เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 กรกฎาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ หลายท่านคงเตรียมตัวที่จะประชุมเพื่อแบ่งงานในช่วงงานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร เพียงแต่ว่าในงานลักษณะนั้น สิ่งใดที่เคยเป็นข้อบกพร่องของครั้งก่อนต้องเอามาคุยกันให้ชัดเจน และนำวิธีแก้ไขต่าง ๆ บอกกล่าวให้ทุกคนได้ทราบโดยทั่วถึงกันด้วย

    โดยเฉพาะปัญหาใหญ่ก็คือเรื่องของห้องน้ำห้องส้วมและขยะ เพราะว่าถ้าหากว่าพลาดเมื่อไรก็เสียหายทันที อย่างที่มีอยู่ปีหนึ่ง มีผู้หวังดีปรารถนาดี ไม่รู้ว่านั่นเป็นระบบน้ำประปาของวัด ก็ไปปิดสวิทช์ ทำให้ไม่มีน้ำจะราดส้วม..! คือบางคนก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ตนเองทำไปนั้นจะสร้างความเสียหายไปหรือเปล่า ? คิดอยู่อย่างเดียวว่า "เดี๋ยวน้ำจะล้น" ก็ไปปิด..!

    อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องของขยะ โดยเฉพาะโรงทานต้องจัดเก็บให้เร็วที่สุด พระที่รับผิดชอบควรที่จะหาทีมงานฆราวาสเอาไว้ ต้องบอกว่าเป็น ๑๐ คนเลย ไม่เช่นนั้นแล้วลำพังพระเราไปจัดการตรงนั้น บางครั้งก็ดูไม่ดีไม่งามเหมือนกัน

    เรื่องของพระทำงาน บางทีเราก็จะใส่ชุดที่คนอื่นเห็นแล้วสะดุดตา อย่างเช่นว่าเสื้อแขนยาว อย่าลืมว่าพระของเรานั้นยัง มีอาบัติในลักษณะของการแต่งกายประหนึ่งฆราวาสอยู่ด้วย ยกเว้น "เวลาที่มีจีวรอันโจรลักไป" หรือว่า "มีจีวรอันฉิบหายเสียแล้ว" ในระหว่างที่รอหาของใหม่ ก็อาจจะต้องอาศัยเสื้อผ้าของฆราวาสใส่ก่อนชั่วคราว

    แต่คราวนี้ในเรื่องของศีลที่มานอกพระปาฏิโมกข์นั้น ฆราวาสน้อยคนที่จะรู้ พอเห็นก็มักจะชิงตำหนิเอาไว้ก่อนว่า "เป็นพระเป็นเจ้าทำไมไปใส่เสื้อเหมือนกับฆราวาส ?" เรื่องพวกนี้บางท่านก็ไม่ได้คิด เราทำแบบนี้เป็นปกติในวันที่ไม่มีงาน แต่ในวันที่คนเป็นหมื่น ๆ มา อาจจะมีคนที่ไม่เข้าใจและตั้งใจถ่ายคลิป เอาไปลงประจานได้..!

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีโยมอยู่คนหนึ่งที่ทำคลิปในลักษณะท่องเที่ยว ขึ้นไปบนยอดเขาพระพุทธบาท ปรากฏว่าตลอดทางที่เขาถ่ายไปก็คือบันไดมีแต่ใบไม้ แล้วบางช่วงก็มีเถาวัลย์เลื้อยขึ้นมาด้วย แสดงว่าพวกเราขาดการดูแล แล้วก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าขั้นบันไดจำนวนมากที่แตกหักเสียหาย ทำไมยังไม่ได้รับการเปลี่ยน ? เพราะที่เขาถ่ายมานั้น บางทีก็แตกสามขั้นติดกันเลย..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพจำได้ว่า เคยบอกกล่าวแล้วว่า "ถ้าเป็นเย็นวันศุกร์หรือบ่ายวันศุกร์ เราไปทำความสะอาดเอาไว้ เพื่อรอรับนักท่องเที่ยววันเสาร์และวันอาทิตย์ ส่วนใครที่มาวันธรรมดา จะเจอใบไม้ตกหล่นอยู่บ้างก็ไม่เป็นไร" ส่วนที่หนักที่สุดก็คือบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาท รองลงมาก็เป็นบันไดขึ้นพระพุทธเจติยคีรี ส่วนทางเดินรอบบริเวณทางรถไฟสายมรณะนั้น ต้องบอกว่าเหมือนกับพื้นราบ เดินค่อนข้างจะสบาย ไม่มีปัญหา เราแค่ทำความสะอาดเอาไว้ก็พอ

    เพียงแต่สำคัญตรงที่ว่าระยะนี้ ท่านทั้งหลายก็ต้องเร่งรัดในการเรียนบาลี บางทีก็ไม่มีเวลาไปดูแลความสะอาดนอกเหนือจากรอบที่พักของตัวเอง เพียงแต่ว่าก่อนช่วงงาน เราต้องระดมทำความสะอาดครั้งใหญ่ แล้วก็แบ่งปันหน้าที่ให้ชัดเจนว่าใครรับผิดชอบอะไรบ้าง

    โดยเฉพาะในส่วนที่อยู่ในศาลา ถ้าเห็นใครนั่งเว้นระยะเมื่อไรไล่ให้นั่งชิดทันที ไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นเจ้าใหญ่นายโตที่ไหนมา เพราะว่าบุคคลที่เห็นแก่ตัวมีมาก บางทีคนจำนวนมากนั่งอยู่ด้านนอก เจอฝนด้วย แต่ข้างในนั่งกันสบาย แทนที่จะเข้ามาได้อีก ๕๐๐ คน หรือ ๑,๐๐๐ คน ก็กลายเป็นว่าต้องไปนั่งตากฝนอยู่ด้านนอก โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนนั้น เป็นช่วงที่ฝนชุกอีกต่างหาก ดังนั้น..ถ้าหากว่าแบ่งหน้าที่กันตั้งแต่เนิ่น ๆ ต่างคนต่างหาทีมงานของตนเอง ถึงเวลาเราจะได้จัดการหน้าที่ของเราให้เรียบร้อย ไม่ต้องไปกังวลทีหลัง

    ส่วนท่านใดที่ยังต้องเดินทางไปเรียน บางทีกระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อย่างท่านปู (พระพงษ์สิทธิ์ สนฺตจิตฺโต) มีให้เรียนใกล้ ๆ ในเมืองกาญจน์ก็ไม่เรียน แต่จะไปเรียนถึงอยุธยาที่ มจร.แม่เลย ถ้าไม่กลัวลำบากก็ตามใจ กระผม/อาตมภาพเองเป็นห่วงตรงที่ว่า การเดินทางไกล ๆ แล้วไม่มีรถส่วนตัวนั้นไม่ใช่เรื่องสบาย ต้องต่อรถ ต่อแล้วต่อเล่ากว่าจะไปถึง ถ้าหากว่าเรียนหนัก ๆ อาจจะเหนื่อยจนหมดสภาพไปเสียก่อน

    อีกส่วนหนึ่งก็คือในเรื่องของผู้ที่เรียนที่ห้องเรียนวัดปรังกาสี ปีนี้กระผม/อาตมภาพให้เฉพาะในส่วนของวัดท่าขนุนเท่านั้น เพราะว่าขอไปแล้วว่าให้เป็นสาขารัฐประศาสนศาสตร์ เนื่องเพราะวางแผนระยะยาวไว้ ก็คือถึงเวลาแล้วปีถัดไปก็จะได้รับปี ๑ ที่เป็นฆราวาส ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือบรรดาเจ้าหน้าที่เทศบาลและ อบต.ที่ต้องการเพิ่มวุฒิการศึกษาของตนเอง แต่ว่าทางวิทยาลัยสงฆ์ไม่ให้ กระผม/อาตมภาพถือว่า
    ช่วยเขามามากและช่วยเขามานาน ขอแค่นี้ไม่ให้ก็เป็นอันว่าไปดูแลกันเอง..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เรื่องพวกนี้บางท่านอาจจะคิดว่า กระผม/อาตมภาพคิดเล็กคิดน้อย ต้องบอกว่าไม่ใช่คิดเล็กคิดน้อย เนื่องเพราะว่าสาขาพุทธศาสนานั้นเหมาะแก่พระภิกษุสามเณรเท่านั้น เมื่อปี ๑ ขึ้นปี ๒ ไปแล้ว เราจะหานิสิตปี ๑ ไม่ได้ ไม่ต้องไปพูดถึงนิสิตปี ๒ ปี ๓ ปี ๔ อะไรเลย เพราะว่าจะเหลือแค่ห้องเดียวที่จะขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ

    นิสิตใหม่จะหายากสุด ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือลำบากเพราะว่าไปเรียนคณะที่ไม่ได้รับความนิยม แต่ถ้าหากว่าเป็นรัฐประศาสนศาสตร์ เราจะหานิสิตใหม่เพิ่มได้ทุกปี ยิ่งบรรดาเพื่อนฝูงเรียนจบไปแล้ว มีความก้าวหน้าในการงาน รุ่นต่อ ๆ มาก็จะกระตือรือร้นมาเรียนหันเอง

    แต่ว่าท่านทั้งหลายไม่ต้องกังวล เนื่องเพราะว่าถึงไม่มีกระผม/อาตมภาพอยู่ หลวงพ่อพระครูพิสุทธิ์กาญจนาภรณ์ วัดอู่ล่องนั้น รวยกว่าวัดท่าขนุนหลายเท่า..! เพราะว่าท่านเป็นหมอดู ซึ่งท่านที่ไปเรียนหมอดูมา ถ้าอยากจะเหนื่อยแบบนั้นก็ลองเปิดดูหมอบ้างก็ได้ เพียงแต่ว่าหากุฏิ หาศาลา หรือสถานที่เหมาะ ๆ สักที่หนึ่ง ขอให้แม่นจริงเท่านั้นแหละ พอเขาบอกกันปากต่อปาก ไม่ถึงสามเดือนก็เริ่มเหนื่อยจนหาเวลาพักไม่ได้แล้ว..!

    กระผม/อาตมภาพเองในช่วงที่ดูหมออยู่ ส่วนที่เบื่อที่สุดก็คือบุคคลที่มาจะเอาแต่เรื่องของตัวเอง ไม่ได้สนใจว่าพระเจ้าจะได้พักผ่อนหลับนอน หรือว่าจะได้ฉันหรือไม่ ? ขนาดตักข้าวใส่ปากอยู่ยังบอกว่า "ไม่เป็นไรค่ะ ขอเวลาแค่ ๕ นาที" จนกระทั่งต้องดุไปว่า "ไม่เป็นไรของมึง แต่กูน่ะเป็นไรมากเลย..!" ฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครดูหมอก็อาจจะต้องผจญกับความต้องการที่ไม่มีสิ้นสุดของคน ถ้าทำใจได้ กระผม/อาตมภาพว่า ก็น่าจะบรรลุเร็วเหมือนกัน..!

    ท่านจะเห็นว่าท่านอาจารย์เอกลักษณ์ (พระปลัดเอกลักษณ์ ปญฺญาคโม) นั้น สร้างวัดพุทธพรหมยานใหญ่โตมโหฬารภายในเวลาไม่กี่ปี นั่นก็คือผลพวงจากการดูหมอ หลวงพ่อพระปลัดวิรัช โอภาโส สร้างวัดธรรมยาน ใหญ่โตมโหฬารมูลค่าหลายร้อยล้าน ก็ผลพวงจากการดูหมอเช่นกัน

    เพียงแต่ว่าต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง เนื่องเพราะว่าการดูหมอนั้น บางทีเป็นการละเมิดกฎของกรรมบางส่วน ถ้าหากว่าภาษากำลังภายในเขาว่า "ไปเปิดเผยลิขิตฟ้า" ในเมื่อเราเองไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในวาระบุญวาระกรรมของคนอื่น บางทีก็เหมือนอย่างกับลูกปืนจะวิ่งไปหาเขา แล้วเราไปขวางเอาไว้ ก็เดือดร้อนเองเท่านั้น..!

    นักดูหมอที่ดีจึงควรที่จะรู้ว่าพูดได้เท่าไร แต่ด้วยความที่เรารู้ว่าพูดได้เท่าไร แต่ว่าญาติโยมที่มาดูหมอนั้นต้องการรู้จนถึงแก่น ในเมื่อความต้องการขัดกัน ก็อยู่ที่เราเองว่าจะพลิกแพลงแก้ไขอย่างไร
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ถ้าใครฝึกมโนมยิทธิมา การดูหมอเป็นการซักซ้อมทิพจักขุญาณที่ดีที่สุด แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเตือนแล้วว่า "อย่าให้ซักถามต่อหน้า" ให้เขาเขียนคำถามมา จำกัดไว้ว่า ๓ คำถาม หรือ ๕ คำถาม แล้วให้คนส่งมา ตัวเราเองอาจจะมีห้องพระซึ่งเป็นที่สงบแยกอยู่ต่างหาก อ่านคำถามแล้วเกิดความรู้สึกอย่างชัดเจนว่า ควรตอบอย่างไรก็ให้ตอบไปอย่างนั้น

    เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าซักถามต่อหน้า อย่างที่บุคคลสอบถามกระผม/อาตมภาพ แล้วท่านไม่มีความมั่นคงในสมาธิ ถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นก็จะ "เฝือ" โอกาสผิดพลาดจะมีสูงมาก ต้องซักซ้อมจนเรามั่นใจว่าทนแรงเสียดทานได้ แล้วค่อยไปลุยกันต่อหน้า

    แต่กระผม/อาตมภาพก็ไม่แนะนำอยู่ดี เนื่องเพราะว่าถ้ากำลังใจของเรายังไม่สามารถละ รัก โลภ โกรธ หลง หรือว่าลดลงไปได้ โดนซักมาก ๆ ความไม่พอใจเกิดขึ้น
    ในเมื่อกิเลสเกิด ความแม่นยำของทิพจักขุญาณก็ลดลง

    เพียงแต่ว่าในส่วนของการดูหมอตามตำรา ต้องอาศัยการดูมาก ๆ จนกระทั่งเกิดความชำนาญขึ้น เห็นลายมือหรือว่าเห็นวันเดือนปีเกิดเท่านั้น ก็มองทะลุเลยว่าจะเป็นอย่างไร แต่กว่าจะถึงระดับนั้นก็คงจะต้องดูกันเป็นร้อย ๆ รายขึ้นไป แล้วในระหว่างที่ชื่อเสียงลาภยศไหลมาเทมา เพราะเขาลือว่าเราดูแม่น ทำอย่างไรที่เราจะรักษากำลังใจไม่ให้หวั่นไหวไปกับโลกธรรมได้ เป็นการบ้านที่ฝากเอาไว้สำหรับท่านที่คิดจะเดินทางนี้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...