เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 มีนาคม 2025 at 17:36.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,875
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,664
    ค่าพลัง:
    +26,526
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,875
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,664
    ค่าพลัง:
    +26,526
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปร่วมทำวัตรเช้ากับบรรดาว่าที่พระอุปัชฌาย์ ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ที่วัดสามพระยา วรวิหาร ตามปกติ แต่ว่าหลังจากฉันเช้าแล้ว ก็ต้องบอกลาบรรดาว่าที่พระอุปัชฌาย์ทุกรูปของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ เนื่องเพราะว่าต้องไปหาหมอตามที่นัดเอาไว้ แล้วพรุ่งนี้ยังมีการนำภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ที่วัดอุทยาน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี จึงต้องว่างเว้นไป ๑ วัน

    โดยเฉพาะผู้คุ้นเคยอีกท่านหนึ่งก็คือท่านพระครูศรีธรรมฐิติ เจ้าคณะตำบลปล้อง เขต ๒ เจ้าอาวาสวัดดอนมูล ตำบลหนองแรด อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ซึ่งก็คือพระมหาทรงธรรมญาณ ฐิตธมฺโม ป.ธ. ๖ อดีตมหาเปรียญจากสำนักเรียนวัดปากน้ำภาษีเจริญนั่นเอง บัดนี้กลับไปเจริญเติบโตทางบ้านเกิดของตนเอง จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจจากพระเดชพระคุณพระธรรมวชิโรดม, รศ.ดร. (พล อาภากโร ป.ธ. ๙) เจ้าคณะภาค ๖ ส่งมาอบรมพระอุปัชฌาย์ในรุ่นนี้

    เมื่อเดินทางไปหาหมอแล้วก็ได้ยาเพิ่มขึ้นมาอีก เนื่องเพราะว่ามีอาการติดเชื้อ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ารู้สึกว่าปัสสาวะขัด แต่ไม่ใช่อาการของต่อมลูกหมากโต เป็นอาการที่เชื้อมาลาเรียกำเริบแล้วพาให้ส่วนอื่น ๆ อักเสบขึ้นมาด้วย แต่ในเมื่อคุณหมอวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อ ก็ต้องรับยามาฉันตามปกติ

    ถ้าหากว่าดูในคิลาโนวาทของพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร อดีตสังฆนายกของวงการคณะสงฆ์ไทยแล้ว ก็ให้รู้สึกว่าสิ่งที่ท่านได้บอกกล่าวเอาไว้นั้นเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง

    คำว่า คิลาโนวาท ก็คือโอวาทสำหรับผู้ป่วย ก็คือต้องไม่ดื้อกับหมอ ถ้าหากว่าหมอลงความเห็นอะไรก็ให้เชื่อตามนั้น จ่ายยาอะไรก็ฉันไปตามนั้น ไม่ใช่ดื้อ คิดว่าเรารู้มากกว่า แต่ถ้าหากว่าบางอย่าง ท่านรู้มากกว่าจริง ๆ ก็คงต้องอาศัยความรู้ของท่านเอง ในการที่จะจัดสรรยา หรือว่าจัดสรรบุญกุศลส่วนหนึ่งประการใดมาบรรเทากรรมตรงนี้ นั่นต้องเป็นเรื่องพิเศษจริง ๆ เท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่สามารถที่จะทำแบบนี้ได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,875
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,664
    ค่าพลัง:
    +26,526
    ในระยะนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายติดตามข่าวคราวในวงการสงฆ์ ก็จะเห็นว่ามีการสร้างกุฏิชีวาภิบาลบ้าง สถานชีวาภิบาลบ้าง เพื่อที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลสงฆ์ ตลอดจนกระทั่งภาระของเจ้าอาวาส ซึ่งมีพระผู้แก่ชรา หรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคประจำตัว จะได้เข้าพักรักษา โดยมีที่อยู่อาศัย มีหยูกมียาที่เหมาะสมกับสมณสารูป

    แต่ถ้าหากว่าอย่างที่เป็นข่าวแล้วโดนจับสึกไปเมื่อวันก่อน ก็คือหลวงตาท่านหนึ่ง ไปอยู่ประจำที่ตึกสงฆ์อาพาธ แล้วก็ไปออกอาการโวยวายกับหมอ กับพยาบาล จนเขาทนไม่ไหว ต้องแจ้งให้ญาติพี่น้องของท่านมารับไป แต่ว่าญาติทุกคนก็ปฏิเสธ เพราะรู้เช่นเห็นชาติความแสบของท่านดี..!

    เมื่อติดต่อไปทางต้นสังกัด ต้นสังกัดของท่านบอกว่าท่านไม่ได้สังกัดอยู่วัดนี้ หากแต่บวชมาจากที่อื่น ในเมื่อต่างคนต่างเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา จึงต้องเข้าหาเจ้าคณะปกครอง ก็คือท่านเจ้าคณะอำเภอ หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอติดต่อไปทางพระอุปัชฌาย์แล้ว ทางพระอุปัชฌาย์และวัดต้นสังกัดเดิมก็ไม่มีใครยินดีรับเอาไว้ เพราะว่าหลวงตาท่านนั้น มีสมณสารูปที่ไม่เหมาะกับความเป็นพระ ท่านเจ้าคณะอำเภอจึงตัดสินใจให้สึกหาลาเพศไปเลย..!

    นี่คือลักษณะหนึ่งที่ทางองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า "พระหลวงตานั้นหาดีได้ยาก" คำว่าพระหลวงตาในที่นี้ก็คือผู้ที่บวชเมื่อแก่ จนกระทั่งทางมหาเถรสมาคมต้องมีมติว่า
    ในเรื่องของการอุปสมบทนั้น ถ้าหากว่าอายุเกิน ๖๐ ไปแล้ว ก็ไม่ให้พระอุปัชฌาย์รับเข้ามาบวช

    เพียงแต่ว่ากระผม/อาตมภาพนั้นอยู่ในลักษณะที่ว่า ในเมื่อพระอุปัชฌาย์แปลตามรากศัพท์ว่าผู้เพ่งดูโดยตระหนัก ก็คือ ต้องกำหนดดู กำหนดรู้ พินิจพิจารณาโดยรอบด้านแล้วว่า บุคคลนี้สมควรที่จะทำการอุปสมบทให้หรือไม่ ? เมื่อเห็นว่าสมควร และมั่นใจว่าสามารถจัดการได้ถ้ามีปัญหาขึ้นมา ถึงได้ให้การอุปสมบทแก่ผู้ที่อายุเกิน ๖๐ ปีไปหลายราย

    แล้วก็เป็นที่น่าชื่นใจ อย่างเช่นว่าหลวงตาดำ (พระดำริ สนฺติกโร) ซึ่งปัจจุบันขอไปสังกัดอยู่ที่วัดวังปะโท่ก็ดี หลวงตาอ่อง (พระอ่อง ทีฆายุโก) ซึ่งปัจจุบันนี้อายุ ๘๐ กว่าปีแล้วก็ตาม ต่างเป็นพระหลวงตาที่ว่านอนสอนง่าย รู้ผิดรู้ถูก ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,875
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,664
    ค่าพลัง:
    +26,526
    ถ้าหากว่าโชคดีแบบกระผม/อาตมภาพ เราก็สามารถที่จะให้การบรรพชาอุปสมบทได้ เนื่องเพราะว่าการบรรพชาอุปสมบทนั้น เป็นสิทธิของพระอุปัชฌาย์เป็นผู้ตัดสินใจ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าพระอุปัชฌาย์ตัดสินใจไปแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบได้ด้วยว่า จะสามารถควบคุมสัทธิวิหาริกของท่านนั้น ให้อยู่ภายใต้โอวาทของพระอุปัชฌาย์ ไม่เช่นนั้นแล้วก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับวัดวาอาราม ตลอดจนกระทั่งคณะสงฆ์ขึ้นมาได้

    กระผม/อาตมภาพยังชื่นชมไปจนกระทั่งถึงหลวงปู่พระราธเถระ ซึ่งท่านเป็นพราหมณ์ บวชเมื่อแก่ โดยมีพระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ หลวงปู่พระราธเถระได้รับการตั้งเป็นเอตทัคคะ คือ ผู้เลิศในทางว่านอนสอนง่าย เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงขนาดออกปากว่า พระหลวงตาหาดีได้ยาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าอายุมาก ความรู้มาก ก็เลยทำให้ติดมานะทิฏฐิเยอะมากไปด้วย แล้วก็ไม่ค่อยที่จะฟังใคร

    ตัวอย่างที่ชัดเจนก็อย่างเช่น หลวงตาฉันนเถระ เป็นต้น แต่ว่าหลวงตาฉันนเถระ เมื่อโดนพรหมทัณฑ์ ในช่วงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ก็เกิดความรู้สำนึกขึ้นมา ตั้งใจปฏิบัติจนกระทั่งกลายเป็นพระอรหันต์

    ในเมื่อเรามีหลวงปู่พระราธเถระให้เป็นแบบอย่างอยู่ ทำไมบรรดาพระหลวงปู่หลวงตาของเราถึงไม่ปฏิบัติตามแบบนั้น หากแต่ว่าไปหัวรั้น ดื้อดึง เอาแต่ใจตนเอง อยู่ในลักษณะสร้างปัญหาให้กับพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดจนกระทั่งคณะสงฆ์อยู่เสมอ

    กระผม/อาตมภาพยังอนุโมทนากับหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอรูปนั้น ที่ท่านกล้าตัดสินใจสึกหาลาเพศให้กับหลวงตาเจ้าปัญหารูปนั้นไป เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพเคยเจอมาแล้ว สมัยที่ท่านอาจารย์สมพงษ์ (อดีตพระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต) อดีตเจ้าคณะตำบลท่าขนุนเขต ๒ อดีตเจ้าวาสวัดท่าขนุน ได้จับสึกสามเณรที่ทำผิดระเบียบวัดเป็นอาจิณไป แต่ปรากฏว่าผู้ที่เป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้สามเณรรูปนั้น เป็นเจ้าคณะตำบลอีกตำบลหนึ่ง มีการโวยวายทะเลาะกันไปใหญ่โต กระผม/อาตมภาพเข้าไปไกล่เกลี่ยก็ยังถามว่า "อาจารย์เล็กจะเอาเรื่องกับผมหรือ !?"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,875
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,664
    ค่าพลัง:
    +26,526
    กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ปลอบท่านว่าให้ใจเย็น ๆ "ท่านก็ได้ชื่อว่าเป็นพระกรรมฐาน แล้วทำไมถึงได้สติหลุดมาจนขนาดนี้ ซึ่งเสียเชิงพระกรรมฐาน เสียเชิงพระเถระระดับเจ้าคณะตำบล และเสียไปถึงครูบาอาจารย์ด้วย" ท่านได้สติขึ้นมา ยังพูดสะบัด ๆ ประมาณว่า "ตอนนี้ผมกรรมถอนแล้ว..!"

    แต่ว่าคนอื่นก็เห็นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาว่า กระผม/อาตมภาพนั้น เมื่อถึงเวลาที่ฉุกเฉินขึ้นมาแล้ว สามารถที่จะเป็นที่พึ่งให้กับท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้จริง สามารถที่จะหย่าศึกที่กำลังเดือดคลั่กลงไปได้ ก็เลยกลายเป็นความน่าเชื่อถือส่วนตัว พอถึงเวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ท่านเจ้าคณะอำเภอในแต่ละยุค ก็มักจะส่งกระผม/อาตมภาพเข้าไปแก้ไขปัญหาได้

    จนกระทั่งบางที หลายท่านที่สังเกตการณ์อยู่ก็ถึงกับหัวเราะ เนื่องเพราะว่าพอปัญหาทุกอย่างจบลง บรรดาเจ้าคณะปกครองก็แห่กันเข้ามา ในลักษณะแถลงข่าวต่อมวลชน กลายเป็นว่าคนทำงานแทบตายอย่างกระผม/อาตมภาพ แทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลย บทบาทการหย่าศึก หรือว่าทำให้เรื่องที่สงบลงต่าง ๆ กลายเป็นเจ้าของพื้นที่บ้าง เจ้าคณะปกครองระดับสูงไปบ้าง

    พวกเราก็มาคุยกันเฮฮาอยู่ข้างนอก เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเองนั้นทำงานเพื่องาน ไม่ได้คิดจะทำงานเอาหน้า ใครที่จะเอาหน้ากับสื่อมวลชน หรือว่าอยากจะออกโซเชียลก็ปล่อยท่านไปเถอะ ในเมื่อทำตัวในลักษณะอย่างนี้ เจ้าคณะปกครองท่านหนึ่งถึงขนาดออกปากว่า "ผมดูหลวงพ่อเล็กผิดไป นึกว่าท่านเองเป็นเหมือนกับรูปอื่น ๆ บอกว่าไม่เอา แต่ความจริงก็คือให้ง้อเอาเชิงเสียหน่อยแล้วก็จะเอา แต่นี่นอกจากท่านจะไม่เอาอะไรเลยแล้ว ยังมีแต่ช่วยคณะสงฆ์ตลอดมา" กระผม/อาตมภาพฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ๆ เท่านั้น เพราะไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าจะรับสมอ้างไปทำไม ในเมื่อเราเองเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

    ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่อยากจะกล่าวต่อเนื่องจากเมื่อวานที่ว่า ทางด้านประเทศอินเดียเขามีแนวทางประพฤติปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิตที่เรียกว่าอาศรม ๔ ประการ ก็คือไปบวชเอาช่วงท้ายของชีวิต นั่นเป็นลักษณะของบุคคลที่ตั้งใจเอาดีในทางพ้นโลกจริง ๆ ไม่เหมือนกับประเทศของเรา ที่บวชเข้าไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็หวังที่จะหาเลี้ยงชีพตนเอง ถ้าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่เข้มงวดกวดขันจริง ๆ ก็จะมีแต่บรรดาพระแก่หัวดื้อ ไม่ยอมฟังใคร เพราะถือว่าอายุมาก ประสบการณ์มาก ทำให้พระลูกพระหลานที่เป็นเจ้าอาวาสก็ดี เจ้าคณะปกครองก็ตาม ต้องปวดหัวกันไม่เว้นแต่ละวัน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...