ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)


    ลือแล้งหนัก เขมรแห่ตุนน้ำดื่มฝั่งไทย ขนไปปอยเปต วันละกว่า 2 แสนขวด


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แต่บอกว่าโจมตีเพราะอาหารอร่อย ไม่ใช่แก้แค้นสหรัฐอเมริกา ก็คงไม่ตายเป็นเบือ ขนาดนี้ รองนายกฯ อุตส่าห์หาทางลงให้

    สถานการณ์โลก ด้านความมั่นคง


    กองบัญชาการUSAแอฟริกาของสหรัฐกล่าวว่า:ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศใกล้กับเมือวจิลิบในภูมิภาคจูบากลาง ทำให้นักรบกลุ่มอัล-ชาบาบเสียชีวิตกว่า52คน/การโจมตีมีขึ้นเป็นการตอบโต้กลุ่มอัล-ชาบาบที่โจมตีฐานทัพรัฐบาลโซมาเลีย2แห่ง คร่าชีวิตทหารอย่างน้อย41นาย กระทรวงกลาโหมสหรัฐประเมินเมื่อส.ค.2561ว่าในโซมาเลียมีนักรบกลุ่มอัล-ชาบาบ3000-7000คนกับนักรบไอเอส70-250คน/


     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)


    "วิ่งหนีตาย ทั้งที่ไฟเผาตัว" เผยคลิประทึก นาทีท่อน้ำมันระเบิด ยอดตายพุ่งต่อเนื่อง


     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #สงขลา พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสูงที่สุด แนะประชาชนยึดหลัก “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค”
    .
    พูดคุยกับเราได้ทาง Line : @hatyaifocus >> https://bit.ly/2PMSwPC

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คงจะมีการใช้ปืนที่อ้างว่าขโมยไปจากบ้านเจ้าหน้าที่รัฐ และเผา เล็กน้อย เพื่อให้นายคนนั้นรอดตัวจากถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนร่วมกับพวกเขา พวกฆ่าคนตาไม่กระพริบ เผาบ้านเรือน โรงเรียนจนเหลือแต่ตอ แต่ดันมากรุณากับบ้านเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปขโมยอาวุธตลกชะมัดเลยครับ

    กลุ่มต่อต้านมุสลิมหัวรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนใต้


    "2-3 วันนี้ แจ้งเตือนคนที่เรารักห้ามออกไปทำธุระนอกบ้านอย่างเด็ดขาด เพราะ 2-3 วันที่จะถึงนี้ เราจะก่อเหตุครั้งยิ่งใหญ่ และจะต้องสำเร็จ เพราะโต๊ะอีหม่าม ล้มหลายคนแล้ว งานของเราต้องสำเร็จ จึงฝากบอกทุกคนที่เรารักด้วยว่า ห้ามออกไปไหน เราจะทำงานครั้งใหญ่" - คลิปเสียงภาษามลายูถิ่นส่งเตือนกันตามไลน์ต่างๆ ถึงการก่อเหตุรุนแรงครั้งใหญ่


     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สำนักข่าวอาเซี่ยน


    กองทัพพม่าตั้งโต๊ะแถลงปะทะกบฎในยะไข่ แยกดินแดนอาระกันตาย 13

    .

    รอยเตอร์ 19 ม.ค.- โฆษกกองทัพพม่าออกแถลงวานนี้ (18) ระบุว่า ทหารได้สังหารนักสู้ฝ่ายกบฎไป 13 ราย ท่ามกลางการต่อสู้ของกองกำลังฝ่ายรัฐบาลเพื่อปราบปรามความไม่สงบระลอกใหม่ในรัฐยะไข่

    .

    การต่อสู้ระหว่างกองกำลังรักษาความมั่นคงและกองทัพอาระกัน กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ที่แสวงหาการปกครองตนเองเพื่อชาวยะไข่ ได้ส่งผลให้ชาวบ้านในพื้นที่ราว 5,000 คน ต้องอพยพหลบหนีออกจากที่อยู่อาศัยตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.ตามการระบุของสหประชาชาติ

    .

    ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งความไม่สงบระลอกใหม่ในพื้นที่ที่เคยเป็นสถานที่เกิดการปราบปรามชนกลุ่มน้อยโรฮิงญาในปี 2560 และแสดงให้เห็นถึงการถดถอยของกระบวนการสร้างสันติภาพ

    .

    “ระหว่างวันที่ 5 ม.ค.ถึงวันที่ 16 ม.ค.2562 มีการปะทะเกิดขึ้น 8 ครั้งและกับระเบิดระเบิด 5 ครั้ง ร่างฝ่ายศัตรู 13 ร่าง และอาวุธจำนวนหนึ่งถูกยึดไว้ ทหารในฝ่ายเรามีทั้งเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ” พล.ต.ตุน ตุน นี กล่าวแถลงข่าวในกรุงเนปีดอ

    .

    แต่ พล.ต.ตุน ตุน นี ได้ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดถึงจำนวนกองกำลังฝ่ายรัฐบาลที่เสียชีวิต โดยกล่าวว่า “ไม่จำเป็น” ที่จะต้องระบุตัวเลข

    .

    แม้รอยเตอร์จะไม่สามารถติดต่อเพื่อขอความเห็นจากกองทัพอาระกันได้ แต่โฆษกที่อยู่นอกพม่าได้กล่าวกับรอยเตอร์ก่อนหน้านี้ว่าศพที่ทหารยึดไป 5 ศพ ไม่ใช่นักสู้ฝ่ายตน

    .

    เหตุการณ์ความรุนแรงในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากกลุ่มก่อความไม่สงบสังหารตำรวจ 13 นาย และมีตำรวจได้รับบาดเจ็บอีก 9 นาย ในการโจมตีสถานีตำรวจ 4 แห่งเมื่อวันที่ 4 ม.ค. ซึ่งเป็นวันที่พม่าฉลองครบรอบวันชาติ ตามการรายงานของสื่อทางการ

    .

    ยางฮี ลี ผู้แทนพิเศษสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนในพม่า กล่าวเตือนว่าความรุนแรงในรัฐยะไข่กำลังยกระดับขึ้น และเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอดทนอดกลั้นและปกป้องคุ้มครองพลเรือน

    .

    ยางฮี ลี ยังกล่าวประณามการโจมตีของกองทัพอาระกันเมื่อวันที่ 4 ม.ค. และการตอบสนองของกองทัพพม่าที่รุนแรงเกินไป โดยอ้างถึงรายงานว่ามีการใช้อาวุธหนัก ปืนใหญ่ และเฮลิคอปเตอร์ ในเขตพลเรือนจนทำให้พลเรือนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต

    .

    “ฉันรู้สึกวิตกกังวลอย่างมากถึงการใช้ถ้อยคำอันตรายของรัฐบาล ประชากรชาวยะไข่ต้องไม่ถูกวาดภาพให้กลายเป็นปีศาจร้ายและตกเป็นเป้าของทหาร จากความสงสัยว่าคบค้าสมาคมกับกองทัพอาระกัน” คำแถลงของลี ระบุ

    .

    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลพม่าเรียกร้องให้ทหารบดขยี้กลุ่มกบฎ

    .

    ทหารกล่าวว่านางอองซานซูจีได้สั่งการเป็นการส่วนตัวให้ดำเนินการปราบปราม ซึ่งกลุ่มติดอาวุธชาวยะไข่อาจเผชิญกับการปฏิบัติเช่นเดียวกับกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญา

    .

    ทหารดำเนินการปราบปรามอย่างรุนแรงกับชาวโรฮิงญาในปี 2560 ที่สหประชาชาติและชาติตะวันตกระบุว่าเป็นการกวาดล้างชาติพันธุ์ การปราบปรามที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์การโจมตีกองกำลังรักษาความมั่นคงโดยฝีมือของนักสู้ที่เรียกตนเองว่ากองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน

    .

    “ระหว่างการเจรจาที่บ้านพักของประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 9 ม.ค. ดอว์อองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ กล่าวว่า กองทัพอาระกันเป็นผู้ก่อการร้ายและสั่งให้ดำเนินการปราบปรามอย่างมีประสิทธิภาพ” พล.ต.ตุน ตุน นี กล่าว

    .

    “หากไม่ทำเช่นนั้น คนอื่นจะกล่าวอ้างได้ว่ากองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกันถูกปราบปรามเพราะเป็นกลุ่มต่างศาสนา และที่กองทัพอาระกันไม่ถูกปราบปรามเพราะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์”

    .

    ความขัดแย้งนี้เป็นวิกฤติล่าสุดที่รัฐบาลของนางอองซานซูจีกำลังเผชิญ หลังกวาดชัยชนะในการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจในปี 2558 และให้คำมั่นที่จะยุติสงครามกลางเมืองที่มีอยู่มากมายในประเทศ.


     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Candy Bella


    ..... ฉัททันตชาดก.....


    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุณีสาวรูปหนึ่ง ผู้นั่งฟังธรรมระลึกถึงอดีตชาติได้แล้วแสดงอาการเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...


    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีช้างประมาณ ๘,๐๐๐ เชือกมีฤทธิ์เหาะไปในอากาศได้ อาศัยสระฉันททันต์อยู่ในป่าหิมพานต์ครั้งนั้น พระโพธิ์สัตว์เกิดเป็นลูกช้างของช้างหัวหน้าโขลง มีสีขาวปลอด ปากและเท้าสีแดง เมื่อเติบโตขึ้นมีร่างกายใหญ่โตมากกว่าช้างเชือกอื่น ๆ ที่งามีแสงรัศมี ๖ ประการเปล่งประกายออกมา


    อยู่ต่อมาเมื่อบิดาเสียชีวิตแล้ว พระโพธิสัตว์ได้เป็นหัวหน้าช้างแทน มีชื่อว่า พญาช้างฉัททันต์ มีภรรยา ๒ เชือก คือมหาสุภัททาและจุลลสุภัททา วันหนึ่งในฤดูร้อน ป่ารังมีดอกบานสะพรั่ง พญาช้างฉัททันต์ได้พาบริวารไปหากินที่ป่ารัง ใช้กระพองชนต้นรังให้ดอกหล่นลงมา นางช้างจุลลสุภัททายืนอยู่เหนือลมจึงถูกใบรังเก่า ๆ ติดกับกิ่งไม้แห้งมีมดดำมดแดงตกใส่ร่างกาย ส่วนนางช้างมหาสุภัททายืนอยู่ใต้ลมเกสรดอกไม้และใบสด ๆ จึงโปรยปรายใส่ร่างกาย นางช้างจุลลสุภัททาเห็นเช่นนั้นจึงเกิดความน้อยใจว่าสามีโปรดปรานและรักใคร่แต่นางช้างมหาสุภัททา ส่วนตนมีแต่มดดำมดแดงร่วงใส่ จึงผูกความอาฆาตในพญาช้างฉัททันต์


    ต่อมาอีกวันหนึ่ง พญาช้างฉัททันต์เมื่ออาบน้ำในสระเสร็จแล้ว ขึ้นมายืนบนฝั่งขอบสระ มีนางช้างทั่งสองยืนเคียงข้าง ขณะนั้นมีช้างเชือกหนึ่งได้นำดอกบัวมีกลีบ ๗ ชั้นดอกหนึ่งขึ้นมามอบให้พญาช้าง พญาช้างโปรยเกสรลงบนกระพองแล้ว ยื่นดอกบัวให้แก่นางช้างมหาสุภัททา เป็นเหตุให้นางช้างจุลลสุภัททาเห็นแล้วคิดน้อยใจว่า "พญาช้างให้ดอกบัวแก่ภรรยาที่รักและโปรดปรานเท่านั้น ส่วนเราไม่เป็นที่รักที่โปรดปรานจึงไม่ให้" จึงผูกเวรในพญาช้างอีก


    อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ พญาช้างได้ไปอุปัฏฐากถวายน้ำผึ้งแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า นางช้างจุลลสุภัททาถวายผลไม้แล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า "สาธุ ถ้าดิฉันตายไปแล้วขอให้ไปเกิดเป็นอัครมเหสีของพระราชาผู้มีอำนาจ สามารถฆ่าพญาช้างนี้ได้ด้วยเทอญ" นับแต่วันนั้นนางก็อดหญ้าอดน้ำ ร่างกายผ่ายผอม ไม่นานก็ล้มป่วยตายไปเกิดเป็นธิดาของพระราชาในแคว้นมัททรัฐ เมื่อเจริญวัยแล้ว ก็ได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าเมืองพาราณสี เป็นที่รักใคร่โปรดปรานมาก ระลึกชาติหนหลังได้ วันหนึ่งจึงทำทีเป็นประชวรไข้หนักบรรทมอยู่ พระราชาเสด็จมาตรัสถามว่า "น้องนางดูนัยน์ตาเจ้าก็แจ่มใส แต่เหตุไรหนอ น้องนางจึงดูโศกเศร้าซูบผมไปละจ๊ะ"



    มเหสี "เสด็จพี่ หม่อมฉันแพ้ครรภ์ ฝันเห็นสิ่งที่หาได้ยากพระเจ้าคุณ แต่ถ้าไม่ได้สิ่งนั้น ชีวิตของหม่อมฉันคงอยู่ไม่ได้เช่นกัน"



    พระราชา "น้องนาง มีอะไรในโลกนี้ที่หาได้ยากบอกพี่มาเถิดจะจัดหามาให้"



    มเหสี "เสด็จพี่ ถ้าจะกรุณาหม่อมฉัน โปรดรับสั่งให้ประชุมนายพรานป่าทุกสารทิศเข้าประชุมกันที่ท้องพระโรง มีนายพรานป่าประมาณ ๖๐,๐๐๐ คนมาประชุมกัน พระเทวีเมื่อพระราชาเปิดโอกาส จึงตรัสว่า "ท่านนายพรานทั้งหลาย ฉันฝันเห็นช้างเผือก ที่งามีรัศมี ๖ ประการ ฉันต้องการงาคู่นั้น ถ้าไม่ได้ชีวิตฉันก็คงอยู่ไม่ได้ ขอให้พวกท่านนำมาถวายเถิด"



    พวกนายพรานทูลว่า "ขอเดชะอาญาไม่พ้นเกล้า ตั้งแต่เป็นพรานมาก็ไม่เคยได้ยินปู่ทวดกล่าวถึงพญาช้างเผือก งามีรัศมี ๖ ประการเลย ขอพระองค์ได้ตรัสบอกที่อยู่ของพญาช้างด้วยเถิดพะยะค่ะ"



    พระเทวีได้ตรวจดูพรานป่าทั้งหมด เห็นพรานป่าคนหนึ่งชื่อโสณุตระ มีเท้าใหญ่ เข่าโต หนวดดก เคราแดง ตาเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของพรานผู้โหดร้าย จึงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าแล้วตรัสบอกทิศทางไปว่า "จากนี้ไปทางทิศเหนือ ข้ามภูเขา ๗ ลูก มีภูเขาสูงที่สุดลูกหนึ่งชื่อ สุวรรณปัสสคีรี เจ้าจงขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้นมองดูตามเชิงเขา จะเห็นต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งมีกิ่งก้านสาขาหนาทึบมีพญาช้างเผือกเชือกหนึ่งอาศัยอยู่ มีงาสวยงามมาก มีบริวารอยู่มาก เจ้าจงระวังตัวให้ดี พวกมันระวังรักษาแม่แต่ธุลีก็ไม่ให้แตะต้องพญาช้างได้"



    นายพรานเกิดความกลัวตายทูลว่า "ข้าแต่พระเทวี พระแม่เจ้าทรงประสงค์จะฆ่าพญาช้าง เอางามาประดับหรือว่าจะให้พญาช้างฆ่าพวกนายพรานเสียกระมัง"



    พระเทวี "นายพราน..เรามีความริษยาและความน้อยใจเมื่อนึกถึงความหลัง ขอเพียงท่านทำตามคำของเรา จะได้บ้านส่วยเก็บภาษี ๕ ตำบล ไปเถิดอย่ากลัวเลย" พร้อมกับชี้แจงที่อยู่ของพญาช้างให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น มอบทรัพย์ให้พันหนึ่งแล้วนัดให้มาอีก ๗ วัน แล้วรับสั่งช่างเหล็กให้ทำอาวุธ ช่างหนังให้ทำกระสอบหนังใส่สัมภาระ ในวันที่ ๗ นายพรานโสณุตระเข้าเฝ้าทูลอำลาเข้าป่าไป


    นายพรานปีนยอดเขา ๗ ลูก จนเข้าไปถึงที่อยู่ของพญาช้างเห็นพญาช้างเผือกงามีรัศมี ๖ ประการ ลงอาบน้ำในสระอยู่ เมื่อถึงเวลากลางคืนจึงขุดหลุมสี่เหลี่ยมเพื่อใช้เป็นที่แอบดักยิงพญาช้างในเวลาใกล้รุ่ง คลุมร่างกายมิดชิดด้วยผ้าเหลืองแล้วลงไปยืนถือธนูมีลูกอาบยาพิษแอบอยู่ในหลุมนั้น รอการมาของพญาช้าง


    วันนั้น พญาช้างได้พาบริวารออกหากินตามปกติ เมื่อลงอาบน้ำแล้วก็ขึ้นมายืนบนฝั่งใกล้หลุมนั้น ทันใดนั้นเองก็ร้องขึ้นสุดเสียงเมื่อถูกลูกศรของนายพราน ฝูงช้างได้ยินเสียงร้องของพญาช้างต่างตกใจวิ่งหนีเข้าป่าไป พญาช้างตัวเดียวเหลียวดูที่มาของลูกศรแล้วพลิกกระดานขึ้นเห็นนายพรานเท่านั้น คิดจะจับขึ้นมาฆ่าพอเห็นผ้าเหลืองพันกายนายพรานเท่านั้น ความโกรธก็หายไป ด้วยตระหนักว่า "ผ้าเหลืองคือธงชัยแห่งพระอรหันต์ บัณฑิตไม่ควรทำลาย ควรสักการะเคารพอย่างเดียวโดยแท้" จึงกล่าวเป็นคาถาว่า


    "ผู้ใดยังไม่หมดกิเลส ปราศจากทมะ และสัจจะ ผู้นั้น ไม่ควรจะนุ่งห่มผ้าเหลือง ส่วนผู้ใดคลายกิเลสได้แล้วตั้งมั่นอยู่ในศีลประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นแล ควรนุ่งห่มผ้าเหลือง"


    แล้วถามนายพรานว่า "เพื่อนเอ๋ย ท่านยิงเราเพื่อต้องการอะไร เพื่อตนเอง หรือคนอื่นใช้ให้มาฆ่าเรา" นายพรานตอบว่า "พญาช้าง พระนางสุภัททามเหสีของพระเจ้ากาสีกราช ได้ทรงสุบินเห็นท่าน จึงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเพื่อประสงค์งาทั้งคู่ของท่าน"


    พญาช้างก็ทราบโดยทันทีถึงการผูกเวรของนางจุลลสุภัททา จึงกล่าวว่า "เพื่อนเอ๋ย พระนางสุภัททามิใช่จะต้องการงาทั้งสอง ของเราดอก ประสงค์จะฆ่าเราเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นก็เชิญเถิดนายพราน จงหยิบเลื่อยมาตัดงาเราขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เถิด"


    นายพรานจึงใช้เลื่อยตัดงาทั้งคู่แล้วรับถือกลับเมืองไป พญาช้างมอบงาให้นายพรานแล้วตั้งจิตอธิษฐานให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ แล้วตั้งจิตเมตตาให้นายพรานเดินทางกลับเมืองด้วยความปลอดภัย แล้วก็ล้มลงขาดใจตาย


    ฝ่ายนางช้างมหาสุภัททาพร้อมฝูงช้างวิ่งหนีไปได้ระยะทางหนึ่ง เมื่อไม่เห็นศัตรูตามมาก็พากันกลับเห็นพญาช้างสิ้นใจตายแล้ว ก็พากันร่ำไห้คร่ำครวญอยู่ ณ ที่ตรงนั้น ส่วนนายพรานก็นำงาทั้งคู่เข้าถวายพระนางสุภัททาพระนางรับคู่งาอันวิจิตรมีรัศมี ๖ ประการวางไว้ที่พระเพลาทอดพระเนตรดูงาของสามีสุดที่รัก เกิดความเศร้าโศกสลดในอย่างยิ่งทันใดนั้นเองดวงหทัยของพระนางก็ได้แตกสลายสวรรคตในวันนั้นเช่นกัน


    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าคิดทำอะไรด้วยอารมณ์หุนหันพลันแล่น วู่วาม เพราะจะนำความเศร้าโศกเสียในมาให้ภายหลัง


    ที่มา :http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt32.php


     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรมทรัพยากรธรณี

    เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๒ นายสมหมาย เตชวาล อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี มอบหมายให้สำนักงานทรัพยากธรณีเขต ๑ ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เข้าตรวจสอบพื้นที่ทุ่งนาด้านทิศใต้หมูบ้านเนินสยาม หมู่ ๑๐ ตำบลผางาม อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ร่วมกับนายอุดร บุญมา ผู้ใหญ่บ้าน และนายเมืองใจ อินตะวงค์ เจ้าของที่ดิน ที่ปรากฏเป็นข่าวว่า พบหลุมยุบ จำนวน ๑ หลุม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหลุมยุบ ๖.๔ เมตร ลึก ๒ เมตร บนทุ่งนาของเจ้าของที่ดิน ใกล้กับพื้นที่ที่เป็นเขาหินปูนลูกโดด โดยห่างจากเขาหินปูนประมาณ ๑๐๐ เมตร และห่างจากหมูบ้านประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร ซึ่งพื้นที่เป็นตะกอนดินแบบที่ราบน้ำท่วมที่รองรับด้วยหินปูน จากการสอบถามเบื้องต้นเล่าว่าช่วงก่อนเกิดหลุมยุบ ตนก็ได้ทำนาตามปรกติ ไถนาและหว่านข้าว เสร็จได้ ๒ วัน เช้าวันต่อมาคือวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๒ ตนมาที่นาก็พบว่ามีหลุมยุบเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งตนก็ได้ปล่อยทิ้งไว้เพราะเห็นว่าหลุมไม่ใหญ่และลึก จนวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๒ จึงเปลี่ยนใจไปแจ้งเหตุแก่ผู้ใหญ่บ้านให้ทราบ


    สำหรับสาเหตุคาดว่าเกิดจากการที่โพรงของหินปูนที่เกิดจากการพัฒนาจากรอยแตก รอยแยกตามธรรมชาติเกิดการพังทลายลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน ทำให้แรงพยุงที่เคยมีได้หายไปและเกิดการพังลงกลายเป็นหลุมยุบในที่สุด


    ทั้งนี้ กรมทรัพยากรธรณี มีข้อเสนอแนะจากการเข้าตรวจสอบหลุมยุบดังกล่าว พบว่าไม่เป็นอันตรายต่อประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากเกิดในทุ่งนาที่ค่อนข้างห่างไกลหมู่บ้าน และในบริเวณพื้นที่ข้างเคียงก็ไม่แสดงให้เห็นถึงการทรุดตัวของดินในพื้นที่แต่อย่างได จึงได้เสนอให้ทางเจ้าของที่ทำการฝังกลบ และเบื้องต้นได้ทำการกันเขตแจ้งเตือนพื้นที่อันตรายให้ประชาชนในพื้นที่ทราบแล้ว

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถานการณ์โลก ด้านความมั่นคง


    กองทัพอารกันArakan Army(AA):เป็นองค์กรชาวพุทธในรัฐยะไข่(ไม่ใช่โรงฮิงญา)ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีคศ.2009นี่เอง มีฐานที่มั่นในรัฐยะไข่ทางตะวันตกของพม่ามีกำลังพลประมาณ7000-8000นาย/กองทัพอารกันได้รับการฝึกจากโรงเรียนทหารของ"กองทัพคะฉิ่นKachin(KIA)มีอาวุธที่ทันสมัยพอสมควรที่มีใช้ในกองทัพสหรัฐและอิสราเอล ยุทธวิธีการรบยังใช้รูปแบบสงครามกองโจร/ข้อเสริมความแข็งแกร่งของกองทัพอารกันคือรวมอยู่ในกลุ่ม"พันธมิตรฝ่ายเหนือ"ซึ่งมีอยู่4กลุ่มคือ:

    1).กองกำลังคะฉิน(KIA)ย่อมาจากKachin Independence Armyคะฉิ่นเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งสุดในกลุ่มมีกำลังพลกว่า30,000นายมีฐานที่มั่นอยู่ในรัฐคะฉิ่นโดยเฉพาะแถบชายแดนติดกับประเทศจีน..

    2).กองกำลังโกกั้ง(MNDAA)ย่อมาจากMyanmar National Democratic Alliance Armyที่เคลื่อนไหวในแถบรัฐฉานเหนือ..

    3).กองกำลังตะอางหรือปะหล่องTNLAย่อมาจากTa'ang National Liberation Army เคลื่อนไหวในแถบรัฐฉานเหนือมีกำลังพล5000-6000นาย

    4).คือกองกำลังอารกันAAย่อมาจากAarakan Army..

    กองกำลังเหล่านี้คือกองกำลังพันธมิตรฝ่ายเหนือซึ่งจับมือกัน เพื่อต่อต้านกองทัพพม่าปัจจุบันยังมีการรบปะทะกันอยู่ และตอนนี้กองกำลังพันธมิตรฝ่ายเหนือรวมกำลังกันจาก4กลุ่มตอนนี้เพิ่มเป็น7กลุ่มแล้วโดยมีอีก3กลุ่มคือ:

    1).กองทัพรัฐฉานเหนือSSPP/SSAอยู่ในรัฐฉานตอนเหนือ

    2).กองทัพสหรัฐว้า UWSAอยู่ในรัฐฉานและชายแดนติดกับประเทศจีน

    3).กองกำลังเมืองลาNDAAอยู่ในรัฐฉานโดยมีเขตติดกับ12ปันนาของจีน..

    ซึ่งทั้งหมดนี้เรียกว่ากลุ่มพันธมิตรฝ่ายเหนือ และยังเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้ลงนาม"หยุดยิง"กับกองทัพพม่า/ถ้ารวมกำลังพลทั้ง7กลุ่มจะมีกำลังพลมากกว่า100,000นายเลยทีเดียว/กลุ่มนี้นอกจากรบกับกองทัพพม่าแล้ว ก็ยังทำการรบปะทะกันอยู่เรื่อยๆกับกองทัพรัฐฉานใต้RCSS/SSAของพลเอกเจ้ายอดศึก ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ที่ดอยไตแลง เขตชายแดนติดกับอำเภอปางมะผ้าจังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทย../ถ้าเกิดสงครามกลางเมืองในพม่ารับรองสงครามในซีเรียหรือในเยเมนเทียบไม่ติด เพราะในดินแดนพม่าเต็มไปด้วยกองกำลังติดอาวุธที่ได้รับการฝึกฝนจากโรงเรียนทหาร"ไม่ใช่โจรก่อการร้าย"แถมมีอาวุธดีๆไว้ใช้ในแต่ละกลุ่ม ถ้าเปิดศึกกันจริงๆไม่แน่ว่ากองทัพพม่าจะเอาอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังแตกสามัคคีกันรบกันเองจึงยังไม่สามารถกดดันกองทัพพม่าได้สักเท่าไร ได้แค่รบป้องกันตัวเขตอิทธิพลเขตแดนของตัวเองไว้เท่านั้น...


     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มหากรุณาโพธิยาลัย โรงเจวัดสว่างอารมณ์


    . ที่มาของ "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ"


    ๑. ณ. แดนหิมวันตประเทศ มีเทือกเขาชื่อว่า "สาตาคิรี" เป็นที่ร่มรื่น รมณียสถาน เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์ที่เป็นภุมมเทพยดา อันมีนามตามที่อยู่ว่า "สาตาคิรียักษ์"


    มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าป่าหิมวันต์ ทางทิศเหนือ เป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณ สาตาคิรียักษ์ได้มีโอกาสสดับพระสัทธรรมจากพระบรมศาสดา จนมีจิตเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคำยกย่องบูชาด้วยคำว่า

    "นะโม" หมายถึง ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ


    ๒. อสุรินทราหู เมื่อได้สดับพระกิตติศัพท์ของพระบรมศาสดาเจ้า ก็มีจิตปรารถนาที่จะได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาบ้าง แต่ด้วยกายของตนใหญ่โตเท่ากับโลก

    จึงคิดดูแคลนพระบรมศาสดาว่า ....


    มีพระวรกายเล็กดังมด จึงอดใจรั้งรออยู่ พอนานวันเข้า พระเกียรติคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยิ่งขจรขจายไปทั้ง ๓ โลก จนทำให้อสุรินทราหู อดรนทนอยู่มิได้ จึงเหาะมาในอากาศ ตั้งใจว่าจะร่ายเวทย์ย่อกาย เพื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอฟังธรรม แต่พอมาถึงที่ประทับ อสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า เพื่อจะได้ทัศนาพระพักตร์พระบรมศาสดา


    พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงพระสัทธรรม ชำระจิตอันหยาบกระด้าง ของอสุรินทราหู ให้มีความเลื่อมใสศรัทธา แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า

    "ตัสสะ" แปลว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงเป็นใหญ่กว่ามนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง


    ๓. เมื่อครั้งที่ "ท้าวจาตุโลกบาลมหาราชเจ้าทั้ง ๔ องค์ผู้ดูแลปกครองสวรรค์ชั้นแรก มีชื่อเรียกว่าชั้น "กามาวจร" มีหน้าที่ปกครองดูแลประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมบริวาร ได้พากันเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วทูลถามปัญหา


    พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมตอบปัญหา แก่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ พร้อมบริวาร จนยังให้เกิดธรรมจักษุแก่มหาราชทั้ง ๔ และบริวาร ท่านทั้ง ๔ นั้น จึงเปล่งคำบูชาสาธุขึ้นว่า


    "ภะคะวะโต" แปลว่า พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า


    ๔. "ท้าวสักกะเทวราช" หรือพระอินทร์ เจ้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ชั้นที่ ๒ ท่านสถิตอยู่ ณ. สวรรค์ชั้นดาวดึงส์


    ท้าวสักกะเทวราชได้ทูลถามปัญหาแด่พระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงตรัสปริยายธรรม และ ทรงตอบปัญหา จนทำให้ท้าวสักกะเทวราช ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาปัตติผล จึงเปล่งอุทานคำบูชาขึ้นว่า


    "อะระหะโต" แปลเป็นใจความว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง


    ๕. "สัมมาสัมพุทธัสสะ" เป็นคำกล่าวยกย่องสรรเสริญ ของท้าวมหาพรหม หลังจากได้ฟังธรรม จนบังเกิดธรรมจักษุ จึงเปล่งคำสาธุการ


    "สัมมาสัมพุทธัสสะ" หมายถึง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง


    ดังนั้น การตั้งนะโมจึงเป็นไหว้ครู สรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระบรมครูของ ๓ โลก จึงขอนำคาถาฎีกานะโมมาไว้ให้ท่านทั้งหลายได้สวดท่องป้องกันภัยในทุกทิศ ประสิทธิทุกศาสตร์ ดังคำกล่าวที่ว่า "ท่องนะโมโตเต็มโลก"


    นะโม สาตาคิริยักโข ตัสสะ อะสุรินโท ปะวุจจะติ

    ภะคะวะโต จาตุมมะหาราชา อะระหะโต สักโก ตะถา

    สัมมาสัมพุทธัสสาติ มะหาพรัหเมหิ ปะวุจจะติ ฯ


    การเปล่งวาจาว่าบทนมัสการ ต้องว่า ๓ จบเสมอ มีเหตุผลดังนี้


    จบที่ ๑ เพื่อ นมัสการ "พระวิริยาธิกพุทธเจ้า" ระยะกาลบำเพ็ญพระบารมี ๑๖ อสงไขย ๑ แสนกัลป์


    จบที่ ๒ เพื่อ นมัสการ "พระสัทธาธิกพุทธเจ้า" ระยะกาลบำเพ็ญพระบารมี ๘ อสงไขย ๑ แสนกัลป์


    จบที่ ๓ เพื่อ นมัสการ "พระปัญญาธิกพุทธเจ้า" ระยะกาลบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขย ๑ แสนกัลป์


    อีกมติหนึ่งให้เหตุผลว่า มาจากพุทธคุณ ๓ ประการ ได้แก่....


    ๑. พระปัญญาธิคุณ

    พระพุทธเจ้ามีความรู้ทั้งด้านทางโลก รู้การเกิดและการตายของสัตว์โลก รู้ทางแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสของพระองค์ ในที่สุดพระองค์ทรงค้นพบความจริง ๔ ประการ คือ


    รู้ทุกข์

    รู้เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ (สมุทัย)

    รู้ความดับทุกข์ (นิโรธ)

    รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค)


    ทั้งหมดนี้เป็นพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า พระปัญญาธิคุณ


    ๒. พระบริสุทธิคุณ

    พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุธรรมและหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง คือ

    ความอยาก (โลภ)

    ความเกลียด ไม่พอใจ (โกรธ)

    ความหลง (โมหะ)

    ดวงจิตของพระองค์ที่สะอาดบริสุทธิ์ สงบผ่องใสทั้งหมดนี้ เป็นคุณของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า พระบริสุทธิคุณ


    ๓. พระมหากรุณาธิคุณ

    หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้เสด็จไปสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ได้รู้ในพระสัทธรรมที่พระองค์ทรงรู้แจ้ง โดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย พระองค์ทรงสั่งสอนคนทุกคนเสมอเหมือนกันหมด เป็นเวลา ๔๕ ปี การกระทำทั้งหมดนี้เป็นพระคุณของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า พระมหากรุณาธิคุณ.


    ขอบคุณข้อมูล.

    มหากรุณาพุทธาลัย โรงเจวัดสว่างอารมณ์ แคเเถว นครปฐม 。 佛統三王阿隆大佛禪寺。大悲佛殿


     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทหารรับจ้างฝรั่งเศส


    สูทกันกระสุน ฉบับ JOHN WICK ราคาเริ่มต้นเพียง 2 แสนบาทเท่านั้น !!!


    ว่าด้วยเรื่องของชุดสูทสำหรับคุณผู้ชายแล้ว นับเป็นเครื่องแต่งกายให้อีกหนึ่งชุดที่ให้ลุคที่ดูเป็นทางการ เนี้ยบ และเรียบหรูพร้อมกันในหนึ่งเดียว จึงนับเป็นชุดที่ขาดไม่ได้เลยในตู้เสื้อผ้าของหนุ่ม ๆ


    ร้านตัดสูทดังกล่าวมีชื่อว่าการ์ริสัน บีสโป๊ค


    (Garrison Bespoke) ได้ผลิตเสื้อสูทกันกระสุนออกมาเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงต่อการลอบทำร้ายด้วยเสื้อชนิดนี้ ทว่าในขณะเดียวกันก็ยังคงต้องการรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีเอาไว้ด้วย ซึ่งทางร้านก็คอนเซ็ปต์ในการทำเสื้อเกราะเวอร์ชั่นสุดเนี้ยบนี้ไว้ว่า


    1.ดีไซน์ต้องดูโมเดิร์นและมีสไตล์


    2.เสื้อควรมีน้ำหนักเบาและสวมใส่สบาย และสุดท้ายซึ่งสำคัญมากที่สุดนั่นคือ ความปลอดภัย


    โดยสูทเสื้อเกราะที่ว่านี้ สามารถป้องกันการถูกลอบทำร้ายจากมีด ปืนขนาด 9 มม. ในระยะประชิดได้สบาย ๆ ซึ่งงานนี้ต้องยกประโยชน์ให้กับทางร้านที่เลือกใช้คาร์บอนนาโนทูบส์มาใส่ไว้ด้านในของเสื้อกั๊กและแจ็คเก็ตสูท


    ตามรายงานของเว็บไซต์ digitaltrends.com เผยว่าราคาค่าตัดเสื้อสูทดังกล่าวน่าจะอยู่ราว ๆ 20,000 เหรียญ (แต่ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นราคาเหรียญสหรัฐหรือแคนาดา) นักธุรกิจหรือเศรษฐีคนใดอยากได้สูทกันกระสุนเท่ ๆ ชุดนี้ไปใส่ ก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของทางร้านตัดเสื้อนะครับ


    ร้าน : Garrison Bespoke


    ที่มา :



     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สำนักข่าวอาเซี่ยน


    ปลด “ยิ่งลักษณ์” พ้นเก้าอี้ ปธ.ซัวเถาฯ ตั้งชาวจีนนั่งแทน เหตุพาสปอร์ตปลอม

    .

    ซ่านโถวฯ 20 ม.ค.- “ซัวเถา อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเทนเนอร์” ปลด “ยิ่งลักษณ์” พ้นเก้าอี้ประธานแล้ว หลังดำรงตำแหน่งไม่ถึง 1 เดือน ให้ชาวจีน ชื่อ เฉินอุยตง ทำหน้าที่แทน

    .

    วันนี้ (20 ม.ค.) สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ได้รับแจ้งข้อมูลจากแหล่งข่าวในฮ่องกง ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์บริษัท ซ่านโถว อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัลส์ (Shantou International Container Terminals) หรือ SICT ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับท่าเรือที่ตั้งอยู่ในมณฑลกวางตุ้งของจีนด้วย ได้เผยแพร่ข้อมูลการเปลี่ยนตัวประธานกรรมการใหม่ จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ผู้หลบหนีคำพิพากษาคดีจำนำข้าว เป็นชาวจีนที่ชื่อว่า เฉินอุยตง เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2562 หลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2561 นับรวมระยะเวลาไม่ถึงเดือน

    .

    ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ในฮ่องกง นำเสนอข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ได้ใช้หนังสือเดินทางกัมพูชาในการจดทะเบียนเป็นกรรมการเพียงผู้เดียวของบริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น (P.T. Corporation Company) บริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในฮ่องกงเมื่อ 24 ส.ค. 2561 หรือเกือบหนึ่งปี หลังจากหนีออกจากไทยก่อนคำตัดสินคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ บริษัท ซ่านโถว (อ่านแบบจีนแต้จิ๋ว คือ ซัวเถา) อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัลส์ (Shantou International Container Terminals) หรือ SICT ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับท่าเรือที่ตั้งอยู่ในมณฑลกวางตุ้งของจีนด้วย

    .

    ต่อมา สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบว่า ผู้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท P.T. Corporation ในฮ่องกง คือ บริษัท P.T. Corporation ซึ่งเป็นธุรกิจของคนในครอบครัวชินวัตร ในประเทศไทย และยังเป็นผู้ถือหุ้นเพียงรายเดียวของบริษัทด้วย นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังแจ้งที่อยู่ส่วนตัว คือ บ้านเลขที่ 10 ถนน Severn 8 ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง

    .

    ขณะที่ เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ระบุว่า เอกสารในการเข้าบริหารบริษัทดังกล่าวถือเป็นหลักฐานชิ้นแรกเกี่ยวกับการทำธุรกิจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นับตั้งแต่หลบหนีออกจากประเทศไทย จนถึงบัดนี้ยังไม่มีข้อมูลออกมาว่า บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น ทำธุรกิจอะไรกันแน่ แต่หลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ก่อตั้งบริษัทดังกล่าวเพียงแค่ 4 เดือน ก็มีรายงานออกมาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เข้าไปนั่งเป็นประธานบริหารบริษัท ซ่านโถว คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล บริหารท่าเรือซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน

    .

    ส่วนประเด็นการใช้หนังสือเดินทางกัมพูชาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้น ทางการกัมพูชาได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีการออกให้แต่อย่างใด เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นชาวต่างชาติ การจะออกหนังสือเดินทางให้จะต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและกษัตริย์นโรดมสีหมุนีลงพระปรมาภิไธเท่านัั้น จึงเท่ากับหนังสือเดินทางกัมพูชาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นเป็นของปลอม

    .

    ต่อมาสมเด็นฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ลงนามสนคำสั่งยกเลิกการออกหนังสือเดินทางทางการทูตให้ชาวต่างชาติที่มาเป็นที่ปรึกษา หรือผู้ช่วยข้าราชการระดับสูงของกัมพูชา โดยหนังสือเดินทางที่ออกให้ไปแล้วนั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศเรียกเก็บคืนภายใน 1 เดือน ซึ่งนักวิเคราะห์ได้แสดงความเห็นว่า ท่าทีดังกล่าวนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้หนังสือเดินทางประเทศกัมพูชาเพื่อจดทะเบียนบริษัทในฮ่องกง.


     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Candy Bella


    ..... ซากซับกระท้อน.....


    เล่าโดย : คุณธกร คนชอบเล่า


    หนึ่งในเรื่องราวของคุณวัธนา บุญยัง ที่คุณธกรได้หยิบยกนำมามาเล่าให้ฟังอีกที ป่าซับกระท้อนเป็นแดนดิบดงเถื่อน เป็นป่าลึกกว้างใหญ่ กินพื้นที่อยู่หลายจังหวัด พื้นที่สลับซับซ้อนเป็นเขาสูง และมีลำห้วยลำธารหลายสาย เป็นป่าต้นน้ำที่ไหลลงแม่น้ำปิง ในเขตจังหวัดตากและกำแพงเพชร


    ซับกระท้อนไม่ค่อยถูกรบกวนจากผู้คนมากนัก เพราะมีป่าชนกันอยู่โดยรอบ มีหมู่บ้านเล็กๆอยู่หลายแห่ง กระจัดกระจายกันอยู่ตามเชิงเขาและริมลำห้วยทั่วไป หมู่บ้านเหล่านี้เป็นหมู่บ้านเถื่อน ไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีทะเบียนราษฎร์ของทางการ เนื่องจากบางบ้านนั้น เพิ่งจะย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่ง บางบ้านพออยู่ได้ไม่ทันไรก็ย้ายหนี เพราะสู้ภัยจากความดิบเถื่อนของพื้นที่ไม่ไหว


    มีทั้งโรคระบาด ส่วนมากไม่พ้นไข้ป่า หรือมาลาเรีย อาจจะมีไข้รากสาด หรืออหิวาต์บ้างก็บางครั้ง ไข้ป่าในถิ่นดงดิบแถบนี้จะรุนแรงมาก มาลาเรียบางชนิดเป็นแบบลงกระเพาะ มีอาการปวดท้องและเป็นไข้ เป็นๆหายๆ ร่างกายผอมลง แต่พุงป่องขึ้นทุกวัน หนักเข้าก็จะตาย ซึ่งจะช้าหรือว่าเร็วก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่ายกายแต่ละคน


    หมู่บ้านอยู่ห่างไกลความเจร็ญมาก เรื่องสุขอนามัยนั้นไม่ต้องพูดถึง นอกจากพวกชาวบ้านยังยากจน และความรู้ก็ยังน้อย ยังด้อยโอกาศไม่มีทางออกไปหาหมอ กว่าจะนั่งเกวียนโขยกเขยกออกไปถึงหมู่บ้านอื่น ก็ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน หลายครั้งก็ไม่สามารถพาคนไข้ไปถึงหมอได้ และก็ไม่ได้กลับบ้าน ต้องฝังกันไว้กลางทาง


    นอกจากจะต้องเจอกับไข้ป่า ก็ยังมีภัยจากสัตว์ร้ายอีกนานาชนิด ทั้งช้าง เสือ หมูป่า และหมาใน ที่จริงแล้วก็เพราะชาวบ้านไปบุกลุกที่อยู่ของพวกมันก่อน ช้างโขลงมักจะยกโขยงกันออกมาเหยียบย่ำพืชไร่ที่ปลูกเอาไว้ ทั้งข้าวโพด มันสําปะหลัง และถั่วต่างๆ พอได้กินเข้าครั้งนึงก็ติดใจ ปลูกพืชไว้พอติดดอกออกผล ช้างก็จะพากันมาบุกเสียหายยับเยินเหมือนเดิม


    ชาวบ้านฐานะยากจน เรื่องปืนผาหน้าไม้ดีๆจึงไม่มีใช้ ส่วนมากเอาไว้ยิงนกยิงหนู พวกกระรอก กระต่ายบ้าง ไอ้เรื่องจะไปยิงช้างก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยง ได้แต่ยิงไล่ หรือไม่ก็ตีเกราะเคาะไม้ไปตามเรื่อง นอกจากช้างก็ยังมีเสือลายพาดกลอน มาเพ่นพ่านให้อกสั่นขวัญหายกันทั้งหมู่บ้านอีก แม้ว่านานๆครั้งที่เสือจะกัดคน แต่ขึ้นชื่อว่าเสือ แค่ได้ยินชื่อชาวบ้านก็สั่นไปทั้งตัว


    ส่วนมากมักจะเป็นวัวควายมากกว่า ที่ว่าจะเป็นเหยื่อของเสือร้าย แต่แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ๆหน้ากลัว แต่ขณะเดียวกัน ธรรมชาติอันสวยงามร่มรื่น และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารที่หาได้ง่ายๆ เช่นกุ้ง ปู ปลา หรือหอยจากลำห้วย ตามลำธารและหนองบึง ก็ยังมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่หามากินเป็นอาหารได้ไม่ยากมากนัก ตั้งแต่แย้ กระรอก กระแต กระต่าย จนถึงชะมด และอีเห็น ถ้ามีฝีมือหน่อยก็อาจจะได้พวกเก้ง ไม่ก็หมูป่า


    อากาศหนาวลงมาจากเทือกเขาทางเหนืออย่างต่อเนื่อง ต้นไม้ในป่าสูงทิ้งใบร่วงจนโกร๋น แต่ก็ยังมีไม้ล้มลุกอย่างบอน กูดหวาย และเถาวัลย์พันละโยงละยางตามลำห้วย ลมที่พัดลงมาตามช่องเขาทำให้เกิดเสียงแกรกกราก จากใบไม้ที่มันร่วงลงมา พวกน้ำที่อยู่ตามแหล่งลำห้วยก็เหลืออยู่ไม่มากนักเพราะความแล้ง


    บ่ายแก่ๆของวันหนึ่ง มีชายวัยกลางคนสามคน เดินลุยลำธารแห้งๆตามกันไป ทุกคนสะพานปืนแก๊ป และย่ามใส่ของที่จำเป็น คนเดินหน้าสอดส่ายสายตาไปตามตลิ่งสูงชัน อีกสองคนก้มๆเงยๆ ดูตามพื้นใต้ฝ่าเท้า ซึ่งบนทรายชื้นๆสลักันหินระเกะระกะ มีรอยเท้าของสัตว์ใหญ่ให้เห็นตลอด ตั้งแต่ช้าง กระทิง ลงมาถึงกวาง


    แต่ที่พบเห็นมากมายคือรอยของหมู ทั้งหมูป่าที่หากินอยู่ตัวเดียวโดดๆ เรียกว่าหมูโทน และก็มีทั้งที่มาเป็นหมู่คณะ มีรอยขุดคุ้ยของฝูงหมู ทำให้พื้นลำธารนั้นขรุขระ หมูพวกนี้กินได้หมดที่มันเจอ ตั้งแต่ไส้เดือน รากไม้ หัวมัน แม้กระทั่งงูต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่งูเห่า


    ในสามคนนี้ มีชมาชิกก็คือ พรานอิน ซึ่งเป็นคนต่างถิ่น แต่เคยได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือถึงความชุกชุมของสัตว์ป่าในซับกระท้อนมานานแล้ว มีเวลาจึงได้ชวนพรานชุ่ม ซึ่งเป็นรุ่นน้อง ออกเดินทางมายังตีนเขาห้วยโสม จากนั้นก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านของเพื่อนเกลอในหมู่บ้านเล็กๆชายป่าอยู่อีกสองคืน


    จึงได้พากันชวนเพื่อนเกลอออกเที่ยวป่าหาล่าสัตว์ตามคำร่ำลือทันที ออกจากลำห้วยโสมกันตั้งแต่เช้า เดินบุกป่าฝ่าดงรกชัฏกันวันนึงเต็มๆ แต่ก็ยังไม่พบสัตว์ที่ควรค่าแก่การยิง ที่พบก็มีพวกลิงแสม ชะนี และค่างอีกฝูงใหญ่ ไม่นับนกที่มีอยู่เกลื่อนกลาดบนยอดไม้ใหญ่


    คืนแรก พรานอินทำเพิงพักนอนที่ใต้โคนต้นต้นมะเดื่อใหญ่ ซึ่งอยู่ริมห้วย ก็หุงหาอาหารกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ มีทั้งปลาดุกปลาช่อน ที่วิดได้จากวังน้ำในลำธาร และยังตะพาบน้ำที่พรานชื่นไปล้วงได้มาจากใต้ก้อนหิน ทำให้อาหารวันนั้น มีความอุดมสมบูรณ์กันมาก ทั้งพรานอิน พรานชุ่ม ทิดช่วย จึงอิ่มหนำสำราญกันไป


    เมื่อตกดึก พรานอินก็ชวนพรานชื่อออกเดินส่องไฟไปตามลำห้วย เพื่อตรวจดูรอยสัตว์ แต่ก็ยิงอะไรกันไม่ได้สักอย่าง กลับมาด้วยความผิดหวัง ได้มานอนจนใกล้รุ่ง วันรุ่งขึ้น ทิดช่วยพาพรานอินข้ามสันเขาไปสองลูก จากป่าแล้งเข้าสู่ป่าดงดิบ ที่ต้นไม้แทบจะไม่ผลับใบกัน


    รอยเกวียนเก่าๆก็ยังมีให้เห็น ต้นหญ้าประเภทโด่ไม่รู้ล้มและต้นไม้กวาด ขึ้นรกจนแทบจะมองไม่เห็น ทิดช่วยบอกกับพรานอินว่า"เท่าที่รู้มา ข้ามเขาลูกนี้ไป ก็ถึงหมู่บ้านที่เราพูดถึงเมื่อคืนน่ะ"


    พรานอินพููดขึ้นว่า "นี่ก็บ่ายมากแล้ว รีบเดินกันเถอะ จะได้ไปพักที่หมู่บ้านนั้น" พูดเสร็จก็เร่งฝีเท้าขึ้น เมื่อเดินไปก็พบร่องรอยที่ตัดต้นไม้ไว้เป็นแถบๆ แสดงว่าใกล้หมู่บ้านมากแล้ว คนทั้งสามปีนฝ่าความลาดชันของขุนเขา เมื่อข้ามพ้นเส้นดอยก็แลเห็นไร่กว้าง สลับกับกระท่อม ที่เรียงรายอยู่ในหุบเขาลิบๆเบื้องล่าง


    ทั้งสามคนต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง ทั้งไต่เขา ไหนจะอากาศที่ร้อน และป่าอันรกชัฏอีก ไต่เขาเนินสูงอีกสองลูก ทำให้คนทั้งสามต้องพักหยุดหอบหายใจ สายตามองไปเบื้องล่าง ทั่วทั้งหุบเขากว้างใหญ่ มีลำธารสายนึงไหลผ่านที่ราบตรงกลาง ทำให้ดูเป็นทำเลที่น่าอยู่และน่าทำมาหากินมาก เพราะว่ามีน้ำผ่านอย่างทั่วถึง พื้นดินก็น่าจะดี เนื่องจากมีตะกอนทับถมกัน สายน้ำก็คงจะชะดินที่อุดมสมบูรณ์มาพอกพูนให้อยู่ทุกปี


    แต่เกิดอะไรขึ้น จากสายตาของคนทั้งสาม สิ่งที่เห็นก็คือ กระท่อมหลายสิบหลังที่เรียงรายอยู่ห่างๆตามเชิงเขาเหนือลำธารนั้น ทุกหลังมีสภาพทรุดโทรม หลังคามุมแฝกหลุดลุ่ย บางหลังเหลือเพียงพื้นกระดานที่มีเสาตั้งโย้เย้ บางหลังพังพาบลงมากองกับพื้น เหมือนโดนช้างพังทลาย บางหลังก็มีเถาวัลย์พันเกี่ยวรกรุงรังอยู่หลายหลัง


    พื้นที่ๆเคยเป็นทั้งไร่นาและแปลงปลูกผัก บัดนี้รกร้าง และมีวัชพืชขึ้นปกคลุมไว้จนแทบมองไม่เห็นอะไร ต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่เป็นหลักฐานของการก่อตั้งบ้านเรือนในป่า ยังยืนต้นงอกงามอยู่ท่ามกลางพื้นหญ้าข้างล่าง


    ทั้งขนุน มะม่วง ส้มโอ น้อยหน่า มะขาม บางต้นมีล่องลอยขวิดของกวางหรือว่ากระทิง ส่วนยอดของบางต้นอาจจะถูกฉีกลงมาโดยช้าง ข้างบ้านหลายหลังก็ยังมีทั้งเกวียนและข้าวของเครื่องใช้อยู่อย่างครบครัน


    มันเกิดอะไรขึ้น สภาพอันร้างของบ้านโป่งกระทิง ทำให้ทั้งสามคนเกินความงุนงง ทิดช่วย คนบ้านซับกระท้อนเชิงเขาด้านล่างแสดงสีหน้าแปลกใจ พร้อมกับพูดว่า "ข้ารู้สึกงงจริงๆ ปีที่แล้วยังเอาของมาขายที่นี่อยู่เลย มาพักกับลุงจันตั้งสองคืน ทุกคนก็ดูอยู่สบายดี ไม่มีช้างไม่มีเสือรบกวน นี่ข้าไม่ได้มาเสียปีเดียวเอง มันร้างไปได้ยังไง"


    พรานชุ่มออกความเห็นว่า "สงสัยเกิดเหตุร้ายมากกว่า เพราะถ้าย้ายบ้านธรรมดา ไม่น่าจะทิ้งเกวียนและของใช้เกลื่อนอย่างนี้" ทิดช่วยก็ถามพรานอินอย่างร้อนใจว่า "นี่ก็ใกล้จะค่ำลงแล้ว เราหวังจะมาพักกันที่นี่ แต่เมื่อมันเป็นอย่างงี้จะเอาไงกันดีอ่ะ"


    พรานอินจึงพูดว่า "ข้าก็คิดอยู่ มันคงจะไม่เหมาะนัก ถ้าเราจะพักที่หมู่บ้าน อะไรเป็นอะไรก็ยังไม่รู้เลย รีบไปหาที่พักกันแถวต้นน้ำโน่นดีกว่า เดี๋ยวมันจะมืดซะก่อน" พูดจบก็ก้าวนำหน้าลิ่วไปเลย ทั้งสองคนเลยรีบเดินตาม


    พรานอินพาเดินบุกป่ารก ที่ยังพอมีร่องรอยการเดินป่าอยู่ลางๆ ต้นหญ้าและวัชพืชชึ้นปกคลุมจนหนาแน่น โชคดีที่มันเป็นหน้าแล้ง ทำให้มันแห้งตายไปซะมาก ไม่อย่างนั้นมันคงจะเป็นหารเดินที่ลําบากมาก ด้านขวาคือภูเขา บางช่วงก็มีดินหินทลายลงมาขวางทาง ซ้ายมือคือลาดเขา ทุ่งหญ้าสลับก่อนหิน ต้นพวง ต้นเหียงละยาง


    ทางเดินที่เดินอยู่นั้น คงเป็นทางเก่าที่ชาวบ้านต้อนฝูงสัตว์มาหากินหญ้าบนภูเขา เพราะเท่าที่สังเกตยังมีขี้วัวและขี้ควายแห้งๆให้เห็นเป็นระยะ พรานอินก็ได้แต่คิดไปด้วยในขณะที่กำลังเดิน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านนั้นกันแน่ คิดอีกที ถ้าไม่มีคนอยู่ สัตว์เลี้ยงพวกนี้ก็ต้องตกเป็นอาหารของสัตว์ป่าหมด วัวควายและหมา เป็นอาหารโปรดของเสือและหมาใน ส่วนเป็ดไก่คงหนีไม่พ้นพวกอีเห็นและชะมด หรือไม่ก็งู


    การเดินเป็นไปอย่างเร่งรีบ เหงื่อไหลซึมท่วมตัว แม้ว่าอาการจะไม่ค่อยร้อน แต่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับแนวจากสันเขาสูงซ้ายมือเรื่อยๆ ทำให้ช้ากันอยู่ไม่ได้ ในที่สุด เส้นทางลบเลือนก็ลดต่ำลง ปรากฏให้เห็นลำธารที่มีสายน้ำกระเซ็นประทะกับก้อนหิน ส่งเสียงดังซู่ซ่าเบาๆ ตรงทางที่สุดเขตหมู่บ้าน ใกล้แนวเทือกเขาสองเทือกชิดกัน โดยมีลำธารไหลผ่านกลาง


    ป่าบริเวณริมน้ำยังร่มครึ้มอยู่บ้าง มีพุ่มไม้เล็กที่ไม่ผลัดใบอยู่ขึ้นเบือดเสือด ทั้งผักแต้ว มะกอกน้ำ หวาย และผักป่าพวกบอน กล้วยป่า ผักกูด ผักหนาม และผักแพวขึ้นหนาแน่นตลอดริมฝั่ง


    พรานอินพาเดินตัดลงมายังที่ราบใกล้น้ำ ตรงโคนต้นกระบกใหญ่ พื้นดินใต้ต้นกระบกค่อนข้างจะเตียน พรานชุ่มและทิดช่วยที่เดินตามมา นึกชมพรานอินที่เลือกทำเลได้ดีน่าพัก พรานชุ่มเดินไปเลือกตัดหาไม้ไผ่ปล้องใหญ่มาหุงข้าว ทิดช่วยไปตัดกิ่งไม้มาทำฟืน พรานอินเดินท่องน้ำไปหาฟันปลา ขากลับก็ยังเก็บผักป่ามาเป็นหอบ ทั้งผักหนาม ผักกูด ผักแพว และหัวปลีกล้วยป่า


    ลมหนาวพัดกระโชกแรงขึ้นเมื่อหมดแสงแดด และเนื่องจากตรงนี้เป็นช่วงเขา สายลมจึงแรงกว่าปกติ เสียงกิ่งไม้แห้งหักหล่นดังกรอบแกรบ ทั้งระยะใกล้และระยะไกล สายลมที่พัดผ่านซอกเขาก็ดังหวีดหวิวน่าวังเวง


    พรานชุ่มเสริมฟืนเข้าไปในกองไฟ ถามพรานอินว่า "เลือกที่ตรงเนี้ย ดึกๆจะนอนกันไหวหรือเปล่าเนี่ย มันหนาวนะ" พรานอินหัวเราะเหอะๆ แล้วเอื้อมมือไปจุดบุหรี่จากกองไฟ และบอกว่า "หนาวตายไม่เป็นไรหรอก เพราะยังไงก็ไม่ตาย แต่ถ้าไม่นอนตรงนี้ ไปนอนในหมู่บ้านนั้น อาจจะตายเพราะอย่างอื่น"


    ทิดช่วยพูดในขณะเตรียมตั้งวงข้าวว่า "และใครพอนึกออกบ้างว่ามันเป็นอะไรอ่ะ หายกันไปหมดทั้งหมู่บ้าน ถ้าจะให้ข้าสันนิษฐานนะ หมู่บ้านป่าที่จะร้างมันก็มีไม่กี่สาเหตุหรอก หนึ่ง ไข้แรงจนอยู่กันไม่ไหว หรืออาจจะโดนโรคห่า โรคท้องร่วงอย่างแรง สอง อาจจะโดนสัตว์ร้ายมารบกวน ส่วนมากไม่ช้างก็เสือ สาเหตุนอกจากนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่ะ ไม่นึกว่าจะมีอะไร จนถึงกับต้องย้ายหนี แต่พรานอินไม่เห็นเหรอ ว่าข้าวของทั้งกระบุกตะกร้า ยังเกลื่อนอยู่ลานบ้าน ถ้ามันย้ายก็คงไม่ทิ้งไว้หรอก"


    พรานอินฉุดคิด จึงพูดออกมาว่า "เออ จริงของเอ็งว่ะทิดช่วย ข้าถึงว่าสิ นึกยังไงก็นึกไม่ออก เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราไปสำรวจดูกันดีกว่า แต่ตอนนี้หิวข้าวเหลือเกิน กินกันสักทีเถอะ" ทั้งสามคนนั่งล้อมวง มีใบตองปูรองพื้น ข้าวหลามจากกระบอกไม้ไผ่หอมกรุ่นควันฉุย น้ำพริกเผาผักสด ปลาช่อนย่าง และปูหินต้มน้ำแกงผักกับหัวปลี เป็นกับข้าวที่ทุกคนเห็นแล้วต้องน้ำลายสอขึ้นมาทันที


    วงข้าวยังไม่ทันจะเริ่ม เสียงหมาเห่าก็ดังแว่วมาจากหมู่บ้าน มันเหมือนหมาบ้านยิ่งกว่าจะเป็นเสียงของหมาใน พรานอินผุดลุกขึ้นยืนทันที พร้อมกับสบถออกมาอย่างแปลกใจ "อะไรว่ะ หมู่บ้านร้างอย่างนี้ ยังจะมีหมาอยู่อีกเหรอว่ะเนี่ย"


    ป่ามืดสลัวเย็นวังเวง บนท้องฟ้ามีพระจัทร์เสี้ยวข้างขึ้นแขวนอยู่เหนือยอดเขา ในเสียงซู่ซ่าของสายลมหนาวที่พัดผ่านยอดไม้และซอกเขานั้น มีเสียงหมาเห่ากรรโชกมาเป็นพักๆ เสียงนั้นแว่วมาจากที่ไกลๆ ฟังแล้วเหมือนว่าจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


    พรานชุ่มพูดว่า "เสียงเหมือนหมาบ้านนะ" แล้วคว้าปืนขึ้นมาถือ พรานอินเพ่งสายตาผ่านความมืดไปทางทิศที่ได้ยินเสียง แล้วพูดว่า "ก็หมาบ้านน่ะสิ มันมาได้ยังไงวะ" พรานชุ่มหันไปถามทิดช่วยว่า "แถวนี้นอกจากโป่งกระทิงแล้วยังมีบ้านใกล้ๆอีกหรือเปล่า"


    ทิดช่วยตอบกลับว่า "ไม่มีหรอก ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่ลึกสุดแล้ว" พรานชุ่มสงสัยจึงพูดออกมาว่า "เอะ หรือว่ายังมีคนในหมู่บ้านหลงเหลืออยู่บ้าง" พรานอินแย้งขึ้นว่า "เฮ้ย ก็เห็นกันอยู่ว่าบ้านเรือนมันผุพังหมด จะมีใครอยู่ได้ยังไง ไร่ก็รกเป็นป่า แต่เอาเถอะ ถ้ามันเป็นหมาบ้านจริงๆ ก็ต้องมีคนอยู่ เพราะถ้าไม่มีคน หมาบ้านมันอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้หรอก ช่างมันเถอะ กินข้าวกันดีกว่า"


    การกินข้าวน่าจะอร่อยมากกว่านี้ ถ้าไม่เป็นเพราะเสียงของหมา ที่มันทำให้ทุกคนมีคำถามอยู่ในใจ แค่มาพบหมู่บ้านร้างในไร่ซาก มันก็หน้าฉงนมากอยู่แล้ว แล้วนี่ยังมาได้ยินเสียงหมาเห่าเหมือนว่ายังมีคนอยู่อีก คิดแล้วงงเหลือเกิน


    กินข้าวกันเสร็จ เสียงน้ำที่มันกระทบหินในลำธาร ก็ทำให้ป่าไม่เงียบจนเกินไป พรานอินหยิบเหล้าที่ติดมาขึ้นมาจิบ แล้วส่งต่อให้เพื่อนหมุนเวียนกันไป เพื่อแก้อากาศหนาวเย็น เหล้าป่าดีกรีแรง มันช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นเยอะ


    ทิดช่วยถามหลังจากที่จิบเหล้าที่พรานชุ่มส่งให้ว่า "คืนนี้จะเอายังไงกันดีอ่ะ ไหนๆก็ไม่ได้นอนในหมู่บ้านกันแล้ว" พรานอินจึงบอกแผนว่า "ออกเดินส่งไฟกันดีกว่าว่ะ รอยตีนกวางเดินย่ำริมห้วยเป็นทางเลย หาเนื้อย่างสักคนละหาบสองหาบแล้วค่อยกลับ จะได้ไม่เสียเที่ยว"


    ทิดช่วยถามว่า "จะไปกันสามคนเลยเรอะ" พรานอินก็บอกว่า "ไปทำไมสามคน เกะกะหนวกหูกันเปล่าๆ เอาอย่างนี้ พรานชุ่มเดินไปตามทางต้นน้ำคนเดียว ส่วนทิดช่วยไปทางปลายน้ำกับข้า"


    ทิดช่วยได้ยินแบบนั้นก็ทำน่าตื่น ถามกลับว่า "อ่ะๆ ปลายน้ำทางหมู่บ้านน่ะรึ จะดีรึ" พรานอินตอบว่า "สบายใจได้ เอ็งก็น่าจะรู้หนิว่าไปกับใคร" ทิดช่วยจึงพูดว่า "เออถ้าพรานอินรับรองอย่างนั้นก็เอา เป็นอะไรก็เป็นกัน อาจจะได้เจอกับไอ้หมาตัวที่เห่านั้นก็ได้ จะได้รู้กันเลยว่ามันเป็นอะไร"


    เวลาเกือบจะสามทุ่ม เงาพระจันทร์เคลื่อนต่ำลงจวนจะลับยอดเขา ลมหนาวยังพัดโชยมาเพื่อความเย็นยะเยือก พื้นน้ำเหนือลำห้วยมีละอองหมอกลอยกรุ่น พรานชุ่มเตรียมปืนแก๊ป ไฟฉายติดหน้าผาก ฉวยย่ามขึ้นคล้องไหล่ พรานอินตรวจดูย่าม บรรจุกระสุนปืน ส่วนทิดช่วยนอกจากปืนแล้ว ยังเหน็บมีดดาบยาวติดหลังไปอีกเล่มหนึ่ง


    นัดหมายกันว่าถ้าหลังเที่ยงคืนยังไม่ได้อะไร ก็ให้กลับมาพักผ่อนนอนกัน พรานชุ่มเดินเรียบแนวตามลำห้วยไปทางต้นน้ำ บนพื้นดินทรายสลับก้อนหิน มีร่องรอยทางเดินของคนในหมู่บ้านที่เริ่มจะรกร้าง ด้วยรอยสัตว์ป่าหลายชนิด ทั้งหมูป่า เก้งและกวาง


    พรานชุ่มรู้ดีว่า มีไร่ร้างหรือไร่ซากที่ไหน สัตว์ป่ามักจะชอบหาผักหาหญ้าชาวบ้านที่ทิ้งไว้กิน พระจันทร์ลดต่ำลับแนวยอดเขาไปแล้ว แนวป่าเริ่มดำมืดขึ้นทุกขณะ แสงไฟบนหน้าผากกราดส่องไปกระทบผืนน้ำในลำห้วยวอมแวม


    มีแสงตาแดงๆเล็กๆ สะท้อนมาจากริมตลิ่ง มันอาจเป็นตาของพวกแมลงเล็กๆ กบเขียดหรือปูภูเขา เดินไกลออกไปเรื่อยๆ ปารกทึบขึ้น เส้นทางเต็มไปด้วยก้อนหินโตๆ ทำให้เดินได้ค่อนข้างลำบากมาก เสียงซู่ซ่าของสายน้ำนั้น กลบเสียงที่เป็นรหัสของป่าจนหมดสิ้น


    พรานชุ่มส่องไฟไปเบื้องหน้า ไกลออกไปเป็นธารน้ำตก เส้นทางเรียบลำห้วยหมดไปกลายเป็นหน้าผาชัน กำลังจะหาลู่ทางปีนหน้าผาต่อไป เมื่อหันไปรอบๆ แสงไฟฉายบนหน้าผากก็ปะทะเข้ากับดวงตาคู่หนึ่ง ดวงตาขนาดใหญ่ สีแดงวาวเหมือนกับทับทิมเม็ดโต มองจ้องสวนแสงไฟไม่กระพริบ


    พรานชุ่มสะดุ้ง แม้ว่าจะเป็นพรานมานาน แต่ยังไม่มีโอกาสจะเจอดวงตาแบบนี้ในระยะใกล้สักครั้ง ขึ้นชื่อว่าเสือ ต่อให้เป็นพรานก็อดระทึกใจไม่ได้ นึกอยากจะให้พรานอินอยู่ด้วย ถ้าพราดจะได้ให้ช่วยซ้ำ เพราะปืนแก๊ปไม่เปิดโอกาสให้แก้มือได้ในระยะขนาดนี้ ตลอดเวลา สายตาแดงก่ำนั้นยังจ้องไม่หลบเหมือนท้าทาย พรานชุ่มประทับปืนเล็งนิ่ง กลั้นหายใจแล้วก็เหนี่ยวไก "ปั้ง!!"


    พรานอินกำลังเดินช้าๆอย่างไม่เร่งร้อน ไฟฉายบนหน้าผากกราดไปซ้ายทีขวาที บางทีก็กราดไล่ขึ้นไปบนเนินเขา ทิดช่วยเดินตามหลังมาด้วยความระมัดระวัง แต่ไม่วายต้องสะดุดก้อนหิน เซถลาซะหลายครั้ง เมื่อพรานอินไม่ได้มองต่ำ ทำให้มองไม่เห็นทาง


    คนทั้งสองเห็นกับตาว่าทางเดินเรียบลำห้วยนั้น แม้จะไม่มีคนใช้มานานนับปี แต่กลับไม่รก มันค่อนข้างเตียน เพราะมีรอยสัตว์เดินไปเป็นทาง แต่สิ่งที่ทำให้สบายใจก็คือ รอยเท้าที่ย่ำไว้เป็นเทือก ล้วนแต่เป็นรอยเท้าสัตว์ที่กินหญ้าทั้งสิ้น ไม่ว่าหมู เก้ง กวาง กระทั้งกระทิง หรือวัวแดงก็มีอยู่ห่างๆ


    ถ้าเป็นแบบนี้ เสียงของหมาเห่าที่ได้ยินนั้น อาจจะเป็นหมาบ้านซึ่งหลงเหลืออยู่ก็ได้ นึกได้อย่างนั้นก็อยากจะเจอกับเจ้าของเสียง อย่างน้อยถ้ามันพูดไม่ได้ ก็อาจจะเป็นกุญแจเปิดเผยอะไรให้รู้ได้สักอย่าง


    ตอนนี้พระจันทร์ลับไปนานแล้ว ไร่ซากในหุบเขาแห่งนี้มืดสลัว ลมหนาวพัดมาคราวใดทำให้หนาวสะท้าน เสียงใบไม้แห้งดังแกรกกรากเบาๆอยู่ทั่วบริเวณ พรานอินกำลังกวาดสายตา โดยที่มีไฟฉายติดหน้าผากของแกไปด้วย ไล่ขึ้นไปตามเนิน ผ่านกระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งทันใดนั้นก็ต้องหยุดกระทันหัน


    เมื่อสะดุดเข้ากับแสงตาเขียวเรืองชัดเจน กำลังจะยกปืนขึ้นเล็งโดยสัญชาตญาณพราน แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเสียงเห่าดังลั่นขึ้น จนคนทั้งสองสะดุ้ง ป่าอันสงัดเงียบเยือกเย็นด้วยไอหมอกและลมหนาว อันมีความมืดปกคลุมไปทั่ว ไม่มีเสียงนกตบยุง ไม่มีเสียงเก้ง เหมือนทุกหนทุกแห่งทั้งเขานี้ มันเงียบปราศจากสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะเสียงของหมาเห่าดังขึ้น มันเหมือนกับปลุกโลกทั้งโลกให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล


    ครั้งแรกคนทั้งสองสะดุ้ง แต่แล้วเมื่อเสียงเห่ามันยังคงดังต่อเนื่อง มันเห่ากรรโชกแบบหมาบ้านที่มีคนบุกรุก ฟังๆแล้ว น้ำเสียงมันเหมือนมีอาการหวาดกลัวอยู่ด้วย พรานอินกราดไฟฉายบนหน้าผากจ้องตรงไป


    คราวนี้นอกจากแสงตาเขียวเรืองแล้ว ยังเห็นร่างเทาแดงลับๆล่อๆ อยู่ในเงามืดใต้ถุนกระท่อมหลังหนึ่ง "จุ๊ๆๆ" พรานอินเรียกหมาตัวนั้น เสียงเห่าที่ดังลั่น บัดนี้มันค่อยๆเบาลงๆ แล้วเจ้าของเสียงเห่า ก็เดินออกมาตามเสียงเรียกลองพรานอิน


    ทั้งสองก้าวเข้าไปใกล้ๆ ทำให้เห็นร่างของหมาได้ชัดเจน มันเป็นหมาไทยธรรมดาตัวนึง ร่างผอมโกรก ขนสีออกแดงๆ ผอมเห็นซี่โครง หางยาวลู่ปิดก้น กระดิกหางอย่างไม่สู้ว่าจะไว้ใจ พรานอินเข้าไปลูบหัวมัน พร้อมกับพูดว่า "มานี่ๆ ไอ้แดง หัวแข็งจริงนะเอ็ง รอดคมเขี้ยวของเสือกับหมาในมาได้ไงวะ"


    หมาผอมแสดงอาการดีใจ กระดิกหางจนตัวส่าย ครางอี๊ดๆ เลียมือของคนทั้งสองเป็นพัลวัน ทิดช่วยพูดขึ้นว่า "แต่หน้าแปลกนะ มันกินอะไรอ่ะ มันถึงได้อยู่รอดมาได้เป็นปี ไม่น่าเชื่อ" พรานอินจึงพูดว่า "เออ ก็ไม่น่าเชื่อ เรื่องกินมันคงจะจับหนูจับกระต่ายมากินปะทังชีวิตมันมั้ง แต่ที่หน้าเหลือเชื่อคือ มันรอดจากเสือมาได้ยังไง"


    พรานอินเงยหน้าแล้วส่องไฟฉายขึ้นไปบนกระท่อมหลังนั้น ทำให้แลเห็นพื้นฟากที่ปูไว้เริ่มจะผุพัง หลังคาแฝกก็หลุดลุ่ยล่าย บันไดไม้ไผ่แบบบันไดลิงโดนแดดเผาจนเริ่มจะกร่อน มีไม้กระดานแผ่นใหญ่ พาดตรงไปตรงช่องประตู


    พรานอินพูดขึ้นว่า "อ๋อ เห็นแล้วไอ้แดง เอ็งคงอาศัยไม้แผ่นนั้นปีนขึ้นไปนอนบนบ้านแน่ๆเลย ทำให้รอดคมเขี้ยวเสือมาได้ ถ้านอนอยู่กับพื้นดินก็คงจะได้ไม่กี่คืนหรอก" ทิดช่วยเดินมาลูบหัวหมา แล้วบ่นออกมาว่า "น่าสงสารโว้ย อยู่ตัวเดียวคงจะเหงาแย่ เจ้าของเอ็งไปไหนหมดวะ"


    อย่างไม่คาดคิด จู่ๆไอ้แดงที่กำลังแสดงอาการดีใจพบคนนั้น ก็ส่งเสียงเห่าขึ้นมาอีก เหมือนมันเห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ทำให้พรานอินรีบประทับปืนขึ้นไหล่ แล้วกราดไฟฉายไปรอบๆ ไอ้แดงมันเห่าแบบกลัวๆ จากเสียงเห่าก็กลายเป็นเสียงหอน


    ป่ามืดและเงียบสงัดอย่างนั้น เสียงหอนอันเยือกเย็นของมัน ฟังแล้วโหยหวนชวนให้ขนหัวลุก เสียงของมันวังเวงปนเศร้าสร้อย เหมือนจะคอยหาเจ้าของ พรานอินตบหัวมันพร้อมกับจุ๊ปากบอกให้มันสงบ แล้วพูดว่า "เฮ้ย สงสัยต้องเอามันไปเลี้ยงซะแล้วละมั้งเนี่ย" ไอ้แดงยังคงแหงนหน้าหอนต่อไป


    ระหว่างนั้นทิดช่วยรู้สึกหนาวๆร้อนๆชอบกล แค่เข้ามาที่ไร่ซากกลางดึกอย่างนี้ก็น่ากลัวอยู่แล้ว ยังจะมีเสียงหมาหอนเยือกเย็นเข้าไปอีก ทิดช่วยจึงพูดว่า "เฮ้อๆ หอนทำไม คิดถึงเจ้าของเหรอ หรือว่าเอ็งเห็นเจ้าของวะเนี่ย"


    ยังไม่ทันทีจะขาดคำของทิดช่วย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาเบาๆ คนทั้งสองสะดุ้งสุดตัว มันเป็นเสียงลั่นออดแอดของพื้นกระท่อม พรานอินโดดออกมายืนพ้นชายคาทันที ทิดช่วยโดดตามออกไปติดๆ ยังไม่ทันทีใครจะทำอะไรถูก เสียงแหบๆก็ดังขึ้นมาจากบนกระท่อม


    "ใคร ใครมาทำอะไรหมาข้า" อีกครั้งหนึ่ง ที่คนทั้งสองต้องสะดุ้ง เนื้อตัวเย็นเฉียบยิ่งกว่าตอนที่ได้เห็นหมาอยู่ตัวเดียว พรานอินประทับปืน จ้องไปทางที่ได้ยินเสียง ไฟฉายที่ยังอยู่บนหน้าผาก กรากไปเป็นลำสว่างจ้า


    ทิดช่วยกระชับดาบในมือเพื่อเตรียมพร้อม เห็นชัดได้ว่ากระท่อมไม้โย้เย้มีอาการสั่นไหว แล้วแสงไฟจากตะเกียงกระป๋องก็ส่องสว่างขึ้น พรานอินร้องถามด้วยเสียงสั่นๆว่า "นั่นคนหรือผีวะ" เสียงแหบๆตอบกลับมาว่า "เอ็งก็เห็นแล้วนี่ นี่คนหรือผีล่ะ"


    แสงไฟจากตะเกียงกระป๋อง ส่องให้เห็นชายชราคนหนึ่ง ผมหงอกขาวโพลน นุ่งกางเกงขาก้วยเก่าๆ มีผ้าขาวม้าสีมอๆพาดไว้บนไหล่ ชะโงกหน้าออกมาดูผู้มาเยือนทั้งสอง พรานอินจึงถามว่า "อ่ะ ลุงยังอยู่รึ ทำไมบ้านช่องทรุดโทรมนักล่ะ แล้วผู้คนไปไหนกันหมดเนี่ย" แต่ยังคงไม่สู้วางใจนัก ประทับปืนค้างไว้ที่บนไหล่


    ชายชราตอบว่า "ข้าก็อยู่ของข้าที่นี่แหละ จะไปไหนก็เป็นห่วงไอ้แดงมัน ส่วนคนอื่นๆไปไหน อยากรู้ก็เข้ามาสิ จะเล่าให้ฟัง" พรานอินก้าวนำหน้า ทิดช่วยตามติดแบบไม่ยอมห่าง ตลอดเวลาไอ้แดงครางอี๊ดๆ สลับกันหอนเป็นระยะๆ


    ชายชราชักชวนว่า "ขึ้นมาก่อนสิ ระวังบันไดมันเก่านะ เออ นั่งตรงนั้นก็ได้" พรานอินก้าวขึ้นมานั่งบนพื้นที่ลั่นออดแอดน่ากลัวว่าจะหัก ทิดช่วยตามขึ้นไปนั่งเบียดอีกคน ปล่อยให้ไอ้แดงครางอี๊ดๆแล้วก็หอนอยู่ข้างล่าง


    เสียงอันแหบแห้งจากปากเจ้าของบ้านยามวิกาลก็เริ่มขึ้น "แรกๆก็สุขสบายกันดี ไข้ไม่ดุ เสือช้างไม่กวน ดินดีน้ำดี แต่ไอ้รื่นสิ ดันไปขุดเอาถ้วยชามโบราณขึ้นมาจากท้ายไร่ มันขนมาบ้านเป็นหาบๆ แรกๆก็ว่าเอาไว้ดูเล่น แต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ คงจะโลภขึ้นมาน่ะ ก็เลยชวนกันไปขุดยกใหญ่ หวังจะบรรจุเกวียนไปขายข้างนอก"


    ทิดช่วยถามด้วยความตื่นเต้นว่า "แล้วถ้วยชามมันมาได้ยังไงอ่ะลุง" "ตรงนี้มันเป็นที่พักของกองโจรสมัยโบราณ มันปล้นสะดมเมืองเค้ามาได้ ก็เข้ามาแบ่งสมบัติกันที่นี่" คนทั้งสองตั้งใจฟังด้วยความตื่นเต้น ลืมแม้แต่จะถามว่าแกรู้ได้ยังไง


    "ไปเอาของเค้ามากไปเพราะความโลภ พอตกกลางคืนเท่านั้นแหละ กองโจรแต่งกายโบราณก็เข้ามาปล้นเรา นอกจากจะขนถ้วยชามกลับไปหมด ยังฆ่าพวกเราซะเกลี้ยง ลูกเล็กเด็กแดงไม่มีเหลือ ข้ารอดมาได้เพราะมัวไปค้างซะในป่า ก็เลยได้อยู่กับไอ้แดงมันเรื่อยมาเนี่ยแหละ"


    พรานอินจึงถามว่า "ลุงอยู่ได้ยังไงคนเดียวกลางป่าเปลี่ยวอย่างนี้ เสือช้างมันไม่เข้ามากวนบ้างเหรอ" ชายชราตอบว่า "เหอะๆๆ ไม่หรอก แต่ข้าอยู่อีกไม่นาน เอ็งพาคนมาแทนไว้แล้วหนิ ยังไงเสีย เอ็งก็เอาไอ้แดงไปเลี้ยงด้วย คืนนี้เอ็งคงอยากกลับไปนอนที่พักของเอ็งมากกว่า ถ้าพรุ่งนี้มาอีกก็จัดการอะไรให้เรียบร้อยด้วยนะ ไปเถอะดึกแล้ว ข้าจะนอนล่ะ"


    ชายชราพูดจบก็ดับตะเกียง ปล่อยให้พรานอินและทิดช่วยงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อไม่สู้ว่าจะไว้ใจในสถาการณ์รอบตัว ทั้งสองคนจึงรีบเดินทางกลับที่พักกัน กว่าจะถึงที่โคนต้นกระบกก็เกือบตีสาม โดยไม่มีวี่แววของพรานชุ่ม แม้ว่าจะสงสัย แต่ก็ต้องรอให้สว่างเสียก่อน ในที่สุด ทั้งสองจึงได้หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย


    เช้าแล้ว พรานชุ่มยังไม่กลับ พรานอินชวนทิดช่วยออกตามหาด้วยความร้อนใจ เมื่อไปถึงที่น้ำตก ก็พบกับภาพที่ชวนสยองให้ตกตะลึงพรึงเพริด ร่างของพรานชุ่มแหลกเหลวไปด้วยเขี้ยวเล็บของเสือ ไส้พุงถูกเสือร้ายลากไปกินเสียหมด


    เมื่อไม่สามารถที่จะทำอะไรกันได้ จึงช่วยกันขุดหลุมฝังไว้แถวนั้น แล้วเรื่องที่สังหรณ์กันไว้ก็เป็นความจริง เมื่อคนทั้งสองย้อนกลับไปที่หมู่บ้านร้างอีกครั้งในตอนกลางวัน ไอ้แดงยังอยู่ แต่ไม่มีวี่แววของชายชราเจ้าของกระท่อม ไม่มีร่องรอยว่าเคยมีคนอยู่ด้วยซ้ำ


    สามชีวิตที่ป่าซับกระท้อน กลับออกมาสามชีวิตเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าคนหายไปหนึ่ง แต่เพื่มหมามาอีกหนึ่งตัว และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


    ขอบคุณเรื่องราวจาก :

    เพจคนอ่านผี


     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    C3D1DB0E-05C8-45BF-BFBA-C98B8739CEEA-728x485.jpg
    อาฟเตอร์ช็อกเขย่าขวัญอลาสกา แผ่นดินไหว 7 สัปดาห์ยังไม่จบ
    วันที่ 20 January 2019 - 21:32 น.
    เอบีซี นิวส์ รายงานว่า เมื่อ 20 ม.ค. เกิดอาฟเตอร์ช็อกขนาด 5.0 เขย่าขวัญผู้คนในที่รัฐอลาสกา สหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ต่อเนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวอลาสกา ขนาด 7.0 เมื่อ 7 สัปดาห์ก่อน และมีอาฟเตอร์ช็อกมาแล้วมากกว่า 7,800 ครั้ง และครั้งนี้จุดที่เกิดอยู่ห่าง 11 ก.ม. จากเมืองแองเคอเรจ เมืองที่มีประชากรสูงสุดในรัฐ และเกิดความเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 30 พ.ย.2561

    “เหตุครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าแผ่นดินไหวในพื้นที่นี้ยังไม่จบ” นาตาลี รูเพิร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว ประจำศูนย์แผ่นดินไหว อลาสกา กล่าวและกล่าวผลประเมินว่าจะมีแรงเขย่าไปอีกหลายเดือน แต่จะค่อยๆ ลดลง จากวันละ 200 ครั้งเหลือไม่กี่สิบครั้งต่อวัน

    สำหรับความเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 30 พ.ย.2561 ยังคงปรากฏตามบ้านเรือน และสิ่งปลูกสร้าง จากที่มีตัวเลขประเมินค่าซ่อมแซมความเสียหายราว 100 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3,300 ล้านบาท

    วันเดียวกัน เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง 6.7 แม็กนิจูดในประเทศชิลี ทวืปอเมริกาใต้ สั่นสะเทือนถึงภูมิภาคที่กรุงซานติเอโกตั้งอยู่ ส่งผลให้บ้านเรือนหลายพันหลังไฟฟ้าดับ แต่โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิต

    ที่มา ข่าวสดออนไลน์

    https://www.prachachat.net/world-news/news-280211
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถาบันสอนอาชีพชี้ช่องรวย


    โรงพยาบาลเอกชนต้องแสดงค่ายา-ค่ารักษาบนเว็บไซต์ให้ประชาชนเปรียบเทียบตรวจสอบก่อนรับบริการ คาดมีผลบังคับใช้เม.ย.2562


     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สำนักข่าวไทย


    อดีตเลขาธิการ ศอ.บต. เผยรู้ตัวคนร้ายลอบยิงพระวัดโคกโก จ.นราธิวาส มรณภาพและบาดเจ็บ แล้ว 5 คน เป็นคนในพื้นที่ หลังเกิดเหตุชาวบ้านให้เบาะแส > https://www.tnamcot.com/view/YrkS40q


    • อ่านข่าวเพิ่มเติม : tnamcot.com

    • เฟซบุ๊ก : fb.com/tnamcot

    • ยูทูบ : youtube.com/tnamcot

    • แอดไลน์ : line.me/R/ti/p/%40tnamcot

    • ทวิตเตอร์ : twitter.com/tnamcot

    • อินสตาแกรม : instagram.com/tnamcot

    • ช่อง 9 MCOT HD กดเลข 30


     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    A33DB472-4958-4BF2-B905-68A19FED9ACF-728x477.jpg
    เม็กซิโกร่ำไห้ ดักขอดูศพไหม้เกรียม-หวั่นไม่มีเงินทำพิธี ยอดตายอย่างน้อย 73 บาดเจ็บ 74
    วันที่ 20 January 2019 - 21:36 น.
    เมื่อวันที่ 20 ม.ค. เอเอฟพี รายงานความคืบหน้า เหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันระเบิดและเกิดไฟลุกไหม้ ที่เมืองลาเวลิลปัน รัฐอีดัลโก ทางตอนกลางของประเทศเม็กซิโก ว่ายอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 73 ราย บาดเจ็บ 74 ราย

    พื้นที่ระเบิดดังกล่าวยังปรากฏควันคละคลุ้ง และศพผู้เคราะห์ร้ายที่ไหม้เกรียม บางร่างแข็งอยู่ในท่าผิดธรรมชาติ และมีชิ้นส่วนกร่อนตกลงพื้น ขณะที่ญาติผู้เคราะห์ร้ายมองหาร่างด้วยสีหน้าที่สิ้นหวังและมีน้ำตาคลอ

    เมื่อเจ้าหน้าที่นิติเวชเคลื่อนย้ายร่างขึ้นไปบนรถตู้เพื่อส่งไปยังสถานจัดพิธีศพ มีชาวบ้านราว 30 คนเข้าขวาง เพราะต้องการดูร่างว่าใช่ญาติของตนหรือไม่ เพราะถ้าใช่จะขอไว้เลย เนื่องจากไม่มีเงินไปจ่ายให้ฌาปนสถาน เจ้าหน้าที่ต้องอธิบายว่าจะส่งศพไปยังสถานที่เก็บศพเพื่อรอการพิสูจน์

    ด้านบริษัทน้ำมันปิโตรเลียม เปเม็กซ์ ของเม็กซิโก แถลงว่า เหตุระเบิดเกิดจากการลักลอบขโมยน้ำมัน ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยในเม็กซิโก รัฐบาลระบุว่า เมื่อปี 2561 การลักลอบขโมยทำให้รัฐบาลเสียรายได้ราว 3,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 99,000 ล้านบาท

    การสอบสวนเบื้องต้นระบุว่า ช่วงที่เกิดน้ำมันรั่วจากท่อส่ง มีทหาร 25 นายเข้าไปพยายามกั้นบริเวณแล้ว แต่เอาไม่อยู่ เพราะชาวบ้านกว่า 700 คน บางรายมาทั้งครอบครัว ลุยเข้าไปใช้ภาชนะรองน้ำมัน ทำให้เมื่อเกิดระเบิดขึ้นช่วงดึกวันที่ 18 ม.ค. จึงมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

    “การทำหน้าที่ของทหารนั้นถูกต้องแล้ว แต่มันไม่ง่ายที่จะเข้าไปสกัดฝูงชน ผมเสียใจกับความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นในเมืองลาเวลิลปัน รัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาการลักลอบขโมยน้ำมัน และขยายความช่วยเหลือในครั้งนี้” นายมานูเอล โลเปซ โอเบรดอร์ ประธานาธิบดีเม็กซิโก กล่าว

    ที่มา ข่าวสดออนไลน์

    https://www.prachachat.net/world-news/news-280214
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฝันดีครับ

    The Public Post


    อิสราเอลลอบโจมตีซีเรียอีก แต่คราวนี้ถูกสกัดเหี้ยน ทหารรัสเซียยืนยัน

    https://www.publicpostonline.net/22198


     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อวสานน้ำมันปาล์ม นอร์เวย์ประกาศแบนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เริ่มปี 2020

    By Thongchai Cholsiripong -

    13/12/2018

    IMG_8043.JPG

    น้ำมันปาล์ม-เชื้อเพลิงชีวภาพ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่นอร์เวย์ตระหนักดีว่า ไม่มากก็น้อยอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำลายสิ่งแวดล้อม ล่าสุด สภาจึงลงมติห้ามการใช้น้ำมันปาล์มและเชื้อเพลิงที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม


    ปาล์มน้ำมัน Photo: Shutterstock

    นอร์เวย์ประกาศแบนน้ำมันปาล์ม-เชื้อเพลิงที่อันตรายในปี 2020

    ในปี 2017 ที่ผ่านมา นอร์เวย์มีสถิติการบริโภคน้ำมันปาล์มเชื้อเพลิงในปริมาณที่สูงเป็นประวัติการณ์ (all-time high) โดยเป็นผลมาจากการที่ก่อนหน้านี้ นอร์เวย์ประกาศแบนเชื้อเพลิงฟอสซิล จึงทำให้อุตสากรรมเชื้อเพลิงในนอร์เวย์หันไปพึ่งน้ำมันปาล์มในการผลิต จากข้อมูลระบุว่าน้ำมันดีเซลในนอร์เวย์ผลิตมาจากน้ำมันปาล์มถึง 10%

    ล่าสุด รัฐสภานอร์เวย์ลงมติเสียงข้างมาก ประกาศห้ามอุตสาหกรรมน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศใช้น้ำมันปาล์มหรือน้ำมันเชื้อเพลิงใดๆ ที่มีความเชื่อมโยงต่อการทำลายป่าไม้หรือส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม


    • มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ทางกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปี 2020 เป็นต้นไป
    หนึ่งในเหตุผลสำคัญของเรื่องนี้มาจากการที่นอร์เวย์มองว่า อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีส่วนต่อการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายที่อยู่อาศัยของคนพื้นถิ่น-สัตว์ป่า และนอกจากนั้นยังส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันก่อให้เกิดผลเสียต่อชั้นบรรยากาศโลก


    ผลักดันพลังงานไฟฟ้า ตอบโจทย์อนาคตสิ่งแวดล้อม

    ถ้าดูจากแนวโน้ม ชัดเจนว่าคำตอบในอนาคตของนอร์เวย์เรื่องพลังงาน คือ “ไฟฟ้า”

    นอร์เวย์ตั้งเป้าในระดับประเทศไว้ว่าในปี 2025 ทั้งประเทศจะไม่มีรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันขายในตลาดอีกต่อไป แต่จะเหลือเพียง “รถยนต์ไฟฟ้า” เท่านั้นที่จะวางจำหน่ายในประเทศ

    Nils Hermann Ranum นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในนอร์เวย์ ระบุว่า “การตัดสินใจของรัฐสภานอร์เวย์ในครั้งนี้คือชัยชนะของการต่อสู้เพื่อธรรมชาติ ป่าไม้ และภูมิอากาศ การตัดสินใจของรัฐสภานอร์เวย์ในครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างสำคัญสำหรับประเทศอื่นๆ เพราะได้เน้นย้ำถึงการปฏิรูปวงการอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มอย่างจริงจัง”

    อย่างไรก็ตาม นอร์เวย์เป็นประเทศแรกในโลกที่ประกาศแบนน้ำมันปาล์มในลักษณะนี้ ส่วนด้านของสภาพยุโรปได้ลงมติเพื่อห้ามการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน แต่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2030

    ที่มา – Goodnewsnetwork


    https://brandinside.asia/norway-ban...Rlecfxc2NyBtg6r46t67WJ5S3I_jhFydKjZ4hCsI5TefI
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,703
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Brandy Michelle Terry

    IMG_8045.JPG
    ดอกแดฟโฟดิลกำลังเบ่งบานในเดือนมกราคมที่นี่ในหลุยเซียน่า สัปดาห์สุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิอุณหภูมิช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างแท้จริง ตอนนี้เรากำลังมีอุณหภูมิที่หนาวเย็นที่สุดของฤดูกาล สภาพอากาศเป็นใบ้ นี่คือที่ใดที่หนึ่งบนถนนสุ่มลุยเซียนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...