ง quarantine คนกลุ่มใหญ่ ผลได้จะยิ่งน้อยลง ...จะเห็นได้ว่าเคสรุนแรงมักเกิดกับผู้สูงอายุมากกว่า

    การกักกันตัวเฉพาะกลุ่มก็ยังอาจทำให้เกิดแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขอยู่ดี เพราะสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีสุขภาพดีก็อาจติดเชื้อ Covid-19 ได้อยู่ดีไม่ว่าจะเป็น full quarantine หรือ quarantine เฉพาะกลุ่ม ....และอาจมีผู้เสียชีวิตอยู่บ้าง

    นี่มันเหมือนหนีเสือปะจระเข้ การกักแบบ full quarantine จะมีผลให้มีผู้เสียชีวิตของผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว เพราะจะต้องมีผู้ติดเชื้อ ...การกักเฉพาะกลุ่มสูงอายุก็จะทำให้คนหนุ่มสาวและสุขภาพดีจำนวนมากขึ้นติดเชื้อ

    full quarantine จะทำให้มีผู้สูงอายุเสียชีวิต แต่มากแค่ไหนไม่อาจบอกได้ แต่ก็มากกว่าถึง 5-10 เท่าของจำนวนคนหนุ่มสาวที่จะต้องเสียชีวิตจากการติดเชื้อในกรณี quarantine เฉพาะกลุ่มสูงอายุ ...จากตัวเลขของ CDC

    The author is an academic physician and researcher at an Ivy League institution in New York City.

    ***************

    thefederalist

    Why Social Distancing Might Actually Result In More Coronavirus Deaths

    COVID-19 is severe. There is no doubt about that. We are now also learning that it is not a matter of if but when many of us will get coronavirus, whether we develop symptoms or not. Our only hope is to “flatten the curve,” relieve stress on the medical system, and wait for a vaccine.

    So, we isolate ourselves and stay at home. As a result, the economy is being devastated. Many people are out of work and unhappy. We accept these inconveniences to allow the medical system to handle the many people who become infected.

    But what if I were to tell you that our current isolation strategies may actually result in more deaths from coronavirus itself? I’ll explain.

    The only way we are going to beat COVID-19 is by developing something called “herd immunity.” Herd immunity basically means that once a certain percentage of the population develops immunity to a virus, the rest of the population will also be protected. That percentage varies, but is often around 60-70 percent. This is why we don’t need to vaccinate 100 percent of people to eradicate or severely limit the spread of infectious diseases (e.g., polio, smallpox, and measles).

    The media and policymakers seem to have accepted that we will depend on herd immunity to defeat COVID-19. If we had a vaccine, everything would be different. But since a vaccine is not available, we must wait for enough people to be exposed and develop immunity.

    In the meantime, we are being told to quarantine as much as possible so the medical system can deal with the many people who become infected. Simple, right? Unfortunately, it’s more complicated than this.

    What the media and policymakers are not telling us is that the longer we delay the development of herd immunity, the more elderly or high-risk people will become infected and die, even if we were to maintain the quarantine indefinitely. Why is this the case?

    The reason is that only young and healthy people contribute to herd immunity. Elderly and medically ill people generally do not contribute to herd immunity because their immune systems are not strong enough to develop an immune response.

    This is not new or breaking science. To illustrate what happens when you don’t have herd immunity, look no further than the outbreaks we’ve had in areas where that immunity has dipped below the necessary levels.

    In 2019, there was a massive outbreak of the measles in New York City for that reason. In 2014, a measles outbreak in Disneyland sent the number of cases to a 20-year high. Without herd immunity, where enough people have had the disease to avoid driving major outbreaks, future spikes will likely be much bigger.

    Indeed, the Imperial College modeling says as much: “Once interventions are relaxed (in the example in Figure 3, from September onwards), infections begin to rise, resulting in a predicted larger peak epidemic later in the year: The more successful a strategy is at temporary suppression, the larger the later epidemic is predicted to be in the absence of vaccination, due to lesser build-up of herd immunity.”

    Importantly, in this report, the Imperial College COVID-19 Response Team’s partial quarantine did not include isolating high-risk individuals or those infected (!) from their households, which would be critical for a partial quarantine to work. In fact, in their models, the elderly and medically ill people had more contact with everyone in their household (i.e., except in their one scenario in which only cases are quarantined, which is not an adequate strategy by itself). This would greatly bias their findings in favor of a full quarantine.

    Therefore, if we stop the quarantine for all low-risk people now, herd immunity would develop more quickly. If we also were to keep the elderly and high-risk people isolated from everyone else during this time, including their own family members (i.e., a partial quarantine), we would save countless lives, while also decreasing the stress on the medical system.

    This strategy would also limit the stress on the medical system caused by the fear and panic induced by the full quarantine, a variable that has not been considered in most models and to which any physician on the frontlines can attest. And there would be limited impact on the economy.

    Furthermore, limiting isolation to only high-risk individuals and cases would be much more practical and likely to work since the more people need to be quarantined, the less effective is the quarantine. It would also still relieve much of the stress on the medical system since most of the severe outcomes occur in the elderly, according to the Centers for Disease Control.

    A partial quarantine would still cause some initial stress on the medical system since the overall number of young or healthy individuals who would contract COVID-19 will not change with either a full or partial quarantine. The vast majority of these cases would be mild, however. Therefore, there may still be a slightly higher use of the medical system up front if we move to a partial quarantine as described herein. This could also lead to some deaths.

    Herein lies the dilemma, or Sophie’s choice, of dealing with COVID-19. A full quarantine will result in the deaths of more elderly and medically ill people because more of them will become infected. A partial quarantine would likely result in a greater number of mild infections in young and healthy individuals upfront (but not total).

    How many more elderly or medically ill people will die due to a full quarantine? It is hard to say, but a conservative estimate would be 5-10 times the number of young and healthy people who may die from a partial quarantine, based on fatality rates published by the CDC.

    Fortunately, I am not responsible for making policy.

    The author is an academic physician and researcher at an Ivy League institution in New York City.

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (3 พ.ค.) สาววัย 20s อยู่โตเกียว เดินทางกลับบ้านเกิดที่ จ. ยามานาชิหลังมีอาการโควิด (ไม่รู้รส / ไม่ได้กลิ่น) -> นั่งบัสกลับบ้านเกิด -> กิน BBQ กับเพื่อน -> ตรวจพบติดเชื้อที่ยามานาชิ -> นั่งบัสกลับโตเกียว // แจ้งข้อมูลเท็จกับทางเขตว่าถึงโตเกียวก่อนทราบผล -> เจ้าตัวอ้างเหตุห่วงสุนัขที่บ้าน -> เพื่อนติดแล้ว 1 ราย

    รายละเอียด
    ‍หญิง วัย 20s / พนักงานบริษัท / อาศัยที่จ. โตเกียว กลับไปที่ จ. ยามานาชิ เดินทางไปยังเมืองดังต่อไปนี้
    ฟุจิโยชิดะ / หมู่บ้านนารุซาวะ / เมืองฟุจิคาวากุจิโกะ

    อาการ
    26 เมษา ~ มีความผิดปรกติ ทางด้านการรับรู้กลิ่นและรส

    26 - 28 เมษา ไปทำงานในโตเกียวตามปรกติ

    29 เมษา นั่งรถบัสด่วนเคย์โอ จากสถานีชินจูกุ
    (รอบ 15:15 น. จาก บะสุตะ ชินจูกุ ปลายทาง ยามานากะโกะ อาซาฮีกะโอกะ) เพื่อกลับไปยังบ้านเกิด

    ลงป้าย ฟูจิคิวไฮแลนด์ ญาติมารับ นั่งรถญาติกลับไปบ้าน

    30 เมษา ทานบาร์บีคิวที่บ้านเพื่อน เจอเพื่อน 4 คน

    1 พ.ค. ไปปรึกษาสายด่วน ตรวจ

    (ตอนแรกแจ้งเซ็นเตอร์ว่า กลับไปโตเกียวตั้งแต่วันนี้ รอบ 19:40 น. แต่จริง ๆ แล้วโกหก‍♀️)

    2 พ.ค.
    9 โมงกว่า ๆ ศูนย์โทรไปบอกผลว่าติดเชื้อ

    10 โมงกว่า ๆ นั่งบัสด่วนกลับโตเกียว ขึ้นรถจากป้ายฟุจิคิวไฮแลนด์เหมือนเดิม

    ☎️เพื่อนคนหนึ่งเห็นแถลงข่าวที่ออกมาตอนแรกเลยโทรไปแจ้งว่า สาวผู้นี้ให้ความเท็จ

    ‍‍ทางจังหวัดยามานาชิเอ่ยว่า ทางครอบครัวเล่าเรื่องเหมือนกับเจ้าตัวจึงไม่ทราบว่าเป็นความเท็จ

    ‍ตอนนี้เพื่อนชายวัย 20s พบว่าติดเชื้อไปแล้ว 1 ราย (ไม่ได้ไปกินบาร์บีคิว) ส่วนที่เหลืออีก 4 รายกำลังรอผล

    Credit: https://news.livedoor.com/article/detail/18212305/

    ———-
    ✒️ประเด็นร้อนมากในทวิตตอนนี้ค่ะ

    ✒️ อ่านแล้วน่าดุน่าตีน่าโกรธน่าจับปรับให้เข็ดนะคะ แต่เคสนี้ยิ่งเพื่อนเป็นคนแฉเองและต่างจังหวัดข่าวไปเร็วขนาดนี้...... เจ้าตัวและครอบครัวจะรอดจาก social sanction ในสังคมญี่ปุ่นยังไงคะเนี่ย...(;・ω・)

    หลายคนอาจจะงง ถามว่าญี่ปุ่น social sanction หนักขนาดไหน >> ถ้าใจไม่แข็งพอ ถึงฆ่าตัวตายค่ะ

    #กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น #เกาะติดไวรัสโคโรนา
    #เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ #อู่ฮั่น #COVID-19 #โควิด19

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจ็บทั้งซัพพลายเชน "โบอิ้ง" ผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ เตรียมปลดพนักงาน 16,000 คน จากพิษ #COVID19
    .
    อ่านต่อ https://positioningmag.com/1276361

    #Boeing #เครื่องบิน #สาระการบินน่ารู้ #Positioningmag

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (3 พ.ค.) ญี่ปุ่นเตรียมขยายภาวะฉุกเฉินถึง 31 พ.ค. ค่อนข้างแน่นอนแล้ว

    เตรียมสรุปและน่าจะประกาศอย่างเป็นทางการพรุ่งนี้

    ——(ด้านล่างเป็นกระแสข่าวยังไม่คอนเฟิร์ม)——

    มีข่าวว่า อาจจะผ่อนปรนสำหรับจังหวัดที่ไม่ใช่ 13 จังหวัดควบคุมพิเศษ
    มีข่าวว่า อาจจะเพิ่ม โอกินาว่า เข้าไปในจ. ควบคุมพิเศษ

    ———

    緊急事態宣言延長 “5月31日まで” 安倍首相 方針固める https://www3.nhk.or.jp/news/html/20200503/k10012416651000.html

    #กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น #เกาะติดไวรัสโคโรนา
    #เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ #อู่ฮั่น #COVID-19 #โควิด19

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,710
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Covid-19 ทำไมธุรกิจ Hostel จะต้องปิดกิจการในอีกไม่นาน
    .
    .
    ผมเคยลองนึกเล่นๆ ครับว่า “ถ้า Hostel คือนอนรวม ถ้า Co-Working คือทำงานรวม ถ้าต่อไป คนไม่อยากรวม และนโยบายรัฐบาลก็ไม่ให้รวม” แล้วธุรกิจ Hostel จะเป็นอย่างไรต่อจากนี้
    .
    เป็นคำถามที่ชวนคิดนะครับ เพราะปัจจุบันมีผู้ประกอบการ Hostel เป็นจำนวนมากทั่วประเทศ เนื่องด้วยเป็นธุรกิจที่เข้าง่าย ออกง่าย เพียงแค่มีห้องว่าง ซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งเล็กน้อย ถ่ายภาพสวยๆ เปิดขายออนไลน์ผ่าน OTA-Online Travel Agent เพียงเท่านี้ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของ Hostel แล้วครับ (และอาจไม่เข้าระบบภาษีด้วย)
    .
    ปัจจุบันหลายท่านคงเห็นแล้วว่า ถึงแม้สถาณการณ์ Covid-19 ในประเทศไทยจะดีขึ้น ตัวเลขของผู้ติดเชื้อลดลงทุกวันตามลำดับ อย่างไรก็ตามเราคงต้องอยู่กับ Covid-19 นี้ไปอีกนานเป็นปี ถูกต้องครับ เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับ Covid-19 ในลักษณะที่ หากใครโชคไม่ดีติดเชื้อขึ้นมา ก็แค่ไปหาหมอรักษาตามอาการ แบบนี้วนไป จนกว่าจะมียารักษา และวัคซีนสำหรับโรคนี้โดยเฉพาะ จึงทำให้ผมรู้สึกว่า ในสถาณการณ์เช่นนี้จะทำให้ธุรกิจ Hostel ไม่สามารถผ่านวิกฤตินี้ไปได้ และต้องปิดตัวลงในที่สุด ด้วยสาเหตุ 7 ข้อดังต่อไปนี้
    .
    1. ในสภาวะปกติ Hostel แข่งขันกันลดราคาอยู่แล้ว
    .
    เนื่องด้วย Hostel เป็นธุรกิจที่เข้าง่าย ออกง่าย ใครก็สามารถทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีที่ดิน บ้าน ห้องแถว หรืออาคารเป็นของตัวเองแล้ว สบายครับ ตกแต่งกันสวยงามอย่างเต็มที่ ด้วยความคิดที่ว่า “ไม่เป็นไรอย่างไรก็ของเรา” ทำให้มี Hostel เกิดขึ้นใหม่ทุกวันเป็นจำนวนมาก แน่นอนครับว่าเมื่อไม่มีค่าเช่าแล้ว พอเริ่มดำเนินธุรกิจ การตัดสินใจลดราคาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด (Penetration Pricing Strategy) จากคู่แข่งย่อมทำได้ง่ายขึ้น จนทำให้ค่า Revenue per Available Room (RevPAR) ในทางการเงินของ Hostel นั้น ตกลงถึงประมาณ 200-250 บาท/ คืน/ เตียง (หรือประมาณ 8 USD)
    .
    ถ้าท่านใดเป็นผู้ประกอบการ Hostel อยู่ในขณะนี้จะทราบดีว่า การขายด้วยราคานี้อยู่ไม่ได้ครับ ไม่ขาดทุน ก็เท่าทุน ไหนจะต้นทุนค่าใช้จ่ายซักรีด และอุปกรณ์เครื่องใช้อีก เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว จะทำไปทำไมถูกต้องไหมครับ หรือเราจะขึ้นราคาโดยการหาจุดขาย สร้างความแตกต่าง (Differentiation) แต่ก็อย่าลืมว่าโดยธรรมชาติของธุรกิจ Hostel เป็นธุรกิจที่มีความอ่อนไหวต่อราคาสูง (Price Sensitivity) แบบ Elastic Demand หมายความว่ายิ่งราคาถูกมากเท่าไร ยิ่งมีคนพักเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น การปรับราคาขึ้นเพียงเล็กน้อย จะส่งผลให้การเข้าพักลดลงอย่างน่าตกใจ ดังนั้นการหาจุดขาย สร้างความแตกต่าง (Differentiation) อาจไม่สามารถช่วยได้มากเท่าไร แค่คิดก็เหนื่อยแล้วครับ
    .
    2. ผู้ประกอบการ Hostel ส่วนใหญ่ ทำธุรกิจโดยการเช่า
    .
    ใช่ครับ เช่าตึกมาทำ Hostel จ่ายค่าเช่าทุกเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลที่มีศักยภาพ ติดรถไฟฟ้า ค่าเช่าจะยิ่งแพงขึ้นตามลำดับ ด้วยเหตุผลสืบเนื่องจากข้อ 1 การขึ้นราคาขายนั้นทำได้ยากเพราะ Hostel คู่แข่งที่อยู่ข้างเคียง โดยเฉพาะ Hostel ที่เจ้าของทำเอง ไม่มีภาระค่าเช่า ได้สร้างราคาอ้างอิงเชิงจิตวิทยา (Reference Price) ในใจลูกค้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครขายราคาสูงกว่านี้คือแพง ทำให้ผู้ประกอบการ Hostel ส่วนใหญ่ตอนนี้อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้า คายไม่ออกครับ
    .
    3. การท่องเที่ยวใช้เวลาฟื้นตัวนาน
    .
    เมื่อเราวิเคราะห์ถึงอัตราการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยแล้ว ลักษณะกราฟจะเป็นแบบเครื่องหมายถูก หมายความว่าเมื่อเกิดวิกฤตแล้ว การฟื้นตัวจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และกินเวลานาน แน่นอนว่าการท่องเที่ยวภายในประเทศ (Domestic) น่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติได้ก่อน คำถามต่อไปคือ คนไทยส่วนใหญ่นั้นเวลาท่องเที่ยวนิยมพัก Hostel หรือไม่
    .
    คำตอบคือ “ไม่” นั่นหมายความว่าผู้ประกอบการ Hostel ต้องรอการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวต่างประเทศ (International) ซึ่งอาจจะใช้เวลา 1-2 ปี ประกอบกับมี The New Normal เกิดขึ้นใหม่ในอุตสหกรรมโรงแรม และที่พักอีก Hostel จะมีเงินทุนสำรองเพียงพอ ในระหว่างรอการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือไม่ ลองคิดกันดูครับ
    .
    4. พฤติกรรมการเข้าพัก (Customer Behavior) เปลี่ยน และเกิด The New Normal ใหม่
    .
    แน่นอนว่าถ้าเราวิเคราะห์ในเชิง Product เรื่อง Five Product Level แกนคุณค่า (Core Benefit) ของ Hostel คือการมีส่วนร่วม (Participation) ระหว่างแขกแขกผู้เข้าพักด้วยกันเอง หรือระหว่างเจ้าของกับแขกผู้เข้าพัก โดยจะเห็นได้จากรูปการเข้าพักแบบ ห้องพักรวม (Dormitory Room) 4-10 คน ห้องน้ำรวม และห้องกิจกรรมส่วนกลาง (Common Room)
    .
    แต่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ Covid-19 พฤติกรรมการเข้าพักย่อมเปลี่ยนไป และจะกลับมาไม่เหมือนเดิมอีก โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก (Main Targeting) ของ Hostel มีความเป็นไปได้สูง ที่ในอนาคตจะเลือกพักแบบ ห้องส่วนตัว (Private Room) มากกว่าห้องพักรวม (Dormitory Room)
    .
    ประกอบกับค่าเฉลี่ยราคาห้องพักแบบ ห้องส่วนตัว (Private Room) ในประเทศไทยนั้น มีราคาไม่สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บางครั้งการจ่ายเงินเข้าพักแบบ ห้องพักรวม (Dormitory Room) สำหรับ 2 ท่าน ราคาอาจใกล้เคียงกับราคาห้องพักแบบ ห้องส่วนตัว (Private Room) เลยก็ได้ อีกทั้งโรงแรมใหญ่หลายแห่ง ก็ปรับลดราคาลงมาอีก จึงทำให้เชื่อได้ว่า ในอนาคตนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่วนใหญ่ จะเลือกพัก Compact Hotel และ Budget Hotel มากว่า Hostel
    .
    5. ขาดความยืดหยุ่น (Flexibility)
    .
    ตามปกติแล้ว ทุกครั้งที่เราจัดทำแผนธุรกิจ หรือ Business Plan ในหัวข้อสุดท้ายที่จะขาดไม่ได้ คือแผนฉุกเฉิน หรือทางออกสำหรับธุรกิจเมื่อเกิดวิกฤติ (Contingency Plan) สำหรับธุรกิจ Hostel นั้น หากเราวิเคราะห์กันอย่างละเอียดแล้วจะพบว่า ลักษณะการเข้าพักแบบ ห้องพักรวม (Dormitory Room) โดยภายในห้องพักเป็นเตียงสองชั้น (Bunked Bed) หลายๆ เตียงวางติดกัน เพื่อประหยัดการใช้พื้นที่ สามารถเข้าพักได้ครั้งละจำนวนมาก ได้ส่งผลให้ธุรกิจมีความ “FIX” มากกว่า “FLEX”
    .
    โดยคำว่า “FIX” หมายถึง ความไม่มีความยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงได้ยาก ซึ่งจะแตกต่างจากคำว่า “FLEX” ซึ่งหมายถึง ความความยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงรูปแบบได้หลากหลายตามสถานการณ์ รูปแบบเตียงสองชั้น (Bunked Bed) มีหลายประเภท ทั้งแบบลอยตัว แบบบิวท์อิน และแบบแคปซูล โดยเฉพาะแบบบิวท์อิน และแบบแคปซูล อาจจะดูสวยงาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว การปรับเปลี่ยนการใช้งานทำได้ยากมาก เพราะต้องมีการรื้อถอนการติดตั้ง เกิดความเสียหาย และที่สำคัญที่สุดคือ “เสียดาย” เมื่อพฤติกรรมการเข้าพักเปลี่ยน ธุรกิจ Hostel ต้องปรับตัว แต่การเปลี่ยนแปลงทำได้ยาก แล้ว ธุรกิจ Hostel จะทำอย่างไร นี่คือปัญหาใหญ่ครับ
    .
    6. ไม่สามารขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมได้
    .
    ใช่ครับ Hostel ส่วนใหญ่ในประเทศไทย เปิดดำเนินกิจการโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม หรือเรียกง่ายๆ ว่าโรงแรมเถื่อน แต่ในความเป็นจริง ไม่มีผู้ประกอบการท่านใดอยากทำผิดกฎหมายหรอกครับ แต่ด้วยขั้นตอนการขออนุญาตฯ ที่สลับซับซ้อน ในบางโครงการอาจต้องมีการเสริมโครงสร้าง ซ่อมแซมความแข็งแรงของอาคาร ทำให้เกินต้นทุนที่มหาศาลในการขออนุญาตฯ รวมไปถึงการไม่ได้เป็นเจ้าของอาคารเอง ทำให้การขออนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมนั้น ไม่คุ้มค่าการลงทุน จึงทำให้ผู้ประกอบการ Hostel ส่วนใหญ่ ตกอยู่ในภาวะจำยอม ทำอะไรไม่ได้ครับ
    .
    เมื่อไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมแล้ว (ไม่รวมการจดทะเบียนที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม) การได้รับการเยียวยาจากทางภาครัฐ รวมถึงการขอสินเชื่อระยะสั้นเพื่อหมุนเวียนจากธนาคารพาณิชย์ (Soft Loan) คงเป็นไปไม่ได้ Hostel ส่วนใหญ่จึงต้องดูแลตัวเองครับ คำถามคือ Hostel เหล่านี้ จะทนไหวไหม ต่อให้เป็นผู้ประกอบการที่มีเงินทุนสำรองมาก แต่ถ้าได้ลองคำนวณตัวเลขทางการเงินในอนาคตแล้ว ปรากฎว่าไม่คุ้มค่าการลงทุน Hostel เหล่านั้นจะไปต่อไหม
    .
    7. โดนร้องเรียนจากข้างเคียง
    .
    แม้ว่าในปัจจุบัน รัฐบาลได้ออกมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการขออนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม ให้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตแล้ว ซึ่งกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว จะหมดอายุในวันที่ 18 สิงหาคม 2564 ถ้าเรานับคร่าวๆ ก็จะเหลือเวลาอีกเพียง 1 ปี เท่านั้น หมายความว่า Hostel ทุกแห่งจำเป็นต้องดำเนินการขออนุญาตฯ ให้เสร็จสิ้นก่อนวันนั้นจะมาถึง
    .
    จากการคาดการณ์ล่วงหน้า เมื่อกฎกระทรวงฉบับนี้ที่ใช้คุ้มครอง Hostel ในปัจจุบัน ให้ยังสามารเปิดดำเนินกิจการได้ โดยไม่ผิดกฎหมายซะที่เดียว (เป็นลักษณะการผ่อนผัน) แต่ถ้าวันหนึ่งกฎหมายฉบับนี้หมดอายุไป จะทำให้ Hostel ที่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมอย่างถูกต้อง จะผิดกฎหมายแบบ 100% สามารถถูกแจ้งความดำเนินคดี และสั่งปิดได้ตามกฎหมาย
    .
    จากประสบการณ์ของผมแล้ว ผู้ร้องเรียนก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลครับ ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ถูกกัน หรือไม่ก็ Hostel คู่แข่งในระแวกเดียวกัน ที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมถูกต้องแล้ว คล้ายกับเป็นการตัดคู่แข่งไปในตัว ทีนี้ Hostel ในประเทศไทยก็จะหายไปเกินครึ่งหนึ่งแน่นอนครับ
    .
    ด้วยเหตุผลหลักๆ 7 ข้อ จึงทำให้ผมเชื่อว่า หลังวิกฤตการณ์ Covid-19 ธุรกิจ Hostel ส่วนใหญ่จะต้องปิดกิจการในอีกไม่นาน ในส่วนทางออกของ Hostel นั้นจะเป็นอย่างไร ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เพื่อรับมือกับ The New Normal ใหม่บ้าง เราจะมาคุยกันต่อในครั้งต่อไปครับ
    .
    .
    SIAM HOTEL MAKER COMPANY LIMITED - SHM
    ธุรกิจสร้างสรรค์ ไม่ขายฝัน ลงทุนอย่างยั่งยืน
    .
    บริษัท สยาม โฮเต็ล เมคเกอร์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญอันดับ 1 ด้านการออกแบบ และขออนุญาตฯ โรงแรม บูติคโฮเต็ล โฮสเทล และ Airbnb เรามีตัวอย่างโครงการที่ได้รับใบอนุญาตฯ ทุกประเภท พร้อมรางวัลการันตี ยินดีให้คำปรึกษาแบบครบวงจร ตั้งแต่
    .
    1. การออกแบบสถาปัตยกรรม
    2. การออกแบบสถาปัตยกรรมภายใน
    3. การออกแบบวิศวกรรมโครงสร้าง และวิศวกรรมงานระบบทุกประเภท
    4. การขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม และโฮสเทล
    5. การตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดให้บริการ
    6. การจัดทำมาตรฐานการบริการ (SOP) และการฝึกอบรมพนังกงาน
    7. การวางแผนระบบบัญชี และการเงิน
    8. การบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ
    .
    ยินดีให้คำปรึกษา ทุกท่านที่อยากเป็นเจ้าของโรงแรม และโฮสเทล หรือประกอบกิจการโรงแรม และโฮสเทลอยู่แล้ว พร้อมจัดเตรียมเอกสาร ข้อมูลที่สำคัญ สำหรับยื่นขออนุญาตฯ ตามกฎกระทรวง กำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2559 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 6/2562 เรื่อง มาตรการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานการประกอบธุรกิจโรงแรมบางประเภท (มาตรา 44) อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
    .
    ทางบริษัทฯ จะส่งทีมงานสถาปนิก และวิศวกรเข้าสำรวจโครงการเบื้องต้น เพื่อประเมิณความเป็นไปได้ ในการขออนุญาตฯ ให้กับโครงการของท่าน ภายใน 1 สัปดาห์ พร้อมดำเนินการจัดเตรียมเอกสารที่จำเป็นทั้งหมด ประกอบด้วย
    .
    1. แบบสถาปัตยกรรม และแบบสถาปัตยกรรมภายใน
    2. แบบวิศวกรรมโครงสร้าง และแบบวิศวกรรมงานระบบทุกประเภท
    3. รายการคำนวณแบบโครงสร้างทางวิศวกรรม
    4. เอกสารอ้างอิง ประกอบการขออนุญาตฯ
    5. ลงชื่อรับรองโดยสถาปนิก และวิศวกร ผู้เชี่ยวชาญด้านโรงแรม
    .
    สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ฟรี!!
    .
    Tel: 02-629-7961
    Mobile: 088-521-5599
    Line ID: siamhotelmaker
    E-mail: info.siamhotelmaker@gmail.com
    Facebook: www.facebook.com/siamhotelmaker
    Website: www.siamhotelmaker.com
    .
    #hotelfromthefuture #siamhotelmaker #shm

     

แชร์หน้านี้

Loading...