เรื่องเด่น หลวงปู่ศรี มหาวีโร โปรดผีเปรต เพราะกรรมที่ทำไว้กับพระพุทธรูป

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย montrik, 1 ตุลาคม 2019.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,126
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,087
    หลวงปู่ศรี มหาวีโร โปรดผีเปรต
    #หลวงปู่ศรีผีย้าน
    สมัยหนึ่ง หลวงปู่ศรี มหาวีโร แห่งวัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด ท่านมาพักบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ถ้ำพระ ในเขตบริเวณวัดถ้ำกวาง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น ชาวบ้านทั้งหลายต่างก็ดีใจและวิงวอนท่านว่า... "ท่านอาจารย์ โปรดช่วยเมตตาหน่อย

    โปรดกรุณาปราบเปรตตัวดุร้าย ที่มักไปหลอกหลอน และก่อกวนชาวบ้านอยู่เสมอ ห้อยโหนบนต้นไม้ให้ชาวบ้านเห็นบ้าง เดินลากเท้าไปตามถนนบ้าง ทำให้ชาวบ้านกลัวกันจนขี้หดตดหาย"

    ในตอนเย็นวันนั้นเอง หลวงปู่ศรี ท่านนั่งสมาธิพิจารณาธรรมบริเวณลานหินลาดใต้ต้นจำปา ไม่ห่างจากถ้ำพระมากนัก พิจารณาดูผีเปรตตัวนั้น ว่าพอจะแผ่เมตตาโปรดได้บ้างไหม อีกไม่นานก็มีเสียงค่อย ๆ ใกล้เข้ามา ๆ กลายเป็นสายลมพัดวูบ ๆผ่าน ต้นไม้แถบนั้นเสียงดังครืน ๆ ครืน ๆ ในที่สุดเปรตนั้นก็แสดงตนปรากฏในสมาธิธรรมของท่านอย่างประจักษ์ ประหนึ่งว่า "นั่งสนทนากันอย่างคนเราธรรมดา"
    หลวงปู่ศรี ท่านได้ถามว่า "เจ้าชื่อว่าอะไร? ที่ต้องมาเกิดเป็นเปรต เสวยทุกขเวทนาอันร้ายกาจเห็นปานนี้ เพราะกรรมใด"

    เปรตนั้นตอบว่า "ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้าชื่อว่า "บัก(นาย)พรหม" เป็นนามตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุที่เท้าข้างหนึ่งของข้าพเจ้าถูกไม้ทับจึงเป (แบน) คนทั้งหลาย จึงเรียกชื่อข้าพเจ้าตามกิริยาที่เดินขาเกและเท้าที่เป ว่า บักพรหม ตีนเป"

    ส่วนเหตุที่ข้าพเจ้าต้องมาเกิดเป็นเปรตนั้น เพราะว่าในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ ข้าพเจ้าและพวกประมาณ ๑๐ คน มาขโมยพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์อันเป็นพระประธานในถ้ำพระ พวกข้าพเจ้าพยายามยกพระพุทธรูปจากที่ประดิษฐาน แม้จะพยายามช่วยกันยกช่วยกันหามพระพุทธรูปสักเท่าใด พระพุทธรูปก็หาขยับเขยื้อนไม่ จะช่วยกันใช้ไม้งัดก็หาเคลื่อนที่ไม่ ประหนึ่งว่าเป็นเสาศิลาแท่งทึบ พวกเราหมดปัญญาที่จะขโมยเอาไปได้ จึงได้แต่นั่งถอดถอนใจ

    พวกเราปรึกษากันว่า ควรที่เราจะนำธูปเทียนมาสักการะขอขมาท่านเสียก่อน และอาราธนานิมนต์ท่านไปยังสถานที่อื่น เมื่อพวกเราได้ทำอย่างนั้นแล้ว พระพุทธรูปเคลื่อนที่ไปอย่างง่ายดาย

    ถึงพระพุทธรูปจะศักสิทธิ์เพียงใด แต่ด้วยโลภเจตนาบังตาและกิเลสบังใจอย่างมืดมิด พวกเราก็หาศรัทธาเลื่อมใส และเกรงกลัวต่อบาปกรรมนั้นไม่

    เมื่อพวกเราหามพระพุทธรูปออกไปนอกเขตเทือกเขาภูเวียง จังได้หยุดอยู่ที่บริเวณป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันนี้ชนทั้งหลายเรียกว่า "โคกฆ่าพระ" พวกเราก็แสดงสันดานบาปหยาบช้าออกมา ด้วยการพากันทำลายองค์พระพุทธรูปด้วยมีด ขวาน และเลื่อย ด้วยหวังว่าจะนำทองจากองค์พระไปขายเพื่อนำเงินไปเลี้ยงชีพ

    ถึงแม้พวกเราจะฟันทุบและเลื่อยสักเท่าไหร่ พระพุทธรูปนั้นก็หาบุบสลายไปไม่

    เมื่อพวกเราหมดปัญญาจะเอาทองจากองค์พระได้ จึงอธิฐานจิตว่า... "ขอให้ข้าพเจ้าตัดเศียร และตัดองค์อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของพระได้สำเร็จเถิด พวกข้าพเจ้าจะขอเกิดเป็นมนุษย์ชาตินี้เพียงชาติเดียวเท่านั้น"

    เมื่อสำเร็จคำอธิฐาน ในที่สุดก็สามารถทำลายพระพุทธรูปได้ตามใจหวัง ต่างคนก็ต่างตัดต่างเลื่อยด้วยความสะดวก จึงได้นำทองไปขายแบ่งกันเลี้ยงชีพ ต่อมาพวกเราทั้งหมดได้ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ ภายหลังเมื่อสิ้นชีพแล้ว ไปเกิดในอบายภูมิเป็นเปรตเสวยผลกรรมมาเฝ้าถ้ำแห่งนี้ และเที่ยวหลอกหลอนขอส่วนบุญชาวบ้านเป็นเนืองนิตย์

    "ข้าแต่ท่านผู้ทรงพรต ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านอีกเรื่องหนึ่งว่า เมื่อครั้นเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าเป็นคนใจร้าย มักริษยาคนอื่น เห็นคนอื่นมั่งมีเหนือตนก็ไม่พอใจ ครั้นเห็นคนยากไร้ก็กลับดูแคลน อยากได้ทรัพย์สินของผู้อื่น ทำเล่ห์กลหลอกลวงเอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตน ทั้งเป็นคนตระหนี่ไม่ยินดีในการให้ทาน เห็นคนอื่นเขาให้ทานก็พลอยห้ามปราม ฉ้อโกงทรัพย์สินที่เป็นของสาธารณะ หรือของสงฆ์เอามาเป็นของตน ด้วยโลภเจตนาอยู่เสมอด้วยกรรมเหล่านี้เป็นต้น ข้าพเจ้าจึงเกิดมาเป็น 'วิวิธเปรต' "

    "ตอนนี้เจ้าเสวยกรรมคือทุกขเวทนาอันแสนหาหัสอย่างไรบ้าง? เล่าให้อาตมาฟังด้วย" หลวงปู่ศรีกล่าวถาม ด้วยความเมตตาอันหาที่สุดมิได้

    เปรตนายพรหมตีนเป ได้ตอบด้วยสรีระร่างอันน่าสงสารว่า "ข้าพเจ้ามีรูปร่างชั่ว ศีรษะร่างกายผอมโซนักหนา เนื้อและเลือดมิได้มีเลย ทั้งร่างมีแต่กระดูกและหนังที่พอหุ้มกระดูกอยู่เท่านั้น เพราะไม่มีอาหารจะรับประทาน หน้าท้องเหี่ยวติดกระดูกสันหลัง ดวงตานั้นก็ลึกกลวง ดุจถูกเขาแกล้งควักออก ผุ้าสักชิ้นหนึ่งที่จะปิดร่างกายก็มิได้มีเลย ผมก็แสนยาวรุ่มร่ามลงมาปกปากและหน้า เนื้อตัวเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าขยะแขยง ต้องร้องไห้ครวญครางอย่างน่าเวทนา เพราะความหิวโหยอาหาร หมดเรี่ยวแรง จะไปไหน ๆ ก็ไม่ได้ ก็ได้แต่นอนหงายอิดโรยอยู่อย่างระเกะระกะ อย่างที่ท่านพระคุณเจ้าเห็น" เมื่อเขากล่าวมาถึงตรงนี้ต้องหยุดเพราะความอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง และด้วยพลังกระแสเมตตาของหลวงปู่ศรี ที่แผ่ให้ เขาจึงมีเรี่ยวแรงกล่าวต่อไปอีกว่า

    "หูของข้าพเจ้าย่อมได้ยินเสียงประดุจคนมาร้องเรียกแผ่ว ๆ ดังแว่วมาแต่ไกลว่า "สูเจ้าทั้งหลายเอ๋ย! จงพากันมากินข้าวกินน้ำ" ฝูงเปรตทั้งหลายก็ได้ยินเสียงกรรมบันดาลเช่นนี้เหมือนกับข้าพเจ้า ก็เข้าใจว่ามีข้าวมีน้ำ ต่างก็ดีใจคิดจะลุกขึ้นแต่ก็ลุกขึ้นไม่ได้ เพราะหมดเรี่ยวแรง แล้วก็พยายามลุกขึ้นอย่างแสนลำบาก บางตนก็ล้มลงนอนหงายแผ่ แต่เสียงเรียกให้ไปกินข้าวกินน้ำก็ยังคงดังแผ่วมากระทบหูอยู่เรื่อย ๆ พวกเราจึงอุตส่าห์พยายามเกาะกันล้มลุกล้มหงาย ในที่สุดก็ลุกขึ้นได้

    ครั้นลุกขึ้นได้ ก็เอามืออันเหี่ยวแห้งพาดขึ้นเหนือหัวชื่นชมยินดี ค่อยพยุงร่างกายไปสู่ทิศที่ได้ยินเสียงเรียก เร่งไปเร่งหาอยู่ช้านาน แต่จักได้พานพบข้าวและน้ำก็หามิได้เลย จึงเสียใจร้องไห้ครวญครางพลางก้มลงเกลือกด้วยความหิวอยู่ ณ ที่นั้นเอง"

    ในไม่ช้าก็ได้ยินเสียงเรียกมาเร้าใจให้พยายามอีก แต่จะได้เจออาหารสักนิดก็หามิได้ ได้แต่ยินเสียงร้องเรียกแต่อย่างเดียว ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าต้องเป็นอย่างนี้หลายร้อยหลายพันปี จนกว่าจะสิ้นเวรกรรม" เปรตนายพรหมตีนเปกล่าวทั้งน้ำตาที่หลั่งไหลดั่งสายน้ำ

    หลวงปู่ศรี ได้กล่าวสอนด้วยเมตตาต่อไปอีกว่า "ขอให้เจ้าตั้งใจรับส่วนบุญที่เราอุทิศให้ ลดทิฎฐิมานะและความดุร้ายลงเสีย อย่าไปเที่ยวก่อกวนชาวบ้านเขา มันจะเป็นบาปซ้ำกรรมซัดเข้าไปอีก เพียงแค่นี้ก็จะพอช่วยบรรเทาเวรกรรมหลายพันปีลงได้บ้าง"

    หลังจากหลวงปู่ศรี ท่านโปรตเปรตตนนี้แล้ว ชาวบ้านก็อยู่กันอย่างสงบสุขหายหวาดกลัวไปบ้าง บางคนอัศจรรย์ในคุณธรรมของท่านที่ปราบผีเปรตให้หายพยศ สมกับสมญานามของท่านที่ว่า "หลวงปู่ศรีผีย้าน"

    FB_IMG_1569894299878.jpg

    ขอบคุณ เว็บเพจ พระเครื่องอำเภอเมืองสรวงและคณาจารย์สายอิสาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...