ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ล่าสุดจากอิตาลี:
    ตายเกิน 1,000
    ติดเชื้อกว่า 15,000!

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อ S&P เข้าสู่ภาวะ “ตลาดหมี” ก็มีโอกาส 80% ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (recession)!

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายกฯอังกฤษยอมรับจำนวนคนติดเชื้ออาจสูงกว่า 590 รายที่เป็นตัวเลขทางการขณะนี้!

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อียูโต้ทรัมป์: สั่งห้ามเดินทางจากยุโรปเข้าอเมริกาเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียว ไม่มีการปรึกษากันเลย!

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฝรั่งเศสระบุ โควิด-19 เป็นวิกฤติสาธารณสุขร้ายแรงที่สุดในรอบ 100 ปี

    หลายประเทศทั่วโลก พร้อมใจกันสั่งปิดโรงเรียน และสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจในหลายพื้นที่

    ประธานาธิบดี เอมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสสั่งปิดสถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียน และมหาวิทยาลัยทุกแห่งตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป เพื่อพยายามสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

    ผู้นำฝรั่งเศส กล่าวว่าการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดนี้ ถือเป็นวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุขครั้งร้ายแรงที่สุดของฝรั่งเศสในรอบหนึ่งร้อยปี และได้ร้องขอให้นายจ้างอนุญาตให้ลูกจ้างทำงานจากบ้าน รวมทั้งเตือนให้ผู้สูงอายุและประชาชนที่มีปัญหาสุขภาพอยู่ภายในบ้านเรือนของตนเอง

    เขาบอกด้วยว่า จะดำเนินมาตรการปิดพรมแดนหากจำเป็น และต้องสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป

    The post ฝรั่งเศสระบุ โควิด-19 เป็นวิกฤติสาธารณสุขร้ายแรงที่สุดในรอบ 100 ปี appeared first on AMARIN TV HD | อมรินทร์ทีวี ช่อง 34.

    Source : #AmarinTV #อมรินทร์ #อมรินทร์ทีวี

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตุรกีผวาไวรัสโควิด-19 สั่งให้เรียนผ่านระบบออนไลน์

    โฆษกประธานาธิบดี ตุรกี กล่าววานนี้ว่า ตุรกีจะปิดโรงเรียนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และปิดมหาวิทยาลัยเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม รวมทั้งสั่งให้การแข่งขันกีฬาทั้งหมด จัดขึ้นโดยไม่เปิดให้ประชาชนเข้าชนไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน เพื่อสกัดการแพร่ระบาด

    มาตรการเหล่านี้ มีขึ้นหลังตุรกีพบผู้ติดเชื้อคนแรกเมื่อวันพุธ โดยโฆษกประธานาธิบดี บอกด้วยว่าตารางการเดินทางเยือนต่างประเทศของประธานาธิบดี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน จะถูกเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส

    เบื้องต้น ตุรกีสั่งให้โรงเรียนประถมและมัธยม ปิดเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และหลังจากนั้น จะให้นักเรียนเรียนผ่านระบบออนไลน์นับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคมเป็นต้นไป

    The post ตุรกีผวาไวรัสโควิด-19 สั่งให้เรียนผ่านระบบออนไลน์ appeared first on AMARIN TV HD | อมรินทร์ทีวี ช่อง 34.

    Source : #AmarinTV #อมรินทร์ #อมรินทร์ทีวี

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หุ้นไทยดิ่ง 10.8% ปิด 1,114 จุด หนักสุดในโลก โบรกชี้แนวโน้มลงทดสอบ 920 จุด
    750x422_870466_1584008389.jpg
    12 มีนาคม 2563

    หุ้นไทยปิดตลาดที่ 1,114.91 จุด ลดลง 134.98 จุด หรือ 10.8% จากวันก่อนหน้า โดยปรับตัวลดลงมาสุดในโลก ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้มีโอกาสลดลงไปทดสอบระดับ 920 จุด

    ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย ล่าสุด ปิดการซื้อขายที่ 1,114.91 จุด หรือลดลง 134.98 จุด หรือลดลง 10.80% จากวันก่อนหน้า โดยถือเป็นดัชนีตลาดที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในโลก ณ เวลา 17.00 น. ของวันที่ 12 มี.ค. 2563 โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวม 1.01 แสนล้านบาท

    โดยหุ้นที่มีการซื้อขายมากสุด 5 อันดับแรก คือ AOT ลดลง 12.81% ปิดที่ 52.75 บาท PTT ลดลง 9.4% ปิดที่ 26.5 บาท CPALL ลดลง 6.44% ปิดที่ 61.75 บาท BAM ลดลง 13.62% ปิดที่ 20.30 บาท และ GULF ลดลง 13.53% ปิดที่ 131 บาท

    บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระบุว่า ดัชนี SET ปรับตัวลดลงเกิดสัญญาณขายทางเทคนิคในโครงสร้างระยะยาวหลังจากปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่หลุดแนวรับที่ 1220 จุดลงไป ทำให้แนวโน้มหลักมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 920 จุด ตามกรอบแนวโน้มขาขึ้น แต่ถ้าสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นไปเหนือระดับ 1220 จุด จะเป็นสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคไปทดสอบแนวต้านที่ 1300-1320 จุด

    https://www.bangkokbiznews.com/news...ampaign=10 8 1 114 920&utm_content=&utm_term=
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘เศรษฐีหุ้นไทย’ ความมั่งคั่งวูบ 1.2 แสนล. อ่วมพิษดัชนีดิ่งเฉียด 500 จุด
    750x422_870506_1584019759.jpg
    13 มีนาคม 2563 | โดย สกุลชัย เก่งอนันตานนท์
    1,991
    ในปี 2562 ที่ผ่านมา วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดลำดับ 10 เศรษฐีหุ้นไทย โดยวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศ ซึ่งมีการถือครองในสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป

    "แชมป์" ในเวลานั้น อิงจากข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2562 คือ "สารัชถ์ รัตนาวะดี" กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF ด้วยความมั่งคั่งราว 1.21 แสนล้านบาท และหากคำนวณจากข้อมูล ณ สิ้นปี 2562 ความมั่งคั่งของ สารัชถ์ ขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1.25 แสนล้านบาท

    อย่างไรก็ตาม ภาพของตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาเกือบ 2 เดือนครึ่งที่ผ่านมา เปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร จนอาจจะพูดได้ว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากดัชนี SET ระดับ 1,579.84 จุด มาในเวลานี้ (ปิดครึ่งวันเมื่อ 12 มี.ค. 2563) ดัชนีหล่นลงมาเหลือเพียงประมาณ 1,100 จุด ลดลงมาเกือบ 500 จุด หรือลดลง 30%

    แน่นอนว่าด้วยภาวะตลาดเช่นนี้ "ความมั่งคั่ง" ของนักลงทุนในตลาดย่อมลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับเศรษฐีหุ้นไทยทั้ง 10 รายนี้ ความมั่งคั่งลดลงไปรวมกันถึง 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GULF อย่าง ‘สารัชถ์’ มีความมั่งคั่งลดลงมากที่สุดถึง 3.17 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ราคาหุ้น GULF ดิ่งลงจากราคาปิดวันก่อนหน้าที่ 151.50 บาท มาอยู่ที่ 124 บาท หรือลดลง 18.1% ทั้งนี้ มูลค่าการถือครองรวมของสารัชถ์อยู่ที่ 9.37 หมื่นล้านบาท

    ถัดมาคือ ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS บมจ.การบินกรุงเทพ หรือ BA และบมจ.โรงพยาบาลนนทเวช หรือ NTV โดย ณ สิ้นปี 2562 ‘หมอเสริฐ’ รั้งอันดับ 2 เมื่อปีก่อน โดยมีความมั่งคั่งจากการถือครองหุ้นรวม 7 หมื่นล้านบาท แต่ด้วยราคาหุ้นทั้งสามตัวที่ลดลงมา ทำให้ความมั่งคั่งของหมอเสริฐลดลงไปราว 2 หมื่นล้านบาท ล่าสุด จึงมีมูลค่าการถือครองรวมประมาณ 5.08 หมื่นล้านบาท

    นิติ โอสถานุเคราะห์ ถือเป็นเศรษฐีหุ้นไทยที่มีการกระจายการถือหุ้นในนามส่วนบุคคลมากที่สุดในบรรดาทั้ง 10 ราย โดยถือหุ้นอยู่ใน 11 บริษัท ได้แก่ บมจ.โอสถสภา หรือ OSP บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ หรือ HMPRO บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL บมจ.กรุงเทพประกันภัย หรือ BKI บมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ หรือ TFMAMA บมจ.เอส แอนด์ พี ซินดิเคท หรือ SNP บมจ.อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) หรือ IRC บมจ.โอเชียนกลาสหรือ OGC และบมจ.ซีเอ็ดยูเคชั่น หรือ SE-ED

    อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งของ ‘นิติ’ ก็ปรับลดลง 1.17 หมื่นล้านบาท ทำให้มูลค่าการถือครองรวมในหุ้นทั้ง 11 บริษัท ลดลงมาอยู่ที่ 3.65 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 4.83 หมื่นล้าน โดยหลักเป็นผลจากการลดลงของ 3 หุ้นหลักในพอร์ต ได้แก่ OSP, MINT และ HMPRO

    158401974326.jpg

    คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS รวมทั้งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ.วีจีไอ หรือ VGI และ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท หรือ BTSGIF มีมูลค่าการถือครองลดลง 1.22 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ถือครองรวม 4.35 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันจึงมีความมั่งคั่งราว 3.12 หมื่นล้านบาท ผ่านการถือหุ้น 3 ตัวนี้

    สมโภชน์ อาหุนัย ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ซึ่งเป็นธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนแถวหน้าของไทย และยังถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี หรือ EE โดยมีมูลค่าการถือครองลดลง 9.86 พันล้านบาท จากเดิมที่มีความมั่งคั่ง 3.83 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันลดลงมาเหลือ 2.85 หมื่นล้านบาท เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหุ้น EA ที่ปรับตัวลดลงจาก 43.75 บาท มาอยู่ที่ 32.5 บาท

    วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ทายาทคนโตของอาณาจักรสี บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) หรือ TOA ขณะเดียวกันยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น หรือ STARK ผู้ผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าสำหรับระบบการส่งและจ่ายกระแสไฟฟ้า โดยมูลค่าการถือครองใน 2 บริษัทนี้ อยู่ที่ราว 4.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2562 ล่าสุด มูลค่าการถือครองลดลง 4.5 พันล้านบาท มาอยู่ที่ 3.76 หมื่นล้านบาท

    ดาวนภา เพ็ชรอำไพ เศรษฐีนีหนึ่งเดียวในบรรดาทั้ง 10 ราย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล หรือ MTC ในสัดส่วน 33.96% คิดเป็นมูลค่า 45.9 หมื่นล้านบาท เมื่อปี 2562 แต่ล่าสุดมูลค่าการถือครองลดลงมา 9.72 พันล้าบาท เหลือรวม 36.18 หมื่นล้านบาท

    เช่นเดียวกับ ชูชาติ เพ็ชรอำไพ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของ MTC และยังถือหุ้นอื่นๆ อีก 5 ตัว ได้แก่ ITEL CGD PSTC SOLAR และ TACC คิดเป็นมูลค่ารวมกัน 4.55 หมื่นล้านบาท ล่าสุดมูลค่าการถือครองลดลง 9.68 พันล้านบาท เหลือรวม 3.58 หมื่นล้านบาท

    พิชญ์ โพธารามิก ทายาทหนึ่งเดียวของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อดิศัย โพธารามิก เป็นผู้ก่อตั้ง บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS และยังถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.โมโน เทคโนโลยี หรือ MONO โดยรวมแม้ว่ามูลค่าการถือครองของพิชญ์จะลดลง 3.58 พันล้านบาท ทำให้ความมั่งคั่งรวมลดลงจาก 2.54 หมื่นล้านบาท มาเหลือ 2.18 หมื่นล้านบาท

    แต่สำหรับหุ้น MONO ถือเป็นหนึ่งเดียวที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้นในปี 2563 นี้ จากบรรดาหุ้นทั้งหมด 32 ตัว ที่เศรษฐีทั้ง 10 รายถือครองอยู่

    ด้าน อนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของไทยอย่าง บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ LH ความร่ำรวยลดลง 8.15 พันล้านบาท และลดลงจาก บมจ.แมนดารินโฮเต็ล (MANRIN) ด้วยเช่นกัน โดยรวมมีความมั่งคั่ง 1.98 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ 2.8 หมื่นล้านบาท


    https://www.bangkokbiznews.com/news...tions&utm_campaign=1 2&utm_content=&utm_term=
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘ทำงานที่บ้าน’ มาตรการหนีภัยระบาด ‘COVID-19’ ของบริษัทในไทย
    750x422_870484_1584012677.jpg
    12 มีนาคม 2563 | โดย กมลรัตน์ วงษ์คำ

    รวมมาตรการป้องกัน โควิด19 ระบาด ในบริษัททั่วประเทศ เน้น ทำงานที่บ้าน และปิดสำนักงานทำความสะอาด

    สถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือการติดเชื้อ โควิด19 ยังคงรุนแรงและแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ทำให้ส่งผลกระทบออกไปในหลายภาคส่วนเป็นวงกว้าง ทั้งภาคอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ ธุรกิจ การท่องเที่ยว เนื่องจากเชื้อไวรัสลุกลามติดกันได้ผ่านสารคัดหลั่งที่กระจายอยู่ในอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีคนเป็นจำนวนมากก็จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการติดต่อได้มากขึ้น

    และเนื่องด้วยคำเตือนเกี่ยวกับการรวมตัวกันอยู่ในพื้นที่ด้วยคนจำนวนมากๆ ก็ส่งผลให้เกิดความหวาดระแวงว่าจะติดเชื้อ ทั้งที่โรงเรียน สถานที่ท่องเที่ยว หรือแม้แต่บริษัทและสำนักงาน

    บริษัทเอกชนต่างๆ จึงมีวิธีดูแลพนักงานในสังกัด เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการแพร่กระจายโรคหรือการทำให้โรคระบาดเพิ่มขึ้น ดังนี้

    “แกร็บ” บริษัทแกร็บ โฮลดิ้งส์ อิงค์ ประกาศปิดสำนักงานในไทยและสิงคโปร์เป็นเวลา 5 วัน แนะนำให้พนักงานทำงานที่บ้านจนถึงวันที่ 13 มี.ค. เพื่อให้บริษัททำความสะอาดและฆ่าเชื้อในสำนักงาน

    “เครือเจริญโภคภัณฑ์” ทำงานที่บ้านกรณีพนักงานผู้ซึ่งตนเองหรือผู้ที่พักอาศัยอยู่ด้วยกันเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ให้ผู้บังคับบัญชาแจ้งพนักงานผู้นั้นทำงานที่บ้านและสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วันนับจากวันที่เดินทางกลับ และให้สามารถติดต่อได้ หากลักษณะงานปกติของพนักงานไม่สามารถทำที่บ้านได้ พนักงานยังคงต้องอยู่สังเกตอาการที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน

    ธนาคารกรุงเทพ ได้สั่งพนักงานทำงานที่บ้าน 14 วัน หลังพบพนักงานติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ที่ชั้น 26 อาคารแสงทองธานี เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ธนาคารได้ให้เพื่อนร่วมงานที่เกี่ยวข้องของพนักงานคนดังกล่าวเข้ารับการตรวจแล้ว และให้ปฏิบัติงานอยู่ที่บ้านตามมาตรการที่ธนาคารกำหนด เพื่อเฝ้าระวังอาการภายใต้หลักเกณฑ์ 14 วันเช่นกัน ในส่วนของอาคารสถานที่ ธนาคารได้ทำความสะอาดที่ทำงานทั้งชั้นด้วยน้ำยาทำความสะอาดตามมาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาล

    บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ออกหนังสือเเจงถึง บริษัทคู่ธุรกิจ ซึ่งประกอบธุรกิจตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมว่า มีพนักงานของคู่ธุรกิจจำนวน 1 คน ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทันทีที่ทราบเหตุการณ์ MOC ได้ติดตามตรวจสอบผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งไม่พบพนักงานของบริษัทหรือพนักงานคู่ธุรกิจคนอื่นที่แสดงอาการเข้าข่ายการติดเชื้อ COVID-19 เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยง MOC จึงได้ดำเนินการทำความสะอาดฆ่าเชื้อและปิดพื้นที่ของ MOC ที่เกี่ยวข้องกับการอบรมดังกล่าว รวมทั้งให้พนักงานและคู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในวันดังกล่าว หยุดพักเพื่อสังเกตุอาการเป็นเวลา 14 วัน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ MOC แต่อย่างใด

    การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ออกประกาศมาตรการให้พนักงานและลูกจ้างทำงานที่บ้าน และงดให้บุคคลภายนอกเข้าอาคาร Circle Living Prototype เนื่องด้วย ททท. ได้รับแจ้งจากนิติบุคคลอาคารชุดว่า พบผู้ติดเชื้อโรค COVID-19 รายที่ 59 จึงประกาศว่า

    1. พนักงานและลูกจ้าง ททท. ซึ่งพำนักในอาคารดังกล่าว ให้ปฏิบัติงานที่บ้านพัก เป็นเวลา 14 วัน และปฏิบัติตามคำสั่ง ททท.ที่ 58/2563 อย่างเคร่งครัด
    2. สำหรับบุคคลภายนอก ซึ่งพักอาศัยในอาคารดังกล่าว ขอความกรุณางดใช้บริการในอาคาร ททท.เป็นเวลา 14 วัน และขอให้บันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐานเพื่อเป็นการเฝ้าระวังโรค
    กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) กำหนดให้ผู้ปฎิบัติงานที่เดินทางผ่านพื้นที่เสี่ยงติดโรคตามประกาศของสำนักงานกสทช. หรือมีเหตุสงสัยว่าติดเชื้อ ให้ผู้นั้นปฎิบัติงานในที่พัก 14 วันโดยไม่ถือเป็นวันลา ให้ผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการสำนักมอบหมายงาน และกำหนดตัวชี้วัด ผู้พักปฎิบัติงานที่บ้านต้องรายงานการตรวจสุขภาพตามแนวทางของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด หากจำเป็นต้องออกจากที่พักต้องขออนุญาตผู้บังคับบัญชาก่อน เป็นต้น รวมทั้งให้ขยายเวลามาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโรคโควิด-19 จากเดิมวันที่ 19 เมษายน 2563 ให้ขยายออกไปจนถึง 30 มิถุนายน 2563

    https://www.bangkokbiznews.com/news...&utm_campaign=COVID-19&utm_content=&utm_term=
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ย้อนประวัติศาสตร์ Pandemic (โรคระบาดใหญ่) สะเทือนโลก
    750x422_870449_1584007716.jpg
    12 มีนาคม 2563 | โดย ภานุพงศ์ วัฒนเสรีกุล

    ย้อนดูประวัติศาสตร์บรรดาโรคระบาดใหญ่ร้ายแรงทั่วโลก ซึ่งคร่าชีวิตประชากรนับล้านคน รวมถึงการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศล่าสุดให้เป็น “การระบาดใหญ่” (Pandemic) มาดูกันว่านับตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เกิดโรคระบาดร้ายแรงอะไรบ้าง

    ในขณะที่เหล่านักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยด้านการแพทย์ใช้เวลาหลายปีในการจำแนกความแตกต่างเกี่ยวกับคำนิยามของ Pandemic กับ Epidemic แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนเห็นตรงกันคือคำว่า Pandemic หมายถึง การเกิดการแพร่ระบาดของโรคที่ลุกลามเกินกว่าที่คาดไว้ว่าอาจจะจำกัดวงอยู่ในภูมิภาคเดียว

    ที่ผ่านมา อหิวาตกโรค กาฬโรค โรคฝีดาษ และไข้หวัดใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งในโรคที่สังหารประชากรโลกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และการระบาดของโรคเหล่านี้ซึ่งลุกลามข้ามพรมแดนไปในหลายประเทศ สามารถนิยามได้อย่างเหมาะสมว่าเป็นการระบาดใหญ่ หรือ Pandemic โดยเฉพาะโรคฝีดาษ ที่คร่าชีวิตผู้ป่วย 300-500 ล้านคนในรอบ 12,000 ปีที่ผ่านมา

    สำหรับโรคอีโบลาที่ระบาดหนักเมื่อไม่กี่ปีก่อนและคร่าชีวิตผู้ป่วยหลายพันคน จำกัดวงอยู่แต่ในแถบแอฟริกาตะวันตก ขณะนี้จึงยังถือเป็นโรคระบาดธรรมดา หรือ Epidemic และไม่นับรวมอยู่ในรายชื่อโรคระบาดรุนแรงดังต่อไปนี้
    • โควิด-19 (ธ.ค. 2562-ปัจจุบัน)
    โรคโควิด-19 เริ่มระบาดในจีน ที่เมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีประชากรกว่า 11 ล้านคน หลังจากเก็บตัวอย่างไวรัสจากคนไข้กลุ่มแรกไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ จีนและ WHO ระบุตรงกันว่า ไวรัสชนิดนี้คือ “เชื้อไวรัสโคโรน่า” ซึ่งถือเป็นสายพันธุ์ใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้พบไวรัสโคโรน่ามาแล้ว 6 สายพันธุ์ ที่เคยมีการระบาดในมนุษย์ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดจึงเป็นสายพันธุ์ที่ 7

    จนขณะนี้ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดถึงแหล่งกำเนิดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19 หลังจากเคยมีข้อสันนิษฐานว่า ไวรัสชนิดนี้อาจเริ่มติดต่อจากสัตว์ป่ามาสู่คน โดยมีต้นตอของการระบาดจากงูเห่าจีน และงูสามเหลี่ยมจีน ที่นำมาวางจำหน่ายในตลาดสดอู่ฮั่น ซึ่งเป็นสถานที่พบผู้ติดเชื้อกลุ่มแรก ๆ

    คณะผู้วิจัยคาดว่า งูอาจเป็นสัตว์ตัวกลางที่ส่งต่อเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่จากค้างคาวมาสู่คน เนื่องจากงูพิษที่อยู่ในธรรมชาติล่าค้างคาวในถ้ำเป็นอาหาร แต่ก็ยังคงมีข้อกังขาว่า ไวรัสโคโรน่าปรับตัวให้มีชีวิตอยู่และขยายพันธุ์ในร่างกายของทั้งสัตว์เลือดเย็นและสัตว์เลือดอุ่นได้อย่างไร

    ปัจจุบัน สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีผู้ป่วยรวมกันกว่า 120,000 คนและผู้เสียชีวิตอีกกว่า 4,600 คน (นับถึงวันที่ 12 มี.ค.) ตัวเลขผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในจีน แต่ขณะนี้ในยุโรปเกิดการระบาดเข้าขั้นรุนแรง นำโดยอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุดนอกจีน อยู่ที่กว่า 12,000 คนและกว่า 800 คนตามลำดับ

    • ไข้หวัดใหญ่ 2009 (2552)
    ไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่กลุ่ม เอ (เอช1 เอ็น1) ที่มีรายงานพบเชื้อในคนครั้งแรกเมื่อเดือน เม.ย. 2552 เริ่มแพร่ระบาดในเม็กซิโก และสหรัฐ ก่อนจะแพร่ระบาดไปหลายประเทศทั่วโลก

    เชื้อสายพันธุ์นี้มีองค์ประกอบพันธุกรรมที่เป็นผลรวมจากไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ ไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และไข้หวัดหมูที่พบในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้ WHO ต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เนื่องจากหวั่นวิตกว่า เชื้อเอช1 เอ็น1 อาจจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครทราบว่าเชื้อดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่ไหน และแพร่จากสัตว์มาสู่คนครั้งแรกเมื่อไหร่ และเนื่องด้วยโรคดังกล่าวสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้อย่างรวดเร็ว จึงจัดเป็นโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ที่สำคัญในช่วงเวลานั้น

    สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) คาดการณ์ว่า โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 คร่าชีวิตประชากรโลกรวมกว่า 280,000 คน ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตที่ WHO ยืนยันอยู่ที่ไม่ถึง 20,000 คนทั่วโลก

    158401540872.jpg

    • เอชไอวี/เอดส์ (ระบาดสูงสุด 2548-2555)
    หลังจากถูกพบครั้งแรกในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเมื่อปี 2519 โรคเอชไอวี/เอดส์ ได้วิวัฒนาการตัวเองอย่างมากจนระบาดไปทั่วโลก และคร่าชีวิตผู้ป่วยกว่า 36 ล้านคนนับตั้งแต่ปี 2524

    ปัจจุบัน ในจำนวนผู้ที่ใช้ชีวิตร่วมกับไวรัสเอชไอวี 31-35 ล้านคนทั่วโลก ส่วนใหญ่อยู่ในแถบซับซาฮาราของแอฟริกา หรือประมาณ 21 ล้านคน

    หลังเกิดการตื่นตัวต่อโรคเอดส์มากขึ้น วงการแพทย์ทั่วโลกก็พัฒนาวิธีการที่ช่วยให้ไวรัสเอชไอวีสามารถควบคุมได้ และทำให้หลายคนที่ติดเชื้อนี้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขมากขึ้น ระหว่างปี 2548-2555 จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์/เอชไอวีทั่วโลก ลดลงจาก 2.2 ล้านคน มาอยู่ที่ 1.6 ล้านคนต่อปี
    • ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (2511)
    โรคไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง ซึ่งเกิดจากเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ เอช3 เอ็น2 ถูกพบครั้งแรกในเกาะฮ่องกงเมื่อเดือน ก.ค. 2511 ก่อนลุกลามไปยังเวียดนามและสิงคโปร์ใน 3 เดือน และขยายวงไปยังอินเดีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ยุโรป แอฟริกา อเมริกาใต้ และสหรัฐ

    เชื้อไข้หวัดนี้ ซึ่งกลายพันธุ์จากโรคไข้หวัดใหญ่เอเชียที่ระบาดก่อนหน้าราว 10 ปี เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์น้อยกว่า เมื่อเทียบกับไข้หวัดสเปนและไข้หวัดเอเชีย และแม้จะมีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำเพียง 5% แต่ก็ทำให้ประชากรโลกเสียชีวิตไปกว่า 1 ล้านคน

    สำหรับในฮ่องกง จุดเริ่มต้นการระบาด มีผู้ป่วยมากถึง 500,000 คน หรือคิดเป็น 15% ของประชากรฮ่องกงในเวลานั้น ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตไม่มากนัก นักวิจัยสันนิษฐานว่า อาจเป็นเพราะร่างกายพลเมืองฮ่องกงมีภูมิคุ้มกันจากเมื่อครั้งเจอกับไข้หวัดใหญ่เอเชียระบาด

    • ไข้หวัดใหญ่เอเชีย (2499-2501)
    ไข้หวัดใหญ่เอเชียเป็นการระบาดรุนแรงครั้งใหญ่ของเชื้อไข้หวัดกลุ่มเอ (เอช2 เอ็น2) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากในจีนเมื่อปี 2499 และมาหยุดระบาดเมื่อปี 2501 ในระยะเวลา 2 ปีนี้เอง ไข้หวัดใหญ่เอเชียลุกลามจากกลุ่มชาวจีนในมณฑลกุ้ยโจว ไปยังสิงคโปร์ ฮ่องกง และสหรัฐ

    ตัวเลขคาดการณ์จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่นี้ของแต่ละแหล่งแตกต่างกันออกไป บางแหล่งคาดว่าสูงถึง 4 ล้านคน แต่ WHO ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตไว้ที่ราว 2 ล้านคนทั่วโลก ในจำนวนนี้เกือบ 70,000 คนอยู่ในสหรัฐประเทศเดียว
    • ไข้หวัดใหญ่สเปน (2461)
    ไข้หวัดใหญ่สเปนซึ่งระบาดรุนแรงทั่วโลกระหว่างปี 2461-2463 ถือเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะทำให้มีผู้ติดเชื้อราว 1 ใน 3 ของประชากรโลกในยุคนั้น และคร่าชีวิตผู้ป่วย 20-50 ล้านคน

    ในจำนวนผู้ป่วย 500 ล้านคนที่ติดเชื้อในปี 2461 มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ราว 10-20% และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 25 ล้านคนเฉพาะในช่วง 25 สัปดาห์แรก

    สิ่งที่ทำให้ไข้หวัดใหญ่สเปนแตกต่างจากไข้หวัดใหญ่อื่น ๆ คือกลุ่มผู้เสียชีวิต โดยปกติไข้หวัดใหญ่มักคร่าชีวิตกลุ่มเด็กและคนสูงอายุ หรือผู้ป่วยที่อ่อนแออยู่แล้วมากกว่ากลุ่มอื่น แต่ไข้หวัดใหญ่สเปนเริ่มจากการคร่าชีวิตผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพแข็งแรง ขณะที่กลุ่มเด็กและคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนกว่า กลับเสียชีวิตน้อยกว่ากลุ่มอื่น
    • อหิวาตกโรค ครั้งที่ 6 (2453-2454)
    อหิวาตกโรคแพร่ระบาดบนโลกมาแล้วหลายครั้งตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน และในครั้งที่ 6 ซึ่งเป็นการระบาดรุนแรงครั้งล่าสุด มีต้นกำเนิดจากในอินเดียซึ่งมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้กว่า 800,000 คน ก่อนลุกลามไปยังตะวันออกกลาง อเมริกาเหนือ ยุโรปตะวันออก และรัสเซีย

    โรคอหิวาต์ครั้งนี้ยังเป็นต้นตอของการระบาดครั้งสุดท้ายในสหรัฐด้วยในช่วงปี 2453-2454 เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐ เรียนรู้บทเรียนจากในอดีต และสามารถแยกตัวผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพียง 11 คนในประเทศ

    ภายในปี 2466 ผู้ป่วยอหิวาตกโรคทั่วโลกลดลงอย่างมาก แต่ก็ยังคงมีการระบาดอย่างต่อเนื่องในอินเดีย

    --------------------------------------------

    ที่มา:

    https://www.mphonline.org/worst-pandemics-in-history/
    http://news.discovery.com/human/health/10-worst-epidemics-130917.htm
    http://www.cbc.ca/news/technology/cholera-s-seven-pandemics-1.758504
    http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3867475/
    http://content.time.com/time/specials/packages/completelist/0,29569,2027479,00.html
    http://www.infoplease.com/cig/dangerous-diseases-epidemics/bubonic-plague.html
    http://www.who.int/csr/resources/publications/surveillance/plague.pdf
    http://healthvermont.gov/prevent/Plague.aspx
    http://www.historylearningsite.co.uk/black_death_of_1348_to_1350.htm
    http://www.loyno.edu/~history/journal/1996-7/Smith.html
    http://www.nytimes.com/2010/11/01/health/01plague.html?_r=0
    http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/4381924.stm
    http://www.loyno.edu/~history/journal/1996-7/Smith.html
    http://www.infoplease.com/cig/dangerous-diseases-epidemics/smallpox-12000-years-terror.html
    http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs360/en/index.html
    http://www.avert.org/worldstats.htm
    http://www.cdc.gov/hiv/statistics/basics/
    http://www.history.com/topics/1918-flu-pandemic
    http://www.infoplease.com/cig/dangerous-diseases-epidemics/smallpox-12000-years-terror.html
    http://www.who.int/bulletin/volumes/89/7/11-088815/en/


    https://www.bangkokbiznews.com/news...&utm_campaign=Pandemic&utm_content=&utm_term=
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘Pandemic’ แปลว่าอะไร หลังจาก WHO ยกระดับโรค COVID-19 แล้วจะเกิดอะไรขึ้น?
    750x422_870455_1584005462.jpg
    12 มีนาคม 2563

    Pandemic คือ เชื้อโรคที่ระบาดไปทั่วโลก แต่สถานะการแพร่ระบาดไม่ได้หมายความว่าผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตจาก COVID-19 และการประกาศอย่างเป็นทางการนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในโลก เพราะโรคเอดส์และไข้หวัดนก (H5N1) ก็เคยถูกประกาศอยู่ในภาวะนี้เช่นกัน

    องค์กรอนามัยโลก (WHO) ประกาศยกระดับโรค COVID-19 เป็นการระบาดใหญ่ หรือระยะ Pandemic จากการแพร่ระบาดลุกลามไปแล้วใน 118 ประเทศทั่วโลก โดยปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อไวรัสมากกว่า 121,000 คน อีกทั้งยังคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 4,300 คน (นับถึงวันที่ 11 มี.ค.)

    การประกาศอย่างเป็นทางการนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในโลก เพราะโรคเอดส์และไข้หวัดนก (H5N1) ก็เคยถูกประกาศอยู่ในภาวะนี้เช่นกัน


    158400820497.jpg
    • Pandemic คืออะไร

    ตามความหมายของ องค์กรอนามัยโลก (WHO) คำว่า Pandemic คือ เชื้อโรคที่ระบาดไปทั่วโลกที่ทำให้อัตราการป่วยและเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยมาจากรากศัพท์ภาษากรีก ที่แปลว่า ผู้คนทั้งหมด เป็นศัพท์ที่ใช้โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการติดเชื้อ เมื่อการระบาดหรือ epedimics ขยายวงออกไปในหลายประเทศ หรือหลายทวีปในเวลาพร้อมๆ กัน

    การประกาศภาวะโรคระบาดโลก มีหลักการเบื้องต้นอยู่ 3 ประการ คือ

    1. โรคสามารถก่อให้เกิดอาการป่วยจนถึงเสียชีวิต
    2. มีการติดต่อระหว่างคนสู่คน
    3. การแพร่ระบาดลุกลามไปทั่วโลก


    ทั้งนี้ระยะภาวะต่างๆ การแพร่กระจายของโรคติดเชื้อมี 4 ระดับ คือ

    1. Endemic (โรคประจำถิ่น) คือ โรคที่เกิดขึ้นประจำในพื้นที่นั้นๆ อัตราป่วยคงที่และสามารถคาดการณ์ได้
    2. Outbreak (การระบาด) คือ เหตุการณ์ที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นผิดปกติ ทั้งในกรณีโรคประจำถิ่น และกรณีพบผู้ป่วยในโรคอุบัติใหม่
    3. Epidemic (โรคระบาด) คือ การระบาดที่แพร่กระจายกว้างขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์
    4. Pandemic (การระบาดใหญ่ทั่วโลก) คือ โรคระบาดที่เกิดการระบาดทั่วโลก
    • นัยของการประกาศ Pandemic

    การระบาดใหญ่นั้นไม่ได้หมายถึงการเพิ่มความรุนแรงหรือความตายของโรค แต่เป็นการเพิ่มขึ้นของการแพร่กระจายในวงกว้างทำให้โอกาสในการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น แต่สถานะการแพร่ระบาดไม่ได้หมายความว่าผู้คนจำนวนมากกำลังเสียชีวิตจาก COVID-19


    การระบาดใหญ่อาจจะเป็นได้ทั้งในแง่ปริมาณและผลที่จะเกิดขึ้น ซึ่งตัวอย่างนั้นมีทั้ง เอชไอวี โรคอหิวาต์ ไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 1918 และโรคไข้หวัดใหญ่ H1N1 โรคระบาดที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์คือ กาฬโรค ซึ่งมีผู้เสียชีวิตถึง 200 ล้านคนในยุคกลางหรือศตวรรษที่ 14 และโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ ที่มีผู้เสียชีวิต 300 ล้านคนในศตวรรษที่ 20

    158400824421.jpg


    WHO เผยแพร่รายงาน 2017 ที่ระบุ 4 ขั้นตอนของการระบาดใหญ่

    ขั้น Interpandemic phase - ระยะเวลาระหว่างการระบาดใหญ่

    ขั้น Alert phase - เมื่อพบไวรัสตัวใหม่และมีการประเมินความเสี่ยงในระดับท้องถิ่นระดับชาติและระดับโลก

    ขั้น Pandemic phase - ระยะเวลาของการแพร่กระจายทั่วโลก (ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าปัจจุบันโรค COVID-19 อยู่ในขั้นนี้)

    ขั้น Transition phase - เมื่อความเสี่ยงทั่วโลกลดลงและประเทศที่ได้รับผลกระทบ เริ่มฟื้นตัว


    หลังประกาศ Pandemic จะเกิดอะไรขึ้น

    นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า การที่ประกาศ Pandemic ไม่ได้ต้องการจะเปลี่ยนแปลงคำแนะนำในสิ่งที่ประเทศควรทำ แต่ส่วนสำคัญที่ทุกประเทศต้องคำนึงคือ

    1. เตรียมพร้อมรับมือ

    2. ตรวจผู้ติดเชื้อ ป้องกันและรักษา

    3. ลดการติดเชื้อ

    4. คิดค้นและหาแนวทางป้องกัน


    158400826192.jpg


    นอกจากนี้ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ยังเรียกร้องให้ทุกๆ ประเทศดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดและตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างจริงจัง แบ่งเป็น

    สื่อสารให้ประชาชนในประเทศรู้ถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และวิธีการป้องกันตัวเองอย่างจริงจัง

    ค้นหาผู้ติดเชื้อ กักกัน และ รักษาผู้ป่วยทุกคน รวมถึงติดตามผลอย่างใกล้ชิด

    เตรียมโรงพยาบาลและสถานที่กักกันให้พร้อม

    ป้องกันและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงให้ทุกคนเฝ้าระวังกันและกัน


    https://www.bangkokbiznews.com/news...=Pandemic WHO COVID-19&utm_content=&utm_term=
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จับพิรุธโสมแดง ปลอดไวรัสโคโรน่า
    750x422_870528_1584029925.jpg
    13 มีนาคม 2563

    จับพิรุธไขความลับ ทำไมเกาหลีเหนือที่ถูกประกบด้วยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เป็นจำนวนมาก ทั้งเกาหลีใต้และจีน ถึงอ้างว่า ตนเป็นประเทศปลอดไวรัสโคโรน่า

    องค์การอนามัยโลกประกาศว่าโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เข้าสู่ภาวะการระบาดทั่วโลกแล้ว กระนั้นเกาหลีเหนือยังคงอ้างว่า ตนเป็นประเทศปลอดไวรัสโคโรน่า “เนื่องจากชิงใช้มาตรการกักกันแต่เนิ่นๆ” แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครสงสัยในคำอ้างนี้

    เว็บไซต์โคเรียไทม์สรายงานวานนี้ (12 มี.ค.) ว่า ถึงวันนี้หลักฐานที่ขัดแย้งกัน ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงมากขึ้นทุกทีว่า เกาหลีเหนือที่ถูกประกบด้วยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เป็นจำนวนมาก ทั้งเกาหลีใต้และจีน อาจปิดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะนี้ไม่ได้

    ย้อนไปตั้งแต่เกิดการระบาดขึ้นครั้งแรกเมื่อปลายเดือน ธ.ค.ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน รัฐบาลคิม จองอึน ก็ใช้มาตรการเข้มงวดต่างๆ นานา เช่น ปิดพรมแดน หยุดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ กักตัวชาวต่างชาติทุกคนรวมทั้งชาวโสมแดงเองที่อาจสัมผัสกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้เกาหลีเหนือไม่มีรายงานผู้ติดเชื้ออย่างเป็นทางการเลยสักคนเดียว

    เมื่อวันจันทร์ (9 มี.ค.) หนังสือพิมพ์โรดอง ซินมุน ของทางการโสมแดง รายงานว่าเกาหลีเหนือกักตัวประชาชนเกือบ 10,000 คนที่อาจติดไวรัส ในจำนวนนี้ 3,800 คนไม่แสดงอาการจึงได้รับการปล่อยตัวแล้ว

    รายงานข่าวระบุว่า ผู้ที่ถูกกักตัวมีเฉพาะคนที่มาจากต่างประเทศ และคนที่ติดต่อสัมพันธ์ด้วย รวมถึงนักการทูตและตัวแทนองค์การระหว่างประเทศในกรุงเปียงยาง 380 คน

    แต่ล่าสุดมีรายงานข่าวจากเว็บไซต์เดลีเอ็นเค ซึ่งมีฐานปฏิบัติการในเกาหลีใต้สนับสนุนข้อสงสัยที่ว่า ไวรัสร้ายเข้าสู่ดินแดนเกาหลีเหนือเรียบร้อยแล้ว

    รายงานอ้างแหล่งข่าววงในกองทัพโสมแดงรายหนึ่ง ประจำการอยู่บริเวณชายแดนจีน ระบุว่า ทหาร 180 นายเสียชีวิตจากไวรัสโคโรน่า และตอนนี้มีทหารถูกกักตัวอยู่ราว 3,700 นาย

    แต่เนื่องจากเกาหลีเหนือเป็นประเทศปิด การยืนยันรายงานข่าวจึงแทบเป็นไปไม่ได้ กระทรวงรวมชาติเกาหลีใต้ก็ปฏิเสธไม่ให้ความเห็นต่อรายงานข่าวนี้ รัฐบาลเปียงยางยังเดินหน้ายืนยันว่า ในประเทศไม่มีผู้ติดเชื้อ

    โคเรียไทม์สตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อวันจันทร์นักการทูตหลายสิบคนจากเยอรมนี รัสเซีย ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ โปแลนด์ โรมาเนีย และอียิปต์ เดินทางออกจากกรุงเปียงยางมุ่งหน้าไปยังเมืองวลาดิวอสต็อก ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ชวนให้คิดว่าไวรัสโคโรน่าน่าจะมาถึงเกาหลีเหนือแล้ว

    ผู้เชี่ยวชาญต่างกังวลว่า ถ้าไวรัสมาจริงผลเสียหายตามมาต้องมหาศาล เพราะประเทศนี้ขาดแคลนเวชภัณฑ์ โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขย่ำแย่ สอดคล้องกับที่ผู้นำเกาหลีเหนือเคยเตือนไว้ว่า ถ้าไวรัสมาถึงประเทศเมื่อใด “ย่อมเกิดความเสียหายรุนแรง”

    สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (เคซีเอ็นเอ) รายงานอ้างคำพูดคิม ที่กล่าวระหว่างการประชุมคณะกรมการเมือง พรรคแรงงาน เมื่อวันที่ 29 ก.พ. ระบุ

    “ในกรณีที่การติดไวรัสกระจายไปในประเทศเกินกว่าหาวิธีการควบคุมได้ จะส่งผลร้ายแรงตามมา”

    ด้าน “ยูริมินซอกคีรี” เว็บไซต์โฆษณาชวนเชื่อของเกาหลีเหนือ รายงานเมื่อวันอังคาร (10 มี.ค) ว่า เกาหลีเหนือใช้มาตรการเด็ดขาดจัดการไวรัสที่ต้องแลกกับความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

    “ไม่มีใครตัดสินใจใช้มาตรการกักตัวอย่างรุนแรงที่สุด เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และส่งผลเสียหายใหญ่หลวง พร้อมๆ กับรับความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลไปได้ในเวลาเดียวกัน” เว็บไซต์ดังกล่าวระบุ ซึ่งโคเรียไทม์สกล่าวว่านี่เป็นครั้งแรกที่แดนโสมแดงอ้างถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจผลจากไวรัสระบาด

    ส่วนที่เกาหลีใต้วานนี้ (12 มี.ค.) มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 114 คนรวมทั้งประเทศ 7,869 คน เสียชีวิตเพิ่มอีก 6 คน รวมยอดผู้เสียชีวิต 66 คน ผู้ติดเชื้อราว 100 คน เกี่ยวข้องกับคอลล์เซ็นเตอร์แห่งหนึ่งในกรุงโซลที่เพิ่งตรวจพบการติดเชื้อเมื่อไม่กี่วันก่อน

    นายกรัฐมนตรีชุง ซิกยุน กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อจากคอลเซ็นเตอร์แห่งนี้อาจเป็นซูเปอร์สเปรดในเขตมหานครโซล ที่ประชาชนครึ่งประเทศกระจุกกันอยู่ที่นี่

    ขณะนี้หลายประเทศห้ามหรือจำกัดนักเดินทางจากเกาหลีใต้เข้าประเทศ ทำให้ไม่มีความต้องการเดินทางโดยเครื่องบิน วานนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2546 ที่สายการบินหลายแห่งยกเลิกเส้นทางบินจากกิมโป สนามบินแห่งที่ 2 ของกรุงโซล

    https://www.bangkokbiznews.com/news...ce=slide_topnews&utm_medium=internal_referral
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ถอดรหัสดัชนี‘1พันจุด’เอาอยู่ไหม?
    750x422_870512_1584020010.jpg
    13 มีนาคม 2563 | โดย ปริวัฒน์ หินพลอย

    สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยเวลานี้ เรียกว่าเข้าสู่ขั้น “วิกฤติ” โดยนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน(12มี.ค.63) ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงมาแล้ว 464.93 จากระดับ 1,579.84 ในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ระดับ 1,114.91 หรือลดลง 29.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี

    ขณะที่ในช่วงสัปดาห์นี้ (9-12 มี.ค.2563) เพียงสัปดาห์เดียว ดัชนีหุ้นไทยดิ่งลงกว่า 249.66 หรือ 18.3%

    “มงคล พ่วงเภตรา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์(บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) มองว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบันถือว่า "ไม่ปกติ" เพราะความหวาดกลัวการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ "โควิด-19" ทำให้คนตกใจสูงและมีการขายเพื่อลดความเสี่ยงออกมาจำนวนมาก โดยเชื่อว่าวันนี้ถือเป็นอีกวันในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นโลกที่ถือว่าร้ายแรงที่สุด หากเทียบกับวิกฤติครั้งก่อนปี 2540

    ส่วนแนวโน้มหุ้นไทยจะ “ลงต่อ” หรือไม่นั้น โดยส่วนตัวยังตอบไม่ได้ เพราะสถานการณ์ยังประเมินยาก หากมีปัจจัยลบเข้ามาเพิ่มเติม เชื่อว่าดัชนีคงปรับลดลงได้ต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันนักลงทุนมีความตื่นตระหนกมากกว่าที่จะมองถึงปัจจัยพื้นฐานของตัวหุ้น ทำให้พร้อมที่จะเทขายหุ้นออกมา

    มงคล ระบุว่า ในเชิงเทคนิค คาดว่าแนวรับต่อไปอยู่ที่ 1,028 จุด ส่วนจะไหลลงจนต่ำกว่าระดับ 1,000 จุด หรือไม่ ยังไม่กล้าฟันธง เพราะหากดูสถิติในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การที่ดัชนีปรับลดลงถึง 40% จากจุดสูงสุด ถือว่าลดลงมาค่อนข้างมากแล้ว จึงเชื่อว่าเวลานี้นักลงทุนทั้งตลาดน่าจะ “ขาดทุน” กันหมด

    อย่างไรก็ตามปัจจัยที่จะชะลอการไหลลงแรงของตลาดหุ้นไทยคาดว่ามี 4 เรื่องหลักๆ ได้แก่ 1.ตลาดหุ้นต่างประเทศมีทิศทางที่หยุดการปรับตัวลดลง 2.ประเทศต่างๆมีการจับมือกันออกมาตรการร่วมกัน,3.มีการคนพบวัคซีนหรืออุปกรณ์ตรวจจับโรค และการติดเชื้อถึงขั้นจุดพีคไปแล้ว

    “กวี ชูกิจเกษม” รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ระบุว่า ดัชนีน่าจะอยู่ในทิศทางขาลงต่อเนื่อง เพราะหากเทียบกับวิกฤติครั้งก่อน ตลาดมักปรับลดลงประมาณ 30-50% จึงประเมินว่ารอบนี้ ดัชนีก็อาจยังปรับลดลงได้อีก ซึ่งถ้าดัชนีลดลงถึง 50% จากจุดสูงสุด เท่ากับว่า ตลาดหุ้นไทยจะไปเจอกันที่ระดับต้นๆ 900 จุด ซึ่งก็มีโอกาสที่จะเกิดได้เช่นกัน

    อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวเชื่อว่ารอบนี้คงไม่ลงไปลึกถึงระดับ 80% เหมือนช่วยวิกฤติต้มยำกุ้ง เพราะด้วยฐานะการเงินของประเทศที่แข็งแกร่ง ไม่ได้ย่ำแย่ อีกทั้งสภาพคล่องในประเทศก็สูง รวมทั้งภาคเอกชนก็ยังมีความเข้มแข็ง จึงน่าจะจำกัดดาวน์ไซด์ลง

    “วิกฤติต้องใช้เวลา แต่สุดท้ายมันก็จะผ่านไป ซึ่งช่วงนี้ควรเป็นจังหวะการเข้าลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนระยะยาวที่ถือโอกาสนี้ที่จะเริ่มทยอยเก็บหุ้นพื้นฐานดีๆ”

    ส่วน “สุนทร ทองทิพย์” ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย จำกัด ระบุว่า สถานการณ์ตอนนี้เป็นลักษณะตกใจขาย(แพนิกเซลล์) ซึ่งไม่มีคำอธิบายในเชิงพื้นฐาน ถือว่าสถานการณ์ไม่ปกติ เพราะตอนนี้คนกลัวจึงขายโดยไม่ดูพื้นฐานไปแล้ว ทั้งนี้มองว่าดัชนีฯหุ้นไทยได้เข้าสู่ระยะที่ 4 ที่ฝ่ายวิจัยได้ประเมินแล้ว หลังดัชนีฯลดลงต่ำกว่าระดับ 1,177 จุด

    ส่วนจะเข้าสู่ระยะที่ 5 หรือไม่นั้นยังไม่สามารถประเมินได้ในตอนนี้ เพราะน้ำหนักยังน้อย แต่หากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังพุ่งไม่หยุด และยังไม่มีการคิดค้นยารักษาหรือวัคซีนได้ก็คาดว่าดัชนีฯมีโอกาสลดลงไปถึงระดับ 921 จุด

    “ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าจะคุมอยู่หรือไม่อยู่ ซึ่งจุดต่ำสุดตอนนี้คงประเมินได้ยาก เพราะหากจำนวนผู้ติดเชื่อยังพุ่งขึ้นสูงดัชนีฯก็มีโอกาสลดลงต่อเนื่อง”

    https://www.bangkokbiznews.com/news...ce=slide_topnews&utm_medium=internal_referral
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แนวรับ-แนวต้าน เอาไว้ใช้ทำอะไร ?
    21/11/18

    Daddy-trader-sars.jpg

    ในการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคเพื่อการซื้อขายหุ้นนั้น ระดับราคาที่เป็นแนวรับ-แนวต้านเป็นข้อมูลจากกราฟที่มีความสำคัญอย่างมากในการหาจังหวะเทรดหุ้นที่ดี ผมเชื่อว่าแทบทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า “แนวรับ-แนวต้าน” มาก่อนอย่างแน่นอน แต่อาจจะยังไม่รู้ว่าแนวรับ-แนวต้านที่นักเทคนิคพูดกัน

    1 คืออะไร

    2 เกิดขึ้นได้อย่างไร

    3 มีหน้าตากราฟเป็นแบบไหน

    4 จะนำแนวรับ-แนวต้านไปใช้งานเพื่อซื้อขายหุ้นอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร

    เนื้อหาในตอนนี้เขียนขึ้นมาเพื่อแนะนำให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจที่มาของการเกิดแนวรับ-แนวต้าน สามารถวิเคราะห์ระดับราคาที่เป็นแนวรับ-แนวต้านได้ด้วยตัวเอง และทำความเข้าใจวิธีการใช้งานเครื่องมือชนิดนี้ได้อย่างถูกต้อง

    [paste:font size="5"]แนวรับ-แนวต้านในมุมมองด้านเทคนิค
    จากสมมติฐานการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวขึ้นหรือลง เกิดจากความแตกต่างระหว่างความต้องการซื้อหุ้นและความต้องการขายหุ้นของคนใจตลาด ถ้าช่วงใดความต้องการซื้อหุ้นของคนในตลาดมากกว่าความต้องการขายหุ้นจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น แต่ถ้าช่วงใดมีความต้องการขายของคนในตลาดมากว่าความต้องการซื้อราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง

    แนวรับ=ระดับราคาที่มีความต้องการซื้อมาก
    คำนิยามของแนวรับ คือ ระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาในปัจจุบัน ที่คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการซื้อเข้ามาอย่างมากหรือมีคนสนใจซื้อเป็นจำนวนมาก ถ้าความต้องการซื้อมีเข้ามาที่ระดับราคาที่เป็นแนวรับจำนวนมากพอ ก็จะสามารถหยุดไม่ให้ราคาปรับตัวลดต่ำลงไปกว่าระดับราคาแนวรับ และ“อาจจะ”ทำให้ราคาที่กำลังปรับตัวลดลงเกิดการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น โดยการหาแนวรับนิยมหาตอนที่ราคากำลังปรับตัวลดลง

    sar01.jpg

    [ภาพที่ 1]
    รูปตัวอย่างอธิบายนิยามของแนวรับเป็นระดับราคาที่มีคนต้องการซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก

    แนวรับเป็นความหมายในเชิงจิตวิทยา
    ลองจิตนาการตามตัวอย่างนี้ดูครับ….

    มีหุ้นตัวหนึ่งกำลังปรับตัวลดลง และเรากำลังจด ๆ จ้อง ๆ สนใจอยากซื้อหุ้นตัวนี้ ปรากฎว่าหุ้นตัวนี้ปรับตัวลดลงมาต่ำสุดที่ราคา 8 บาท แล้วราคากลับดีดตัวสูงขึ้น โดยที่เรายังไม่ทันได้ซื้อหุ้นตัวนั้นเลย และราคาก็ยังปรับตัวสูงขึ้นไปอีกจนทำใจซื้อไม่ลง สมมุติว่าเวลาต่อมาราคาหุ้นกลับปรับตัวลดลงมาแถว ๆ 8 บาทอีกครั้ง สิ่งที่คุณอยากจะทำคืออะไร ?

    จากตัวอย่างข้างต้นคนส่วนใหญ่มักจะตอบว่า เมื่อราคาหุ้นตัวนี้ปรับตัวลดลงมาใกล้ ๆ กับ 8 บาทอีกครั้ง ก็จะมีความรู้สึกอยากซื้อหุ้นตัวนี้ เนื่องจากครั้งที่แล้วเราพลาดโอกาสซื้อหุ้นตัวนี้ไป แถมราคานี้ก็เป็นราคาที่ต่ำที่สุดก่อนหน้านี้อีกด้วย จึงไม่อยากจะพลาดโอกาสในการซื้ออีกเป็นครั้งที่ 2

    ดังนั้นถ้าราคาหุ้นกลับลดต่ำลงมาที่ 8 บาทจริง ก็จะมี “ความต้องการซื้อ” เป็นจำนวนมากเหมือนกับมีกำแพงหนา ๆ ที่มากั้นไม่ให้ระดับราคาลดต่ำลงไปกว่านี้ ในเชิงจิตวิทยานักเทคนิคจึงสรุปว่าที่ระดับราคาประมาณ 8 บาทเป็นระดับราคาที่เราเรียกว่า แนวรับ

    sar02.jpg
    [ภาพที่ 2]
    ความจริงแล้วไม่ใช่มีคนกลุ่มเดียวที่พลาดการซื้อหุ้นที่ราคา 8 บาทในครั้งก่อน แต่ยังมีอีกกลุ่มคนหนึ่งคือ พวกที่ขายหุ้นไปราคากแถว ๆ 8 บาทในครั้งที่แล้ว เมื่อขายหุ้นออกไปแล้วราคากลับปรับตัวสูงขึ้น คนกลุ่มนี้ก็จะมีความรู้สึกว่าต้วเองขายหุ้นราคาถูกเกินไป เมื่อราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงมาที่บริเวณใกล้ 8 บาทอีกครั้ง ก็จะเป็นระดับราคาที่กลุ่มนี้มีโอกาสได้ซื้อหุ้นคืน

    ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มคนที่ยังไม่เคยสนใจ หรือไม่เคยซื้อขายหุ้นตัวนี้มาก่อน แต่เพิ่งเริ่มเข้ามาสนใจหุ้นตัวนี้ในเวลาต่อมา ก็จะใช้ข้อมูลของราคาหุ้นในอดีต คือ ระดับราคาใกล้ ๆ บริเวณ 8 บาท เป็นราคาที่น่าสนใจเข้าซื้อหุ้นได้อีก

    แนวต้าน=ระดับราคาที่มีคนต้องการขายมาก
    แนวต้านในมุมมองของการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมีความหมายกลับกันกับแนวรับ ซึ่งคำนิยามของแนวต้าน คือ ระดับราคาที่สูงกว่าราคาปัจจุบัน ที่คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการขายเข้ามาอย่างมาก หรือมีคนสนใจขายเป็นจำนวนมาก ถ้าความต้องการขายมีเข้ามาจำนวนมากพอจะสามารถหยุดไม่ให้ราคาเพิ่มขึ้นไปมากกว่าระดับราคาที่เป็นแนวต้าน และ“อาจจะ”ทำให้ราคาที่กำลังปรับตัวสูงขึ้นกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง โดยการหาแนวต้านนิยมหาตอนที่ราคากลับปรับตัวสูงขึ้น

    sar03.jpg

    [ภาพที่ 3]

    รูปตัวอย่างอธิบายนิยามของแนวต้านเป็นระดับราคาที่มีคนต้องการขายเป็นจำนวนมาก

    แนวต้านก็เป็นความหมายเชิงจิตวิทยา
    ลองจินตนาการกันอีกสักรอบ…

    ถ้าเราถือซื้อหุ้นตัวหนึ่งได้ในราคา 10 บาท หลังจากนั้นราคาขยับปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ จนหยุดที่ราคา 15 บาท แล้วราคาก็กลับตัวลดต่ำลง โดยที่เรายังไม่ได้ขายหุ้นออกไป สมมติว่าถ้าหุ้นมีการปรับตัวขึ้นอีกครั้ง ไปถึงบริเวณใกล้ ๆ 15 บาท สิ่งที่คุณอยากจะทำคืออะไร?

    จากคำถามข้างต้นคำตอบของคนส่วนใหญ่ คือ ขายหุ้นออกไปที่ระดับราคา 15 บาทหรือต่ำกว่า 15 บาทเล็กน้อยก็ยังอยากขายอยู่ เพราะเราเคยพลาดโอกาสในการขายหุ้นตอนที่ขึ้นไปที่ 15 บาทในครั้งแรก

    ดังนั้นก็จะมีคนจำนวนมากจะแห่กันออกมาเทขายหุ้นที่ระดับราคานี้ ทำให้เกิด “ความต้องการขาย”เป็นจำนวนมาก ซึ่งเปรียบเสมือนกับเป็นกำแพงหนา ๆ ที่พยายามกั้นไม่ไห้ราคาสูงขึ้นไปกว่าระดับราคานี้เราจึงสรุปว่าที่ระดับราคาประมาณ 15 บาทเป็นระดับราคาที่เราเรียกว่า แนวต้าน

    sar04.jpg
    [ภาพที่ 4]

    ความจริงแล้วไม่ใช่มีคนกลุ่มเดียวที่พลาดการขายหุ้นที่ราคา 15 บาทในครั้งก่อน แต่ยังมีอีกกลุ่มคนหนึ่งคือ พวกที่ซื้อหุ้นไปในราคากแถว ๆ 15 บาทในครั้งก่อนหน้า เมื่อซื้อหุ้นแล้วราคากลับปรับตัวลดลง คนกลุ่มนี้ก็จะมีความรู้สึกว่าต้วเองซื้อหุ้นแพง หรือติดดอยนั่นเอง เมื่อราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาที่บริเวณใกล้ 15 บาทอีกครั้ง ก็จะเป็นระดับราคาที่กลุ่มคนเหล่านี้อยากจะขายหุ้นทิ้ง เพราะเป็นราคาที่ไม่ขาดทุนแล้ว

    แนวรับ-แนวต้าน มีหน้าตากราฟเป็นยังไง ?
    ในหัวข้อนี้จะแนะนำรูปแบบกราฟทั้งหมด 5 รูปแบบที่ส่งผลในเชิงจิตวิทยาของคนที่เข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาด ทำให้รูปแบบกราฟทั้ง 5 นี้น่าสนใจพิจารณาเป็นแนวรับ-แนวต้าน ได้แก่
    1 จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดก่อนหน้า (Previous High & Previous Low)

    2 เส้นแนวโน้ม เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Trend Line, Moving Average)

    3 ระดับราคาที่มีการเคลื่อนที่ในแนวราบ (Horizontal Consolidation Region)

    4 ตัวเลขกลม ๆ (Round Number)

    5 สัดส่วน Fibonacci (Fibonacci Ratio)

    sar05.png
    [ภาพที่ 5]

    รูปแสดงกราฟ 5 แบบที่นักเทคนิคพิจราณาให้เป็นแนวรับ-แนวต้าน

    1. จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดก่อนหน้า (PREVIOUS HIGH & PREVIOUS LOW)
    จุดสูงสุดก่อนหน้า Previous High และจุดต่ำสุดก่อนหน้า Previous Low (L) คือ ระดับราคาที่เป็นราคาสูงสุด หรือระดับราคาที่เป็นราคาต่ำสุดที่อยู่ในกราฟจากการเคลื่อนที่ของราคาในอดีต ทั้งสองระดับราคาซึ่งเป็นจุดสำคัญที่เราจะพิจารณาเป็นแนวรับหรือแนวต้าน

    ลองจินตนาการการเคลื่อนที่ของราคาในหัวข้อที่แล้วอีกครั้ง จะเห็นได้ว่าเมื่อราคากลับขึ้นไปใกล้บริเวณจุดสูงสุดเดิมก่อนหน้าอีกครั้ง ในครั้งนี้คนส่วนใหญ่ก็จะเกิดความคิดว่าราคาจะปรับตัวลดลงไปอีกเหมือนครั้งที่แล้วจึงมีแรงเทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมากที่ระดับราคานี้ ทำให้จุดสูงสุดก่อนหน้าจะเป็นระดับราคาที่เราจะพิจารณาให้เป็นแนวต้าน

    แต่ถ้าเมื่อราคาปรับตัวลงมาถึงจุดต่ำสุดก่อนหน้านี้จะมีหลายคนในตลาดจะคิดว่าเป็นราคาถูกแล้ว และคิดว่าราคาจะกลับขึ้นไปอีกครั้ง ก็น่าจะมีแรงซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมากที่ระดับราคานี้ ทำให้จุดต่ำสุดก่อนหน้าจะเป็นระดับราคาที่เราพิจารณาให้เป็นแนวรับ

    sar06.png

    [ภาพที่ 6]

    รูปอธิบายเหตุผลที่จุดสูงสุดเดิมทำหน้าที่เป็นแนวต้าน และจุดต่ำสุดเดิมทำหน้าที่เป็นแนวรับ

    sar07.png

    [ภาพที่ 7]

    รูปตัวอย่างจุดต่ำสุดก่อนหน้าทำหน้าที่เป็นแนวรับ ความต้องการซื้อที่เข้ามามากที่แนวรับสามารถทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น

    sar08.png

    [ภาพที่ 8]

    รูปตัวอย่างจุดสูงสุดก่อนหน้าทำหน้าที่เป็นแนวต้าน ความต้องการขายที่เข้ามามากที่แนวต้านสามารถทำให้ราคาปรับตัวลดลง

    2. เส้นแนวโน้ม (TREND LINE)
    เหตุผลในการพิจารณาเส้นแนวโน้มเป็นแนวรับหรือแนวต้าน เนื่องจากเมื่อเราลากเส้นแนวโน้มขึ้นมาได้ 1 เส้นไม่ว่าจะเป็นเส้นแนวโน้มขาขึ้น หรือเส้นแนวโน้มขาลงก็ตาม ตลอดช่วงที่ลากเส้นแนวโน้มขึ้นมาได้จะไม่มีช่วงไหนเลย หรือ”แทบ”จะไม่มีช่วงไหนเลยที่ราคาข้ามเส้นแนวโน้ม

    แปลความหมายได้ว่าเส้นแนวโน้มที่ลากขึ้นมาได้ทำการแบ่งพื้นที่กราฟออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน คือส่วนที่มีกราฟราคาถูกวาดอยู่ กับส่วนที่ไม่มีกราฟราคา เราจึงเชื่อว่าถ้าแนวโน้มจะยังคงทิศทางขาขึ้นหรือขาลงแบบเดิมอยู่ ราคาไม่ควรจะตัดข้ามเส้นแนวโน้ม และถ้าราคาถูกตัดข้ามผ่านเส้นแนวโน้มไปได้ ก็เป็นสัญญาเตือนว่าทิศทางของราคาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงจากทิศทางที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

    หากสนใจรายละเอียดวิธีการลากเส้นแนวโน้น แนะนำให้กลับไปอ่านบทความ “Trend Line ที่ลากกันอยู่ ถูกหรือไม่”

    ดังนั้นในช่วงแนวโน้มมีทิศทางขาขึ้นเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากใกล้ ๆ บริเวณเส้นแนวโน้มขาขึ้น หากทิศทางของราคาหุ้นยังยังคงทิศทางเป็นขาขึ้นเหมือนเดิม ก็ควรจะเป็นระดับราคาที่หลายคนให้ความสนใจอยากจะซื้อหุ้น

    ในทางกลับกันในช่วงแนวโน้มมีทิศทางขาลงเมื่อราคาหุ้นมีการขยับตัวสูงขั้นเข้าใกล้บริเวณเส้นแนวโน้มขาลง หากทิศทางของราคาหุ้นยังคงทิศทางเป็นขาลงเหมือนเดิม ก็ควรจะมีคนให้ความสนใจอยากขายหุ้นตัวนั้นเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน

    ในมุมมองของนักเทคนิค เมื่อราคาอยู่ในทิศทางแนวโน้มขาขึ้น จะพิจารณาระดับราคาบริเวณใกล้ ๆ กับเส้นแนวโน้มขาขึ้นเป็นแนวรับ ถ้าราคามีการปรับตัวลงมาใกล้บริเวณเส้นแนวโน้มขาขึ้น ก็จะเริ่มหาจังหวะในการลงมือซื้อหุ้น โดยการดูมีสัญญาณทางเทคนิคอื่น ๆ ประกอบเพิ่มเติม เพื่อสรุปว่ามีแรงซื้อเข้ามาและจะทำให้ราคากลับตัวขึ้นได้หรือไม่

    ในทางตรงกันข้าม เมื่อราคาอยู่ในทิศทางแนวโน้มขาลง ระดับราคาบริเวณเส้นแนวโน้มขาลงก็จะถูกพิจารณให้เป็นแนวต้านเพื่อหาจังหวะในการลงมือขายหุ้น

    sar09.png

    [ภาพที่ 9]

    รูปที่ตัวอย่างที่เส้นแนวโน้มขาขึ้นทำหน้าที่เป็นแนวรับ

    sar10.png

    [ภาพที่ 10]

    รูปตัวอย่างที่เส้นแนวโน้มขาลงทำหน้าที่เป็นแนวต้าน

    เส้นแนวโน้มไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นตรงแต่เพียงอย่างเดียว เราอาจวาดเส้นแนวโน้มที่มีลักษณะเป็นเส้นโค้งก็ได้ โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัด (Indicators) ประเภทหนึ่ง โดยจะเห็นได้ว่าถ้าเราเลือกค่าตัวแปรที่เหมาะสมของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำหรับหุ้นแต่ละตัว เมื่อราคาเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่นั้น ๆ จะสามารถพิจารณาให้เป็นแนวรับหรือแนวต้านได้

    sar11.png

    [ภาพที่ 11]

    รูปที่อย่างการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA 50 วัน เป็นเส้นแนวโน้มแบบโค้ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวรับในช่วงแนวโน้มขาขึ้น

    sar12.png

    [ภาพที่ 12]

    รูปตัวอย่างการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA 25 วัน เป็นเส้นแนวโน้มแบบโค้ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวต้านในช่วงแนวโน้มขาลง

    3. ระดับราคาที่มีการเคลื่อนที่ในแนวราบ (HORIZONTAL CONSOLIDATION REGION : HCR)
    การที่กราฟแสดงเป็นรูปแบบของระดับราคาที่มีการเคลื่อนที่ในแนวราบ (Horizontal Consolidation Region : HCR) จะเป็นกราฟที่มีการซื้อขายกันในช่วงราคาแคบ ๆ แต่กินระยะเวลานาน สามารถแปลความหมายจากกราฟได้ว่า ในอดีตน่าจะมีคนจำนวนมากที่เคยซื้อ หรือเคยขายหุ้นในราคานี้เป็นจำนวนมาก

    ถ้าราคาในอดีตปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคาที่ทำกราฟเป็นรูปแบบ HCR จะต้องมีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยขายหุ้นตัวนี้ไปในช่วงที่ราคาเคลื่อนที่ในกรอบแคบ ๆ ที่กินระยะเวลานานนั้น แล้วมีความรู้สึกเสียดาย เพราะว่าตัวเองขายหุ้นไปในราคาถูก คิดว่าตัวเองน่าจะถือหุ้นตัวนั้นไว้

    นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนในตลาดกลุ่มอื่นอีก เช่น กลุ่มคนที่เคยซื้อหุ้นได้ที่ระดับราคานี้อาจจะมีความรู้สึกว่าครั้งที่แล้วหุ้นตัวนี้จำนวนน้อยเกินไป กลุ่มคนที่ไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้นตัวนี้ และไม่มีหุ้นอยู่ในมือ แต่กำลังจด ๆ จ้อง ๆ ต้องการซื้อหุ้นตัวนี้ แต่ยังไม่ทันได้ซื้อ ราคาหุ้นกลับปรับตัวขึ้นไปเสียก่อน จะได้ข้อมูลว่าระดับราคาบริเวณ HCR เป็นราคาที่น่าสนใจเข้าซื้อ

    ดังนั้นหลังจากที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นไปจาก HCR และหลังจากนั้นมีการปรับตัวลดลงมาใกล้ๆบริเวณ HCR ในอดีตอีกครั้ง ก็จะมีกลุ่มคนที่ยกตัวอย่างข้างต้นให้ความสนใจซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของการพิจารณา HCR เป็นแนวรับถ้าในอดีตราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นจาก HCR

    sar13.png

    [ภาพที่ 13]

    รูปตัวอย่างที่ HCR ทำหน้าที่เป็นแนวรับ

    ในทางตรงข้ามกรณีที่พิจารณา HCR เป็นแนวต้าน ถ้าราคาในอดีตมีการปรับตัวลดลงจาก HCR จะต้องมีคนจำนวนไม่น้อยที่ซื้อหุ้นตัวนี้ไปในช่วงที่ราคาเคลื่อนที่ในกรอบแคบๆ เป็นเวลานาน กลุ่มคนเหล่านี้จะขาดทุนจากการซื้อหุ้น และจะมีความรู้สึกว่าตัวเองซื้อหุ้นผิดจังหวะในราคาที่แพงเกินไป และก็ยังมีกลุ่มคนอื่น ๆ อีกในตลาดด้วย เช่น กลุ่มคนที่เคยขายหุ้นได้ที่ระดับราคานี้บางส่วนแต่ยังขายไม่หมดก็จะมีความรู้สึกว่าครั้งที่แล้วขายหุ้นจำนวนน้อยเกินไป

    ดังนั้นหลังจากที่ราคาปรับตัวลดลงจาก HCR และหลังจากนั้นมีการปรับตัวขึ้นมาใกล้ ๆ บริเวณ HCR ในอดีตอีกครั้ง ก็จะมีกลุ่มคนที่ยกตัวอย่างข้างต้นให้ความสนใจเข้ามาขายหุ้นเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของการพิจารณา HCR เป็นแนวต้านถ้าในอดีตราคามีการปรับตัวลดลงจาก HCR

    sar14.png

    [ภาพที่ 14]

    รูปตัวอย่างที่ HCR ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน

    4. ตัวเลขกลม ๆ (ROUND NUMBER)
    คำถาม : เวลาคุณต้องการซื้อหุ้นหรือเวลาที่คุณต้องการขายหุ้น คุณจะตั้งราคาไว้ที่ราคาใดต่อไปนี้ ระหว่าง 70 บาท หรือ 69.75 บาท หรือ 70.25 บาท

    คำตอบ : คนส่วนใหญ่มักจะตั้งราคาที่อยากจะซื้อ หรือ ราคาที่อยากจะขายไว้ที่ตัวเลขกลม ๆ คือ 70 บาท ด้วยกันทั้งนั้น

    ราคาเป็นตัวเลขกลม ๆ ที่ลงท้ายด้วย 0 เป็นจุดที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจอยากลงมือซื้อหุ้นหรือขายหุ้น ทำให้ระดับราคาบริเวณตัวเลขกลม ๆ มีนัยสำคัญใช้พิจารณาเป็นแนวรับ-แนวต้านเชิงจิตวิทยาด้วยเช่นกัน

    sar15.png

    [ภาพที่ 15]

    รูปตัวอย่างกราฟหุ้นที่ราคามีการกลับทิศทางที่ตัวเลขกลม ๆ

    5. สัดส่วนฟิโบนาชี่ (FIBONACCI RATIO)
    การวิเคราะห์ Fibonacci Ratio มีวัตถุประสงค์เพื่อหาระดับราคาที่เป็นแนวรับ-แนวต้าน เป็นเครื่องมือที่ไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้ตามหลักจิตวิทยา ว่าทำไมระยะการเคลื่อนที่ขึ้นลงของกราฟราคาหุ้นจึงสามารถวัดเป็นสัดส่วน Fibonacci ได้ (แต่บางสำนักก็บอกว่าพอมีการสร้างเครื่องมือ Fibonacci Ratio ขึ้นมาให้ใช้ในการวิเคระาห์กราฟ แล้วพอมีคนนำไปใช้กันเยอะ ก็เลยเป็นระดับราคาที่มีคนจำนวนมากให้ความสนใจนั่นเอง)

    จากการสังเกตพบว่า บ่อยครั้งเวลาที่ราคามีพักฐานในช่วงแนวโน้มขาขึ้นหรือ Rebound ในช่วงแนวโน้มขาลง มักจะจบการพักฐาน หรือจบการ Rebound ที่สัดส่วน Fibonacci สัดส่วนใดสัดส่วนหนึ่งได้แก่

    0

    0.382 (38.2%)

    0.500 (50%)

    0.618 (61.8%)

    0.764 หรือ 0.786 (76.4% หรือ 78.6%)

    1.000 (100%)

    นักเทคนิคจึงมีการนำ Fibonacci Ratio มาใช้หาระดับราคาที่เป็นแนวรับ-แนวต้าน นั่นเอง

    ในหัวข้อนี้ผมจะแนะนำการวัด Fibonacci Ratio ด้วยวิธี Retracement (การปรับฐาน) ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการหาแนวรับตอนตลาดพักฐานในช่วงแนวโน้มขาขึ้น และหาแนวต้านตอนตลาด Rebound ในช่วงแนวโน้มขาลง

    sar16.jpg

    [ภาพที่ 16]

    ตัวอย่างภาพแสดงกรณีที่กราฟหุ้นมีทิศทางแนวโน้มเป็นขาขึ้น เมื่อราคาหุ้นสิ้นสุดการปรับฐานระยะทางมักจะเป็นสัดส่วน Fibonacci ของระยะทางขาขึ้นก่อนหน้า สัดส่วนใดสัดส่วนหนึ่ง ระหว่าง 38.2% , 50% , 61.8% หรือ 76.4%

    sar17.jpg

    [ภาพที่ 17]

    ตัวอย่างภาพแสดงกรณีที่กราฟหุ้นมีทิศทางแนวโน้มเป็นขาลง เมื่อราคาหุ้นสิ้นสุดการ Rebound ระยะทางมักจะเป็นสัดส่วน Fibonacci ของระยะทางขาลงก่อนหน้า สัดส่วนใดสัดส่วนหนึ่ง ระหว่าง 38.2% , 50% , 61.8% หรือ 76.4%

    sar18.png

    [ภาพที่ 18]

    รูปตัวอย่างแสดงกราฟหุ้นที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น จะเห็นได้ว่าช่วงที่ราคาหุ้นลดลงเป็นการปรับฐาน (สีขาว) จะมีส่วนสูงหรือระยะทางคิดเป็น 0.500 (50%) ของช่วงที่ราคาหุ้นมีการปรับตัวสูงชึ้นก่อนหน้า (สีเขียว) ซึ่งคิดเป็นส่วนสูงหรือระยะทาง 1.000 (100%)

    หมายเหตุ : สัดส่วน Fibonacci ทุก ๆ ค่าไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่เป็นแนวรับ-แนวต้านเสมอไป เช่น เมื่อราคาปรับฐานลงมาถึงสัดส่วน 0.382 ที่ระดับราคานี้ไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่เป็นแนวรับก็ได้ หรือเมื่อราคาปรับฐานลงมาถึงสัดส่วน 0.500 ที่ระดับราคานี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่เป็นแนวรับอีกเช่นเดียวกัน หรือเมื่อราคาปรับฐานลงมาถึงสัดส่วน 0.618 ที่ระดับราคานี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่เป็น แนวรับอีกเช่นเดียวกัน

    แต่ว่าที่ระดับราคาที่เป็นสัดส่วน Fibonacci มักเป็นจุดที่การปรับฐานของราคาสิ้นสุดลง และราคามีการเคลื่อนที่ไปต่อในทิศทางเดิม ดังนั้นเวลาใช้งานเครื่องมือ Fibonacci Retarcement จะใช้เมื่อราคาเริ่มมีการปรับฐาน หรือมีการ Rebound โดยนักเทคนิคจะวาดเส้นแนวนอนที่เป็นสัดส่วน Fibonacci ทิ้งไว้ล่วงหน้า เมื่อราคาปรับตัวลดลงมาถึงระดับราคาที่เป็นแต่ละสัดส่วนของ Fibonacci เราก็จะติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ที่ระดับราคานั้น ๆ มีแรงซื้อเข้ามามากหรือไม่

    อย่าซื้อหุ้น(ทันที)ที่แนวรับ และอย่าขายหุ้น(ทันที)ที่แนวต้าน
    คำแนะนำที่บอกว่า “ให้ซื้อหุ้นที่แนวรับ” และ “ให้ขายหุ้นที่แนวต้าน” เป็นคำแนะนำในการใช้งานแนวรับ-แนวต้านที่ผิด!!!!วิธีครับ

    เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ราคาหุ้นปรับตัวเด้งขึ้นจากแนวรับ “ และ “ราคาหุ้นปรับตัวลงทะลุแนวรับ” ซึ่งก็แปลว่าเมื่อหุ้นปรับตัวลงมาที่บริเวณระดับราคาที่เป็นแนวรับมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ได้ 2 กรณี คือ

    1) ถ้าแรงขายที่แนวรับมีมากกว่าแรงซื้อ ราคาจะปรับตัวลดลงต่อ

    2) ถ้าแรงซื้อที่แนวรับมีมากกว่าแรงขาย ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น

    sar19.png

    [ภาพที่ 19]

    รูปแสดงตัวอย่าง 2 กรณีที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อราคาปรับตัวลดลงมาที่แนวรับ

    และสำหรับแนวต้าน หลายคนก็คงเคยได้ยินคำว่า “ราคาหุ้นปรับตัวลดลงไม่ผ่านแนวต้าน” และ “ราคาหุ้นทะลุแนวต้านขึ้นไป” ซึ่งก็แปลว่าเมื่อหุ้นปรับตัวลงมาที่แนวต้านมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ได้ 2 กรณีด้วยเช่นเดียวกัน คือ

    1) ถ้าแรงขายที่แนวต้านมีมากกว่าแรงซื้อ ราคาจะปรับตัวลดลง

    2) แรงซื้อที่แนวต้านมีมากกว่าแรงขาย ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นต่อ

    sar20.png

    [ภาพที่ 20]

    รูปแสดงตัวอย่าง 2 กรณีที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่แนวต้าน

    ราคามาถึงแนวรับหรือแนวต้านควรทำอย่างไร ?
    จากคำนิยาม

    แนวรับ คือ ระดับราคาที่คาดว่าจะมีความต้องการซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าแรงซื้อจำนวนมากที่แนวรับ จะทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น

    แนวต้าน คือ ระดับราคาที่คาดว่าจะมีความต้องการขายเข้ามาเป็นจำนวนมาก และก็ไม่มีอะไรการันตีได้อีกเช่นเดียวกันว่าแรงขายจำนวนมากที่แนวต้าน จะทำให้ราคาปรับตัวลดลง

    เมื่อราคาปรับตัวลงมาที่ระดับราคาแนวรับ หรือราคาเพิ่มสูงขึ้นไปที่ระดับราคาแนวต้าน จะเป็นบริเวณที่แรงซื้อกับแรงขายยกพวกจำนวนมากมาต่อสู้กัน สิ่งที่ควรทำเมื่อราคามาถึงที่แนวรับ หรือแนวต้าน คือ เราควรจะอยู่เฉย ๆ อย่าเพิ่งรีบร้อนลงมือซื้อขาย

    ทำไมควรอยู่เฉย ๆ ?
    ในเชิงกลยุทธ์หริอการสร้างความได้เปรียบในการเทรด เมื่อราคาหุ้นมีการเคลื่อนที่เข้ามาใกล้กับระดับราคาที่เป็นแนวรับ-แนวต้านเราควรอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องรีบร้อนลงมือซื้อขายหุ้นทันที เนื่องจาก

    1 เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์ในอนาคตจะออกมาทางไหน

    2 เราไม่ควรเข้าไปร่วมกับการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อกับแรงขายทันทีในขณะที่กำลังต่อสู้กัน เพราะมันเหมือนกับการแทงสูงต่ำ โอกาสแทงถูก 50-50

    3 ควรรอให้รู้ผลการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อกับแรงขายว่าฝั่งไหนเป็นฝั่งชนะก่อนดีกว่า แล้วผมค่อยเข้าไปร่วมอยู่ฝั่งเดียวกับฝั่งชนะ

    sar21.png

    [ภาพที่ 21]

    รูปตัวอย่างแสดงวิธีให้เห็นข้อดีของการไม่รีบลงมือซื้อหุ้นทันทีเมื่อราคาลดลงมาที่แนวรับ

    sar22.png

    [ภาพที่ 22]

    รูปตัวอย่างแสดงวิธีให้เห็นข้อดีของการไม่รีบลงมือขายหุ้นทันทีเมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปมาที่แนวต้าน

    สิ่งที่จะได้และสิ่งที่ต้องยอมรับ
    สิ่งที่จะได้จากการรอดูการต่อสู้กันระหว่างแรงซื้อกับแรงขายแล้วค่อยลงมือหลังจากที่รู้ผลแล้ว คือ ความน่าจะเป็นที่จะตัดสินใจได้ถูกมากยิ่งขึ้น หรือ ต้องการ High Winning Probability นั่นเอง

    สิ่งที่ต้องยอมรับคือ จะไม่ได้ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำที่สุด เพราะเราต้องรอให้ราคาปรับตัวเพิ่มจากแนวรับจนถึงจุดที่มั่นใจว่าแรงซื้อชนะแรงขายแล้ว จึงค่อยซื้อหุ้น และจะไม่ได้ขายหุ้นในราคาที่สูงที่สุดเพราะต้องราให้ราคาปรับตัวลดลงจากแนวต้านจนถึงจุดที่มั่นใจว่าแรงขายชนะแรงซื้อด้วยเช่นเดียวกัน

    sar25.png

    [ภาพที่ 23]

    รูปตัวอย่างการซื้อหุ้นเมื่อราคาปรับตัวขึ้นจากแนวรับ ซึ่งจะไม่สามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำที่สุด แต่จะได้โอกาสในการตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น

    sar26.png

    [ภาพที่ 24]

    รูปตัวอย่างการขายหุ้นเมื่อราคาปรับตัวลดลงจากแนวต้าน ซึ่งจะไม่สามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำที่สุด แต่จะได้โอกาสในการตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น

    sar27.png

    [ภาพที่ 25]

    รูปแสดงแนวคิดการใช้งานแนวรับ-แนวต้านที่ถูกต้อง

    เทคนิคเพิ่มเติมในการใช้งาน แนวรับ-แนวต้าน
    สิ่งสำคัญที่ต้องยึดเป็นหลักของกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นตามแนวโน้มการเคลื่อนที่ของราคา (Trend Following) คือ ทิศทางของแนวโน้ม การใช้งานเครื่องมือต่าง ๆ ทางเทคนิคทุกประเภท จะให้ดีต้องใช้งานให้สอดคล้องกับทิศทางของแนวโน้ม

    แนวรับ-แนวต้าน เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งทางเทคนิค ที่ใช้ในการหาจังหวะซื้อหรือจังหวะขายที่ดี ดังนั้นการใช้งานแนวรับ-แนวต้าน จะใช้งานได้ดี จำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับทิศทางของแนวโน้มด้วย

    ถ้าราคาหุ้นมีทิศทางของแนวโน้มเป็นขาขึ้น แนวรับจะต้องรับอยู่เสมอ ส่วนแนวต้านจะต้องโดนเบรกเสมอ ไม่เช่นนั้น กราฟจะไม่เป็นทิศทางขาขึ้น ทำให้ในทิศทางแนวโน้มขาขึ้น แนวรับจะมีความสำคัญมากกว่าแนวต้าน

    ทางกลับกันถ้าราคาหุ้นมีทิศทางของแนวโน้มเป็นขาลง แนวต้านจะต้องต้านอยู่เสมอ ส่วนแนวรับจะต้องโดนเบรกเสมอ ไม่เช่นนั้น กราฟก็จะไม่เป็นทิศทางขาลง ทำให้ในทิศทางแนวโน้มขาลง แนวต้านจะมีความสำคัญมากกว่าแนวรับ

    สรุป
    ในมุมมองทางเทคนิคการวิเคราะห์หาแนวรับ-แนวต้านมีวัตถุประสงค์เพื่อบอกระดับราคาที่น่าสนใจในการหาจังหวะเทรดหุ้น โดยไอเดียหลัก ๆ จะใช้วิธีการหาระดับราคาในเชิงจิตวิทยาที่จะมีคนจำนวนมากในตลาดสนใจซื้อ(แนวรับ) หรือสนใจขาย(แนวต้าน) ซึ่งรูปร่างหน้าตาของกราฟราคาที่น่าสนใจพิจารณาเป็นแนวรับ-แนวต้าน ได้แก่ จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดก่อนหน้า (Previous High & Previous Low) เส้นแนวโน้ม เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Trend Line, Moving Average) ระดับราคาที่มีการเคลื่อนที่ในแนวราบ (Horizontal Consolidation Region) ตัวเลขกลม ๆ (Round Number) สัดส่วน Fibonacci (Fibonacci Ratio)

    เมื่อราคามีการเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ระดับราคาที่เป็นแนวรับ-แนวต้าน มีข้อแนะนำ คือ ให้รอดูผลการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อกับแรงขายให้เสร็จก่อนแล้วค่อยลงมือตามทิศทางที่เป็นฝ่ายชนะ เพื่อเพิ่มโอกาสในการตััดสินใจที่ถูกต้อง แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะทำให้เราไม่สามารถซื้อหุ้นในราคาที่ถูกที่สุด หรือไม่ได้ขายหุ้นในราคาที่แพงที่สุด และสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น เราควรใช้งานเครื่องมือให้สอดคล้องกับทิศทางของแนวโน้มด้วย โดยการให้ความสำคัญกับแนวรับมากกว่าเมื่อทิศทางราคาเป็นขาขึ้น และให้ความสำคัญกับแนวต้านมากกว่าเมื่อทิศทางราคาเป็นขาลง

    ที่มาบทความ: http://daddytrader.guru/sars/
    https://www.finnomena.com/daddy-trader/sars/
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แนวรับ แนวต้าน คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไรกับนักเล่นหุ้น
    By thongchai -28/11/2017
    blog-cover-053-2.jpg

    คำว่าแนวรับแนวต้านสำหรับนักเล่นหุ้นแล้ว เป็นที่รู้กันดีว่ามีผลอย่างมากต่อการวางแผน การเทรดหุ้นหรือการเทรด forex แต่สำหรับผู้ที่เริ่มหันมาสนใจวงการตลาดหุ้น เราก็มีคำอธิบายเพื่อจะช่วยให้คุณได้รู้จักความหมายของคำว่าแนวรับแนวต้านกันให้มากขึ้นครับ

    แนวรับ แนวต้าน คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไรกับนักเล่นหุ้น
    แนวรับ คืออะไร
    เป็นเส้นที่จะช่วยให้คุณ เปิด Buy ได้อย่างสบายใจเพราะราคาหุ้นจะผ่านจุดนี้ลงไปไม่ได้ครับ อย่างเช่น ถ้าคุณเห็นเส้นแนวรับอยู่ที่ 2.34535 คุณก็จะรู้ได้ในทันทีว่า เดี๋ยวพอราคาวิ่งเข้าไปใกล้เส้น 2.34535 มันจะต้องเด้งกลับเพราะมันไม่มีทางผ่านจุดนี้ลงไปได้แน่

    แนวต้าน คืออะไร
    แนวต้านก็จะตรงกันข้ามกับแนวรับนั่นแหละครับ คือเป็นจุดที่หากราคาวิ่งขึ้นไปสูงสุดแล้วมันก็จะไม่วิ่งสูงเกินไปเกินกว่านี้ โดยจะใช้หลักเทรนไลน์ยอดสูงสุด 3 ยอดมาเป็นตัววัดเส้นแนวต้านครับ เช่นหากราคาไม่เคยเกิน 2.34535 นั่นก็หมายความว่า ถ้าราคาขึ้นมาสูงใกล้เส้น 2.34535 เมื่อไหร่ คุณก็มีสิทธิ์ที่จะเปิดราคา Sell ตามลงไปได้เลยครับ

    การรู้เรื่องเส้น แนวรับ แนวต้านมีประโยชน์อย่างไร
    1. หากคุณต้องการหาจุดในการเปิดสัญญา Buy หรือ สัญญา Sell ก็แค่ดูว่าราคาเข้าใกล้สู่เส้นแนวรับแนวต้านมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเองแต่ก็ต้องดูพร้อมกันไปกับอินดี้ตัวอื่น ๆ ด้วยนะครับ
    2. มันจะช่วยให้คุณมองเห็นกรอบราคาของการวิ่งไปได้อย่างชัดเจนครับ ส่วนใหญ่จึงมักจะลากทั้งเส้นแนวรับและเส้นแนวต้านไปพร้อมๆกัน
    การใช้อินดี้ช่วยในการหาเส้นแนวรับและแนวต้าน
    1. คุณสามารถหาเส้นแนวรับแนวต้านได้ด้วยการใช้ Fibonacci ครับ มันจะช่วยคุณในการทำนายกรอบแนวรับแนวต้านได้ค่อนข้างแน่นอนทีเดียว และช่วยในการวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
    2. การลากเส้นเทรนไลน์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณหาแนวรับแนวต้านได้ครับ โดยการกำหนดยอด สูงสุดของราคา 3 จุดแล้วลากเส้น หรือ ยอดต่ำสุดของราคา 3 จุดแล้วลากเส้นนั่นเอง ซึ่งก็จะทำให้เห็นได้ว่ามีแนวรับแนวต้านอย่างไรบ้าง
    3. อีกข้อหนึ่งที่หลายคนนิยมใช้กันก็คือการใช้เส้น MA ครับ เพราะการใช้เส้น SMA ในการหาแนวรับและแนวต้าน ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วก็ว่าได้ แถมยังได้ข้อสรุปที่มีความแม่นยำสูงอีกด้วย
    ทีนี้ก็พอจะเข้าใจเกี่ยวกับแนวรับแนวต้านกันบ้างแล้วใช่ไหมเอ่ย
    https://masii.co.th/blog/แนวรับ-แนวต้าน-คืออะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2020
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โรงเรียนมัธยมเบลเยี่ยมออกมาขอโทษกรณีเหยียดคนเอเซีย
    540&h=282&url=https%3A%2F%2Fmothership.sg%2Fwp-content%2Fuploads%2F2020%2F03%2Fcorona-time-cover.png
    เด็กนักเรียนมัธยมในโรงเรียนมัธยมปลายของเบลเยี่ยมได้ออกมาถ่ายรูปโดยใส่ชุดจีน(แต่สวมงอบแบบเวียดนาม) ป้าย CORONA TIME นอกจากนี้ยังมีหนึ่งในนั้นที่ใช้นิ้วชี้ตาซึ่งเป็นอาการเหยียบเชื้อชาติชาวเอเชียของชาวตะวันตก
    เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ของเบลเยี่ยมและยุโรปเนื่องจากเป็นการเหยียดเชื้อชาติจากคนรุ่นใหม่และค่อนข้างรุนแรง ยิ่งกับสถานการณ์ของการระบาด COVID19 ที่ชาวตะวันตกมองว่ามาจากชาวเอเชีย
    โดยล่าสุดทางโรงเรียนได้ออกมาขอโทษถึงการกระทำของเด็กๆ
    อย่างไรก็ดีหลายฝ่ายมองตรงกัน ว่าไม่ว่าจะเป็นยุโรปหรืออเมริกาควรตระหนักถึงการเหยียดใหม่ที่กระทำต่อชาวเอเชียได้แล้ว

    https://mothership.sg/2020/03/belgi...lVfqtGmjV1qwr4hf34Hf-diSWDoxS6v3x1R8w4-bs4vA8
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สเปนปิด 4 เมือง หวังคุม โควิด-19 ระบาด หลังยอดเสียชีวิตพุงข้ามคืน
    %80%E0%B8%9B%E0%B8%99-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87FB.jpg
    สื่อท้องถิ่นสเปน The Local รายงาน รัฐบาลแคว้นกาตาลุญญาสั่งปิด 4 เมือง ทำให้ประชาชนราว 70,000 คนอยู่ในภาวะล๊อคดาวน์ คือเมือง อีกวาลาดา โอเดนา ซานตามาร์การิดา และ วิลาโนวาเดลคามี อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังคงออกจากบ้านได้ แต่ไม่ให้ออกนอกเขตเมือง หวังคุม โควิด-19 ระบาด หลังยอดผู้เสียชีวิตในประเทศสเปนสูงขึ้นอย่างมากในช่วงข้ามคืน อยู่ที่ 84 รายแล้ว และมีผู้ติดเชื้อถึงกว่า 2,900 ราย

    สถานการณ์ โควิด-19 ระบาด ในสเปน ร้ายแรงเป็นอันดับสองในยุโรป รองจากอิตาลีเท่านั้น โดยมาดริด เป็นพื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดในประเทศสเปน คือเกือบ 1,400 ราย และเสียชีวิต 38 ราย

    ตำรวจท้องถิ่นกาตาลุญญาระบุว่า คนที่มีหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้มีถิ่นพำนักใน 4 เมืองนี้ จะได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากพื้นที่ได้ และคนที่ต้องการเข้ามาในพื้นที่ จะต้องอยู่ในช่วงกักกัน

    ขณะที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศสเปน ปิดทำการเป็นเวลา 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ รัฐบาลได้สั่งกำหนดราคายาและเวชภัณฑ์ และเตรียมความช่วยเหลือทางการเงินแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว

    The post สเปนปิด 4 เมือง หวังคุม โควิด-19 ระบาด หลังยอดเสียชีวิตพุงข้ามคืน appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์
    https://www.springnews.co.th/global/630296
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วางแผนให้ข้าราชการทำงานที่บ้าน “สมคิด” สั่งทำแพลตฟอร์มรองรับ ไม่ให้ระบบงานราชการสะดุด
    จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้ยังไม่รุนแรงถึงระยะที่ 3 ที่มีการติดภายในประเทศก็ตาม แต่รองนายกรัฐมนตรีมีความเห็นในที่ประชุม
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

    www.thairath.co.th%2Fmedia%2FdFQROr7oWzulq5FZYkSJvVq9yYPHBTgl0fmKuzslDBZNLsY17CRa6SUvieerdgD4geE.jpg

    https://www.thairath.co.th/news/bus...4Kgw_ufAg88WfBcQL4v0hq7cmQaomL22gmUwPhvlfzVP8
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อากาศเชียงใหม่ วิกฤติหนัก ค่าฝุ่น PM 2.5 พุ่งสูง แย่ติดอันดับ 1 ของโลก
    วิกฤติหนัก ค่าฝุ่น PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ พุ่งสูง 253 แย่ติดอันดับ 1 ของโลก พร้อมเตือนประชาชนควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง สวมหน้ากากอนามัยป้องกันตนเอง
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

    www.thairath.co.th%2Fmedia%2FdFQROr7oWzulq5FZYkSJvVkZUAidenwxv940nwc0TNi62VfLr05uE6q7SAHn05u4aDf.jpg
    https://www.thairath.co.th/news/soc...GrlDEkJbvsW61gqMm_FwtVZqZ3QQhom92sfrDAddaZGdI
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,704
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โฆษกกต.จีนกล่าวหา ทหารสหรัฐนำไวรัสโคโรน่าเข้าไปในจีน
    13 มีนาคม 2563 - 06:20 น.
    67kf7i5gad8idjg78f9gb.jpg

    สงครามน้ำลายสองมหาอำนาจโลกปะทุ โฆษกกต.จีนทวีตกล่าวหากองทัพสหรัฐอาจนำเชื้อไวรัสโคโรน่าเข้าไปในจีน

    นายจ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ทวีตเมื่อวาน ( 12 มี.ค.) ว่า "อาจจะเป็นทหารสหรัฐฯ ที่นำการระบาดใหญ่ไปยังเมืองอู่ฮั่น จงเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนอย่างโปร่งใส! สหรัฐฯ ต้องอธิบายจีนให้ได้ในเรื่องนี้!"

    โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ทวีตกล่าวหาพร้อมกับคลิปวิดีโอ ที่นายโรเบิร์ต เรดฟีลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) สหรัฐ เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการกำกับและปฏิรูป สภาผู้แทนราษฎร โดยยอมรับว่าชาวอเมริกันที่เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ ถูกตรวจพบติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 แต่เขาก็กล่าวหาโดยไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ

    upload_2020-3-13_12-41-20.png

    แม่ทัพใหญ่อิหร่านอ้างสหรัฐเบื้องหลังไวรัส รุกรานทางชีวภาพ

    กองทัพสหรัฐอาจอยู่เบื้องหลัง เป็นทฤษฎีคบคิดที่แพร่บนสื่อสังคมออนไลน์จีนเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทหารสหรัฐนำเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เข้าไปในอู่ฮั่น ระหว่างเข้าร่วมมหกรรมกีฬาทหารโลก 2019 ( Military World Games ) ที่จัดขึ้นในมณฑลหูเป่ย ช่วง 18 -27 ต.ค.

    ผลศึกษาชี้ โควิด-19ไม่ได้เริ่มจากตลาดอู่ฮั่น-แพร่คนสู่คนเร็วกว่าที่คิด

    การกล่าวหาของโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนมีขึ้น หลังนายรอเบิร์ต โอไบรอัน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐตำหนิจีนว่าตอบสนองไวรัสระบาดในอู่ฮั่นเมื่อปลายปีที่แล้ว ล่าช้า และไม่โปร่งใสพอ ทำให้โลกเสียเวลาไปร่วม 2 เดือนสำหรับเตรียมตัวรับสถานการณ์ระบาด แต่จ้าว ลี่เจียน ทวีตว่า เป็นสหรัฐต่างหากที่ขาดความโปร่งใส

    “คนไข้คนแรก ( patient zero ) ในสหรัฐเริ่มมาเมื่อไหร่? กี่คนแล้วที่ติดเชื้อ ไหนชื่อรพ.? อาจจะเป็นทหารสหรัฐฯ ที่นำการระบาดใหญ่ไปยังเมืองอู่ฮั่น จงเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนอย่างโปร่งใส! สหรัฐฯต้องอธิบายจีนให้ได้ในเรื่องนี้!"

    จางเพิ่งขึ้นมาทำหน้าที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนได้ไม่นาน หลังเป็นรองหัวหน้าสถานทูตจีนในปากีสถาน มักใช้ทวิตเตอร์ตอบโต้แบบขวานผ่าซากและอย่างมีสีสัน ในอดีต เคยก่อวิวาทะบนทวิตเตอร์ กับอดีตที่ปรึกษาความมั่นคงสหรัฐ ซูซาน ไรซ์ ที่ทำให้เธอกล่าวหาเขาว่า เหยียดผิว

    ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน Geng Shuang โฆษกกองทัพจีน ก็วิจารณ์บรรดาเจ้าหน้าที่สหรัฐ ว่าแสดงความเห็นอย่างไร้ความรับผิดชอบ หลังกล่าวโทษการรับมือของรัฐบาลปักกิ่ง ทำให้โลกต้องเผชิญกับสถานการณ์ระบาดร้ายแรง แต่เป็นจีนต่างหากที่พยายามชะลอการระบาด ช่วยซื้อเวลาให้กับทั่วโลกเตรียมพร้อมรับการระบาด และหวังว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐจะทุ่มพลังงานไปกับการรับมือไวรัส ส่งเสริมความร่วมมือ แทนที่จะมาโยนบาปจีน

    https://www.komchadluek.net/news/fo...4DqRrLEzethBwgjhaAmiJmB6WX8jVYG3ESUrScfrwvWNo
     

แชร์หน้านี้

Loading...