เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 7 กรกฎาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันสำคัญยิ่งอีกวันหนึ่งของกระผม/อาตมภาพ เพราะว่าต้องไปร่วมพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา

    เมื่อไปถึงปรากฏว่าเกือบจะเป็นพระเกจิอาจารย์รูปสุดท้ายในจำนวน ๙ รูปที่ได้รับนิมนต์มา เนื่องเพราะว่าท่านอื่น ๆ มากันหมดแล้ว ผู้ที่มาปิดท้ายก็คือ หลวงพ่อเสริฐ (พระครูสิทธิกิจจานุวัตร) รองเจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ เจ้าอาวาสวัดทุ่งลาดหญ้า

    เจ้าหน้าที่ได้มาตรวจสอบรายชื่อ ตลอดจนกระทั่งการจัดชุดเข้าปลุกเสก โดยที่เริ่มจากพระเถระทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์ก่อน แล้วหลังจากนั้นจึงแบ่งปลุกเสกออกเป็น ๒ ชุด โดยมีหลวงปู่แอ่ม (พระครูนิโครธโยคาภิรักษ์) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดน้ำตก ลูกศิษย์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นประธานยืนหลักอยู่ทั้ง ๒ ชุด พูดง่าย ๆ ก็คือหลวงปู่แอ่มห้ามลุกไปไหน..! แต่พวกกระผม/อาตมภาพนั้น ชุดที่ ๑ เสร็จแล้วสามารถที่จะลุกออกไปได้ แล้วให้ชุดที่ ๒ เข้ามาทำหน้าที่ต่อไป

    การแบ่งชุดนั้นปรากฏว่าชุดที่ ๑ นอกจากหลวงปู่แอ่มที่เป็นหลักแล้ว ก็มีหลวงพ่อ ดร.สมบัติ (พระครูวิบูลกาญจโนภาส, ดร.) เจ้าคณะอำเภอท่ามะกา รองเจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรังวรวิหาร

    หลวงพ่อเสริฐ (พระครูสิทธิกิจจานุวัตร) รองเจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ เจ้าอาวาสวัดทุ่งลาดหญ้า

    หลวงพ่อเล็ก (พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.) รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๒) เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน

    หลวงพ่อเต้ (พระครูประทีปกาญจนธรรม) เจ้าคณะจังหวัดทวาย ประเทศพม่า เจ้าอาวาสวัดพุน้ำร้อน ต้องบอกว่าท่านเป็นพระสังฆาธิการระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เพราะว่าวัดอยู่ในประเทศไทย เป็นเจ้าอาวาสวัดไทย แต่ไปเป็นเจ้าคณะจังหวัดให้กับพม่า..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ส่วนชุดที่ ๒ นั้นประกอบไปด้วยหลวงปู่ตั้ง (พระครูกาญจนประภัสสร) ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลศรีมงคล เจ้าอาวาสวัดถ้ำมะเดื่อ

    หลวงพ่อสนองชาติ (พระครูสุภัทรกาญจนกิจ) ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลลาดหญ้า เจ้าอาวาสวัดเย็นสนิทธรรมาราม

    หลวงพ่อพระมหาสุชาติ (พระมหาสุชาติ สิริปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะอำเภอสังขละบุรี

    และหลวงพ่อต๋อง (พระครูสุทธิสารโสภิต) รองเจ้าคณะอำเภอไทรโยค (๑) เจ้าอาวาสวัดพุตะเคียน

    เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งการจัดชุดให้เรียบร้อย และรอจนกระทั่งพระเถระทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์เรียบร้อยแล้ว ก็นำชุดแรก ๕ รูป ซึ่งประกอบไปด้วยหลวงปู่แอ่ม หลวงพ่อดร.สมบัติ หลวงพ่อเสริฐ กระผม/อาตมภาพและหลวงพ่อเต้ เข้าสู่มณฑลพิธีพระอุโบสถวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) ซึ่งมีร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธาน โดยมีพระมหานาคจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นผู้สวดมหานาคทั้ง ๒ รอบ


    กระผม/อาตมภาพเมื่อนั่งลงก็กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์สายกาญจนบุรีทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นที่สุด

    ขอท่านทั้งหลายได้โปรดเมตตาอนุเคราะห์สงเคราะห์ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง ปราศจากสรรพโรคาพาธ ปลอดจากอุปัทวันตรายใด ๆ ทั้งปวง สามารถปฏิบัติพระราชภารกิจต่าง ๆ เพื่อความอยู่สุขของพสกนิกรชาวไทยไปชั่วกาลนาน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เมื่อตั้งใจอธิษฐานจิตเสร็จเรียบร้อยก็ต้องตกใจ เพราะว่ากระแสที่คลุมลงมานั้นหนาแน่นและแรงมาก..! เป็นกระแสแก้วใส มีลวดลายทองปนอยู่ จนกระทั่งทำให้นึกถึงภาษาโบราณที่กล่าวว่า "แก้วแกมกาญจน์" นั่นเอง เพียงแต่ว่าไม่สามารถจะอธิบายได้ถูกว่าสวยงามขนาดไหน

    แล้วกระผม/อาตมภาพก็กลายเป็นที่ประทับของหลวงปู่สมเด็จองค์ปฐม ซึ่งท่านแผ่เมตตาคลุมลงมาในบริเวณพิธี เสียดายที่ว่าไม่มีใครถ่ายรูปช่วงนี้เอาไว้เลย นอกจากโทรทัศน์ที่ตั้งถ่ายทำนิ่ง ๆ เฉย ๆ อยู่ ไม่เช่นนั้น
    กระผม/อาตมภาพก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า จะมีอะไรที่เป็นพิเศษให้เห็นหรือไม่ ?

    แต่ว่าตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าพิธีแล้ว ทางลูกศิษย์ก็ได้แจ้งมาว่าพระอาทิตย์ทรงกลด ซึ่งหลวงปู่ฤๅษีฯ วัดท่าซุงของทุกท่าน หรือว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ ของกระผม/อาตมภาพนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าเป็นเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจัดงานสำคัญใด ๆ ก็มักจะมีสัญลักษณ์ คือพระอาทิตย์ทรงกลดเป็นปกติ

    กระผม/อาตมภาพตั้งใจที่จะฟังพระมหานาคสวด แต่เนื่องจากว่าเข้าสมาธิลึกเกินไปจึงได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง เริ่มจากการนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย ก็คือนะโมฯ ๓ จบ แล้วตามด้วย พุทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง ฯลฯ ทุติยัมปิฯ ตะติยัมปิฯ ต่อด้วยศีล ๑๐ ปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณะ ๑๐
    อาการ ๓๒ จันทิมะปาฐะ สุริยะปาฐะ ธชัคคสูตร ตลอดจนกระทั่งสามภาณ ซึ่งกล่าวถึงอาการป่วยไข้ของพระมหากัสสปะ พระมหาโมคคัลลานะและพระมหาจุนทะ

    ตรงจุดนี้ต้องสังเกตว่าทั้ง ๓ รูปที่ป่วยไข้แล้วได้ฟังโพชฌงค์ ๗ จนกระทั่งหายดีนั้น ขึ้นต้นด้วยคำว่า "มหา" ทั้งหมด เพียงแต่เราจะไม่เคยชินกับพระจุนทะเถระว่ามีคำว่า "มหา" นำหน้า ก็แปลว่าพระมหาจุนทะเถระของเรานั้นต้องมีอาวุโสมากกว่า แล้วมีพระเถระนามว่าจุนทะบวชเข้ามาอีก เมื่อชื่อซ้ำกันจึงต้องแยกกันว่ารูปไหนเป็นพระมหาจุนทะ รูปไหนเป็นพระจุลจุนทะ เป็นต้น

    จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ก็คือ คุณโกวิท เพชรงาม หัวหน้ากลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน มาสะกิดบอกว่าเสร็จพิธีแล้ว ให้เปลี่ยนเป็นชุดที่ ๒ จึงได้ส่งกล้องให้ท่านช่วยถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ก่อนที่จะเดินออกมาทางด้านนอก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    บอกกล่าวกับบรรดาพระเถรานุเถระที่อยู่ด้านนอกว่า กระผม/อาตมภาพจะต้องขอตัวออกมาก่อน เพราะว่าถ้าช้ารถจะติดสาหัส เนื่องจากบรรดาส่วนราชการต่าง ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรีนั้น ต่ำสุดก็คือหัวหน้าส่วนราชการที่ต้องมาทั้งหมด ก็แปลว่ามาคนหนึ่งก็รถยนต์คันหนึ่ง แล้วหลายต่อหลายท่านก็มีรถนำมาอีกต่างหาก ทำให้รถแน่นไปหมดทั้งวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง)

    ส่วนหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพเคยสงสัยก็คือว่า การที่หลวงปู่พระมหากัสสปเถระก็ดี พระมหาโมคคัลลานะเถระก็ดี พระมหาจุนทะเถระก็ดี ฟังโพชฌังคปริตรแล้ว ทำไมถึงได้หายจากอาการป่วย ? นั่นก็เพราะว่าท่านทั้ง ๓ ได้เข้าถึงอาการสองอย่างพร้อมกัน อย่างแรกก็คือเมื่อตั้งใจฟัง จิตทรงสมาธิ เมื่อจิตเป็นฌาน สภาพจิตกับกายก็แยกออกเป็นคนละส่วน ไม่ได้เกี่ยวเนื่องถึงกัน อาการป่วยมากก็เหมือนกับป่วยน้อย อาการป่วยน้อยก็เหมือนกับหายไปเลย

    อีกส่วนหนึ่งก็คือการพิจารณาวิปัสสนาญาณ จนกระทั่งเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงเปลือกที่เราอาศัยอยู่เท่านั้น ดังนั้น..สภาพของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นกินที่ร่างกาย ไม่ได้กินที่จิตใจ

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สภาพจิตกับกายที่แยกออกจากกันชัดเจน ก็ทำให้เห็นว่าสภาพของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกับไม้กาฝากที่อาศัยเกาะเปลือกไม้เอาไว้ เพื่ออาศัยกินน้ำเลี้ยงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนร่างกายของเราคือต้นไม้หลัก ไม่ว่าจะเป็นกระพี้ จะเป็นแก่นนั้น ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรเลย เมื่อสามารถแยกจิตแยกกายออกได้อย่างชัดเจนแบบนี้ อาการป่วยก็เหมือนกับหายไป โดยไม่มีอะไรมากระทบกระเทือนอีกเลย

    อีกส่วนหนึ่งก็คือความที่สภาพจิตดำเนินไปในความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง ด้วยอานุภาพของพระรัตนตรัยที่ยึดเกาะไว้แทนที่จะสนใจเวทนาทางร่างกาย จึงทำให้อาการป่วยได้หายไปในลักษณะที่เรียกกันว่า "ธรรมโอสถ"

    เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าท่านผู้ที่ฟังอยู่สามารถกระทำได้ ก็สามารถใช้ธรรมโอสถนี้รักษาอาการป่วยไข้ต่าง ๆ ได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า บรรดาผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินั้น ก็มักจะต้องยอมรับกฎของกรรม
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ในเมื่อสภาพจิตของท่านยอมรับกฎของกรรม ก็คืออยากจะป่วยก็เชิญป่วยไปเถิด เพราะว่าเราเคยสร้างกรรมตรงส่วนนี้เอาไว้ เมื่อท่านอยากจะป่วยก็ป่วยไป เราก็รักษาไปตามอาการ ถ้าหากว่าหายก็หาย ถ้าไม่หายจะตายก็ช่างเถิด..!

    ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนี้ บรรดาครูบาอาจารย์ที่เจ็บไข้ได้ป่วยส่วนหนึ่ง ถ้าหากว่าเกรงใจลูกศิษย์ ก็ไปหาหมอหายารักษากันตามสภาพ ถ้าหากว่าท่านใดไม่เกรงใจลูกศิษย์ ก็ปล่อยให้อาการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นไปตามแรงกรรมที่ท่านได้ทำมา โดยถือว่าชดใช้ให้กับเขาไป

    กระผม/อาตมภาพเจอครูบาอาจารย์หลายรายที่สั่งเอาไว้ว่า ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วต้องเจาะคอ ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ต้องมีสายเลือดสายน้ำเกลือพะรุงพะรัง ก็อย่าได้นำท่านไปเลย ท่านอยากที่จะตายแบบงดงามตามประสาของพระปฏิบัติมากกว่า ก็คือเผชิญกับมรณภัยโดยไม่มีความหวั่นไหวอย่างแท้จริง ถ้าเป็นไปในลักษณะนั้น ลูกศิษย์ทั้งหลายก็ต้องทำใจว่าเป็นความต้องการของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ว่าท่านทั้งหลายขาดความกตัญญู ไม่ดูแลอะไรเลย

    หากแต่ว่าครูบาอาจารย์นั้นท่านแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สังขารนี้เป็นรังของโรค ต้องมีอาการเจ็บป่วย และท้ายที่สุดก็เสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เป็นการแสดงธรรมด้วยชีวิตของท่านเองเป็นรอบสุดท้าย หรืออาจจะรอบใกล้สุดท้ายให้ทุกคนได้รู้ได้เห็นอย่างชัดเจน ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละท่านว่าสามารถที่จะเก็บเอาไปใช้งานได้มากน้อยเท่าไร

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...