เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 31 กรกฎาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ หวังว่าคงไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วย สมัยที่กระผม/อาตมภาพอยู่ดูแลหลวงปู่มหาอำพัน - ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) ที่วัดเทพศิรินทราวาส ถ้าท่านเปียกฝนกลับมา ท่านจะเอาน้ำล้างศีรษะทุกครั้ง ท่านบอกว่าพ่อแม่สอนเอาไว้ คล้ายกับว่าถ้าล้างน้ำฝนออกไปแล้วจะไม่เป็นหวัด..ประมาณนั้น ส่วนกระผม/อาตมภาพเอง ถนัดในเรื่องกลับมาเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อนที่เปียกแล้วก็ฉันยามากกว่า

    สำหรับวันนี้ที่เดินทางไปก็คือไปเยี่ยมการปฏิบัติธรรมของพระนวกะในอำเภอต่าง ๆ มีของอำเภอหนองปรือ จัดที่วัดห้วยหวาย หมู่ที่ ๓ ตำบลหนองปลาไหล อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนของคณะสงฆ์อำเภอพนมทวน อำเภอบ่อพลอย อำเภอท่ามะกา อำเภอเลาขวัญ และอำเภอห้วยกระเจา จัดรวมกันที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์

    ความจริงในแต่ละสถานที่เขามีพระวิปัสสนาจารย์คอยให้คำแนะนำ และนำในการปฏิบัติอยู่แล้ว แต่ว่าบรรดาพระวิปัสสนาจารย์นั้น ส่วนใหญ่แล้วจบปริญญาโท หรือปริญญาเอกสาขาวิปัสสนาภาวนามา ก็มักจะ "แก่วิชา" ก็คือบรรยายเนื้อหาวิชาการที่พระใหม่ฟังไม่รู้เรื่อง พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่โดนบังคับให้มาปฏิบัติธรรม ก็คงจะหนีกลับวัดกันหมดแล้ว..! ที่กระผม/อาตมภาพไป ก็เพื่อที่จะพูดให้พระใหม่เขาเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมนั้นมีอานิสงส์อย่างไร เราที่เป็นพระใหม่ ถ้าปฏิบัติไปแล้วจะได้อะไรบ้าง โดยใช้ภาษาง่าย ๆ และยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน

    เรื่องพวกนี้จะโทษบรรดาพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่ได้ แม้กระทั่งตอนที่ยังสอนหนังสืออยู่ที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดีก็ดี วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิก็ตาม กระผม/อาตมภาพต้องรับหน้าที่ประธานพระวิปัสสนาจารย์ทุกครั้ง ซึ่งความจริงถ้าตามตำแหน่งที่แต่งตั้งไว้ก็คือรองประธานพระวิปัสสนาจารย์ โดยมีท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีวิสุทธิวงศ์, ดร. (สุวิทย์ ปวิชฺชญฺญู ป.ธ.๙) เป็นประธานในการนำปฏิบัติธรรม แต่ท่านมักจะถวายหน้าที่ให้กระผม/อาตมภาพทำแทน

    เนื่องเพราะว่าบรรดาผู้ที่เข้าปฏิบัติธรรมนั้นก็คือนิสิต ไม่ว่าจะเป็นระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท จนถึงปริญญาเอก เขาทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มาเพราะหลักสูตรบังคับ ไม่ได้มาเพราะความศรัทธาในการปฏิบัติโดยตรง ส่วนบรรดาพระวิปัสสนาจารย์นั้นไปเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนา หรือว่าเรียนปริญญาเอกวิปัสสนาภาวนาด้วยความศรัทธาเฉพาะตัว แล้วก็เอากำลังใจของตัวเองไปเทให้กับนิสิตที่โดนหลักสูตรบังคับมา พูดง่าย ๆ ว่าทำให้ยากที่สุดเท่าที่จะยากได้ เหมือนกับที่ตัวเองโดนมา แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าบรรดานิสิตทั้งหลายจะยอมทำตามโดยดีหรือไม่ ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    หลายครั้งที่กระผม/อาตมภาพมีธุระ ทำให้ไปถึงสถานที่ปฏิบัติธรรมช้า พอไปถึงครูบาอาจารย์ก็แห่มาฟ้องว่าบรรดานิสิตดื้อแบบนั้น ดื้อแบบนี้ นิสิตก็แห่มาล้อมครูบาอาจารย์ไว้อีกชั้นหนึ่ง บอกว่าครูบาอาจารย์สอนผิดวิธี ไม่เหมือนกับที่พระอาจารย์เล็กสอน ก็คือสอนให้ยากที่สุดเท่าที่จะยากได้ บางครั้งกระผม/อาตมภาพรำคาญ ก็ไล่เตลิดเปิดเปิงไปทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ บอกว่าเดี๋ยวจะ "เคลียร์" ให้เอง..!

    โดยเฉพาะวิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมินั้น กระผม/อาตมภาพบางทีก็ไปวางแบบให้เขาเป็นเวลา ๓ วัน ๔ วัน แล้วก็ให้เขาปฏิบัติกันเอง ก็คือให้พระวิปัสสนาจารย์ที่เหลืออยู่ทำตามแบบที่กระผม/อาตมภาพได้วางเอาไว้ แล้วตนเองก็เดินทางไปงานของตน ยังไปได้ไม่เท่าไรเพื่อนฝูงก็โทรมา บอกว่า "ตอนนี้เละเป็นขี้แล้วครับ นิสิตลุกขึ้นด่าพระวิปัสสนาจารย์กลางศาลาปฏิบัติธรรมเลย..!" ถามว่า "ทำไม ?" เขาบอกว่า "อาจารย์ผู้รับผิดชอบ แทนที่จะทำตามที่พี่เล็กวางแบบไว้ กลับไปโทรศัพท์ขออาจารย์จากส่วนกลางที่จบปริญญาโทวิปัสสนาภาวนามานำ ก็บรรลัยละครับท่าน..!"

    หลายท่านที่เคยปฏิบัติธรรมในส่วนที่กระผม/อาตมภาพนำนิสิตปฏิบัติธรรม จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพไม่เคยบังคับให้นิสิตมาตามเวลา เริ่มปฏิบัติธรรมตี ๓ ก็ลงไปตั้งแต่ตี ๒ ครึ่ง เล่าประสบการณ์ปฏิบัติธรรมไปเรื่อย ๆ คนที่อยากฟังก็ค่อย ๆ มาเอง พอถึงเวลาปฏิบัติธรรมตอนตี ๓ ทุกคนมาพร้อมแล้ว ไม่เห็นต้องไปบังคับให้มาเลย

    หลังจากนั้นพอเริ่มกรรมฐาน ก็จะใช้วิธีการสอนแบบที่นำผู้ปฏิบัติธรรมที่วัดเรา เพราะว่าช่วงเช้าเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด ถ้ากำลังใจสงบระงับลงได้ก็จะอยู่สบายไปทั้งวัน ในเมื่อทุกคนรับไปเต็มที่ในช่วงเช้า เวลาที่เหลือก็จะมีความสุขอยู่กับอารมณ์ใจของตนเอง ใครจะเป็นครูบาอาจารย์นำปฏิบัติตอนนั้น เขาก็ไม่ว่าแล้ว

    เรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพก็ทำให้ดูหลายต่อหลายปี โดยบอกกล่าวกับท่านทั้งหลายเหล่านั้นอย่างชัดเจนว่า กระผม/อาตมภาพไม่มีเวลามาดูแลให้ทุกปี ให้ศึกษาแนวทางแบบนี้เอาไว้แล้วทำตาม ก็จะได้ผลเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าแต่ละท่านถนัดแต่วิธีการและแนวทางของตนเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เวรกรรมก็ไปตกอยู่กับนิสิต แต่ว่าบรรดานิสิตก็ยังดี โดยเฉพาะปริญญาตรีอย่างน้อยก็เรียนอยู่ ๔ ปี พูดง่าย ๆ ว่าผ่านกรรมฐานประจำปีมาหลายหน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,461
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,372
    แต่บรรดาพระนวกะเพิ่งจะบวช แล้วก็ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา บวชตามประเพณีบ้าง บวชแก้บนบ้าง บวชด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป บรรดาพระเถระทั้งหลายก็เห็นว่า "บวชมาแล้วอย่าให้เสียเปล่า" จึงจัดให้มีโครงการอบรมกรรมฐานขึ้นมา แล้วก็ไปเจอพระวิปัสสนาจารย์แบบโหดที่ว่า แล้วคิดว่าบรรดาพระนวกะจะได้ประโยชน์อะไรจากการปฏิบัติธรรม ? นอกจากมองโลกในแง่ร้าย ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาทนทำเรื่องพวกนี้ด้วย

    โดยเฉพาะต้องมาทนฟังสารพัดเรื่อง ที่เป็นภาษาซึ่งตนเองไม่เข้าใจ อย่างเช่นว่าอารมณ์อัพยากฤตเป็นอย่างไร ? นามรูปปริจเฉทญาณเป็นอย่างไร ? ปัจจยปริคคหญาณเป็นอย่างไร ? กระผม/อาตมภาพฟังเองยังจะบ้า..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ที่ต้องลำบากเดินทางไปไกล ๆ ทีหนึ่ง ๒๐๐ กว่ากิโลเมตร ไปกลับก็ ๔๐๐ - ๕๐๐ กิโลเมตร ก็เพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์บรรดาพระใหม่ อย่างน้อย ๆ ก็ได้แนวทางที่ถูกต้องไป ถ้ารู้จัก "เอาหูไปนาเอาตาไปไร่" พระวิปัสสนาจารย์จะสอนอย่างไร เราก็ปฏิบัติตามแนวทางที่ได้ไปก็จบแล้ว..!

    ดังนั้น..บางท่านจะเห็นว่า แม้จะเปียกปอนมาจากการบิณฑบาต ถ้าไม่มาลาเรียขึ้นก็ตะคริวจะรับประทาน แต่กระผม/อาตมภาพก็ต้องรีบเดินทางไปหลังจากที่เปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อนเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าแต่ละอำเภอมีพระบวชใหม่ไม่ใช่น้อย ๆ ถ้าเขาทั้งหลายเหล่านั้นสามารถอยู่ต่อได้ ต่อให้มีสัก ๕ เปอร์เซ็นต์ก็ยังดี
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้เมื่อได้แนวทางที่ถูกต้องไป ปฏิบัติแล้วมีผล เกิดความเลื่อมใสศรัทธาบวชต่อขึ้นมา เราก็จะได้พระภิกษุสงฆ์เอาไว้สืบทอดพระพุทธศาสนา แต่ถ้ารำคาญแทบจะหนีกลับวัดตั้งแต่วันแรก ก็แปลว่าโครงการต่าง ๆ ที่ทุ่มเทงบประมาณลงไปนั้น ทำไปก็ไร้ประโยชน์ แถมยังทำให้เขามองในแง่ร้ายอีกด้วย..!

    เรื่องพวกนี้ถ้ามีโอกาส กระผม/อาตมภาพก็จะพูดในที่สัมมนา หรือว่าได้รับนิมนต์ให้ไปบรรยายก็จะกล่าวถึงเสมอ แต่ว่ากระทบกระทั่งผู้อื่น บางครั้งลงมากราบพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ว่าขออภัยที่พูดแรงแล้วกระเทือนถึง ท่านบอกว่า "มึงรู้จริงก็พูดไป แต่อย่าให้กระเทือนเจ้านายมากนัก"

    จะว่าไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาอย่างหลวงพ่อเจ้าคุณแย้มท่านไม่ได้หาง่าย ๆ ก็คือทำอะไรกระทบกระเทือน ท่านโกรธท่านก็ด่าตรงนั้นแล้วก็จบเลย ไม่มีการมาอาฆาตแค้นกัน ลงมาขอขมาตรงนั้นก็เป็นอันว่าจบกัน ไอ้ที่มึงด่ากูก็ "เจ๊า" กันไป ถ้ามีผู้บังคับบัญชาระดับนี้ กระผม/อาตมภาพก็ยังพอที่จะสร้างประโยชน์ให้กับคณะสงฆ์ในเรื่องปฏิบัติธรรมได้อีกมาก แต่ถ้าเปลี่ยนตัวเมื่อไร ก็ไม่รู้ว่าจะโดน "แป้ก" ถอดออกจากตำแหน่งเมื่อไร..?!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...