เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 ตุลาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังวัดประเสริฐสุทธาวาส เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานครตั้งแต่เช้า เพื่อปลุกเสกวัตถุมงคลให้กับหลวงพ่อหมู (พระครูปลัดพรหมจริยวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดประเสริฐสุทธาวาส

    เมื่อทำการบวงสรวง อัญเชิญบารมีครูบาอาจารย์ลงมาช่วย ซึ่งถ้าในเขตนั้น อันดับแรกเลยก็ต้องเป็นหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก ซึ่งหลวงปู่พริ้งนั้น นอกจากท่านจะเป็นเจ้าของเบญจภาคีลูกอมเมืองไทย ก็คือลูกอมผงธูปสะท้านแผ่นดินแล้ว ท่านยังเป็นครูบาอาจารย์ ที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ถึงกับให้บรรดาท่านชายซึ่งเป็นบุตรของท่าน มาบวชอยู่กับหลวงปู่พริ้งที่วัดบางปะกอกด้วย

    อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญจนลืมไม่ได้เลยก็คือ หลวงปู่พริ้งท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่สอนอสุภกรรมฐานให้กับหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ซึ่งหลวงปู่ปานท่านนำมาเล่าให้ลูกศิษย์ คือหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงฟัง ในลักษณะที่ว่า "เรียนอสุภกรรมฐานกับหลวงพ่อพริ้งแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเข้าป่าช้า หลวงพ่อท่านสามารถที่จะเสกอสุภกรรมฐานแต่ละประเภทขึ้นมาเป็นตัว ๆ อยู่ตรงหน้าได้เลย มาถึงพร้อมทั้งสีทั้งกลิ่น เหมือนกับซากศพจริง ๆ..!"

    ซึ่งหลวงปู่พริ้งเมื่อได้รับคำถามจากลูกศิษย์ว่า "หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคบอกว่ามาเรียนวิชากับท่าน ทำไมพวกผมถึงไม่เห็น ?" หลวงปู่พริ้งท่านก็ยังหัวเราะ บอกว่า "ท่านไม่ได้โง่เหมือนกับพวกแกนี่ ท่านมาเรียนกับข้าอยู่แค่คืนเดียว วิชา "ยันกัน" ทุกอย่างแล้วท่านก็ลากลับไป"

    ในเมื่ออาราธนาหลวงปู่พริ้งมาแล้วก็อาราธนาหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคด้วย ต่อด้วยพระเถระองค์สำคัญในเขตนั้นก็คือหลวงพ่อโอภาสี แต่ว่าหลวงพ่อโอภาสีท่านบอกว่า "ฉันหล่อสู้ท่านพริ้งกับท่านปานไม่ได้ แกนิมนต์แต่ท่านพริ้งกับท่านปานก็พอแล้ว..!"

    กระผม/อาตมภาพจึงได้แต่หัวเราะ กราบลาแล้วกลับลงมา เนื่องเพราะว่าหลวงพ่อโอภาสีนั้น ถ้าจะว่าไปแล้วท่านก็มาคนละสายกัน แม้ว่าจะเป็นพระเถระองค์สำคัญองค์หนึ่งของเมืองไทย แต่ว่าท่านเองในเมื่อมาคนละสาย ก็ควรให้ครูบาอาจารย์ที่เป็นสายตรงรับหน้าที่ไปมากกว่า
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เมื่อเสร็จสรรพจากการปลุกเสกแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ลาหลวงพ่อหมู ไปให้ท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) วัดโพธิ์ลังกาซ่อมสุขภาพ ในระหว่างที่เดินทาง ก็มีบุคคลส่งคำถามเข้ามาว่า "ตนเองเป็นผู้หญิง ในงานเลี้ยงบุฟเฟต์ของบริษัทที่ผ่านมานั้น สังเกตเห็นว่ามีผู้ร่วมงานชายคนหนึ่ง ซึ่งมีปลัดขิกอันไม่ใหญ่นัก ห้อยอยู่ที่ข้อมือตัวเอง กับพวกสายสิญจน์หรือว่าเชือกถักบางประเภท แต่ว่าบุคคลนี้พยายามที่จะเดินเบียดเข้าไปใกล้เพื่อนผู้หญิงร่วมงานที่อยู่ข้างหน้า แล้วใช้ปลัดขิกนั้นถู ๆ ไถ ๆ ที่ง่ามก้นของเพื่อนหญิงร่วมงานด้วย เขาทำในลักษณะนั้น เป็นการทำเสน่ห์หรือเปล่า ?

    มั่นใจว่าเขาตั้งใจทำ ไม่ใช่บังเอิญ เนื่องเพราะว่าปลัดขิกนั้นอยู่กับเชือกถักที่ข้อมือ แต่ว่าบุคคลนี้ใช้สองนิ้วคีบเอาไว้แล้วก็นำไปถูไถ โดยที่ถือจานอาหารตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่นึกว่าตนซึ่งอยู่ข้างหลังจะเห็น ทำให้รู้สึกหวาดกลัวว่าถ้าเป็นการทำเสน่ห์ ตนเองจะโดนเข้าไปเมื่อไรก็ไม่รู้..?!"

    ปัญหานี้จะว่าไปแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องตกใจ เนื่องเพราะว่าในเรื่องของปลัดขิกนั้น แต่ดั้งแต่เดิมของเรา ได้รับการสืบทอดวิชามาจากบรรดาพราหมณ์ต่าง ๆ ซึ่งเดินทางมาเผยแผ่ศาสนาฮินดูในประเทศของเรา แล้วก็สั่งสอนสืบ ๆ กันมา ในเรื่องของค่านิยมในการเคารพศิวลึงค์และอุมาโยนี ซึ่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดของสรรพชีวิต สิ่งที่สามารถถึงขนาดบันดาลให้เกิดชีวิตใหม่ได้นั้น เขามีความเข้าใจในเรื่องของพลังงานที่มหาศาลอย่างยิ่งตรงนั้น จึงนำมาเป็นเคล็ดลับในการสร้างศิวลึงค์หรือว่าอุมาโยนีขึ้นมาเพื่อเคารพนับถือ

    เมื่อมาถึงเมืองไทย ครูบาอาจารย์ของเราก็ดัดแปลงมาเข้ากับความเชื่อถือทางสายบ้านของเรา รายแรก ๆ เลยก็คือสร้างปลัดขึ้นมาก็คือหลวงพ่อขริก วัดสาวชะโงก ซึ่งเราได้ยินแค่ชื่อวัดสาวชะโงกก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อแล้ว หลวงพ่อขริกท่านได้สร้างขึ้นมา ซึ่งจากปลัดขิกแต่ดั้งเดิมนั้นยังไม่มีชื่อแบบนี้ บางคนเรียกว่าเจ้าจำปีบ้าง เนื่องจากว่าของเด็ก ๆ นั้นก็จะเป็นอวัยวะเพศเล็ก ๆ เหมือนอย่างกับดอกจำปี เป็นที่น่ารักน่าเอ็นดู

    หรือบางคนก็เรียกในลักษณะเคารพนับถือ เรียกว่าขุนเพชร ขุนพัด บ้าง ในลักษณะของการยกย่อง เมื่อหลวงพ่อขิกท่านสร้างขึ้นมา แทนที่จะเรียกท่านปลัด ท่านขุนเพชร ก็กลายเป็นเรียกว่าปลัดขิกไปเลย

    อันดับแรกเลย ในประเทศไทยของเรา ถ้าโด่งดังที่สุดก็ต้องเป็นหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก ซึ่งบางท่านที่มีประสบการณ์วัตถุมงคลในเรื่องของปลัดขิก มักจะยกให้หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย ก็เป็นอันว่าทั้งสองสำนักนี้ "กินกันไม่ลง" ในเรื่องของความขลังของปลัดขิก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    หลังจากนั้นแล้ว รุ่นถัด ๆ มาก็จะมีหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง ซึ่งไปเรียนกับหลวงปู่เหลือมา แล้วท่านไปถามหลวงปู่เหลือว่า "ท่านพี่..เสกปลัดขิกอย่างไรให้ดิ้นได้ บินได้ ?" หลวงปู่เหลือท่านก็ตอบอย่างเดียวว่า "ทำใจให้นิ่งเข้าไว้" กว่าที่หลวงปู่ทิมท่านจะเข้าใจคำว่า "ใจนิ่ง" นั้น ต้องถึงระดับฌาน ๔ ใช้งาน ก็เกือบจะสิ้นความพยายาม เมื่อท่านสร้างขึ้นมาก็จะมีปลัดขิกทั้งโค้ดศาลาและปลัดขิกโค้ดเลขสาม

    ถัดจากนั้นมาแล้ว ที่ฝีมือเหลือร้ายเลยก็คือหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส กับหลวงพ่อฟัก วัดนิคมประชาสรรค์ ตลอดจนกระทั่งหลวงพ่อกลั่น วัดอินทราวาส สามสำนักนี้ ถ้าหากว่าใครมีเอาไว้ ต้องระมัดระวังให้ดี..!

    โดยเฉพาะปลัดขิกนางครวญ หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากว่าผู้หญิงเดินข้ามปลัดขิกของท่าน เขาเล่ากันว่า ปลัดขิกถึงขนาดวิ่งตามผู้หญิงคนนั้นไปเลย เป็นมหาเสน่ห์รุนแรงมาก ถ้าหากว่าพระเณรมีติดตัวเอาไว้ ส่วนใหญ่ก็จะไม่สามารถคงความเป็นพระเป็นเณรได้..!

    อีกส่วนหนึ่งก็คือท่านอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ซึ่งทำปลัดขิกได้ขลังมาก ในฐานะที่ท่านรู้ตัวว่าถ้าเป็นพระแล้ว จะทรงสมณเพศไว้ได้ยาก ท่านจึงสึกมาเป็นฆราวาสร้อนวิชา ลอยเรือไปตามท่าน้ำต่าง ๆ อยู่ที่โน่นที่นี่บ้าง แล้วก็สร้างวัตถุมงคลจนโด่งดังขึ้นมา ทั้งผ้ายันต์ต่าง ๆ มียันต์พรหมสี่หน้า เป็นต้น สำหรับรายถัดมาที่เรียนวิชานี้แล้วขลัง ก็ยังมีหลวงพ่อผินะ วัดสนมลาว หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม เป็นต้น

    อีกสำนักหนึ่งที่เป็นปลัดขิก แต่ว่าส่วนใหญ่เอาไว้ตีกับชาวบ้านมากกว่า ในเรื่องของมหาเสน่ห์นั้นถือว่าเป็นผลข้างเคียง ก็คือหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก ซึ่งหนุ่มเพชรบุรีสมัยนั้นมีคติประจำตัวว่า "พระขรรค์เล่ม ปลัดขิกอัน ผ้ายันต์ผืน ลุยได้ทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ..!"


    คำว่าพระขรรค์เล่มก็คือพระขรรค์เขาควายเผือกฟ้าผ่าตายของหลวงพ่อโสก ซึ่งลงอาถรรพ์ในการถอนคุณถอนของทุกประการจนหมดสิ้น โดยเฉพาะบรรดาไสยศาสตร์อิสลามต่าง ๆ นั้น แค่ใช้พระขรรค์ของหลวงพ่อโสกแตะลงไป ก็สลายตัวหมดแล้ว..!

    ในปัจจุบันนี้ ถ้าหากว่าเป็นรุ่นหลัง ๆ ที่ทำปลัดขิกแล้วขลัง ก็มีหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ซึ่งมาภายหลังก็ถ่ายทอดต่อให้กับลูกศิษย์ คือหลวงปู่นนท์ สำนักสงฆ์เขาพรานธูป เป็นต้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ถ้าหากว่าเป็นรุ่นที่เก่าหน่อยอย่างของหลวงพ่อผินะนั้น ท่านลงยันต์อกแตกเอาไว้ด้วย ซึ่งถ้าหากว่าใช้ได้ถูกต้อง ปลัดขิกหัวชะมดลิ้นทองของท่านที่มียันต์อกแตก ก็ถือว่ามีอานุภาพมหาเสน่ห์รุนแรงทีเดียว..!

    คราวนี้เมื่อทราบที่มาที่ไปและสำนักต่าง ๆ ที่สร้างปลัดขิกในเมืองไทยของเราได้ขลังแล้ว ในส่วนที่ผู้ชายคนนั้นเอาปลัดขิกไปถูไถแถวง่ามก้นของเพื่อนผู้หญิงนั้น คาดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะถูแค่นั้น แต่อยากได้มากกว่านั้นอีกด้วย..! เนื่องเพราะว่ามีปลัดขิกครูบาอาจารย์บางสำนัก ท่านสั่งเอาไว้ ซึ่งกระผม/อาตมภาพไม่ขอบอกว่าสำนักไหน เพราะอาจจะมีการทำวิตถารกันได้ "ปลัดขิกของข้า ถ้าหากว่าได้สัมผัสอวัยวะเพศหญิง หรือว่าได้อยู่ใกล้เคียง ได้กลิ่นได้ไอบ้าง แล้วจะขลังเป็นพิเศษ" ซึ่งถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะนี้ คาดว่าจะเป็นสำนักเดียวกับที่เพื่อนร่วมงานชายของผู้นั้นเล่ามา ก็แปลว่าพยายามที่จะให้อยู่ใกล้ผู้หญิง

    แต่กระผม/อาตมภาพก็สงสัยว่า ในเมื่อตัวคุณเป็นผู้ชายแล้วพกของขลังประเภทนี้ ทำไมไม่เป็นเที่ยวโสเภณีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ถ้าหากว่าตนเองต้องการแบบไหนก็บอกไป คาดว่าผู้หญิงเหล่านั้นก็คงไม่รังเกียจที่จะให้สัมผัสกับอวัยวะเพศของตน หรืออาจจะมีการขอเพิ่มเงินสักเล็กน้อย ก็สิ้นปัญหาไปแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรให้อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าล่อแหลม ถ้าหากว่าโดนเพื่อนหญิงจับได้ ก็อาจจะต้องอับอายขายหน้า พอ ๆ กับการไปถ่ายรูปใต้กระโปรงของผู้หญิงนั่นเอง..!

    แต่ว่าในเรื่องเหล่านี้อาจจะเป็นไปได้ว่า เกรงว่าในความเป็นมหาเสน่ห์นั้นจะทำให้ผู้หญิงโสเภณี "ติด" ตัวเอง จนกระทั่งติดตามไม่ยอมละทิ้ง สร้างปัญหาให้ก็เป็นได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องระวังความเดือดร้อนที่จะมาถึงภายหลัง เนื่องเพราะว่าท่านทั้งหลาย เมื่อไปทำในลักษณะอย่างนั้น ถ้าเขาจับไม่ได้ก็ดีไป แต่ถ้าหากว่ามีเพื่อนฝูงบอกกล่าว แล้วเพื่อนหญิงเหล่านั้นระมัดระวังตัว คุณก็หมดโอกาสไปโดยปริยาย

    อีกส่วนหนึ่งที่อยากเตือนไว้ก็คือว่า บรรดาพระภิกษุสามเณรของเรา ถ้ากำลังใจยังไม่ทรงตัวมั่นคงแล้ว อย่าพยายามที่จะใช้ปลัดขิกเป็นอันขาด เนื่องเพราะว่าปลัดขิกนั้นจะมีแรงดึงดูดเพศตรงข้ามโดยอัตโนมัติ แม้ว่าในส่วนที่ลงในตัวปลัดขิกนั้นจะเป็นคาถาหัวใจมหาโจรมากกว่า ก็คือคาถา "กัณหะ เนหะ" แต่ว่าหลายท่านก็ลง "หัวใจอกแตก" ลงไปด้วย ซึ่งถ้าอยู่ในลักษณะแบบนั้น ก็มีหวังดึงดูดเพศตรงข้ามเข้ามา แล้วท่านทั้งหลาย ถ้าไม่ใช่เดือดร้อนไม่รู้จบ ก็อาจจะต้องสึกหาลาเพศออกไปเลย จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะได้กระทำในลักษณะเช่นนั้น

    ถ้าไม่มั่นใจว่าตบะตัวเองจะมั่นคงแล้ว ในเรื่องของพวกนี้ เราไปใช้ของมีเสน่ห์สำหรับผู้ใหญ่ทางด้านอื่นดีกว่า อย่างเช่นว่าพระปิดตามหาเสน่ห์ หรือว่าพระขุนแผนสำนักใดสำนักหนึ่งก็ได้ เรื่องทั้งหลายเหล่านั้นจะช่วยในเรื่องความเมตตาของผู้ใหญ่ได้มากกว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องไปใช้ปลัดขิก ซึ่งมีผลข้างเคียงให้เราเดือดร้อนทีหลัง..!

    สำหรับวันนี้ก็เรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...