เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 มีนาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปยังวัดโคกหม้อ ตำบลโพธิ์เก้าต้น อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ตามฎีกานิมนต์ของหลวงพ่อพิเชษฐ์ สีลสุทฺโธ หรือสมณศักดิ์ที่พระครูสีลสังวรวิสุทธิ์ เจ้าคณะตำบลโพธิ์เก้าต้น เขต ๒ เจ้าอาวาสวัดโคกหม้อ ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกันตั้งแต่สมัยที่ท่านยังอยู่ที่วัดมอเจริญธรรม จังหวัดกาญจนบุรี แล้วมาภายหลัง เมื่อออกงานปลุกเสกวัตถุมงคล ก็ได้เจอกันอีกหลายครั้ง

    ส่วนพระเถระที่เข้าร่วมในงานปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งนี้ ก็มีท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี ครูบากฤษดา สุเมโธ เจ้าอาวาสวัดป่ายาง หรือว่าวัดสันพระเจ้าแดง จังหวัดลำพูน ท่านอาจารย์เอก (พระครูปลัดยุทธนา กุสลจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบางพุทโธ จังหวัดลพบุรี และท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) วัดโพธิ์ลังกา จังหวัดสิงห์บุรี

    ครั้นเมื่อทำการปลุกเสกท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัดมาก จนกระทั่งท่านเจ้าคุณหลวงตาบ่นว่า "จะเป็นลมแดดตาย" ซึ่งปัจจุบันนี้คำว่า "ลมแดด" มีแต่คนรุ่นเก่า ๆ อย่างพวกกระผม/อาตมภาพที่เรียกหากัน ส่วนใหญ่เขาเรียกว่า "ฮีทสโตรก" ซึ่งเมื่อคืนนี้ ทางด้านคณะธุดงค์ธรรมยาตราของนิสิตพระวิปัสสนาจารย์โครงการทุนเล่าเรียนหลวง ก็ "น็อก" ไป ๑ ราย ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลกัน มาวันนี้เมื่อเดินทางจากวัดนพเก้าทายิการาม มายังวัดวังปะโท่ ซึ่งเป็นการเดินย้อนกลับทางเดิม ก็มีผู้เป็นลมร่วงไปอีกราย ยังดีที่เรามีรถพยาบาล คอยระมัดระวังดูแลอยู่ จึงไม่เป็นอะไรมาก

    เหตุที่เป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพซึ่งมีประสบการณ์ธุดงค์มาแล้ว สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า เกิดจากร่างกายที่ตรากตรำจนเกินกำลัง เมื่อเกินกำลังตนเอง ก็มักจะไปต่อไม่ไหว เนื่องเพราะว่าสมัยที่กระผม/อาตมภาพเดินอยู่นั้น บางทีเดินธุดงค์เป็นเวลาเป็นเดือน ช่วงท้าย ๆ ร่างกายกรอบไปหมด ข้าวของที่เพิ่มน้ำหนักแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่อยากได้ ประมาณว่าไม้ขีดกล่องเดียวก็อยากจะโยนทิ้งแล้ว..!

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครมีประสบการณ์ตรงนี้ ก็จะพยายามนำของติดตัวไปให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านทั้งหลายก็จะเจอประสบการณ์โหดตรงที่ว่า ต้นทางร่างกายเรายังสดอยู่ เรารับน้ำหนักขนาดนี้ไหว แต่ปลายทาง ถ้าน้ำหนักไม่มีลดลงบ้างเลย เราก็จะไม่ไหวแล้ว เพราะว่าร่างกายกรอบเต็มที
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ยังดีที่ว่าพรุ่งนี้ก็จะเป็นการปิดโครงการแล้ว ก็คือพระนิสิตวิปัสสนาจารย์โครงการทุนเล่าเรียนหลวงชุดนี้ จะเดินกลับไปยังวัดท่าขนุน แล้วทำการปิดโครงการธุดงค์ธรรมยาตราที่นั่น หลังจากนั้นแล้ว วันมะรืนนี้ก็จะไปปิดการปฏิบัติ ที่วัดหงส์รัตนาราม ของพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรเมธี , รศ. ดร. เจ้าคณะภาค ๑ เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนาราม ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์สอนกระผม/อาตมภาพมา ตั้งแต่สมัยท่านเป็นพระมหามีชัย วีรปญฺโญ ป.ธ.๙

    สำหรับวันนี้มีบุคคลถามว่า การที่กระผม/อาตมภาพไปต่างประเทศนั้น "ไปเพื่ออะไร ?" คำถามนี้ถ้าหากว่าให้กระผม/อาตมภาพตอบ ก็อาจจะนอกลู่นอกทางไปมาก

    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า การเดินทางไม่ว่าจะไปต่างที่ต่างถิ่น จนถึงต่างประเทศก็ตาม แต่ละคนมีจุดมุ่งหมายไม่เหมือนกัน บางท่านตั้งใจไปท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการ ไปท่องเที่ยวเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หรือให้รางวัลชีวิตกับตัวเอง ซึ่งถ้าในลักษณะนี้ก็เป็นการพักผ่อนแบบหนึ่ง หลังจากที่ตรากตรำงานเหนื่อยมาเต็มทีแล้ว เป็นการไปฟื้นฟูกำลังกายกำลังใจของตนเองที่ไม่ได้พักมาเลย ให้ได้พักบ้าง

    แต่ความจริงสภาพใจของท่านไม่ได้พักหรอก เพราะว่าไปแล้วก็ยังไปเสวยเสพสิ่งต่าง ๆ เข้าไป แล้วถ้าหากว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม เมื่อกลับมาแล้ว ยังคิดที่จะไปอีก ก็แปลว่าท่านทั้งหลายเสียท่ากิเลสไปแล้ว..!

    ประการที่สองก็คือ ไปเพื่อหาประสบการณ์ แล้วนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง สถานที่อยู่ของตน หรือว่าชุมชนรอบข้างของตน ซึ่งส่วนนี้ กระผม/อาตมภาพนั้นนำมาใช้อยู่เสมอ ถ้าหากว่าถือตามภาษิตจีนก็คือ "การเดินทางหมื่นลี้ ดีกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่ม" เพราะว่าเราได้ไปสัมผัสของจริงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้ประสบการณ์ชีวิต รู้วิธีแก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุต่าง ๆ ขึ้นในต่างบ้านต่างเมืองของเรา

    แม้กระทั่งในวรรณคดีไทยอย่าง "นิทานเวตาล" ก็ยังมีการสรรเสริญการเดินทางเอาไว้มาก อย่างที่บรรดาชายหนุ่มไปแสดงความรู้ความสามารถ เพื่อที่จะให้หญิงสาวพอใจ และเลือกตนเป็นคู่ครอง ก็ยังมีการกล่าวไว้เป็นโคลงเป็นกลอนอย่างเช่นว่า "จงจรเที่ยว เทียวบทไป พงพนไพร ไศลลำเนา ดั้นบถเดิน เพลินจิตเรา แบ่งทุกขเบา เชาวนไวฯ" เป็นต้น

    ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ถ้าหากว่าคนรุ่นหลัง ก็คงต้องแปลไทยเป็นไทยกันอีกมาก แต่รุ่นของกระผม/อาตมภาพฟังแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งเลย เพราะว่าการเดินทางนั้น จะสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ ให้แก่บุคคลเหล่านั้น อย่างเช่นว่า "ดุ่มบถด่วน ชวนจิตเพลิน ใดบ่มิเกิน เชิญบทจรฯ" ยังมีการชักชวนให้เดินทางอีกด้วย ว่ามีคุณมีประโยชน์อย่างไร
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    อีกประเภทหนึ่ง เป็นการไปเพื่อท้าทายขีดจำกัดของตนเอง ถ้าหากว่ากล่าวตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ก็คือ การชนะตนเองนั่นแหละประเสริฐที่สุด แต่ว่านี่เป็นการชนะเพียงทางโลก ๆ เท่านั้น การชนะตนเองขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ ชนะใจตนเอง สามารถสร้างกำลังใจของตนเองให้อยู่เหนือกิเลสทั้งปวงได้

    แต่ว่าบุคคลที่ตั้งใจท้าทายขีดจำกัดของตนเอง อย่างเช่นว่าปีนป่ายยอดเขาเอเวอเรสต์ เป็นต้น อย่างที่กระผม/อาตมภาพไปมา ก็คือการไปยังทิเบต ซึ่งทางด้านมัคคุเทศก์ท้องถิ่นอย่าง "อาตี๋" ซึ่งความจริงชื่อ "ต้วนเต๋อหยี่" แต่กระผม/อาตมภาพเรียก "อาตี๋" หรือถ้าหากวันไหนทำอะไรไม่ถูกใจก็กลายเป็น "ไอ้ตี๋" ขึ้นมาทันที..!

    ต้วนเต๋อหยี่ถามว่าในคณะนี้ "มีใครเคยมาคุนหมิงบ้าง ?" ทุกคนเงียบสนิท "มีใครเคยไปจงเตี้ยนบ้าง ?" เงียบสนิท "มีใครเคยไปแชงกรีล่าบ้าง ?" เงียบสนิท เล่นเอาอาตี๋ตาเหลือก ร้องว่า"ไอ้หยา..แล้วลื้อกล้าไปทิเบต..!" ซึ่งพวกเราก็ไปทิเบตและผ่านมาอย่างสวยงามแล้วด้วย แม้ว่าจะมีบางคนแพ้อากาศเล็กน้อยก็ตาม

    โดยเฉพาะบริเวณทะเลสาบยัมดร็อกโซนั้น อยู่ที่ความสูง ๕,๕๐๐ เมตร หรือว่า ๕ กิโลเมตรครึ่ง..! ซึ่งถ้าหากเราผ่านจุดนั้นได้ ก็เชื่อว่าน่าจะผ่านได้ทุกที่ในโลก แล้วยิ่งเมื่อล่าสุด การเดินทางด้วยรถยนต์ จากแคชเมียร์ของประเทศอินเดีย ไปยังเลห์ - ลาดัก เราไปติดอยู่บนช่องเขา Gadung La Pass ซึ่งสูงถึง ๕,๖๐๐ เมตร ตามปกติเขาให้อยู่ข้างบนนั้นได้ไม่เกิน ๒๐ นาที แต่พวกเราไปติดอยู่ที่นั่น ๒ ชั่วโมงเศษ..! เพราะว่าหิมะตกหนัก ทำให้เขาต้องปิดทาง กลัวว่ารถวิ่งแล้วจะลื่นตกเหว เมื่ออยู่สถานที่สูงขนาดนั้นเป็นเวลาถึง ๒ ชั่วโมง ก็เรียกว่าเกินกว่าการท้าทายขีดจำกัดของตนเองไปมากแล้ว

    กระผม/อาตมภาพยังตั้งใจจะไปท้าทายขีดจำกัดตนเองที่เมืองฮาร์บิน ประเทศจีนอีกสักรอบหนึ่ง อยากจะรู้ว่าอากาศติดลบ ๕๒ องศาเซลเซียสนั้น เราจะไหวหรือไม่ไหว ? อย่างดีก็คงจะ "แช่แข็ง" กลับมา ให้ญาติโยมทั้งหลายได้เผาที่เมืองไทย แต่ถ้าหากว่าผ่านไปได้ ก็จะเป็นการทะลุขีดจำกัดของตนเองไปอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นแค่ความภูมิใจส่วนตัวเท่านั้น
    ถ้าหากว่าใครไป ก็ต้องตั้งใจเลยว่าเราไปหาที่ตาย แล้วถึงเวลาจะตายขึ้นมาจริง ๆ โปรดอย่าเรียกร้องให้ใครช่วย เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะช่วยได้..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    อีกประเภทหนึ่ง ก็ไปแบบกระผม/อาตมภาพ ก็คือมีจุดหมายไปโดยเฉพาะ อย่างเช่นว่า ตั้งใจไปพบบุคคลบางท่าน หรือว่าตั้งใจไปสงเคราะห์บุคคล หรือว่าคณะบุคคลบางคน

    เมื่อวานนี้คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เจ้าของบริษัทเอ็นซีทัวร์ ก็ยังปรารภว่า "จัดทัวร์ไปเวียดนามมาหลาบสิบครั้งแล้ว ไม่เคยเจอประสบการณ์ดี ๆ อย่างที่หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังเลย ที่หลวงพ่อเล็กกับคณะไปมา เจอแต่สิ่งดี ๆ ที่เหมือนกับมองโลกในแง่บวกทั้งนั้น" กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า เป็นความเมตตาของหลวงปู่ติช กวาง ดึ๊ก ที่ท่านเมตตาไปรับถึงสนามบิน แล้วยังกำชับกำชามอบหมายให้เจ้าที่เจ้าทางแต่ละจุด แต่ละแห่ง ส่งต่อกันไปเป็นทอด ๆ

    ดังนั้น..ในสถานที่ที่อากาศปิด พอเราไปถึงก็อากาศเปิดให้ถ่ายรูปกันได้อย่างที่พวกเราได้เฮกัน แม้กระทั่งปรากฏการณ์ที่เห็นได้ยากอย่าง "มังกรเมฆผงกเศียร" ที่ยอดเขา "สะพานแก้วมังกรเมฆ" พวกเราก็ได้พบ การขึ้นไปที่ยอดเขาฟานซีปัน ซึ่งปรากฏว่าอากาศปิดตั้งแต่เช้า พอเราโผล่ขึ้นไป แดดก็ออกให้ถ่ายรูปได้ เป็นต้น โดยเฉพาะไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม เจอแต่คนดี ๆ เจอแต่สิ่งที่สนุกสนาน ต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่ทำให้บุคคลซึ่งขยาดประเทศเวียดนาม อาจจะต้องมีแง่มุมใหม่ ๆ มามองกันเลยทีเดียว

    ดังนั้น..
    การที่ไปแบบมีจุดมุ่งหมายเฉพาะแบบนี้นั้น ต้องบอกว่ามีน้อยคนมากที่จะทำในลักษณะอย่างนี้ เนื่องเพราะว่าถ้าครูบาอาจารย์ไม่สั่ง หรือว่าพระท่านไม่สั่ง กระผม/อาตมภาพก็คงไม่ไปเหมือนกัน และโดยเฉพาะข้อจำกัดของตนเองก็คือ ถ้าหากว่าไปไหนแล้วต้องจ่ายเงินเองจะไม่ไป ยกเว้นว่าจะมีเจ้าภาพจ่ายให้ หรือว่าทางคณะทัวร์ให้ติดไปฟรี เป็นต้น

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้มีการเดินทางไปต่างประเทศน้อยมาก ยกเว้นระยะหลัง เมื่อลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) มาตั้งบริษัทเติมเต็มทราเวล เริ่มจัดทัวร์ ถ้าหากว่าเป็นระยะที่ไม่ได้ไกลนัก คือใช้เวลาไม่เกิน ๔ - ๕ วัน ที่หลวงตาพอจะปลีกตัวไปได้ ก็ชักชวนให้หลวงตาไปร่วมขบวนด้วยฟรี ๆ แล้วญาติโยมต่าง ๆ ที่ไปร่วมทาง ก็จะได้อาศัยหลวงตาไปไหนสะดวกขึ้น เป็นต้น ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น ถ้าหากว่าใครเชื่อก็ดีไป ถ้าไม่เชื่อก็ต้องรอการพิสูจน์กันอีกทีหนึ่ง

    ดังนั้น..ที่ถามมาว่า กระผม/อาตมภาพ "ไปต่างประเทศเพื่ออะไร ?" ก็ขอกล่าวตอบแบบรวม ๆ กันว่า ถ้าหากว่าเป็นการไปท่องเที่ยว ก็ไปเปลี่ยนบรรยากาศ ให้รางวัลกับชีวิตของตนเอง ถ้าไปเพื่อหาประสบการณ์ชีวิต ก็จะได้นำเอาสิ่งที่ได้พบได้เห็น มาปรับใช้กับวัดวาอารามและชุมชนรอบวัด อีกส่วนหนึ่งก็คือไปเพื่อที่จะทะลุทะลวงขีดจำกัดของตนเอง ต้องเรียกว่าเป็นความบ้าเฉพาะตัว ที่หลายท่านไม่ควรจะเอาอย่าง เพราะว่าโอกาสตายมีสูงมาก..!

    ส่วนประการสุดท้าย ก็คือไปแบบมีจุดมุ่งหมายเป็นการเฉพาะ ซึ่งหลาย ๆ ครั้งก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะไปเป็นการเฉพาะ หากแต่ว่าเดินทางไปแล้วบ้าง หรือว่าไปถึงครึ่งค่อนทางบ้าง ก็ถึงจะมีจุดหมายที่ชัดเจนขึ้นมา เรื่องพวกนี้ไม่สามารถที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ล่วงหน้าได้ ว่าอะไรเป็นอะไร บางทีก็ยังมี
    การไปใช้หนี้อีกด้วย อย่างเช่นที่บาดเจ็บกลับมาจากประเทศลาว เป็นต้น

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...