หนีนรกโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๒ ลักษณะแห่งการหนีบาป

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 18 มกราคม 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หนีนรกโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๒ ลักษณะแห่งการหนีบาป
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้เป็นตอนที่ ๒
    ก็มาพูดถึงลักษณะแห่งการหนีบาปกันต่อไป
    แต่ขอย้ำไว้ก่อนว่าการที่จะหนีอบายภูมิทั้ง ๔ คือ การไม่เกิดเป็นสัตว์นรก
    เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่อไปนั้น
    ต้องกำจัดสังโยชน์ คือ อารมณ์ชั่ว ๓ ประการ
    ขอย้ำไว้ตอนนี้ก่อนตอนต้นจะได้ไม่เฝือ

    ๑. ที่มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ตายตัดทิ้งไป
    ให้มีความรู้สึกว่ามันจะต้องตายแน่และไม่ประมาทในชีวิต
    คิดทำความดีต่อไป

    ๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม
    และพระอริยสงฆ์หันมากลับมาปฏิบัติในศีลให้แน่นอนและจริงจัง
    ฆราวาสเพียงแค่ศีลห้า หรือว่ากรรมบถ ๑๐ ใช้ได้แล้ว
    สำหรับภิกษุสามเณรก็มีศีลของท่าน
    ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ทุกคน
    ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมีความมั่นใจได้ว่า
    จะตายเมื่อไหร่ก็ตามที เราไม่ลงอบายภูมิกันแน่

    ๓. สีลัพพตปรามาส มีการปฏิบัติในศีลไม่แน่นอน ไม่จริงจัง
    อันนี้ต้องตัดทิ้งไปหันมาปฏิบัติในศีลให้แน่นอนและจริงจัง
    ฆราวาสเพียงแค่ศีลห้า หรือว่ากรรมบถ ๑๐ ใช้ได้แล้ว
    สำหรับภิกษุสามเณรก็มีศีลของท่าน ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ทุกคน
    ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมีความมั่นใจได้ว่าจะตายเมื่อไหร่ก็ตามที
    เราไม่ลงอบายภูมิกันแน่

    ที่หันมาพูดอย่างนี้ก็ย้ำไว้แต่ตนต้น
    เพราะว่าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนจะงง
    เพราะในตอนต่อไปนี้พูดเรื่องตาย
    จำให้ได้ว่า ชาตินี้ทั้งชาติตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    เราจะไม่ประมาทเรื่องความตายของชีวิต
    และคนที่เกิดทีหลังเราเด็กเล็กตายก่อนเราไปเยอะแยะ
    เราต้องตายแน่ พยายามรวบรัดความดีเข้าไว้
    บาปเก่าๆ ที่ทำไว้แล้วช่างมัน
    มันจะไปไหนก็ช่างมัน
    ตามเราไม่ทันด้วยอาศัยเคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม
    เคารพพระอริยสงฆ์ และปฏิบัติศีลให้บริสุทธิ์
    อย่าลืมว่าฆราวาสศีลห้า อาจจะหยาบไปนิดหนึ่ง
    แต่ก็พ้นอบายภูมิแล้ว ถ้าทางที่ดีได้กรรมบถ ๑๐ จะดีมาก
    เรื่องนี้รายละเอียดเป็นอย่างไรอ่านต่อไปข้างหน้า

    สำหรับตอนนี้ก็มาขอต่อตอนต้นที่ผ่านมาก็คือ ตอนที่ ๑
    ว่าในเมื่อเรานึกถึงความตายแล้ว
    เราก็เข้ามาไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า
    ในความดีของพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    และความดีของพระอริยสงฆ์
    ตอนนี้ก็มาว่าถึงความดีของพระพุทธเจ้าก่อน

    พระพุทธเจ้ามีความดีเหลือหลาย
    อาตมาเองก็ไม่สามารถจะพรรณนาความดีของพระพุทธเจ้า
    ให้ครบถ้วนได้ แต่ขืนพรรณนาไปมาก
    บรรดาท่านพุทธบริษัทก็จะเบื่อ เอากันตอนต้นน้อยๆ ก็แล้วกัน
    เพียงแค่เรายอมรับนับถือความจริงของท่าน
    ที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาแล้วในโลก
    พระองค์ไม่ได้หวังประโยชน์ความสุขส่วนตัวเลย
    คือว่า ไม่หวังเฉพาะความสุขส่วนตัว
    ต้องการแจกจ่ายความสุขให้แก่บุคคลทั้งโลก
    ตามที่พระองค์จะพึงทำได้
    ทั้งนี้ต้องอาศัยความเชื่อความเลื่อมใสในพระองค์

    ถ้าขาดความเลื่อมใส พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน
    เพราะคนที่ไม่เชื่อกันแล้วนี้ พูดเท่าไรก็ไม่ยอมรับฟัง
    ฟังแล้วไม่ยอมเชื่อ และก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม
    อย่างนี้ก็ไม่มีทางจะช่วยได้
    ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อักขาตาโร ตถาคตา"
    ตถาคตาเป็นแต่เพียงผู้บอกเท่านั้น
    บอกแล้วจะทำตามหรือไม่ทำตามเป็นหน้าที่ของท่าน
    ถ้าทุกคนทำตามได้ บุคคลผู้นั้นก็พ้นจากอบายภูมิได้
    เอาแต่เบื้องต้นนะ ถ้าสามารถปฏิบัติตามได้ พ้นได้แน่

    นี่เราจะปฏิบัติตามท่าน จะเอาอย่างไร
    ในตอนนี้เรายังไม่พูดถึงศีลก่อน
    เอาแต่ความดีของพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้ามีกฎแห่งการสอนอยู่ว่า

    ๑. สัพพปาปัสสะ อะกะระณัง
    ให้บรรดาพระสงฆ์และพระองค์เองก็เช่นเดียวกัน
    พยายามสอนให้ทุกคนละจากความชั่วทุกประเภท
    คือ ไม่ทำความชั่วทุกประเภท ไม่ทำ ไม่พูด และก็ไม่คิดซะด้วย

    ๒. กุสลัสสูปสัมปทา แนะนำให้ทำความดีทุกประการ

    ๓. สจิตตะปริโยทะปะนัง แนะนำสั่งสอนให้มีจิตใจผ่องใส
    คือ ไม่มีอารมณ์มัวหมอง มีอารมณ์สดชื่นอยู่เสมอ

    ๔. เอตัง พุทธานะสาสะนัง
    ท่านยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด

    มาตอนนี้ทุกท่านจะสงสัยไหม ก็ไม่ขอพูดให้มันเลอะ
    สงสัยหรือไม่สงสัยก็ช่าง
    เอาคนเข้านับถือพระพุทธเจ้าแบบย่อๆ
    เอาประเภทย่อๆ ที่ทำแบบง่ายที่สุด
    แล้วตายจากความเป็นคนก็ยังไม่มาเกิดเป็นคน และก็ไม่ลงนรก
    ไม่เกิดเป็นเทวดา เอากันอย่างย่อๆ ง่ายๆ นะ
    ยังไม่ต้องปฏิบัติตามมากเอาแค่นึกถึง
    แค่นึกถึงพระพุทธเจ้าเท่านี้ แล้วเขาผู้นั้นก็ตายจากความเป็นคนแล้ว
    ไม่ยอมลงนรกด้วย แล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์
    ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลังจากนั้นเมื่อเป็นเทวดาแล้ว
    ได้พบพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
    ฟังเทศน์อีกครั้งเดียวย่อๆ สั้นๆ ท่านผู้นั้นก็เป็นพระโสดาบัน

    นี่เป็นอันว่าปฏิบัติยังไม่ถึงขั้นเข้าถึงครึ่งหลักสูตรนะ
    เข้ามานิดเดียวเท่านั้นนะ และใช้เวลาน้อยเหลือเกิน
    ใช้เวลาแค่นึกประเดี๋ยวเดียว นึกถึงพระพุทธเจ้า
    ตายจากความเป็นคนแล้วก็เป็นเทวดา
    เมื่อเป็นเทวดาแล้วฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียว เป็นพระโสดาบัน

    ที่มีนักเทศน์หรือคนบางคนพูดว่า
    การบำเพ็ญบารมีต้องอาศัยชาติมนุษย์
    เป็นเทวดาหรือพรหมบำเพ็ญบารมีต่อไม่ได้

    อันนั้นไม่จริง เทวดาหรือพรหมที่เป็นพระอนาคามี
    ไม่มีใครกลับมาอีก บำเพ็ญตนให้เป็นพระอรหันต์ไปนิพพานเลย
    อย่างท่านที่พูดนี่ก็เช่นเดียวกัน
    เป็นมนุษย์ที่มีความดีนิดเดียวเวลาน้อยๆ
    เมื่อเป็นเทวดาแล้วฟังเทศน์อีกครั้งเดียว เป็นพระโสดาบัน
    นี่เขาต่อกันแบบนี้ เรื่องนี้มีมาในพระไตรปิฎก
    จะขอเล่าเรื่องสู่กันฟัง จะได้เบื่อน้อยๆ
    พูดกันแต่ธรรมะนี่มันเบื่อนาน ยิ่งฟังยิ่งเบื่อ ยิ่งฟังยิ่งเบื่อธรรมะ
    มันไม่ค่อยจะซึ้งใจ ฟังไม่เพลิน

    สำหรับท่านที่นึกถึงพระพุทธเจ้านิดเดียว
    ยอมรับนับถือชั่วขณะจิตเดียว คือ ไม่นานนัก
    ถ้าใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ตายไปเป็นเทวดา
    ท่านผู้นี้มีมาในพระธรรมบท ท่านให้ชื่อว่า "มัฏฐกุณฑลีเทพ"
    ท่านผู้นี้เป็นลูกของพราหมณ์ๆ ที่ไม่เคารพในพระพุทธเจ้า
    และก็เป็นพราหมณ์ชั้นพิเศษเสียด้วย
    ที่เรียกว่า "พิเศษ" ก็เพราะว่าแกไม่เคยให้อะไรใครเลยในชีวิต
    ชื่อว่า "อทินนกปุพพกพราหมณ์"
    พ่อของเขานะ "อทินนกะ" แปลว่า "ผู้ไม่เคยให้"
    "ปุพพกะ" "ในกาลก่อน" ในชีวิตกาลก่อนที่จะพบพระพุทธเจ้านี่
    เขาไม่เคยให้อะไรใครเลย จะพูดก่อนพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้
    จะต้องว่าก่อนที่พบลูกชายที่เป็นเทวดา
    ความจริงการพบพระพุทธเจ้านี่ เขาพบกันมานาน
    ไม่เคยแม้แต่ยกมือไหว้ ไม่เคยมีความเคารพสักนิดหน่อย
    ตัวเองก็มีความรู้สึกว่า การเป็นเศรษฐีของตัว
    พระพุทธเจ้าไม่ได้หาทรัพย์สมบัติมาให้
    พระอรหันต์ไม่ได้หาทรัพย์สมบัติมาให้
    คนอื่นไม่ได้ให้ทรัพย์สมบัติ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หาไว้ให้
    ในเมื่อคนอื่นไม่เกี่ยวข้องกับฐานะ
    ก็เลยไม่ยื่นโยนฐานะสงเคราะห์ใครต่อใครทั้งหมด
    ก็มีกินมีใช้แต่เฉพาะในครอบครัวเท่านั้น
    พราหมณ์คนนี้จึงมีฉายาว่า "อทินนกปุพพกพราหมณ์"
    แปลว่า พราหมณ์ผู้ไม่เคยให้อะไรใครมาในกาลก่อนเลย

    มาให้ตอนหลังที่พบลูกชายตายแล้วเป็นเทวดา
    นี่เขาให้กัน นี่ท่านที่เคยได้ฟังใครเขาพูดมา ว่าตายแล้วไม่มีการเกิด
    เรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัส พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน
    และอาตมาเองก็ยืนยันด้วยว่าการตายแล้วมีการเกิดแน่
    ถ้าทำดีแม้แต่น้อยแต่ก่อนจะตาย นึกถึงความดีเกิดเป็นเทวดาได้
    ก็ขอยืนยันด้วยเหมือนกัน

    ถ้าถามว่าเอาอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์
    ก็ต้องตอบว่าลูกศิษย์ลูกหาเป็นแสนเขาสามารถทำกันได้
    แล้วระลึกชาติก็ได้ อตีตังสญาณ เหตุการณ์ในอดีตสามารถทำได้
    อนาคตังสญาณ เหตุการณ์ข้างหน้าในอนาคตสามารถทำได้
    ปุพเพนิวาสานนุสสติญาณ ระลึกชาติได้ เขาทำกันได้
    ญาณนอกจากนี้เขาก็ทำกันได้หมด ทำกันได้เป็นแสนๆ คนแล้ว
    กล้ายืนยันคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ประเดี๋ยวมันจะเลอะไป

    ขอพูดต่อไปว่าพราหมณ์ผู้นี้ก็มีลูกชายอยู่หนึ่งคน
    ลูกชายคนนี้ตามบาลีก็ไม่ปรากฏชื่อชัด ไม่ได้บอกชื่อไว้ว่าชื่ออะไร
    ตัวแกเองจริงๆ บาลีก็ไม่บอกชื่อ
    บอกแต่เพียงนิสัยว่า ไม่ชอบให้อะไรใครเท่านั้น
    ต่อมาลูกชายป่วย เป็นหนุ่มแล้ว
    ลูกชายป่วย เวลานั้นพระพุทธเจ้าเสด็จไปเมืองนั้น
    เดินผ่านมาผ่านไป ตอนเช้าบิณฑบาตพระเดินผ่านมาผ่านไป
    จะไปไหนก็เชิญไป ฉันไม่นับถือนายเสียก็แล้วกัน
    รวมความพอลูกชายป่วย ด้วยความรู้สึกของแก
    ว่าได้ลูกป่วยนี่ ถ้าไปหาหมอมันก็เสียสตางค์
    ถ้าจะไปซื้อยามันก็เสียเงิน เอ๊ะ...เงินกับสตางค์มันก็เหมือนกัน
    ถ้าเป็นเวลานี้นะ ถ้าไม่ไปโรงพยาบาลดีๆ นี่
    ที่เขามีชื่อเสียงเข้าไปวันแรกเพียงวันเดียว ก็เสียเงินเป็นหมื่น
    ลูกชายคงจะตาย ช๊อคตายแน่ในวันแรก
    แกไม่ยอมเสียเงินเสียทองแน่
    ถึงเวลานั้นมีแพทย์แผนโบราณเยอะ เสียเงินไม่มาก
    แกก็ยังไม่ยอมเสีย เมื่อลูกชายป่วยหนักเข้าแกก็ไปถามหมอว่า

    "อาการของลูกแบบนี้เป็นโรคผอมเหลือง
    กินไม่ได้นอนไม่หลับ อาการอึดอัดอยู่เสมอ
    ฟัดหน้าเหวี่ยงหลังเป็นปกติ
    อยากจะทราบว่าอาการอย่างนี้ จะใช้ยาอะไรหนอรักษาจึงจะหาย"

    นี่ความขี้เหนียวของแก รักทรัพย์สินมากกว่ารักลูก
    ตามธรรมดาหมอเขาก็ต้องปิดบังความรู้ของเขาเป็นธรรมดา
    เพราะเขามีอาชีพหมอ ถ้าเราไปเป็นหมอแข่งกับเขา หมอก็หากินไม่ได้
    เขาบอกยากลางบ้านให้ คำว่า "ยากลางบ้าน" ไม่ใช่ยาในหลักสูตร
    คนนิยมใช้กันเอง ตามชาวบ้านสมัยนี้ เขาใช้หมอตี๋
    ความจริงหมอตี๋จะโทษว่า ไม่ดีก็ไม่ได้
    มีแพทย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาตมา
    ท่านยังไปซื้อยาหมอตี๋ ให้หมอตี๋จัดยาให้
    ท่านก็กินตามนั้น ถามว่าหมอเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ ทำไมกินยาหมอตี๋
    เพราะว่าเข้าไปหมอตี๋ไม่รู้ว่าคนนี้เป็นแพทย์ที่มีความสำคัญมาก
    ท่านไปบอกอาการท่านเป็นอาการอย่างนี้ มียาอะไรขายบ้าง
    หมอตี๋ก็จัดยามาให้ ท่านดูแล้วไอ้ยานั้นมันตรงกับอาการของท่าน
    ตรงกับโรค ท่านก็เอามาบริโภคมันก็หาย

    นี่จะหาว่าหมอตี๋ไม่สำคัญก็ไม่ได้นะ
    หมอตี่ซะอีก หมอตี่ คือ โตกว่าหมอตี๋
    บางทีก็ให้ยาไม่ตรงกับโรคเหมือนกัน
    อันนี้ว่าไปว่ามาไม่ได้นินทาหมอนะ พูดตามความเป็นจริง

    ก็เป็นอันว่าเวลานั้นหมอก็บอกยากลางบ้าน เป็นยาสมุนไพร
    แกก็มาเก็บยาเอง ให้ลูกกินไอ้ยานี่กับถูกกับลูกจริงๆ
    คือ ยานี่ถูกลูก ลูกกินแล้วก็ถูกยา แต่ไม่ตรงกับโรค
    ไม่สามารถรักษาโรคได้ แต่คนกินถูกยา คือ กินเข้าไปปากมันก็ชนยา
    คือยาถูกลูกแต่ยาไม่ถูกโรค หรือยาไม่สามารถกำจัดโรคได้
    ก็ป่วยหนักลงไปทุกที
    ตาพราหมณ์ก็มานั่งคิดว่าเวลานี้ ลูกของเราป่วยอยู่ในห้อง
    ห้องมีเครื่องประดับประดามาก เป็นเครื่องมีราคาแพงมาก
    ถ้าอาการไข้มันหนักมากขึ้นเมื่อไหร่ หนักไปกว่านี้
    ญาติทั้งหลายรู้เข้า ก็จะมีความห่วงใย
    เดี๋ยวคนนั้นก็จะมาเยี่ยม เดี่ยวคนนี้ก็จะมาเยี่ยม
    ไอ้การจะห้ามญาติเยี่ยมนี่ มันก็เป็นการไม่ดี
    เมื่อเข้ามาเยี่ยมในห้อง เห็นของมีค่ามากๆ ก็จะขอโน่นขอนี่
    เราก็จะเสียของเปล่าๆ อย่ากระนั้นเลย
    ชวนเมียช่วยกันอุ้มลูกชาย ลูกชายเดินไม่ไหวแล้ว ป่วยหนักมาก
    เอามานอนไว้ที่ระเบียงเรือน ซึ่งไม่มีเครี่องประดับ
    แล้วก็เอายาประเภทนั้นให้ลูกกิน ลูกก็หนักขึ้นมาทุกที
    ในที่สุดชีวิตก็ใกล้จะหมด เรียกว่า ใกล้เลิกหายใจ จะตายกันแล้ว

    ลูกชายเมื่อทุกทรมานมากจากโรค ก็มานึกในใจว่า
    พ่อก็ดี แม่ก็ดี ทรัพย์มากมายมีอยู่ในฐานะมหาเศรษฐีก็ดี
    ของเหล่านี้ไม่เกิดประโยชน์กับเราเลย
    พ่อกับแม่ไม่มีความรักเราจริง
    เราป่วยพ่อจะหาหมอมารักษา พ่อก็กลัวเสียเงิน
    จะซื้อยาที่เขาปรุงดีแล้ว พ่อก็กลัวเสียเงิน
    เอายาที่ไปเก็บเองจากป่ามาให้เรากิน ก็ไม่ถูกกับโรค
    อาการร่อแร่ทุกขเวทนาหนักอย่างนี้ ก็รวมความว่าพ่อก็ไม่ใช่ที่พึ่ง
    ทรัพย์สินทั้งหลายก็ไม่ใช่ที่พึ่ง
    เราไม่มีที่พึ่ง ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร

    คิดมาคิดไปก็ฟังข่าวเล่าลือ
    เขาลือว่าพระสมณโคดม บรมครูที่สอนคนทั่วๆ ไป
    ท่านมีอิทธิฤทธิ์ และท่านก็ใจดีมีความเมตตา ไม่เลือกบุคคล
    จึงตั้งใจของตนว่า ขอพระสมณโคดมบรมครู
    มาโปรดข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด
    ขอให้ช่วยให้หายโรคเป็นปกติ
    ความจริงเขาไม่เลื่อมใสพระพุทธเจ้าในเรื่องอื่นเลย ในกาลก่อนนั้น
    แม้แต่ยกมือไหว้ก็ไม่มี พ่อสอนไม่ให้เขาไหว้
    เธอก็นั่งนึกนอนนึก นั่งไม่ได้ นั่งไม่ได้แล้ว ได้แต่นอน
    นอนหายใจแรงก็ไม่ได้ เพราะไม่มีแรงจะหายใจ
    หายใจเบาๆ ขยับกายก็เกือบจะไม่ไหว
    ได้แต่กรอกหน้าไปกรอกหน้ามา
    พลิกซ้ายพลิกขวาก็แสนจะลำบาก
    นึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือ พระพุทธเจ้า
    ว่าขอให้มาโปรดให้หายโรคนี้เสียทีเถิด
    มันเจ็บเหลือเกิน เวลานี้แรงก็ไม่มีแล้ว

    ปรากฏว่าตอนเช้ามืด องค์สมเด็จพพระประทีปแก้ว
    ทรงใช้อำนาจพระพุทธญาณเห็นทุกขเวทนาลูกชายมหาเศรษฐี
    คือ อทินนกปุพพกพราหมณ์
    (ตอนนี้ยังไม่รู้จักชื่อเขาเหมือนกันว่าเขาชื่ออะไร บาลีไม่ได้บอก)
    ว่าเธอมีทุกข์ทรมานมาก ต้องการให้ตถาคตไปช่วยในตอนเช้า
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก้บพระอานนท์
    เสด็จเดินไปบิณฑบาตร ผ่านบ้านนั้นพอดี
    องค์สมเด็จพระชินสีห์ จึงเปล่งฉัพพรรณรังสีพุ่งไปให้เห็นคนเดียว
    คือเฉพาะลูกชายท่านเศรษฐี คือ อทินนกปุพพกพราหมณ์
    เวลานั้นหันหน้าเข้าข้างฝา แสงสว่างพุ่งเข้าตาเขา
    ด้วยกำลังฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า
    เขาก็แปลกใจว่าแสงอะไรเข้าตาเขา
    พลิกกายกลับมาเห็นพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ กำลังเดินบิณฑบาตร
    มือยกไหว้ไม่ไหวแล้ว แต่ใจยอมรับนับถือองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว
    ตั้งใจว่า ขอพระองค์ได้โปรดช่วยข้าพระพุทธเจ้า
    ให้หายจากโรคเถิด พระพุทธเจ้าข้า
    แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงเหลียวไป
    ท่านก็เดินของท่านเรื่อยๆ ไป พระอานนท์ก็เดินตาม
    เขาก็นึกถึงพระพุทธเจ้าไปก็เป็นการพอดี
    ใกล้เวลานั้นนึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าไม่นาน
    เขาก็ต้องสิ้นลงปราณ คือ ตายจากความเป็นคน

    การตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันตายเฉพาะร่ายกายเท่านั้น
    จิตใจหรือที่ปฏิบัติเขาเรียกว่า "อทิสสมานกาย"
    คือ กายที่ไม่สามารถเห็นด้วยตาเนื้อ มันก็ออกจากร่างเนื้อนี้ไป
    ไอ้ร่างเนื้อนี้ก็หมดลมหายใจ หมดลมปราณทั้งหมด
    ธาตุไฟดับ ธาตุลมหมด เหลือแต่ธาตุดินกับธาตุน้ำอยู่ด้วยกันสองนาน
    นานๆ เข้าธาตุดินก็ทนธาตุน้ำไม่ไหว น้ำละลาย ดินเน่าขึ้นมา เหม็นคลุ้ง
    แต่เนื้อแท้จริงๆ อทิสสมานกาย
    คือ กายของเขาจริงๆ ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก
    มีนามว่า "มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร"

    คำว่า "มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร" นี่ท่านแปลว่า
    "เป็นเทพบุตรที่มีต่างหูเกลี้ยง" คือ ต่างหูมีเครื่องประดับด้วยเพชร
    ตามธรรมดาเทวดานี่เขามีเครื่องประดับเป็นเพชรแพรวพราวเป็นระยับ
    คนนี้ทำบุญนิดเดียว ขอโทษเถอะ คำว่า ทำบุญก็ถูก
    จะเรียกว่า ทำก็ทำด้วยใจ ต้องนึกถึงบุญนิดเดียว คือ
    นึกถึงพระพุทธเจ้า ตายแล้วเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

    หลังจากนั้นเขาก็มานั่งพิจารณาว่า
    วิมานของเราเป็นวิมานทองคำ ทองคำทั้งหลัง
    ร่างกายเรามีเครื่องทิพย์ประดับ ร่างกายก็เป็นทิพย์
    เขาก็ถอยหลังคิดว่า ก่อนที่มาเกิดเป็นเทวดานี่ เราอยู่ที่ไหน
    ความเป็นทิพย์ของกาย ความเป็นทิพย์ของใจ
    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เขาก็รู้ตัวทันทีว่า
    เราเป็นลูกชายของพราหมณ์ มีนามว่า "อทินนกปุพพกพราหมณ์"
    เป็นพราหมณ์ที่เป็นพาล คำว่า "พาล" แปลว่า "โง่"
    ไม่รู้จักทำความดี แม้แต่การให้ทาน
    พระพุทธเจ้ากับบรรดาพระสาวกหลายท่าน
    ท่านมา ท่านเดินผ่านบ้านเสมอๆ แม้แต่ยกมือไหว้ ก็ไม่มี
    แต่สำหรับเรานี้มาเป็นเทวดาได้ เพราะอาศัยความดีที่นึกถึงพระพุทธเจ้า
    คือ ใช้เวลานิดเดียว ยอมถวายความเคารพท่าน
    จึงมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    มีวิมานก็วิมานทองคำ จะเปรียบเทียบกับบ้านเก่าๆ ก็สู้กันไม่ได้เลย
    บ้านสู้ไม่ได้ ร่างกายก็เป็นร่างกายเป็นทิพย์
    ดูร่างกายเก่าเวลานี้ พ่อกำลังนำไปฝังไว้ในป่าช้า
    เมื่อฝังแล้วพ่อก็ยืนร้องไห้อยู่ใกล้หลุม
    บนบานศาลกล่าว ขอให้ลูกชายลงมาเกิดมาเกิดเป็นลูกใหม่
    เธอก็คิดในใจว่า พ่อของเราจอมโง่แสนโง่ จอมพาลแสนพาล
    เราจะต้องไปดัดสันดานพ่อให้รู้จักสร้างความดี

    วันรุ่งขึ้น พอพราหมณ์ผู้เป็นพ่อของเธอนี้ไปยืนร้องไห้
    ใกล้หลุมฝังศพ และก็บนบานศาลกล่าวไหว้หน้าไหว้หลัง
    ตามแบบฉบับของพราหมณ์
    ขอพระพรหมผู้เป็นเจ้าช่วยลูกชายมาเกิดเป็นลูกชายใหม่
    เธอก็แปลงกายของเธอคล้ายคนเดิม แต่สวยกว่าเก่า
    ไปยืนในป่าช้าใกล้ๆ กับพ่อเก่าของเธอ เธอก็ยืนร้องไห้

    พราหมณ์เห็นชายคนนี้เข้าก็เข้าใจว่า เป็นลูกชาย
    เพราะคล้ายคลึงกันมาก แต่คิดไม่ถืงว่าเป็นลูกชาย
    จึงเดินเข้าไปใกล้ แล้วก็แปลกใจว่า ทำไม่หนอเราร้องไห้
    ถึงลูกชายของเราที่ตายไปแล้ว ต้องการให้กลับมาเกิด
    ชายหนุ่มคนนี้ยังหนุ่มอยู่ ยังไม่น่าจะมีเมียเหมือนเรา
    ไม่น่าจะมีลูก เธอมายืนร้องไห้เพราะอะไร
    จึงเดินเข้าไปใกล้ถามว่า

    "โภ ปุริสะ ดูก่อนท่านผู้เจริญ (หรือบุรุษผู้เจริญ)
    เธอร้องไห้เพราะอะไร"

    มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ถามพ่อว่า "ลุงร้องไห้เพราะอะไร"

    เธอก็เล่าให้ฟังว่า ร้องไห้เพราะลูกชายตาย
    ลูกชายหน้าตาคล้ายเธอน่ะ รูปร่างทรวดทรงเหมือนกัน แต่เธอสวยกว่า
    ตายไปแล้วอยากให้กลับมาเกิดใหม่
    เมื่อบอกแล้วก็ถามว่า "เธอร้องไห้เพราะอะไร"

    ชายหนุ่มก็บอกว่า "ผมมีรถทองคำอยู่คันหนึ่ง มันสวยมากครับ
    แต่ไม่มีล้อ ที่ร้องไห้เพราะอยากได้ล้อ"

    พราหมณ์ก็คิดว่า ชายคนนี้เหมือนลูกชายของเรา
    เราต้องการเอาไว้เป็นลูกเป็นที่ระลึก
    อย่างน้อยที่สุดก็มีความรู้สึกว่า รักแทนลูกได้
    ก็ถามว่า "เธอต้องการล้อเงินหรือล้อทอง หรือล้อแก้วมณี
    ฉันจะหาให้ แต่ว่าต้องเป็นลูกฉันนะ"

    มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็คิดว่า พ่อของเรา เมื่อเราป่วย ขี้เหนียว
    แม้แต่ค่ายาก็ไม่ยอมซื้อ ค่าหมอไม่ยอมจ้า
    เวลานี้จะให้เงินให้ทองให้แก้วมณีเป็นล้อรถราคาแพงกว่าตั้งมาก
    ทีก่อนไม่คิด จึงคิดดัดสันดาน ก็บอกว่า
    "ผมไม่ต้องการประเภทนั้นครับ เพราะรถของผมสวยมาก
    ต้องการดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มาเป็นล้ออย่างละข้าง"

    ตาพราหมณ์โมโหบอกว่า
    "ไอ้บ้า มันจะมีมาได้อย่างไร ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์
    ใครต้องการมันไม่ได้หรอก มันอยู่สูงเกินไป"

    มัฏกุณฑลีเทพบุตรก็ถามว่า
    "แล้วท่านต้องการลูกชายของท่าน
    เวลานี้ท่านทราบไหมว่าลูกชายอยู่ที่ไหน"

    พราหมณ์บอกว่า "ไม่รู้"

    เธอก็เปรียบเทียบว่า "การที่ผมต้องการสิ่งที่ผมเห็น
    กับที่ลุงต้องการสิ่งที่ลุงไม่เห็น อย่างไหนจะบ้ามากกว่ากัน"

    พราหมณ์ยอมแพ้ ก็รวมความว่าในที่สุดมัฏฐกุณฑลเทพบุตร
    ก็บอกให้พราหมณ์ทราบว่า เธอน่ะ คือ มัฏฐกุณฑลีลูกชาย
    เวลานี้ไปเกิดเป็นเทวดา
    เพราะอาศัยความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ก็แนะนำให้พ่อไปพบพระพุทธเจ้า
    เสร็จแล้วก็รีบกลับไปที่วิมานของตน

    พราหมณ์ออกจากที่นั้นแล้วไปบ้าน
    บอกให้เมียจัดอาหารเป็นพิเศษ
    วันนี้จะอาราธนาองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กับพระสาวก
    ที่ฉันที่บ้าน และไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถามว่า
    "พระสมณโคดมอยากจะทราบว่า คนที่ไม่เคยถวายทาน
    ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ท่าน
    นึกถึงท่านอย่างเดียวไปเกิดเป็นเทวดามีไหม"

    พระพุทธเจ้าบอก "มีเยอะแยะไป ไม่ใช่นับหมื่นนับแสน นับเป็นโกฏิๆ"

    แล้วก็ถามว่า "เมื่อเช้าท่านได้พบแล้วใช้ใหม"
    หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตร
    ก็ทรงเรียกมัฎฐกุณฑลีเทพบุตรให้มาพร้อมวิมาน

    เมื่อมัฎฐกุณฑลีมาแล้วก็ลงจากวิมานมาไหว้พระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์โปรด พอเทศน์จบก็เป็นพระโสดาบัน

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    เวลาจะหมดแล้วต้องรีบรวบรัดกันเพียงเท่านี้
    ก็เป็นอันว่าการนึกถึงพระพุทธเจ้า มีความเคารพพระพุทธเจ้านั้น
    อย่างน้อยที่สุดบรรดาท่านพุทธบริษัท
    แม้แต่เล็กน้อยอย่างมัฎฐกุณฑลีเทพบุตร
    เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์
    ก็พ้นจากการเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาได้
    หลังจากนั้นก็เป็นพระโสดาบัน ตัดบาปอกุศลทั้งหมด

    บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต
    และญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายเวลานี้ก็หมดเวลาแล้ว
    ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี..
    ที่มา http://palungjit.org/posts/9895186
     

แชร์หน้านี้

Loading...