เหรียญสมเด็จฟื้นวัดสามพระยาหลังยันต์เกราะเพรชพระนางตรา ๑๐๐ ปี พระพุทธนิมิตร พ่อท่านพลับ ๒๕๐๔

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    i0.jpg 89.jpg 5h.jpg t0.jpg oq.jpg 8x.jpg yu.jpg is.jpg xq.jpg r8.jpg lk.jpg 6g.jpg bp.jpg nb.jpg 3d.jpg fv.jpg 95.jpg
    พระสิวลีหลังพระสังกัจจายน์รุ่นแรงครู ปี๒๕๖๐
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน
    เมตตาเป็นประธานดับเทียนชัย
    วัตถุมงคล รุ่น"แรงครู" เป็นครั้งประวัติศาสตร์
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน เปรยว่า…
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน กล่าวว่า "เมื่อวันงานพุทธาภิเษกวัตถุมงคลรุ่นแรงครู ๑๑๒ ปีหลวงพ่อกวย เพิ่งเห็นหลวงพ่อกวยเป็นพระนารายณ์ ๘ กรก็วันนั้นแหละ ท่านจำเป็นที่ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่าลูกศิษย์ลองของกันอุตลุด ท่านเองเห็นใครไม่ไหวก็ช่วยกันให้เขา ข้างโน้นที ข้างนี้ที ข้างนั้นที ก็เลยเป็นนารายณ์ ๘ กรไปเลย ที่ขำก็คือ ๘ มือยังจะกันไม่ไหว ลูกศิษย์ของขึ้นกันเหลือเกิน ทำไมชอบเล่นคนอื่นกันจริง ? ถ้าเจอลูกศิษย์เฮี้ยน ๆ อย่างนี้ อาจารย์ปวดหัวตายเลย ลองกันไปลองกันมา ท่านก็ช่วยคนโน้น ช่วยคนนี้ เป็นอะไรที่เห็นแล้วคิดว่า..ถ้าลูกศิษย์กูเป็นอย่างนี้ เตะแม่..เลย..! ...(หัวเราะ)..."
    พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อกวยเป็นพระที่รักลูกศิษย์อย่างเหลือเชื่อ ถ้าเพื่อลูกศิษย์แล้วท่านทำให้ทุกอย่างจริง ๆ อาตมายังทึ่งเลยว่าพระที่รักลูกศิษย์ขนาดนี้ยังมีอยู่ พวกเราไม่ได้มาสายเดียวกับหลวงพ่อกวย
    หลวงพ่อกวยท่านพระโพธิสัตว์แท้ ท่านช่วยเขาทุกเรื่อง ส่วนพวกเราถ้าเกินกำลังก็ปล่อยวาง แต่ของท่านไม่ใช่ ท่านช่วยทุกเรื่อง ต้องบอกว่าท่านเป็นหนึ่งในพระอาจารย์ในดวงใจของอาตมา เรื่องของสายธรรมครูบาอาจารย์บังเอิญทับรอยกันพอดี ถ้าได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านก็ถือว่าโชคดี ต้องทำบุญร่วมกันมากี่ชาติก็ไม่รู้"
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี
    พระอาจารย์เล็กแจกรูปหลวงพ่อกวย "รูปหลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม หรือวัดบ้านแค อยากได้อะไรก็โวยวายเอากับหลวงพ่อท่านก็แล้วกัน
    ท่านกล่าวถึงรุ่นนี้ว่า
    เดือนที่แล้วอาตมาไปพุทธาภิเษกที่วัดของท่าน ขีปนาวุธบินว่อนเลย ครูบาอาจารย์สายนั้น แม้กระทั่งหลวงพ่อกวยเอง ท่านเล่นมาทางไสยศาสตร์มาโดยตรง เพียงแต่ว่าเอามาใช้ในการช่วยคน ก็เลยกลายเป็นไสยขาว ในขณะที่ทั่วไปเขาเอาไปทำร้ายคน เขาจึงเรียกว่าไสยดำ
    เมื่อครูบาอาจารย์สายนั้นเล่นของอย่างนี้ ถึงเวลาเจอกันก็ต้องลองของกัน ก็เลยกลายเป็นว่า ถึงเวลาแล้วมีให้สนุกได้ทุกครั้ง"
    __________________
    เก็บตกบ้านเติมบุญต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๑
    พระอาจารย์กล่าวว่า "จริง ๆ แล้วของหลวงพ่อกวย ไม่ต้องมีวัตถุมงคลหรอก แค่เรานึกถึงท่านก็ใช้ได้แล้ว ไม่รู้อะไรก็ "หลวงพ่อกวย นามะเต อาจาริโย เม ภันเต โหหิ" ก็จบแล้ว"
    เก็บตกบ้านเติมบุญต้นเดือนตุลาคม ๒๕๖๐
    - ทั้งยังเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในวัตถุมงคล รุ่น แรงครูที่มีพระพุทธานุภาพเอกอุทางด้าน ทำน้ำพระพุทธมนต์ด้วยบารมีแรงครูหลวงพ่อกวย ได้อย่างชะงัดดีนัก
    - ทั้งยังอธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อกวยได้ในทาง เป็นมหาโชค มหาลาภ เป็นโภคทรัพย์ ประพรมให้ค้าขายดี เสริมทรัพย์สิน อีกทั้งยังใช้ทำน้ำมนต์กลับดวง พลิกชีวิตผู้ศรัทธาอาราธนาบูชาได้เป็นอย่างดี
    รายละเอียดจัดสร้างโดยสังเขป
    -ได้ผสมชนวนโลหะหนุนบารมีแรงครู อันประกอบไปด้วยเหรียญ และตะกรุดเก่าของหลวงพ่อกวย แผ่นยันต์ครูพระเกจิฯ ชนวนนวโลหะวัดสุทัศน์ ชนวนนวโลหะวัดกลางบางแก้ว ชนวนนวโลหะอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร และชนวนโลหะอื่นๆที่ได้มาจากวัดที่ท่านมีความผูกพันธ์จนเป็นชนวนแรงครูบารมีหลวงพ่อกวย
    -จัดสร้างโดยวัดพระบรมธาตุวรวิหาร พิธีมหาพุทธาภิเษกครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2560 ณ มณฑปหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม โดยพระเถราจารย์ผู้เรืองเวทย์วิทยาคมหลากหลายสายวิชาแห่งยุคปัจจุบันร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกอย่างเข้มขลัง
    -หลังเสร็จพิธีพุทธาภิเษก พระเถรานุเถระต่างกล่าวเหมือนกันว่า "หลวงพ่อกวย ท่านได้มาร่วมเสกวัตถุมงคลของท่านด้วยองค์ท่านเอง" และ "พระชุดนี้มีพุทธานุภาพครบทุกด้าน ครอบจักรวาล ดั่งวัตถุมงคลรุ่นเก่าของหลวงพ่อกวย"
    Cr. เว็บวัดท่าขนุนและเพจหลวงพ่อกวย
    ⭐️⭐️#บันทึกพระดีในสายหลวงพ่อวัดท่าซุง⭐️⭐️
    …………….………………
    พิธีบริกรรมภาวนาอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยว
    ในวันเสาร์ที่ ๑๖ ธ.ค. เวลา ๑๔.๒๙ - ๑๖.๓๙ น.
    - รายนามดังนี้….
    หลวงพ่อชุบ วัดวังกระแจะ จ.กาญจนบุรี
    ในวันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธ.ค. เวลา ๙.๑๙ น. -๑๐.๕๙ น.
    หลวงพ่อสุรศักดิ์ วัดประดู่(พระอารามหลวง)
    จ.สมุทรสงคราม
    หลวงพ่อวิชา วัดศรีมณีวรรณ จ.ชัยนาท
    - พระเถราจารย์ทั้งสามรูปนี้ได้ กล่าวว่า…
    " หลวงพ่อกวย ท่านได้มาปลุกเสกพระให้ที่นี่ด้วยนะ "
    ครูบาอาจารย์ที่ร่วมพุทธาภิเศกในพิธี ดังนี้
    พระสุธีวราภรณ์ วัดพระบรมธาตุวรวิหาร เจ้าคณะ
    จังหวัดชัยนาท
    พระธรรมปริยัติโมลี วัดบพิตรพิมุขวรวิหาร
    เจ้าคณะภาค ๓ ประธานจุดเทียนชัย
    พระครูโฆสิตพัฒนคุณ วัดโฆสิตาราม
    เจ้าคณะตำบลดอนกำ รองประธานฝ่ายสงฆ์
    หลวงพ่อเกาะ วัดท่าสมอ จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อวิชา วัดศรีมณีวรรณ จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อพร้า วัดโคกดอกไม้ จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อฤาษีตาไฟ วัดเทพหิรัณย์ จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อกำจัด วัดป่าสัก จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อสำอางค์ วัดบางพระ จ.นครปฐม
    หลวงพ่อสมบูญ วัดลำพันของ จ.สุพรรณบุรี
    หลวงพ่อติ่ว วัดมณีชลขันธ์ จ.ลพบุรี
    หลวงพ่อชุบ วัดวังกระแจะ จ.กาญจนบุรี
    หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
    (เมตตาดับเทียนชัย)
    หลวงพ่อสาน วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม
    หลวงพ่ออิฏฐ์ วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม
    หลวงพ่อรักษ์ วัดสุทธาวาสวิปัสสนา จ.อยุธยา
    พระครูบากฤษดา วัดสันพระเจ้าแดง จ.ลำพูน
    หลวงพ่ออุดมทรัพย์ วัดเวฬุวัน จ.ศรีษะเกษ
    หลวงพ่อญา วัดใหม่บำเพ็ญบุญ
    หลวงพ่อธีรวัจน์ วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม
    หลวงพ่อสำราญ วัดสง่างาม จ.อยุธยา
    หลวงพ่อปืน พระครูปืน วัดลาดชะโด จ.อยุธยา
    หลวงพ่อเหลือ วัดขอนชะโงก จ.สระบุรี
    หลวงพ่อนะดี วัดเนินสาธาร จ.อุทัยธานี
    พระมหาฐิติวัยน์ วัดพระบรมธาตุวรวิหาร
    (พระผู้ดำเนินการ)
    เครดิตวัดท่าขนุน
    หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "หลวงพ่อกวยความจริงเป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นไล่ ๆ กับหลวงพ่อวัดท่าซุง แล้วท่านอยู่ที่สรรคบุรี แต่หลวงพ่อของเราดังในด้านปฏิบัติ หลวงพ่อกวยท่านดังในเรื่องของเวทมนตร์คาถา รักษาโรคไสยศาสตร์ ฯลฯ ก็เลยกลายเป็นว่าใครอยู่ฝั่งไหนก็จะหูดับไปเลย เพราะได้ยินแค่ฝั่งเดียว บังเอิญว่าอาตมาไปสรรคบุรีบ่อย เพราะว่าไปกราบหลวงปู่บุดดา ก็เลยรู้จักท่านด้วย ถือว่าโชคดีไป
    จริง ๆ #แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นคนแนะนำให้ไปหาเอง #แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจกัน แบบเดียวกับที่ท่านแนะนำหลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม จนกระทั่งหลวงพ่อจวนมรณภาพ หลวงพ่อค่อยบอกชัด ๆ ว่านั่นคือพระอรหันต์ แต่ตอนที่บอกพวกเราก็ไม่อยากไปไหน อยากจะอยู่แต่กับหลวงพ่อเท่านั้น
    .....................
    "ก่อนจะเข้าไปในโบสถ์ #เจอฆราวาสลูกศิษย์อาวุโสของหลวงพ่อกวย ก็คือท่านอาจารย์สมจิตร เทียนจันทร์ คนไม่รู้จักชื่อหรอก คนเขาเรียกฉายา เฒ่าสุพรรณ #ก็เข้าไปคุยด้วยกับเขา ก่อนเข้าโบสถ์ อาจารย์เฒ่าบอกว่า "อาจารย์..ช่วยลงหัวให้ผมหน่อย" อาตมาก็สะดุ้ง "เฮ้ย..ปกติหลวงพ่อกวยท่านลงให้แล้วนี่ ท่านไม่ให้ใครลงซ้ำนะ" #ปรากฏว่าหลวงพ่อกวยท่านมาด้วย "มันอยากได้ ลงให้มันไปเลย" ก็เลยลงให้ท่านไป
    พอเข้าโบสถ์ กราบพระเสร็จ ขยับจะขึ้นที่นั่ง #ปรากฏว่าหลวงพ่อกวยท่านลากพรวดขึ้นไปบนอาสนะที่เขาปูไว้ให้ท่าน อาตมาเองก็สะดุ้ง ปรากฏว่าขยับไม่ได้ #โดนหลวงพ่อกวยท่านกดแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น กราบเรียนท่านว่า "หลวงพ่อทำอย่างนี้เดี๋ยวคนอื่นฆ่าผมตาย" ท่านบอกว่า "ไม่เป็นไร ในเมื่อไอ้เฒ่ายอมรับเอ็ง ข้าก็ใช้เอ็งเต็มที่ละนะ" #นั่งอยู่เป็นชั่วโมงท่านไม่ให้กระดิกเลย ทรมานสุด ๆ
    แต่ก็ต้องถือว่าบุญของอาจารย์ปุญญพัฒน์ท่านดี สร้างเหรียญถวายครูบาอาจารย์ #เพราะว่าเหรียญโล่ของหลวงพ่อกวยที่ดังนักดังหนา วัดเดิมบางสร้างให้ รุ่นนี้เท่ากับย้อนยุค #แล้วหลวงพ่อกวยท่านก็มาสงเคราะห์ให้จริง ๆ"
    "ปกตินั่งพุทธาภิเษก อาตมาก็จะนั่งท่าสบาย ประเภทพิงบ้าง หลังโก่งบ้าง คอตกบ้าง แล้วแต่ถนัด เพราะว่าจะนั่งได้นาน #ปรากฏว่าเจอหลวงพ่อกวยท่านนั่งทับ อาตมาก็เลยโดนกดอยู่ท่านี้ ตัวตรงแหน็ว กระดิกไม่ได้ #แข็งทื่ออยู่เป็นชั่วโมงกว่าท่านจะยอมปล่อย...เกือบตาย เจอครูบาอาจารย์เล่นแบบนี้ก็แย่ #แต่ต้องบอกว่าวัตถุมงคลรุ่นนี้ท่านเสกให้แบบสุดหัวใจจริง ๆ
    หลวงพ่อกวยเป็นพระที่รักลูกศิษย์มาก #ลูกศิษย์คนไหนระลึกถึงท่าน ขอให้ท่านช่วย ถ้าไม่เกินความสามารถท่านก็ช่วย ท่านไม่สนใจว่าคุณจะทำดีหรือทำชั่ว #หลวงพ่อกวยสนใจอยู่อย่างเดียวว่าลูกศิษย์เคารพท่านไหม ถ้าเคารพท่าน ต่อให้ติดคุกอยู่ ท่านก็ไปช่วย ท่านบอกว่าคนเราไม่ใช่พระโสดาบัน จะได้ไม่ทำอะไรผิดเลย เพียงแต่ว่าผิดแล้วให้รู้แก้ไข #ให้เป็นคนมีสัจจะ ให้ถือครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง
    ไม่ต้องห่วง...หลวงพ่อกวยท่านยังจะไปเกิดอีกนาน #มาสายพุทธภูมิเต็ม ๆ อีกไม่กี่วันก็เป็นวันมรณภาพของหลวงพ่อกวย แต่อาตมาไปไม่ได้ #เพราะว่าติดงานเปิดปฏิบัติธรรมที่วัด หลวงพ่อกวยท่านมรณภาพ ๑๒ เมษายน ทุกปีก็จะมีงานทำบุญถวายท่าน #บรรดาลูกศิษย์ก็ไปลองวิชากันที่วัดนั่นแหละ เหมือนอย่างกับวันโชว์วัตถุมงคลหลวงพ่อกวยว่าใครมีรุ่นไหนบ้าง ก็พกกันไป เพราะฉะนั้น ๑๒ เมษายน #ถ้าใครว่างก็แวะไปวัดบ้านแคหรือวัดโฆสิตารามนะ อยู่ที่สรรคบุรี จังหวัดชัยนาท"ทน
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๒
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างส่งครับ
    พระสิวลีหลังพระสังกัจจายน์รุ่นแรงครูปี๒๕๖๐
    .ให้บูชา 500 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240818_213417.jpg IMG_20240818_213438.jpg IMG_20240818_213340.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1724004505068.jpg
    เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อไวย์วัดสุทธาโภชน์
    เหรียญรุ่นนี้หลวงพ่อท่านเสกจนกล่องใส่พระแตก,เหรียญแตก, โบสถ์ลั่น สะเทือน ท่านบอกรุ่นแรกท่าน เสกแรงไปหน่อย!!!!!!
    หลวงพ่อตั้งใจเสกไว้ให้ศิษย์ใช้คุ้มตัว ปลุกเสกเดี่ยว 2 วาระ
    - วาระ๑. เข้าปริวาส
    - วาระ๒. เสกในกุฎิ 3 เดือน
    ปลุกเสก3วาระ เสกนานที่สุด เสกจนใช้ได้
    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส วัดสุทธาโภชน์
    เจ้าตำหรับยาไวทย์ประสิทธิ์สุดยอดยาจิณดามณีแห่งสายอยุธยา
    หนึ่งในเกจิ16รูปในพิธีจตุรพิธพรชัยที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง
    หลวงปู่ดู่_วัดสะแก ยกย่องท่านว่าเป็นพระอรหันต์ ในวันที่หลวงพ่อไวทย์ ท่านมรณะภาพไปแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านยังกล่าวให้ศิษย์ไปเอาน้ำที่รดน้ำศพสังขารองค์ท่าน มาอาบกิน เพื่อความเป็นสิริมงคลห
    ลวงพ่อมี วัดมารวิชัย บอกหลวงพ่อไวย์เสกของได้ขลังที่สุด
    หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน บอกในอยุธยา หลวงพ่อไวย์ท่านเก่งสุดๆในแทบนั้น
    หลวงพ่อไวย์ ท่านเป็นศิษย์สุดยอดเกจิอาจารย์3ทหารเสือแห่งเมืองอยุธยา
    - หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
    - หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
    - หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน
    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส ท่านเป็นสหายกับ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย, หลวงพ่อวาสน์ วัดบ้านแพน หลวงพ่อปี วัดกระโดงทอง และหลวงพ่อกุหลาบ วัดรางจระเข้
    หลวงพ่อไวย์ ท่านยังเป็นอาจารย์ของพระเกจิอาจารย์หลายยุคจนถึงยุคปัจจุบัน อาทิ หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก,หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว,หลวงพ่ออาด วัดบุญสัมพันธ์,หลวงปู่ธูป วัดลาดน้ำขาว และอีกหลายท่าน เป็นต้น
    _______________
    เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส วัดสุทธาโภชน์ ปี 2519
    ___________________
    เหรียญรุ่นแรก สร้างปี 2519
    ออกให้บูชาแจกจ่ายปี 2520
    หลวงพ่อไวทย์ปลุกเสกมานานทุกค่ำ - เช้า แล้วนำเข้าปลุกเสกในคืนสุดท้ายของพิธีปริวาสในช่วงปี 2519 และปี 2520 หลังจากนั้นวันที่ 2 พฤษภาคม 2520 ก่อนงานทำบุญวันเกิดหลวงพ่อไวทย์มีพระคณาจารย์มากันมากมาย ท่านจึงจัดพิธีพุทธาภิเษกเหรียญของท่านขึ้น
    โดยนิมนต์ศิษย์สำนักเดียวกันที่ท่าน #เคารพนับถือ ร่วมปรกปลุกเสกอีก 4 องค์คือ
    - หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก
    - หลวงพ่อวาสน์ วัดบ้านแพน
    - หลวงพ่อปี วัดกระโดงทอง
    - หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย
    รวมทั้งหลวงพ่อไวทย์เอง ได้ร่วมปลุกเสกตลอดคืนตั้งแต่เวลา #หนึ่งทุ่มถึงเที่ยงคืน ฉนั้น เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกหลวงพ่อไวทย์จึงเป็นเหรียญดีที่ผ่านพิธีการปลุกเสกดีถึง 3 ครั้ง ซึ่งรวมแล้วมีคณาจารย์ปลุกเสกเหรียญของท่านกว่า 108 องค์ด้วยกัน....
    (ข้อมูลเบื้องต้นจาก ส.สมบูรณ์ หลังสือพระเครื่องลานโพธิ์)
    ________________
    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส "สมภาร 3 วัด "
    -วัดบางซ้ายใน,
    - วัดสุทธาโภชน์ ,
    - วัดบรมวงศ์อิศรวราราม จ.อยุธยา
    หลวงพ่อไวทย์ ท่านเป็นพระที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่เคยดุ ไม่เคยด่า ใจดี เป็นพระที่สมถะเป็นอย่างมาก ขนาดท่านเป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด แต่กุฏิของท่านก็ยังคงเป็นเพียงกุฎิเล็ก ๆ เล็กขนาดที่ว่า คนที่สูง ๆ ยืนนี่หัวชนเพดาน หลวงพ่อไวทย์ เป็นพระเกจิมากครู มากอาจาย์
    วิชาดูดวง วิชาผูกดวงชะตา เป็นหนึ่งในวิชาที่ท่านชำนาญ สมเด็จพระสังฆราชอยู่ วัดสระเกศ ฯลฯ ท่านได้ สอนวิชาเหล่านี้ให้กับ หลวงพ่อไวทย์
    นอกจากวัตถุมงคลของท่านแล้ว ของดีอีกอย่างก็คือ "ยาไวทย์ประสิทธิ์" แต่ชาวบ้านจะเรียกว่า "ยาลมหลวงพ่อไวทย์"คล้ายยา วาสนาจินดามณี ของสายวัดกลางบางแก้ว นครปฐม ยาไวทย์ประสิทธิ์ จึงเปรียบเสมือนดั่ง ยาจินดามณี ฉบับจังหวัดอยุธยา (วัตถุมงคลเนื้อผงของท่าน ก็มียานี้ผสมอยู่)
    หลวงพ่อไวทย์ได้ตำรายาดีมาจาก หลวงพ่อชื่น วัดสระเกศ เป็นพระอาจารย์เรืองวิทยาคมสูงล้ำ และมีความเชี่ยวชาญทางด้านแพทย์แผนโบราณอย่างลึกซึ้ง พำนักอยู่คณะ 11 เช่นกัน ท่านไม่ค่อยชอบแสดงตัว จึงไม่มีใครค่อยรู้จักชื่อเสียงของท่านแต่อย่างใด หลวงพ่อชื่น มีความเมตตาต่อหลวงพ่อไวทย์มากถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ ให้โดยไม่ปิดบัง
    ตำรายาจินดามณี ยาวาสนา น่าจะมาจากแหล่งวิชาเดียวกัน หลวงพ่อทองอยู่ วัดท่าเสา กระทุ่มแบน สมุทรสาคร เรียนวิชาจากพระอาจารย์ของท่าน ที่เป็นน้องชายหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เลยได้วิชายาวาสนา
    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส ท่านเป็นสหายกับ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย, หลวงพ่อวาสน์ วัดบ้านแพน หลวงพ่อปี วัดกระโดงทอง และหลวงพ่อกุหลาบ วัดรางจระเข้
    หลวงพ่อไวทย์ ท่านอยู่มาหลายวัด ท่านนอกจากเป็นพระเกจิ ก็ยังเป็นพระนักพัฒนา ไปอยู่วัดไหนก็จะไปสร้างพระพุทธรูป ไปพัฒนาวัดนั้น จนเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านแถบละแวกวัดนั้นๆ ที่ไปอยู่ อาทิ อยู่วัดสุธาโภชน์ (เสนา) ก็ไปสร้างวัด สร้างโรงเรียน ครั้งหนึ่งก็ไปอยู่ วัดบางซ้ายใน สร้างวัดจนเจริญ ชาวบ้านในแถบนั้นรักและนับถือท่านมาก
    สุดท้ายบั้นปลายของท่านก็ได้มาอยู่ วัดบรมวงศ์ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะ จังหวัดอยุธยา แต่ท่านก็ยังใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ ไม่ถือตัว ใจดียิ้มแย้มกับทุกคน
    ครั้งหนึ่งเคยมีคนถาม หลวงพ่อไวยท์ ว่า พระหรือวัตถุมงคลใดดีทีสุด หลวงปู่ท่านนิ่ง แต่แม่ชีอุปฐาก(ใครทันกราบท่าน น่าจะรู้จักแม่ชี รูปนี้ดี) บอกว่าให้หา เหรียญรุ่นแรกที่แตกๆ ไว้ เพราะหลวงปู่ท่าน เสก แรงไปหน่อย โบสถ์ลั่น กล่องใส่แตก และเหรียญบางเหรียญ ร้าวเลย ให้หาเหรียญนั้นไว้นะ
    หลวงปู่ ท่านก็ยิ้มๆ แล้วพูดเชิงเย้าแหย่ จริงไม่จริงไม่รู้ บอกว่า อืม เสกแรงไปหน่อย เป็นรุ่นแรก กลัวไม่ขลัง แล้วท่านก็ยิ้ม ๆ ตามประสาของท่าน (ใครไปกราบท่าน ไม่เคยมีใครเห็นท่านทำหน้าบึ้งใส่เลย ท่านจะยิ้ม ตลอดเวลา)
    เคยมีผู้ถาม หลวงพ่อไวทย์ว่า พระอยุธยาสมัยก่อนใครเก่ง ท่านบอกเก่งหลายองค์หลวงพ่อปาน หลวงปู่กลั่น หลวงพ่อขัน ฯลฯ แต่ที่เรียนสมาธิ กรรมฐาน อยู่กับท่านนานสุด ก็หลวงพ่อจง หลวงพ่อจง ท่านเสกตะกรุดเล็กๆ ลอยน้ำ วิ่งวนรอบขัน ท่านยังให้ไว้ดอกหนึ่งเลย หลวงปุ่ไวทย์ท่านเหน็บตะกรุดหลวงพ่อจง ไว้จนมรณภาพ
    ในตอนที่หลวงพ่อไวทย์ ไปขอเรียนวิชาจากหลวงพ่อจง ท่านเคยถูก หลวงพ่อจง ตำหนิ ตอนไปขอเรียนวิชาจากท่าน ท่านว่าคุณอยู่กับพระทองคำมาตั้งนาน แต่ไม่ขอเรียนอะไรมาจากท่านเลย หลวงพ่อห่วง น่ะ!!! ท่านเป็นพระอรหันต์ (หลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โท เป็นศิษย์พี่ ของหลวงพ่อจง เรียนวิชามาจากอาจารย์เดียวกัน คือ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสคันธ์ พระอภิญญาบารมี แห่งทุ่งบางบาล สหายของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ)
    หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ยังกล่าวชื่นชม ยกย่อง หลวงพ่อไวทย์ ว่าเป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฎิบัติชอบ ท่านเป็นพระอรหันต์ ในวันที่หลวงพ่อไวทย์ ท่านมรณะภาพไปแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านยังกล่าวให้ไปเอาน้ำที่ราดศพสังขารองค์ท่าน มาอาบกิน เพื่อความเป็นสิริมงคล
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ประสบการณ์พระเครื่องหลวงพ่อไวทย์
    ขอขอบคุณเจ้าของเรื่องด้วยครับ
    "โจรปล้นบ้าน"
    คุณลุงโอด สุผล อยู่บ้านเลขที่ 9 ม.6 ต.บ้านเกาะ อ.พระนครศรีอยุธยา เล่าว่า "เมื่อก่อนมีฐานะยากจนมาก อาศัยชอบที่มีใจชอบทำบุญที่วัดบรมวงศ์ฯเป็นประจำ ฐานะก็ดีขึ้นตามลำดับจนสามารถส่งเสียลูกๆเรียนถึง นายแพทย์ พยาบาล และเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรหลายคน" "พอหลวงพ่อไวทย์ มาเป็นเจ้าอาวาส ก็เลื่อมใสในปฏิปทาของท่าน จึงฝากตัวเป็นศิษย์มาจนบัดนี้" ผู้เขียนถามถึงของดี คุณลุงโอดตอบโดยไม่ต้องคิดว่า "ของหลวงพ่อไวทย์ใช้ได้ดีทุกด้าน โดยเฉพาะทางเมตตาดีจริงๆ นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์ทางด้านคงกระพันแคล้วคลาดสูงอีกด้วย" และกรุณาเล่าประสบการณ์ที่พบกับตนเองต่อไปว่า "เมื่อปี พ.ศ.2522 หลังจากที่ได้รับแจกเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อไวทย์ไปแล้ว ตกดึกของคืนวันนั้นมีโจรปล้นบ้าน โดยยิงปืนขู่ก่อน 2 นัด จึงตกใจกระโดดขึ้นคว้าปืนสู้ พวกโจรเลยกราดยิงเอ็ม 16 ยิงพรุนหมดทั้งฝาบ้าน เดชะบุญที่ลูกปืนไม่ถูกผู้ใดในบ้านเลยแม้แต่น้อย! นับเป็นบารมีของหลวงพ่อไวทย์ที่ช่วยให้ทุกๆคนแคล้วคลาดโดยแท้...!"
    (ขอขอบคุณข้อมูลจาก ส.สมบูรณ์ หนังสือพระเครื่องลานโพธิ์ และครอบครัว"สุผล")
    ...........
    ........ "#รถทับเด็กไม่ตาย" .........
    ..... คุณส่งเสริม สุภาเพียร อยู่บ้านเลขที่ 80 ม.4 ตลาดสวนมะเดื่อ ต.ห้วยขุนราม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ซึ่งพาครอบครัวมากราบนมัสการหลวงพ่อไวทย์เล่าว่า เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2525 วันหนึ่งที่ตนขับรถปิคอัพออกไปส่งผลไม้ตามปกติ หลานชายชื่อ ด.ช.อภิเชษฐ์ (อายุ 4 ปี) วิ่งตามมาล้มลงเข้าไปใต้ท้องรถ ตนเองออกรถแล้วรู้สึกว่า รถวิ่งข้ามอะไรสักอย่างหนึ่ง พอดีได้ยินเสียงภรรยาร้องเสียงหลงอยู่ท้ายรถจึงรู้ว่า ทับหลานชายเข้าให้แล้วรีบดับเครื่องลงจากรถแล้วพาเด็กไปส่งโรงพยาบาลเพราะเห็นว่า "รอยยางล้อทับท้องเด็ก อย่างเห็นได้ชัด" นายแพทย์ที่โรงพยาบาลตรวจดูอาการแล้วยังไม่เชื่อว่าเด็กถูกรถทับ เพราะเด็กไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้นเลยแม้เเต่น้อย ภรรยาคุณส่งเสริมกล่าวยืนยันว่า "ตนเองวิ่งตามหลานออกมาเห็นล้มลงใต้ท้องรถแล้วล้อก็ทับข้ามไป" "ยังคงคิดว่าหลานชายคงตายแน่แล้ว" "แต่เด็กก็ไม่ได้ร้องสักแอะเดียว พอรถข้ามไปแล้วก็ลุกขึ้นเฉย" เมื่อคุณส่งเสริมเห็นรอยล้อบนหน้าท้อง จึงรีบพาส่งโรงพยาบาล ดังนั้น จะเป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เกิดจากอนินิหาร "เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อไวทย์" ที่คุณส่งเสริมให้หลานชายไว้ห้อยคออยู่เพียงเหรียญเดียวเท่านั้น ที่ช่วยให้ ด.ช.อภิเชษฐ์รอดชีวิตราวปาฏิหาริย์ ขณะนั้นหลวงพ่อไวทย์ได้เล่าขึ้นว่า "มันก็ขำๆ อยู่เหมือนกัน เจ้าเสริมเขาพาหลานมาให้ฉันรับขวัญ ฉันยังกระเซ้าเด็กมันว่าทำไมรถทับไม่เป็นอะไร เด็กมันตอบว่า ...รถมันเบา..." ว่าแล้วท่านก็หัวเราะชอบใจอย่างผู้มีอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ....
    (ข้อขอบคุณข้อมูลจาก ส.สมบูรณ์ หนังสือพระเครื่องลานโพธิ์ และครอบครัว"สุภาเพียร")
    ท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูง
    ให้บูชา 750 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ


    IMG_20240819_002635.jpg IMG_20240819_002710.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้จัดส่ง
    1724060124131.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1724053253309.jpg
    หลวงพ่อพระเสริมวัดปทุมวนารามหลวงพ่อถาวร และเหรียญลพ.มหาถาวร
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จฯ ทรงเททองหล่อ “หลวงพ่อพระเสริม จำลอง ภ.ป.ร.” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ.2535 คณะกรรมการฯ ได้ประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกทั้ง “โลหะ” และ “ผงพุทธคุณ” แล้วจึงมอบให้ช่างนำไปจัดสร้างวัตถุมงคล ณ มณฑลพิธีวัดปทุมวนารามฯ ในวันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2535 โดยมีท่านเจ้าคุณ “สมเด็จพระมหามุนีวงศ์” วัดนรนาถสุนทริการาม เป็นองค์ประธาน และมีพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 10 รูป มาร่วมเจริญพุทธมนต์
    วัตถุมงคลที่จัดสร้างมีรายละเอียดดังนี้
    1. พระพุทธรูปบูชาหลวงพ่อเสริม ภ.ป.ร. หน้าตัก 5 – 9 นิ้ว ไม่ทราบจำนวน
    2. พระกริ่งไพรีพินาศ ภ.ป.ร. เนื้อทองคำ หนัก 1 บาท สร้างตามจำนวนสั่งจอง
    3. พระกริ่งไพรีพินาศ ภ.ป.ร. เนื้อเงิน และ นวโลหะ เนื้อละ 3,000 องค์
    4. พระกริ่งนวปทุม ภ.ป.ร. เนื้อทองคำ หนัก 1 บาท สร้างตามจำนวนสั่งจอง
    5. พระกริ่งนวปทุม ภ.ป.ร. เนื้อเงิน และ นวโลหะ เนื้อละ 3,000 องค์
    6. ชัยวัฒน์นวปทุม ภ.ป.ร. เนื้อทองคำ หนัก 1 บาท สร้างตามจำนวนสั่งจอง
    7. ชัยวัฒน์นวปทุม ภ.ป.ร. เนื้อเงิน และ นวโลหะ เนื้อละ 3,000 องค์
    8. เหรียญรูปเหมือนพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ จำนวน 50,000 เหรียญ
    9. พระผงรูปเหมือนพระเสริมหลังตรา ภ.ป.ร. จำนวน 50,000 องค์ ฯลฯ
    ส่วนพิธีมหาพุทธาภิเษกท่านเจ้าพระคุณ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเบิกพระเนตรพระพุทธปฏิมา และพิธีชัยมังคลาภิเษกในวันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ณ มณฑลพิธีศาลาพระราชศรัทธาวัดปทุมวนาราม โดยอาราธนาพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณทั่วประเทศ 142 รูป มาร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษก อาทิเช่น
    1. หลวงปู่วิริยังค์ วัดธรรมมงคล
    2. หลวงปู่หลอด วัดสิริกมลาวาศ
    3. พระอาจารย์มหาถาวร วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ
    4. หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข สิงห์บุรี
    5. หลวงปู่ดี วัดพระรูป สุพรรณบุรี
    6. หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ชลบุรี
    7. หลวงพ่อจำเนียร วัดดอนไร่ สุพรรณบุรี
    8. หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม
    9. หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม นครปฐม
    10. หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ สมุทรสงคราม
    11. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการม กาญจนบุรี
    12. หลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก ประจวบคีรีขันธ์
    13. หลวงปู่เหรียญ วัดอรัญบรรพต หนองคาย
    14. หลวงปู่ศรีจันทร์ วัดเลยหลง เลย
    15. หลวงปู่คำพอง วัดพัฒนาราม อุดรธานี
    16. หลวงปู่ท่อน วัดถ้ำอภัยคีรีวัน อุดรธานี
    17. หลวงปู่หลวง วัดป่าสำราญนิวาส ลำปาง
    18. หลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม เชียงราย
    19. หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า ระยอง
    20. หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกระเชอ ชลบุรี
    21. หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ ระยอง เป็นต้น
    ที่มา : หนังสือมหามงคลแห่งแผ่นดิน โดย คุณอลุย์นันท์ทัต กิจไชยพร และ หนังสือ สระปทุมฯ
    องค์นี้เป็นรูปเหมือนหลวงพ่อพระเสริมเนื้อผง หายากครับ ราคาตามสภาพครับ สุทธิ์, ทองแดง, ทองเหลือง, ขันลงหิน”
    อีกเป็นจำนวนมากมาร่วมหล่อเป็นองค์ “หลวงพ่อพระเสริม ภปร.” ที่แสดงให้เห็นถึงการ “ไม่แบ่งแยกชนชั้น” ไม่ว่าจะยากดีมีจนทุกคนมีสิทธิได้ร่วม “โดยเสด็จพระราชกุศล” สร้างพระพุทธปฏิมา “หลวงพ่อพระเสริม ภปร.” เป็นพระประธานประจำ “ศาลาพระราชศรัทธา”ทางด้านการจัดพิธีมหาพุทธาภิเษกท่านเจ้าพระคุณ “สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก” เสด็จเป็น องค์ประธานในพิธีเบิกพระเนตรพระพุทธปฏิมา “หลวงพ่อพระเสริม ภปร.” ภายหลังจากช่าง ได้ทำการตกแต่งเสร็จแล้วนับตั้งแต่ล้นเกล้าฯ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช” ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราช ดำเนินทรงประกอบพิธีเททองเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้ว ในครั้งนี้คณะกรรมการได้จัดให้มีการประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษก “หลวงพ่อพระเสริม ภปร.” พระพุทธปฏิมาเป็นพระประธานประจำศาลาพระราชศรัทธาแล้วยังประกอบด้วย “หลวงพ่อพระเสริม ภปร.” ขนาดบูชา ๙ นิ้ว ๕ ฟุต “พระกริ่งนวปทุม ภปร., พระชัยวัฒน์นวปทุม ภปร., พระกริ่งไผ่รีพินาศ ภปร., พระผงหลวงพ่อพระเสริม ภปร.” และพิธีชัยมังคลาภิเษกเหรียญพระรูปเหมือน “พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ภปร.” ในวันอังคารที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ณ มณฑลพิธีศาลาพระ ราชศรัทธาวัดปทุมวนาราม เวลา ๑๖.๓๐ น. และ ในเวลา ๑๗.๐๙ น. “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ” เสด็จไปยังตู้เทียนชัย ทรงเจิมเทียนชัย ทรงจุดเทียนชัย จากนั้นเสด็จฯ ไปทรงเจิมเทียนพระพุทธมหามงคล ทรงโปรยข้าวตอกดอกไม้ที่พระเครื่องในราชวัตรฉัตรธง บัณฑิตอาราธนาพระปริตรพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป เจริญพระพุทธมนต์ตามรายนามดังต่อไปนี้
    ๑.สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินตกาโร) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ๒.สมเด็จพระพุทธชินวงศ์(สุวรรณ สุวัณณโชโต)วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ๓.พระญาณวโรดม (สันตังกุโร) วัดเทพศิรินทราวาส ภายหลังได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็น “สมเด็จพระญาณวโรดม” ๔.พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาส ญาณวโร) วัดยานนาวา ภายหลังได้รับพระราชทานสมณ ศักดิ์เป็น “พระพรหมโมลี” ๕.พระธรรมธัชมุนี (ประจวบ กันตจาโร) วัดมกุฏกษัตริยาราม ภายหลัง ได้รับพระราชทานสมณศักด์เป็น “พระธรรมปัญญาจารย์” และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระพุทธชินวงศ์” ๖.พระธรรมบัณฑิต วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี ๗.พระเทพมุนี วัดบพิตรพิมุข ๘.พระเทพปัญญาเมธี วัดไตรมิตรวิทยาราม ภายหลังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระพรหมเวที” ๙.พระกิตติสารกวี วัดปทุมวนาราม ๑๐.พระญาณเวที วัดปทุมวนาราม จากนั้น “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ” ทรงประทับพิงอธิษฐานจิตเจริญภาวนาและเสด็จกลับในเวลา ๑๘.๐๙ น.
    บัณฑิตและคณะนิมนต์ “พระเกจิอาจารย์” พร้อม “พระภาวนาจารย์” ผู้ทรง วิทยาคุณจำนวน “๑๔๒ รูป” ผู้เขียนจึงคัดเอาเฉพาะรายนามพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็น ที่เลื่องลือในขณะนั้นมานำเสนอดังนี้ “พระเทพเมธี (บุญนาค) วัดเศวตฉัตร กทม., หลวงปู่ วิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล, หลวงปู่หลอด ปโมทิโต วัดสิริกมลาวาส กทม., พระอาจารย์มหาถาวรจิตตถาวโร วัดปทุมวนาราม พระครูวิเศษภัทรกิจ (ทองใบ) วัดสายไหม จ.ปทุม ธานี, หลวงปู่บุดดาถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข สิงห์บุรี, พระครูธรรมจักรชโยดม (หลวงปู่ผล) วัดดักดะนน จ.ชัยนาท, พระครูวิชัยประสิทธิคุณ (หลวงพ่อเชิญ) วัดโคกทอง, พระครูภัทรกิตโกศล (หลวงพ่อหวล) วัดพุทไธศวรร
    หลวงพ่อพระเสริมหลังภปร.วัดปทุมวนารามพิธีใหญ่ปี๒๕๓๕
    ๒ องค์ บูชา 450 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240819_143235.jpg IMG_20240819_143301.jpg IMG_20240819_143152.jpg IMG_20240819_143212.jpg IMG_20240819_143052.jpg IMG_20240819_143128.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    หลวงปู่ภู-ภัททญาโณ-2.jpg
    เหรียญหลวงปู่ภูวัดช้าง นครนายก
    หลวงพ่อภู ภัททญาโณ นับว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังรูปหนึ่ง ท่านมีพลานุภาพทางกระแสจิตเป็นพิเศษ มีอำนาจทางจิตที่แข็งแกร่งและมั่นคง ท่านได้บำเพ็ญเพียรฝึกมาเป็นเวลานานจากหลายๆ อาจารย์ ตั้งแต่การเดินธุดงค์เมื่อครั้งยังเป็นสามเณรอยู่ ท่านเป็นศิษย์หลวง พ่อนก หลวงพ่อเหลือ หลวงพ่อพร้อม วัดหนองหมู และได้ออกธุดงค์พร้อมกับพระอาจารย์ทราย ที่สำคัญท่านเป็นศิษย์ก้นกุฏิหลวงพ่อเกิด วัดสะพาน ผู้เป็นอุปัชฌาย์ และได้รับการถ่ายทอด วิทยาคมจนเกิดความเชี่ยวชาญ
    หลวงพ่อภูท่านนี้ ท่านเป็น 1 ใน 2 ศิษย์คนสนิทหลวงพ่อเกิด วัดสะพานเลยนะครับ ลูกศิษย์อีกรูปนึงคือหลวงพ่อชม วัดท่าทราย เเต่หลวงพ่อภู ท่านเป็นศิษย์ผู้พี่..หลวงพ่อเกิด ท่านเลยประสิทธิ์ประสาทวิชา อาคมต่างๆให้กับหลวงพ่อภูจนหมด ทั้งวิชาปลาไหล( เป็นเคล็ดวิชาที่หลายคนไม่เคยเรียนที่ไหน คือเมื่อมีใครมาจับตัวเรา จับเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจับได้อยู่ ลื่นไหลเหมือนมีเมือกปลาไหลอยู่ที่ตัว ) วิชาการทำตะกรุด วิชายาสมุนไพร เเละเวทมนต์คาถาต่างๆ จนหลวงพ่อเกิด มรณะภาพลงในปี 2499 หลวงพ่อภู ท่านจึงจำพรรษาอยู่ที่วัดช้าง จนได้รับตำเเหน่งเป็นเจ้าอาวาส เเละได้จัดทำวัตถุมงคล ออกมาไม่กี่รุ่น ทุกรุ่นล้วนมีประสบการณ์ต่างๆมากมาย หลวงพ่อภู ได้ถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆ ให้กับอาจารย์ต๊ะ ซึ่งได้เป็นเจ้าอาวาสองค์ต่อมา .....หลายคนยังจำได้ใช่มั้ยครับ กับเหรียญหนุมาน ที่มีคนลองเอาไปยิง ทั้งๆที่ยิงในระยะหนึ่งฟุต ก็ยังยิงไม่โดน จนทำให้หลายคนศัทธาเเละเช่าหากันจนเเทบหมดนครนายก
    เหรียญหลวงพ่อภู หลวงพ่อพระครูภัทรกิจโกศล (หลวงพ่อภู) ภัททญาโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดช้าง ปี 2532
    พิธีพุทธาพิเษกใหญ่ภายใต้การกำกับดูแลพิธีการ โดยพระครูธวัชภัทราภรณ์ (อาจารย์ต๊ะ) อดีตเจ้าอาวาสวัดช้าง เลขานุการหลวงพ่อภู ในสมัยนั้น และคณะกรรมการ ศิษยานุศิษย์หลวงพ่อภู ร่วมจัดสร้าง เพื่อสมทบทุนสร้างตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลบ้านนา นครนายก
    โดยพระเถระคณาจารย์ ทั่วสารทิศ นับว่าเป็นพิธีพุทธาพิเษกครั้งใหญ่ของทางวัดช้างพิธีนึงเลยทีเดียว ในพิธีครั้งนั้น หลวงพ่อพรห์ม ท่านมานั่งปรกให้กับทางวัดช้าง ด้วยกัน 2 รอบ รอบพิธีการกลางวัน 1 รอบ และเมตตามานั่งปรกให้รอบ 2 อีกครั้ง ในครั้งนั้นหลวงพ่อท่านนั่งปรกนานกว่า 4 ชั่วโมง และในการพิธีครั้งนั้น พระอาจารย์สาท (โม่ง) ธรรมโชติ วัดขนอนเหนือ พระหลานชายของหลวงพ่อพรห์ม ได้รับนิมนต์อาราธนาติดตามหลวงพ่อมาร่วมพิธีการ ในครั้งนั้นด้วยกัน
    ครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูล
    ที่มาอย่างสงบ
    เหรียญหลวงปู่ภู วัดช้าง
    ให้บูชา 270 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240819_214912.jpg IMG_20240819_214944.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1724159690474.jpg

    เหรียญหลวงปู่สนธิ์อรัญญนาโพธิ์ รุ่น๒ ปี๒๕๑๗
    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สนธิ์ โคตะบิน เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2453 ที่บ้านนาโพธิ์ ต.โพนสว่าง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ท่านเป็นบุตรคนโต ในจำนวนชาย 6 คน หญิง 4 คน
    เมื่อครั้งอายุ 18 ปี ออกหาปลาในลำน้ำอูน ขณะนอนตะแคงในท่าพนมมือสองข้างหนุนศีรษะ ผู้เฒ่าผู้แก่ทักว่าจะไม่ได้ครองเรือนเช่นคนทั่วไป แต่จะได้สืบทอดพระพุทธศาสนาตลอดชีวิต
    อายุ 20 ปี ญาติถึงแก่กรรม บิดาจึงให้บวชหน้าไฟและอุปสมบทในคราวเดียวกัน ที่วัดศรีชมชื่น ต.โพนสว่าง อ.ศรีสงคราม มีหลวงพ่อแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อเกศ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีหลวงพ่อเกิด เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    หลังอุปสมบท พรรษาแรกเดินธุดงค์ไปจำพรรษาที่ อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร อ.โพนสวรรค์ และ อ.ท่าอุเทน นานเป็นเวลา 8 พรรษา
    ช่วงที่จำพรรษาอยู่ที่วัดพระธาตุท่าอุเทน ปวารณาฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สีทัตถ์ ญาณสัมปันโน พระเกจิชื่อดัง ผู้สร้างพระพุทธบาทบัวบกในยุคนั้น ก่อนจะเดินธุดงค์ไปจำพรรษาที่วัดพระพุทธบาทบัวบก อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี และ จ.หนองคาย ตามลำดับ
    จากนั้นข้ามแม่น้ำโขงไปที่แขวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว นาน 2 พรรษา และธุดงค์ไปภูเขาควายอีก 4 พรรษา นั่งปฏิบัติธรรมท่ามกลางสัตว์ป่าดุร้าย เช่น หมี เสือโคร่ง
    ก่อนธุดงค์ต่อไปในภาคเหนือของไทย 7 จังหวัด และภาคกลางอีก 7 จังหวัด
    จนมาถึง จ.นครราชสีมา และกลับมายังบ้านเกิด หลังจากนั้นเดินทางไปสร้างวัดและจำพรรษาที่บ้านเปงจาน อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย
    กระทั่งทราบข่าวบิดาป่วย จึงเดินทางกลับมายังบ้านนาโพธิ์ เพื่อดูแลอาการ และได้สร้างวัดอรัญญานาโพธิ์ ในปี พ.ศ.2509 อยู่จำพรรษาจนถึงปัจจุบัน.
    หลวงปู่สนธิ์เป็นพระที่มีความสมถะ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเวลาเดินธุดงค์จะไม่มีทรัพย์สินมีค่าติดตัว ไม่สวมรองเท้า และบิณฑบาตก็รับแต่พอฉันในแต่ละมื้อเท่านั้น ไม่เก็บสิ่งของมีค่า
    เป็นพระที่ยึดมั่นในศีลธรรม จะคอยอบรมลูกศิษย์อย่าประมาทในศีล มักน้อย สันโดษ เป็นอยู่ง่ายๆ กินแต่น้อย ไม่สะสมทรัพย์สิ่งของ จนเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธา
    นอกจากเป็นผู้ชำนาญการด้านพระปริยัติและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านยังเป็นผู้ทรงวิทยาคมด้วย
    ครั้งหนึ่งจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ที่พบเห็นหลวงปู่สนธิ์กำลังออกบิณฑบาต เกิดฝนตก แต่ปรากฏว่าเม็ดฝนไม่ถูกตัวหลวงปู่ ทั้งที่หลวงปู่สนธิ์ก็ออกเดินบิณฑบาตไปตามปกติ แต่ฝนตกตามหลังไป แต่ไล่ไม่ทันตัวหลวงปู่
    ชาวบ้านเรียกขานว่า “ฝนไล่ไม่ทันหลวงปู่”

    สร้างวัดอรัญญานาโพธิ์ เมื่อปี พ.ศ.2509 ยังสร้างโรงเรียนอีก 5 แห่ง และตึกอาพาธสงฆ์ที่โรงพยาบาลศรีสงคราม สร้างศาลาการเปรียญวัด กุฏิอีกหลายแห่ง พร้อมตั้งมูลนิธิหลวงปู่สนธิ์สนับสนุนทุนเรียนดีแต่ยากจน
    เมื่อวัยเข้าสู่ชรา จึงกลับจำพรรษาที่วัดบ้านเกิด
    แต่ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง อาพาธเป็นโรคเส้นเลือดในสมอง ก่อนนำตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีสงคราม เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 แต่อาการไม่ดีขึ้น จึงส่งต่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนครพนม
    จากนั้นจึงส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น นาน 2 เดือน
    ก่อนกลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีสงคราม
    เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2560 มรณภาพลงอย่างสงบ สิริอายุ 108 ปี พรรษา 88...
    ในด้านวัตถุมงคล ได้มีการจัดสร้างจำนวนกว่า 59 รุ่น แต่ละรุ่นจัดสร้างจำนวนจำกัด โดยเฉพาะรุ่นพิเศษที่คณะศิษย์จัดสร้างถวาย เนื่องในโอกาสสำคัญ และงานที่ระลึกงานต่างๆ มีเจตนาเพื่อมอบเป็นที่ระลึก โดยไม่มีการให้เช่าบูชาหรือการค้าใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้วัตถุมงคลบางรุ่นจึงหายาก มักไม่ค่อยปล่อยให้เช่าบูชากัน แต่มักจะเก็บไว้เป็นส่วนใหญ่
    ในปี พ.ศ.2517 วัดอรัญญานาโพธิ์ ได้จัดสร้างวัตถุมงคลเป็นเหรียญหลวงปู่สนธิ์ รุ่น 2 เพื่อไว้แจกจ่ายลูกศิษย์และญาติโยมที่มาทำบุญในวัด
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 270 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240820_200623.jpg IMG_20240820_200653.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    เหรียญพระอาจารย์ธรรมโชติ วัดลุ่มคงคาราม จ.นนทบุรี เหรียญเต็มองค์ รุ่นแรก พ.ศ.2516 เนื้อทองแดงรมดำ
    การปลุกเสกเหรียญของ พระอาจารย์ธรรมโชติ ท่านไม่เหมือนใคร คือท่านจะไม่ปลุกเสกรวมๆ เหมือนกับที่ปลุกเสกกันในปัจจุบัน แต่ท่านจะหยิบเหรียญหรือพระของท่านขึ้นมาทีละเหรียญใส่ไว้ในมือแล้วบรรจุพลังจิตลงไปจนเต็มที่เสร็จแล้วทำพิธีตัดและกรึงเป็นที่เรียบร้อยทุกเหรียญ นับว่าเป็นความยุ่งยากและต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ท่านว่า วิธีนี้ได้ผลดีกว่าปลุกเสกรวมๆกัน เพราะท่านต้องเอาดวงกสิณของท่านจำลองลงในเหรียญแทนอักขระเลขยันต์นั้น ก็เพื่อเป็นสื่อ เป็นจุดรวมพลังจิตที่ดีของท่านนั่นเอง เคยมีคนถามท่านว่า อำนาจจิตที่ท่านบรรจุลงไว้ในเหรียญหรือพระของท่านนั้น จะมีวันเสื่อสลายหรือถอดถอนได้หรือไม่ ท่านตอบว่า ท่านเองยังไม่สามารถถอนได้แล้วใครจะมาถอนได้ ถึงตกน้ำหรืออยู่ในไฟก็ไม่เสื่อมสลายไปไหน เหรียญของท่านมีพุทธคุณเน้นหนักไปในทางเมตตามหานิยมและแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญพระอาจารย์ธรรมโชติวัดลุ่มคงคาราม นนทบุรี
    ให้บูชา 170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240820_194714.jpg IMG_20240820_194737.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2024
  8. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,965
    ค่าพลัง:
    +6,875
    ขอจองครับ
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1724179034088.jpg

    เหรียญเสมาพระพุทธหลวงปู่เล็ก วัดทำนบ ปี ๒๕๓๗
    ประวัติ ปฏิปทา วิทยาคม หลวงปู่เล็ก วัดทำนบ ผม เบ็นวิเศษฯ ได้เรียบเรียงไว้พอสังเขป
    #เดือนนี้เดือนนี้ถือเป็นเดือนมหามงคล ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่เล็ก จนฺทสโร จะมีอายุ ๙๙ ปี ๗๙ พรรษา ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ ถือเป็นวาระสำคัญอันเป็นมงคลยิ่งแก่ศิษย์ยานุศิษย์ กลุ่ม ชมรมคนรักหลวงปู่เล็ก ขอร่วมเผยแพร่บารมีของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ให้ประชาชนได้ทราบทั่วกัน
    พระครูวิชาญพัฒนกิจ หลวงปู่เล็ก จนฺทสโร อายุ 99 ปี 79 พรรษา วัดทำนบ ต.สี่ร้อย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
    พระเถราจารย์ผู้เป็นที่รักและเคารพยิ่งของเพศบรรพชิตและประชาชนชาวจังหวัดอ่างทอง
    หลวงปู่เล็กท่านเป็นพระเถราจารย์ซึ่งเก็บตัวเงียบมานานจนปัจจุบัน ท่านไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวัตถุมงคลมากนักประชาชนทั้วไปทราบกันเป็นอย่างดีว่าหลวงปู่ท่านเก่ง วาจาสิทธิ์ และดุมาก แม้แต่หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ยังเคยไล่ให้คนบ้านทำนบที่ไปกราบท่านที่สิงห์บุรีให้มากราบหลวงปู่เล็กไม่ต้องมากราบท่านไกลถึงสิงห์บุรี เคยมีศูนย์พระเข้าไปวุ่นวายกับท่าน ท่านตะเพิดออกมาจนไม่มีใครกล้าเข้าไปอีก หลวงปู่ท่านเป็นพระเถระผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีความเป็นระเบียบแบบแผน ครูบาอาจารย์ในยุคนี้ล้วนแต่เคารพในหลวงปู่ อาทิ หลวงพ่อมี วัดม่วงคัน หลวงพ่อทองหยิบ วัดบ้านกลาง หลวงพ่อ เกลื่อน วัดรางฉนวน หลวงพ่อเสียน วัดมะนาวหวาน ล้วนแต่เคารพนับถือหลวงปู่ ด้วยพรรษาที่อาวุโสมาก และจริยาวัตรที่งดงามของหลวงปู่ แม้กระทั่งวิทยาคมของหลวงปู่เล็ก หลวงพ่อทุกรูปทราบดีด้วยเป็นผู้มีวิทยาคมเหมือนกัน ว่าหลวงปู่เล็กท่านเป็นอย่างไร หลวงปู่เล็ก ความจริงแล้วชื่อจริงๆของหลวงปู่ท่านชื่อ "ดิเรก" หรือในหมู่พระสงฆ์จะเรียกหลวงปู่ว่า พระครูดิเรก แต่ที่ปัจจุบันคนทั่วไปเรียกหลวงปู่ว่าเล็กนั้นมีเหตุที่ว่า สมัยที่หลวงพ่อหรุ่ม วัดบางจักรยังทรงสังขาร ชาวบ้านมักเรียกหลวงพ่อหรุ่มว่า หลวงพ่อใหญ่ เพราะหลวงพ่อหรุ่มท่านดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอวิเศษชัยชาญ หลวงปู่เล็กท่านเป็นรองเจ้าคณะอำเภอ คนจึงเรียก หลวงพ่อเล็ก และก็เรียกติดปากตลอดมา หลวงปู่เล็ก ท่านยังมีความสนิทสนมกับหลวงพ่อกร่าย วัดโพธิ์ศรีมาก เพราะเมื่อสมัยที่หลวงปู่เล็กท่านไปเรียนวิทยาคมกับหลวงพ่อเต่า วัดน้ำพุ วัดน้ำพุกับวัดโพธิ์ศรี ไม่ห่างกันมาก ท่านไปมาหาสู่กันเป็นประจำ และถือว่า หลวงปู่เล็กเป็นศิษย์น้อง ที่ได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อกร่ายท่านด้วย หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ ก็เป็นอีกหนึ่งครูบาอาจารย์ที่ถ่ายทอดสรรพวิทยาต่างๆให้หลวงปู่ และหลวงปู่ก็มีความเคารพในหลวงพ่อคำเป็นอย่างมาก

    หลวงพ่อพระครูวิชาญพัฒนกิจ หลวงปู่เล็ก จนฺทสโร นามเดิม ดิเรก แซ่อึ๊ง เกิดเมื่อ วันอังคารที่ 24 มิถุนายน แรม 11ค่ำเดือน 7 ปีมะแม พุทธศักราช 2462 ท่านเกิดที่ตำบลพระประโทนเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐมทางบ้านหลวงปู่มีฐานะดีมั่งคั่ง โดยหลวงปู่ท่านมีความเกี่ยวเนื่องเป็นเครือญาติกับหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว โดยโยมแม่ของหลวงปู่เล็กท่านจะเรียกหลวงปู่บุญว่า หลวงตา โยมบิดาหลวงปู่ชื่อ นายเหล็ง โยมมารดาชื่อ นางเลื่อม ปัจจุบันนามสกุล แซ่อึ๊ง เปลี่ยนมาใช้ นามสกุล. "มั่นคงดี". ส่วนหลวงปู่เล็ก ท่านใช้นามสกุล "สุถิรานนท์"
    เมื่อหลวงปู่เล็ก เจริญวัยขึ้นทางโยมมารดาของหลวงปู่ได้ให้หลวงปู่บวชเป็นสามเณรเข้าเรียนที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร โดยมี สมเด็จพระวันรัต (กิมเฮง เขมจารี) เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเดิมหลวงปู่ก็มีญาติอยู่แถวย่านบางลำพูด้วย จึงเป็นเหตุให้โยมแม่ของท่านให้เข้ามาเรียนที่กรุงเทพโดยไม่เป็นกังวล หลวงปู่เข้ามาร่ำเรียนสรรพวิทยาต่างๆที่วัดมหาธาตุโดยเรียนนักธรรมแผลกบาลี จนมีความชำนาญ และ ต่อมาก็บวชพระและจำพรรษาที่วัดประดู่ฉิมพลีโดย มี สมเด็จพระวันรัต (กิมเฮง เขมจารี) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิริยกิตติ หรือหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเป็นพระกรรมวาจาจารย์ มีพระมหาสิริ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และมีอำมาตย์โทพระยาภิรมย์ภักดี เป็นผู้อุปภัมป์ในการอุปสมบทของหลวงปู่ อาจารย์ท่านแรกๆของหลวงปู่เป็นฆารวาสที่มีชื่อเสียงมาก สมัยนั้น หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และหลวงปู่สด วัดปากน้ำยังนับถือ และถือเป็นอาจารย์ฆารวาสของหลวงปู่ทั้งสองด้วย ท่านนั้นคือ หลวงสักทัศน์พลยุทธท่านเป็นนายทหารเก่าที่มีวิทยาคมสูง ซึ่งก่อนที่หลวงปู่จะเรียนสรรพวิทยาต่างๆจากหลวงสักทัศน์พลยุทธนั้น หลวงปู่ท่านเคยเป็นไข้รากสาด และรักษาไม่หายสมัยนั้นท่านยังเป็นสามเณร อาจารย์สอนหนังสือของหลวงปู่ที่วัดมหาธาตุ จึงพาหลวงปู่ไปหาหลวงสักทัศน์พลยุทธ ในการรักษาครั้งนั้นยังความประหลาดใจกับหลวงปู่เป็นอย่างมาก โดยคุณหลวงได้เขียนกระดานชนวนลบผง ผสมน้ำมนต์ให้หลวงปู่ฉัน ซึ่งผงธรรมดาๆเมื่อผสมน้ำมนต์และฉันเข้าไปนั้น ผงธรรมดาๆกลับมีรสชาติกลับกลายเป็นพิมเสนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของคุณหลวงศึกษาสรรพวิชาด้านการรักษาโรค และยังได้ร่ำเรียนวิทยาคม กับทั้งหลวงปู่โต๊ะ และ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ อีกด้วย
    หลวงปู่เล็กท่านจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ราวๆ 4 พรรษาคือตั้งแต่ปี 2482-2485 ท่านได้เล่าเรียนวิทยาคมจากหลวงปู่โต๊ะ สรรพวิทยาคมหลายแขนง เช่น การถอนคุณไสย ยันต์ตรีนิสิงเห การเสกพระปิดตา และยันต์ นะ ปัดตลอด ซึ่งหลวงปู่เล็กท่านชำนาญยันต์นะปัดตลอดนี้มาก จนมีครั้งหนึ่ง หลวงปู่ได้ถ่ายทอดยันต์นี้ให้กับลูกศิษย์ของท่าน ตอนที่ท่านมาอยู่ วิเศษชัยชาญแล้ว หลวงปู่ท่านได้ถ่ายทอด ยันต์ นะ ปัดตลอด ให้กับ หลวงพ่อเกษม วัดม่วง จนเป่ายันต์ใส่ใบพลู จนทะลุติดในพลูจนตลอดเก้าใบ เรื่องนี้จริงๆไม่ค่อยอยากเล่ามากเพราะเจตนาเดิมของหลวงปู่ท่านไม่ชอบให้เขียน แต่ว่าผู้เขียนเห็นว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นและเพื่อเชิดชูบารมีหลวงปู่ ผมก็จะเขียน ให้ผู้อ่านได้ทราบ มีพระเณรยืนยันต์เรื่องนี้ได้ชัดเจน เรื่องยันต์นะปัดตลอดนี้ ถ้าผู้ที่สำเร็จแล้ว สามารถจะเป่ายันต์ให้ไปติดที่ใดก็ได้ตามแต่ใจนึก และอธิฐานยันต์นี้ให้เป็นอะไรก็ได้ ทั้งโภคทรัพย์ มหานิยม คงกระพัน...ผู้ที่ทำได้ท่านก็เงียบ ไม่เอามาประเจิดประเจ้อ ให้เกิดความวุ่นวายกับตนเอง ต้องไปเป็นขี้ข้าเขา ใช้ให้จารโน่นทำนี่ ทำให้เกิดความไม่สงบ หลวงปู่ท่านเคยบ่นๆกับคนแถวๆวัดทำนบในทำนองนี้.... และเป็นอีกสาเหตุที่ท่านไม่อยากวุ่นวายแบบพระเกจิยุคปัจจุบัน แต่ทว่า ท่านเก็บตัวขนาดนี้ พระเณร ก็ยังทราบถึงกิตติคุณของท่าน ถ้าไม่เชื่อผม ผู้อ่านลองไปถามพระวัดไหนก็ได้ในจังหวัดอ่างทอง ที่บวชมาพรรษาเกินสิบพรรษาขึ้นไป น้อยรูปที่จะไม่ทราบกิตติคุณของหลวงปู่เล็ก วัดทำนบ อย่างที่ผมกล่าวข้างต้นว่านอกจากหลวงปู่โต๊ะแล้วหลวงปู่เล็กท่านยังได้เรียนวิทยาคมจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ด้านน้ำมันมนต์ เรื่องการรักษากระดูก ซึ่งน้อยคนที่จะทราบว่าหลวงพ่อสด ท่านมีความชำนาญมาก ในระหว่างนั้นหลวงปู่ได้ร่ำเรียนกรรมฐานควบคู่ไปด้วย โดยไดัฝากตัวเป็นศิษย์ และขึ้นกรรมฐาน กับ พระสุธรรมธีรคุณ ( วงศ์ จนฺทวงฺโส) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ซึ่งท่านอยู่ในยุคหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ หลวงปู่เล็กมีความนับถือในองค์หลวงพ่อวงศ์อย่างมาก เหตุด้วยหลวงพ่อวงศ์ท่านมีสรรพวิชาที่หาคนเสมอได้ยาก ณ เวลานั้น โดยหลวงปู่เล็กจะเรียกหลวงพ่อวงศ์ว่า "หลวงพ่อ" สมัยนั้นสมเด็จพระสังฆราช (อยู่) วัดสระเกศ ท่านก็มีความเมตตาต่อหลวงพ่อวงศ์มาก ถึงขนาดให้หลวงพ่อวงศ์ ย้ายเข้ามาอยู่กุฏิเดิมของท่านได้ ที่สำคัญหลวงพ่อวงศ์ท่านเป็นสื่อกลางและมีส่วนสำคัญในการแนะนำให้หลวงปู่เล็ก มาอยู่วิเศษชัยชาญโดยที่หลวงพ่อวงศ์ ท่านมีความสนิมสนมกับครูบาอาจารย์ทางสายวิเศษชัยชาญอยู่เดิม กล่าวถึงหลวงพ่อวงศ์ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านมาหาหลวงพ่อ มีเรื่องเดือดร้อน โดยมีคนตั้งท้องและเด็กตายในท้องแม่ ไม่ยอมออก หลวงพ่อวงศ์ท่านก็ให้แม่เด็ก กลืนสายสิญญ์และกินน้ำมนต์ตามเข้าไป ไม่นานหญิงคนนั้นก็ปวดท้อง สักพักเด็กไหลพรวดออกมา โดยมีสายสิญคล้องติดคอออกมาด้วย เป็นที่อัศจรรย์ หลวงพ่อวงศ์ ท่านเป็นหนึ่งในครูบาอาจารย์ที่มานั่งปรกปลุกเสก เหรียญหล่อหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ วิเศษชัยชาญ เมื่อปี 2482. ซึ่งองค์หลวงปู่เล็กก็ได้รับถ่ายทอดสรรพวิชาจากหลวงพ่อวงศ์มาด้วย
    หลวงปู่เล็ก ก่อนที่ท่านจะมาจำพรรษาที่อ่างทอง ครั้งแรกๆท่านจำพรรษาที่วัดหน้าโคก ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่างอำเภอผักไห่ และอำเภอวิเศษชัยชาญ โดยการส่งตัวมาของคณะสงฆ์ เพื่อให้มาตรวจการสอดแนม วัดน้ำพุ ซึ่งสมัยนั้น หลวงปู่เต่า วัดน้ำพุท่านโด่งดังมากด้านการรักษาโรค ถอนคุณกระทำ วันหนึ่งๆมีคนมาขอให้หลวบพ่อเต่ารักษาเรือนพัน ทางการจึงเพ่งเล็งเกรงว่าจะเกิดการก่อตัวของกลุ่มคน อาจก่อการกบฏต่อราชอาณาจักร หรือเกิดลัทธิขึ้น ซึ่งสมัยนั้นทางการระมัดระวังเรื่องนี้มาก แต่ทว่าจากการสอดแนม หลวงปู่เล็ก ท่านมาเจอของจริง โดยสารพัดโรคที่มาพึ่งบารมีหลวงพ่อเต่า ที่โดนคุณไสย เป็นฝี และเป็นโรคภัยอันหาสาเหตุไม่ได้ วันหนึ่งๆมีผู้คนมารับการรักษาฟรีจากหลวงพ่อโดยท่านจะตั้งกระบุงไว้หนึ่งลูก ใครจะทำบุญก็ทำไม่ทำท่านก็ไม่ว่า ในแต่ละวันคนนับร้อยครับ บางวันเรือนพัน ท่านอ่านไม่ผิดน่ะครับ บางวันนับพันคน งานวัดย่อยๆเลยทีเดียว และหลวงพ่อท่านมิได้รักษาทีละคนนะครับ ท่านรักษาทีละหนึ่งศาลา คนเต็มศาลา เข้ามาในวงสายสิญหลวงพ่อ ใครถูกของคุณไสยทุกชนิด อาเจียนออกหมด รักษาฝีที่ว่าเป็นแล้วตาย ท่านรักษาหายขาด ท่านสามารถกำหนดวันแตกของฝีได้มิมีพลาด และทำการรักษาอย่างชำนาญมาก ในการรักษาคนแต่ละครั้งหลวงพ่อท่านจะขึ้นนั่งธรรมมาสห่มครองผ้าเรียบร้อย และใช้นิ้วชี้ของท่านวนที่กระดานในการรักษา เรียกว่า วิชานิ้วเพชร หรือวิชาเรียกโรค วิชากระจายโรค คนเป็นอัมพาต ท่านก็รักษาหายด้วยยา กล้วยเสกและอาคมท่าน คนถูกคุณไสยพอเข้ามาในวงสายสิญท่านถึงกับต้องอาเจียนออกมาทันที วิชานิ้วเพชรนี้ หลวงพ่อท่านได้รับถ่ายทอดจากหลวงพ่อภักดิ์ วัดโบสถ์สุดยอดปรมาจารย์แห่งแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ชาวบ้านวัดน้ำพุ ทราบกันดีว่านิ้วชี้หลวงพ่อนั้นศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะเมื่อมีเรื่องเดือดร้อนอะไรไปหาหลวงพ่อท่านจะใช้นิ้วชี้ท่าน วนที่กระดานที่ท่านนั่ง อาการหรือโรคต่างๆเหล่านั้นที่ปากฏอาการหายไปทันที แม้แต่จอมพลผิน ชุณหะวัณ ท่านเคยนิมนต์หลวงพ่อเต่าไปรักษาฝีภรรยาท่านจนหายขาดและถวายเรือยนต์ไว้หนึ่งลำ หลวงปู่เล็กท่านจึงเข้าฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงพ่อเต่าวัดน้ำพุตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และวัดน้ำพุนี้เองหลวงปู่เล็กท่านได้อยู่ร่ำเรียนวิชานานที่สุด หลวงปู่เล็กได้ถ่ายทอดสรรพวิทยามาอย่างครบถ้วน และท่านก็ทำได้แทนหลวงพ่อเต่าได้ แต่หลวงปู่ท่านไม่ค่อยทำให้ใคร เหตุเพราะท่านไม่ชอบวุ่นวายนั่นเอง
    หลวงปู่เล็กนอกจากจะเรียนกับหลวงพ่อเต่าแล้ว ยัง เรียนสรรพวิชาต่าวๆจากหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน ซึ่งหลวงพ่อนุ่ม ท่านมีชื่อเสียงด้านการสร้างเบี้ยแก้ การรักษาโรค ทำน้ำมนต์ การลบผงมหาราช หลวงปู่ได้ไปมาหาสู่วัดนางในเป็นเวลานานตั้งแต่ครั้งหลวงพ่อนุ่ม จนมาถึงหลวงพ่อชม และ จนมาถึงยุค ปัจจุบัน ท่านจะมาที่วัดนางในเป็นประจำ แต่หลังจากท่านชราภาพ และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ท่านจึงไม่ได้มาที่วัดนางในอีก. นอกจากหลวงพ่อนุ่ม. วัดนางใน. พระอาจารย์องค์สำคัญของหลวงปู่อีกรูปหนึ่ง คือ หลวงพ่อคำ. วัดโพธิ์ปล้ำ ซึ่งหลวงปู่ จะเข้าไปเรียนสรรพวิชาต่างๆในช่วงมืดๆของทุกวัน. ในสมัยก่อน คนที่วัดจะทราบว่าหลวงปู่จะกลับวัดดึกๆ สรรพวิชาต่างๆของหลวงพ่อคำนั้น หลวงปู่ได้รับถ่ายทอดมาอย่างไม่ต้องสงสัย
    เรื่องราวที่ท่านรู้เหตุการล่วงหน้า รู้วาระจิต วาจาสิทธิ์ เรื่องนี้ถึงผมไม่เขียน คนบ้านทำนบก็ทราบกันดี เพราะเจอกันมามาก นึกอะไรจะพูดอะไร ท่านดักทางจนพูดกันไม่ออก หลวงปู่เล็กท่านเป็นพระที่ดุ คนทำนบยำเกรงท่านมากๆ เกรงบารมีหลวงปู่กันตั้งแต่รุ่นชวด ยันรุ่นหลาน ไม่ค่อยมีใครกล้าไปวุ่นวายกับท่านมากนัก เรื่องรู้เหตุการล่วงหน้านี้เจอกันมาเยอะ ถ้าไม่เชื่อผม ก็ลองไปถามคนทำนบดูเอาเองครับ บ้านไหนก็ได้ คนไหนก็ได้ แต่ผมจะยกตัวอย่างสักเรื่อง คือ มีครั้งหนึ่งศิษย์แถวตลิ่งชัน ได้สร้างพระเพื่อแจกฟรี ไปขอเมตตาหลวงปู่เล็กท่านเสกให้ ก่อนออกจากบ้านจุดธูปบอกกล่าวท่านก่อนว่าจะขอบารมีหลวงพ่อปลุกเสกพระขอให้หลวงพ่อเมตตา ขับรถมาสักพัก พอมาถึงวัดทำนบ กรรมการวัดท่านหนึ่งออกมายืนรอโบกรถ ให้เข้าจอดและบอกว่า หลวงพ่อท่านรออยู่ คณะที่ไปมองหน้ากันแบบงงๆ แต่ก้อมยิ้ม เพราะมาไม่ผิดที่แน่แล้วแบบนี้ พอเข้าไปถึงหลวงปู่ท่านนั่งห่มผ้าเรียบร้อย รออยู่แล้ว พอคณะบอกกล่าวท่านว่าจะเอาพระมาเสกท่านก็ให้วางไว้ห่างจากท่านน่าจะเมตรกว่า หลวงปู่ก็ไม่ได้หยิบกล่อง จับกล่องหรือแม้แต่โยงสายสิญแต่อย่างใด ท่านนั่งเทศน์ไปคุยไปเรื่องการรดน้ำมนต์ การทำน้ำมนต์ ตาก้มองกล่องไปเป็นพักๆ สักประมาณครึ่งชั่วโมง ท่านก้ขอเหรียญมาดูหนึ่งเหรียญ ท่านพิจารณาสักพัก ท่านก็ให้เก็บใส่ถุงไปตามเดิม คนที่หยิบใส่ถุงคิดในใจว่าจะเอาเหรียญที่หลวงปู่จับนี้วางไว้ปากถุง ได้หยิบง่ายๆ คือว่าจะเอาไว้เอง พอคิดเท่านั้นหลวงปู่ท่านพูดขึ้นมาทันทีว่า ใส่ไปไว้ลึกๆ แล้วคนๆให้ทั่วๆ สรุปว่าแห้วไปคราวนั้น เหตุการณ์แบบนี้มิได้เกิดขึ้นกับคณะนี้เพียงครั้งเดียวนะครับ หลายๆคณะเจอกันมามาก ใครไม่เจอเองไม่รู้ เรื่องนี้คนยืนยันหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น อีกเรื่องหนึ่ง มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้เอารูปหลวงปู่ไปบูชาบนหิ้ง และตั้งกระถางธูปจุดธูปบูชาทุกวัน จนครั้งหนึ่งมากราบหลวงปู่ หลวงปู่ท่านทักว่า เวลาบูชาไม่ต้องจุดธูปหน้ารูป ท่านแสบตา และท่านยังไม่ตาย พี่ชายคนนั้นถึงกับอึ้งไปครู่หหนึ่งเลยทีเดียว อีกเรื่องเกิดขึ้นที่งานวัดนางใน พี่ชายท่านนี้ชื่อหนุ่มอยู่ที่ปทุมธานี เมื่อก่อนไม่เคยรู้จักหลวงปู่เล็กมาก่อน พี่หนุ่มเล่าให้ผมฟังเองเรื่องมีอยู่ว่า พี่หนุ่มมางานประจำปีวัดนางใน วันนั้นพี่หนุ่มนั่งอยู่ในเต็นท์ กับแขกอีกจำนนวนมาก สักพักก็มีพระหลายรูปเดินมาเพื่อที่จะขึ้นไปสวดมนต์บนวัดนางใน พี่หนุ่มไปสะดุดตาพระอยู่รูปหนึ่ง ท่านเดินเอาร่มทำเป็นไม้เท้าค้ำยันเดินมา อายุท่านมากชราภาพแล้ว เดินมารูปเดียว พี่หนุ่มก็นึกในใจว่า หลวงตาวัดไหนเดินมาแก่มากแล้วยังมางาน และพี่หนุ่มก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก พักเดียว ระหว่างที่พี่หนุ่มนั่งเพลินๆหลวงตารูปนั้นเดินมาหา และเอามือตบเข่าพี่หนุ่ม และท่านพูดว่า "อ่าว ว่ายังไงล่ะไอ้หนุ่ม" พี่หนุ่มอึ้ง เพราะว่าครั้งแรกพี่หนุ่มแค่มองและคิดในใจเท่านั้น ไม่นึกว่าท่านจะเดินเข้ามาหา และเรียกชื่อได้ถูกต้อง ทั้งๆที่ตอนพี่หนุ่มมองดูท่าน พี่หนุ่มอยู่ในกลุ่มคนจำนวนมาก และไม่มีทางที่ท่านจะทราบได้แน่นอน พี่หนุ่มจึงตามหาพระรูปนั้นว่าท่านอยู่วัดไหน ภายหลังจึงทราบว่าท่านอยู่วัดทำนบ ชื่อ หลวงปู่เล็ก หลังจากนั้นพี่หนุมจึงไปมาวัดทำนบเป็นว่าเล่น เข้ากราบทำบุญ เป็นประจำ พี่หนุ่มนั้นมีความเคารพในองค์หลวงปู่เล็กอย่างมาก หลังจากพบเจอจังๆในเหตุการณ์ครั้ง ประชาชนชาววิเศษชัยชาญ ชาววัดทำนบ และชาวอ่างทอง ทราบกันดีว่าหลวงปู่ท่านเป็นพระผู้มีศีลาจารวัตรที่งดงาม เคร่งครัดพระธรรมวินัย ประกอบกับวิทยาคมของท่านก็มิได้เป็นรองผู้ใด หลวงปู่ท่านเคยกล่าวกับชาวบ้านทำนบท่านหนึ่งว่า "ของๆกูไม่ใช่ของโหล แบกะดิน"
    การเสกพระของหลวงปู่ในแต่ละครั้ง
    เรื่องการเสกพระของหลวงปู่ ถ้าใครที่เคยไปกราบท่าน ไปขอท่านเสกพระที่วัดทำนบสมัยท่านยังแข็งแรง คงทราบดีว่าหลวงปู่เสกพระโดยไม่เคยจับสายสิญ บางคนเอาพระมาเสก เข้ามากราบท่าน ท่านทราบเจตนาท่านก็เสกให้ตั้งแต่คลานเข่าเข้ามาแล้ว อันนี้เจอกันมาหลายราย ลองไปถามคนทำนบดูเอง บางครั้งเอาพระไปเสก ท่านขอดูเหรียยเดียว กล่องที่ใส่พระไม่ต้องเอาเข้ามาไกล้ๆท่าน ท่านเสกเหรียยเดียว และเอาเหรียญที่เสกไปไว้รวมกัน ท่านบอกใช้ได้เหมือนกันหมด อย่างที่ผมบอก และเคยกล่าวไว้ ว่าท่านสำเร็จวิชา นะปัดตลอด ผมเองไม่ทราบว่าหลวงปู่ท่านถึงระดับไหนเพราะผมไม่กล้าเดา แต่ครุบาอาจารย์ผม ท่านบอกว่า ที่ท่านเสกแบบนี้ เป้นความชำนาญเฉพาะของท่าน และท่านใช้นะปัดตลอดในการเสก บางท่านไม่เข้าใจ ก็ขอให้เข้าใจตามนี้ สำหรับคนที่เคยไปกราบหลวงปู่คงเข้าใจดีอยู่แล้ว
    หมอผีแขกต้องหนี
    เรื่องนี้เกิดเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ที่วัดทำนบ สมัยนั้นมีหมอผีแขกมาตั้งรกรากอยู่บริเวณนั้นแต่เป็นหมอคุณกระทำ ครั้งหนึ่งมีผู้หญิงพาลุกสาวมาขอความช่วยเหลือกับหลวงปู่ เนื่องจากถูกคุณกระทำ และมีวิญญาณแฝง ทำให้ทุรนทุราย อยู่ไม่ได้ต้องพามาหาหลวงปู่ พอมาพบหลวงปู่ หลวงปู่มองเห็นก็ทราบว่าถูกคุณผีแฝงมา ท่านพูดลอยๆเหมือนสั่งใครสักคนบริเวณนั้นให้เอาวิญญาณที่แฝงออกมาและให้เอาไปไว้ที่เมรุ ท่านสั่งสักพักอาการของผู้หยิงคนนั้นก็สงบลง หลวงปู่ท่านทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ เมื่อเป็นดังนั้นสักครู่หลวงปู่ท่านก้นั่งกำหนดจิตนิ่งๆสักพักหนึ่ง หมอแขกวิ่งทุรนทุรายออกมาจากบ้านถอดเสื้อถอดแสงออกมานอนกลางสนามหญ้าหน้าวัด นับตั้งแต่นั้น หมอผีคนนี้ก็ย้ายรกรากจากวัดทำนบ มาอยู่บริเวณตลาดวิเศษฯแทน และก็มารับจ้างทำเสน่ห์ ลงทอง ตอนหลังถูกยิงเสียชีวิต
    เรื่องราวปฏิปทาของหลวงปู่ยังมีอีกมากมายหลายเหตุการ เช่น ล๊อกเก๊ตไม่ไหม้ไฟ ข้ามน้ำไม่ต้องใช้เรือ เรื่องข้ามน้ำนี้มีพยานหลายคนที่ยังมีชีวิตผม ขอเรียบเรียงไว้พพอสังเขปตามเนื้อที่ที่มีจำกัดเพียงเท่านี้ ติดตามต่อใน ชมรมคนรักหลวงปู่เล็กทำนบ ครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    (ปิดรายการ)
    IMG_20240821_001354.jpg IMG_20240821_001326.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2024
  10. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,965
    ค่าพลัง:
    +6,875
    -ขอจองครับ
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้จัดส่ง
    1724231729683.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    lp-pang-002.jpg

    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขตปี ๒๕๑๘เก่าเดิม คราบปลวก
    หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต จังหวัดขอนแก่น นามเดิมของท่านชื่อ ผาง ครองยุต เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2445 จังหวัดอุบลราชธานี
    ภาย หลังอุปสมบทแล้ว หลวงปู่ผางได้เข้าศึกษาอบรมพระกรรมฐานอยู่ในสำนักวัดป่าวารินชำราบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี กับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม อาจารย์ใหญ่สายกรรมฐาน เป็นเวลาอันสมควร แล้วจึงได้ออกปฏิบัติพระธุดงค์กรรมฐานไปปลีกวิเวกโดยลำพัง ต่อมาจึงได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เกิดความเลื่อมใสศรัทธาได้กราบฝากตัวเป็นลูกศิษย์ และได้เข้าอบรมอยู่กับพระอาจารย์มั่น พร้อมทั้งได้รับการถ่ายทอดวิชาสายกรรมฐานจนพลังจิตแกร่งกล้า สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ภายหน้าได้ ครั้งหนึ่งขณะท่านธุดงค์อยู่ในป่า สิงห์สาราสัตว์ดุร้ายยังอยู่ในโอวาทของท่าน ต่างสยบหมอบแทบเท้าราวดังสัตว์เลี้ยงแสนเชื่อง จนเป็นที่เลื่องลือในบรรดาศิษยานุศิษย์
    ใน ปี พ.ศ. 2492 หลวงปู่ผางได้ธุดงค์มายังวัดอุดมคงคาคีรีเขต ตำบลบ้านโคก อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ท่านอยู่จำพรรษาที่นี่จนตลอดชีวิตของท่าน
    วัตถุ มงคลที่ท่านสร้างไว้มีมากมายหลายรุ่น แต่เซียนพระมักจะนิยมเพียงเหรียญรุ่นแรกของท่าน ซึ่งสร้างไว้ในปี 12 ส่วนรุ่นอื่น ๆ ราคายังไม่แรงมากนัก แต่ผู้ทีได้ใช้บอกว่าพุทธคุณเยี่ยม ไม่ต่างอะไรจากรุ่นแรก
    พระผงรุ่นนี้อาจารย์ฝั้น อาจารโร พร้อมทั้งศิษย์สายกรรมฐานร่วมปลุกเสกด้วย

    get_auc1_img (19).jpeg
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240821_134553.jpg IMG_20240821_134510.jpg
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1724225430301.jpg

    เหรียญรุ่นสร้างโบสถ์.. หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง เนื้อทองแดง ออกวัดสันติสังฆาราม สกลนคร ปี 2520
    หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร” อริยสงฆ์ที่หลวงปู่มั่นทำนายไว้ว่า “ท่านสิมเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ เบ่งบานเมื่อใด จะหอมกว่าหมู่
    เรื่องบังเอิญของเหรียญหลวงปู่สิม
    August 8, 2017 Ampol Jane หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    ที่จริงเคยเล่าเรื่องต่อไปนี้มาไม่น้อยกว่า ๑ ครั้ง แต่จำไม่ได้ว่าเล่าไว้ที่ไหน
    ประมาณปี ๒๕๒๒ ..กำลังทำงานอยู่ประจำกองบก.นิตยสารแปลกกับนิตยสารมหัศจรรย์ รายสัปดาห์
    ยังไม่สนใจเรื่องพระเรื่องเจ้า
    มัวแต่กินเหล้าเมาเฮ
    เตร็ดเตร่ไปเรื่อยเปือย
    หาแก่นสารอะไรไม่ได้
    วันหนึ่ง..เจ้าปุ๊ (อธิษฐาน) นักเขียนการ์ตูนรุ่นน้อง (จำนามปากกาของเขาไม่ได้) มาเยี่ยมที่สำนักงาน มารื้อๆค้นๆกล่องใส่พระ.. และขอเหรียญพระอะไรจำไม่ได้ไป ๑ องค์
    แล้วก็ล้วงกระเป๋าเสื้อเอาเหรียญหลวงปู่สิมรุ่นตามรูปประกอบมาให้ ๑ เหรียญ.. บอกว่าแลกกัน
    ผมก็เก็บเหรียญหลวงปู่สิมที่เจ้าปุ๊เอามาให้ไว้ในกระป๋อง.. ไม่ได้สนใจ ..อยู่หลายปี
    ต่อมาจึงเริ่มสนใจพระ และเริ่มรู้จักว่าหลวงปู่สิมเป็นพระสายไหนเป็นลูกศิษย์ของใคร ..จึงเกิดศรัทธา ..ถึงกับเดินทางขึ้นล่อง กทม.-เชียงใหม่เพื่อไปกราบไปไหว้ท่านที่ถ้ำปล่องแทบทุกเดือน ..อย่างน้อยก็เดือนละครั้ง
    เผอิญเวลานั้นมีเพื่อนหญิงคนหนึ่งสนใจเรื่องหลวงปู่สิม จึงได้ให้เหรียญดังกล่าวนี้แก่เพื่อนหญิงคนนั้นไป โดยเอาเหรียญใส่ตลับเงิน และให้หล่อนใช้เข็มกลัดๆไว้กับเสื้อชั้นใน
    ภายหลังหล่อนอยากได้สร้อยเงิน จะเอามาแขวนเหรียญนี้แทนการใช้เข็มกลัด กัดฟันพาไปหาซื้อสร้อยเงินที่ท่าพระจันทร์ ทั้งๆที่ตอนนั้นสตังค์ยังไม่ค่อยจะมี
    ระหว่างที่กำลังเลือกสร้อยเงิน บอกให้หล่อนเอาเหรียญออกมาเตรียมไว้ หล่อนพลาดท่ายังไงไม่ทราบ ทำเหรียญหลุดมือ เหรียญหล่นปุกลงไปในรูฝาท่อระบายน้ำพอดีเลย
    นึกในใจว่าเวรแล้ว เหรียญจมน้ำครำดำๆเหม็นๆ จะทำไงดี
    พองัดฝาท่อขึ้นมา ..ปรากฏว่าเป็นท่อแห้งไม่มีน้ำสักหยด
    เห็นเหรียญที่หล่นลงไปนั้น..วางทับอยู่บนสร้อยเงินเส้นหนึ่ง
    ตกลงวันนั้นก็เลยโชคดี ไม่ต้องเสียเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยซื้อสร้อยเงิน …เพราะว่าได้สร้อยเงินของใครก็ไม่รู้ทำหล่นไว้ในท่อระบายน้ำพอดี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ จาก เวปอำพล เจน
    เหรียญหลวงปู่สิมหลังพระปิดตา
    เหรียญรุ่นสร้างโบสถ์.. หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง เนื้อทองแดง ออกวัดสันติสังฆาราม สกลนคร ปี ๒๕๒๐
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240821_133607.jpg IMG_20240821_133713.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1724248187231.jpg

    พระสมเด็จเจ้าคุณเที่ยง วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ เนื้อดินหายากพบเจอน้อย สร้างราวปี ๒๕๐๗
    เนื้อดินที่นำมา สร้างนี้ ได้นำมาจากดินที่ใช้ปั้นหล่อหุ่นรูปหล่อสมเด็จโตที่อยู่ในวัดระฆังและก็นำมาผสมกับ ผงเก่าสมเด็จโต วัดระฆัง
    สมเด็จปิลันณ์ ผงเก่าหลวงปู่นาคหลวงปู่หิน สร้างตามตำราวัดระฆัง จัดว่าเป็นพระดีปีลึกหน้าบูชาครับ หลวงปู่นาคกับหลวงปู่หินก็ได้มาร่วมปลุกเสกด้วย
    พระสมเด็จ เจ้าคุณเที่ยง วัดระฆัง หลังตราคณะ ๔ ออกปี ๒๕๐๗ ผสมผงเก่า "ผง วิเศษ" (เช่น ผงอิทธิเจ ผงปัถมัง ผงมหาราช และผงวิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ฯลฯ เป็นต้น) ที่ได้รวบรวมมาจากพระเกจิคณาจารย์ดังๆ ในสมัยนั้น ทั่วฟ้าเมืองไทย
    "เกสรดอกไม้แห้ง" ที่นำมาจากวัดทั่วประเทศไทย
    "ผงปูน" ที่ได้มาจากการกระเทาะจากพระอุโบสถวัดระฆัง
    "พระสมเด็จวัดระฆัง" กรุเก่า
    "พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม" กรุเก่า
    "สมเด็จพระปิลัทน์" ที่ชำรุดแตกหัก
    "พระกรุต่างๆ" ที่แตกหักอีกมากมาย เช่น พระกรุวัดสามปลื้ม ฯลฯ
    พิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดระฆังโฆสิตาราม โดย พระเกจิอาจารย์สายวัดระฆัง
    หลวงปู่นาค
    หลวงปู่หิน
    เจ้าคุณเที่ยง
    และเกจิอาจารย์ชื่อดังในยุคที่มาร่วมพิธีอีกหลายท่าน โดยวัตถุประสงหลัก คือ สร้างเพื่อ แจกให้กับลูกเสือชาวบ้านในยุคนั้น เรื่องประสบการณ์ แคล้วคลาด เมตตามหานิยม โชคลาภ ฯลฯ ไม่ด้อยกว่าสมเด็จวัดระฆังรุ่นใดๆ
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จปรกโพธิ์เจ้าคุณเที่ยงวัดระฆัง
    บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    (ปิดรายการ)

    IMG_20240821_133753.jpg IMG_20240821_133817.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2024
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1724251049241.jpg

    เหรียญพ่อท่านคลิ้งวัดถลุงทอง ออกวัดอินทราม อยุธยา ปี ๒๕๒๑
    ประวัติพ่อท่านคลิ้ง
    พ่อท่านคลิ้ง เดิมชื่อ คลิ้ง นามสกุล ฉิมแป้น เป็นบุตร นายแก้ว และ นางทุ่ม ฉิมแป้น เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๙ ขึ้น ๑๐ ค่ำปีจอ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๒๙ ที่บ้านหมู่ที่ ๑ ตำบลหินตก อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช หมู่บ้านที่พ่อท่านเกิดชื่อหมู่บ้านถลุงทอง เป็นบุตรโทน คนเดียวของพ่อ-แม่ ซึ่งมีอาชีพทำนาทำสวน
    ครั้นเจริญวัยอายุได้พอสมควร บิดาได้สอนหนังสือไทยให้ ปรากฏว่า เรื่องราวใดๆ ก็ตามที่บิดาสอนให้ก็สามารถจดจำได้ ครบถ้วน การเขียน การอ่านเป็นไปอย่างรวดเร็ว เฉลียวฉลาดผิดปกติเด็กธรรมดาบิดาถ่ายทอดความรู้ภาษาไทยให้เพียงปีเดียวก็หมดสิ้นความรู้ที่มีอยู่ ปรากฏว่าพ่อท่านอ่านออกเขียนได้สิ้น บิดาเห็นเช่นนั้นจึงอยากจะให้บุตรคนเดียวของตนมีความรู้มากขึ้น ครั้นจะเอาไปเรียนที่ใดก็ไม่เห็นลู่ทาง จึงได้นำไปปรึกษากับ พระอาจารย์ขำวัดถลุงทอง
    พระอาจารย์ขำ เห็นหน่วยก้านดีมีลักษณะเป็นคนมีบุญ จึงได้รับไว้ให้ศึกษาเล่าเรียนด้วย ขณะศึกษาอยู่กับพระอาจารย์ขำ ก็ขยันขันแข็งในการเล่าเรียน ครั้นกลับบ้านก็ช่วยบิดามารดาทำงานทางบ้านทุกสิ่งสรรพเป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่ และผู้พบเห็นทั่วไป ไม่ผิดหวังกับพ่อแม่ที่มีลูกโทนเพียงคนเดียว
    อายุได้ ๑๗ ปี พ่อท่านเป็นกำลังแข็งขันช่วยกิจการงานทางบ้านได้คล่องแคล่วพอจะแทนบิดามารดาได้ ก็พอดีมารดาถึงแก่กรรมยังเศร้าโศกเสียใจให้กับบิดาและตัวท่านเองมาก ด้วยความกตเวทิตาคุณมารดาและด้วยการส่งเสริมจากบิดา พ่อท่านจึงบวชเป็นสามเณร ตั้งแต่บัดนั้น คือ ปี พ.ศ.๒๔๔๖ โดยพระอาจารย์ขำนำไปบวชเป็นสามเณรให้ที่วัดป่าตอ (ขณะนั้น วัดถลุงทอง ยังไม่มีวิสุงสีมา) โดยนิมนต์เอา เจ้าคุณศรีธรรมราชมุณี วัดหน้าพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช มาบวชให้ นับเป็นนิมิตอันดีเมื่อท่านเจ้าคุณเห็นสามเณรคลิ้งขณะนั้นเข้า ก็ถึงกับกล่าวชมว่ามี ลักษณะบุคลิกดี เป็นผู้มีบุญวาสนา จะสืบอายุพระศาสนาต่อไป และจะสำเร็จกิจ
    ในทางธรรมสูงสุดในภายภาคหน้า เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้วก็กลับมาอยู่ยังวัดถลุงทอง ศึกษาอัขระขอมสูตรเลขยันต์ เวทมนต์คาถา วิชาแพทย์แผนโบราณ และโหราศาสตร์ กับ พระอุปัชฌาย์ขำ (ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ขณะที่บวชสามเณรคลิ้ง) ขณะเป็นสามเณรก็รับใช้พระอาจารย์ทุกสิ่งทุกอย่างจนเป็นที่รักใคร่ของพระอุปัชฌาย์ขำเป็นอย่างยิ่ง มีวิชาอันใดก็สั่งสอนให้ไม่ปิดบังหวงแหน
    เมื่อวัยครบจะอุปสมบทเป็นภิกษุได้ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ บิดาจึงได้ขอร้องให้พ่อท่านอุปสมบทต่อไป ด้วยความเต็มใจของพ่อท่านอยู่แล้วพระอุปัชฌาย์ขำ จึงได้พาสามเณรคลิ้งเดินทางไปอุปสมบทให้ ณ พัทธสีมา วัดป่าตอโดยมีพระอุปัชฌาย์ขำ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเอียด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ฉายาว่า “จนทสิร” เมื่ออุปสมบทแล้วก็กลับมาจำพรรษายังวัดถลุงทอง ขยันหมั่นเพียรท่องบ่นมนต์คาถาเป็นประจำเพียงพรรษาได้ไม่มากก็ท่องสวดปาฎิโมกข์และบทสวดมนต์ได้เจนจบสิ้น ไม่ว่าจะเป็นบทใดในคัมภีร์ พ่อท่านค้นเอามาท่องจำได้หมด เป็นที่ชื่นชอบของพระอุปัชฌาย์ขำมาก ต่อมาพระอุปัชฌาย์ขำได้ถ่ายทอดวิชาที่มีอยู่ทั้งหมดให้ก็สามารถศึกษา ได้เจนจบ ต้องถึงกับมอบตำราของ หลวงพ่ออยู่ ซึ่งนำมาจากกรุงศรีอยุธยาจำนวนหลายสิบเล่มให้พ่อท่าน พ่อท่านก็ศึกษาจนทะลุปรุโปร่ง พระอุปัชฌาย์เห็นคล่องแคล่วในวิชาการดีแล้วจึงสอนปฎิบัติปัสสนาธุระให้ พ่อท่านก็ปฎิบัติได้สมปรารถนาของอาจารย์อย่างรวดเร็ว เป็นเหตุอัศจรรย์ใจยิ่ง
    ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ พระอุปัชฌาย์ขำได้มรณภาพลง ก่อนมรณภาพก็ได้สั่งเสีย พ่อท่านคลิ้งขอให้สืบตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดถลุงทองต่อ และฝึกฝนญาณสมาธิให้แก่กล้าเพื่อความหลุดพ้นในขั้นต่อไป อย่าได้ทิ้งเสีย พ่อท่านก็รับคำพระอาจารย์ทั้งสิ้น
    ความกตเวทิตาคุณในอาจารย์อันยิ่งใหญ่ พ่อท่านจึงได้ตั้งใจว่าจะสร้างศาลาโรงธรรมขนาดใหญ่เพื่อตั้งศพอาจารย์ให้สมเกียรติ จึงได้ประชุมชาวบ้านญาติโยมให้ช่วยกันสร้างกุศล เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้าของพ่อท่าน โรงธรรมขนาดกว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๓๕ เมตร ก็สำเร็จลุล่วงลง ชาวบ้านเห็นความดีของท่านที่มีความตั้งใจแสดงกตเวทิตาอาจารย์แรงกล้าเช่นนั้นจึงพร้อมใจกันนิมนต์ พ่อท่านให้เป็นเจ้าอาวาสสืบมาเป็นที่รักใคร่นับถือของชาวบ้าน เป็นที่พักพิงอาศัยในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บขจัดทุกข์โศก และอบรมสั่งสอนให้ลูกศิษย์และชาวบ้านตั้งอยู่ในคุณงามความดี
    พ่อท่านคลิ้ง นับว่าเป็นพระเถระที่น่ากราบไหว้ ท่านบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ในศีลาจารวัตร ปฏิบัติแต่วิปัสสนาธุระ บำเพ็ญเพียรทางใจทรงไว้ด้วยญาณสมาธิอย่างแก่กล้า ท่านมักจะพูดน้อย และดำรงตนอยู่อย่างสมถะมักน้อย ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างมีเมตตาธรรม เป็นที่รักใคร่แก่ทุกคนที่พบเห็น ท่านมีเมตตาอยู่ในตนเองอย่างประหลาด ท่านจะสวดมนต์อยู่เสมอในเวลาว่าง และปฏิบัติวิปัสสนาเป็นประจำในยามราตรีอันวิเวก ฉันอาหารเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน แต่ร่างกายท่านสมบูรณ์ ใบหน้าแดงผ่องผุดเต็มไปด้วยบุญญาราศี กล่าวกันว่าท่านปกครองพระในวัดด้วยสายตา เพียงแต่มองเท่านั้น ก็ทราบว่าท่านตำหนิหรือชมเชย และสิ่งสำคัญคือ วาจาของท่าน “ศักดิ์สิทธิ์” และเป็นไปได้ทุกประการตามคำทุกคำของท่านที่ได้กล่าวออกไป พ่อท่านคลิ้งมีความสนิทและชอบพอกันดีกับ พ่อท่านคล้าย และพ่อท่านคล้ายมักจะ
    กล่าวยกย่องท่านอยู่เสมอในบรรดาลูกศิษย์เป็นที่ทราบกันดีในระหว่างลูกศิษย์ใกล้ชิด ระหว่าง พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน กับ พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง
    เมื่อพ่อท่านคลิ้งกับพ่อท่านคล้ายพบปะกันท่านมักจะดีใจยิ้มแย้มเข้าหากัน และสนทนากันเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ถึงการปฏิบัติธรรมของกันและกันอย่างสนิทสนม เถราจารย์อันแก่กล้าสององค์นี้มีความเหมือนกันเป็นประจักษ์ใน ความศักดิ์สิทธิ์ของวาจา พ่อท่านคล้ายมีความเชื่อมั่นในตัวพ่อท่านคลิ้งมาก ถึงกับเคยพากฐินไปทอดที่วัดถลุงทองถึงสองครั้งด้วยกัน
    เมื่อครั้งที่อาจารย์นำ วัดดอนศาลา พัทลุง ยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยพูดถึง พ่อท่านคลิ้ง เสมอ และให้นิมนต์ไปร่วมปลุกเสกมงคลวัตถุชิ้นสุดท้าย คือรูปเหมือนและกริ่งทักษิณชินวโรด้วย อาจารย์นำเคยกล่าวกับ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคคลว่า
    “หากสิ้นบุญฉันแล้ว มีกิจอันใดที่สำคัญก็จงไปหาพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง ร่อนพิบูลย์นครศรีฯเถิด ท่านเก่งและแก่กล้าทางญาณสมาธิมาก”
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญพ่อท่านคลิ้งวัดถลุงทอง ออกวัดอินทราม อยุธยาปี ๒๕๒๑
    ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240821_213201.jpg IMG_20240821_213236.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1724333257417.jpg
    เหรียญพระแก้วมรกต รุ่นบุรณะฉัตร พ.ศ.2531 วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ประกอบพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ โดยใช้มวลสาร ยอดฉัตร ณ วัดพระแก้วมา ผสมมวลสาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงพระมหากรุณาธิคุณเสด็จมาประกอบพิธีพุทธาภิเษกด้วยพระองค์เอง และมีพระเกจิอาจารย์เก่งๆในขณะนั้นร่วมปลุกเสกหลายองค์ อาทิ หลวงปู่ดู่(ปลุกเสกในครั้งนี้เเล้วท่านยังได้รับเชิญให้ปลุกเสกเหรียญกรมหลวงชุมพรฯ วัดราชบพิธฯ กรุงเทพฯ ปี 2531อีกด้วย ) หลวงพ่อแพ ฯลฯ เนื้อทองคำเนื้อเงิน เเละเนื้อทองเหลือง
    บทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240822_202830.jpg IMG_20240822_202852.jpg
     
  17. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,965
    ค่าพลัง:
    +6,875
    ขอจองครับ
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1724342217082.jpg
    เหรียญหลวงพ่อมหาอาคมและพระผงรูปเหมือน
    พระครูอนุรักษ์วาปีพิสัย หลวงพ่อมหาอาคม อินฺทสโร
    วัดดาวนิมิต บึงสามพัน เพชรบูรณ์
    #ชาติภูมิ
    ชื่อเดิม : ชื่อ อาคม ตระกูล ประทุมทอง
    บ้านเกิด : วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2467 ณ บ้านโนนแดง หมู่ที่ 20 ต.ลำชี อ.กมลาพิไสย จ.กาฬสินธุ์
    ท่านเป็นบุตรโทนของนายเคน และนางแดง(เสียชีวิตแล้วทั้งสองท่าน)
    #อุปสมบท : ปี พ.ศ.2487 ณ วัดบ้านโนนแดง(วัดบ้านเกิด)โดย พระสารคามมุณี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา “อินทสโร”
    #สมณศักดิ์
    พ.ศ.2494 เป็นเจ้าอาวาสวัดบุ้งน้ำเต้า และเจ้าคณะตำบลบุ้งน้ำเต้า อ.หล่มสัก
    พ.ศ.2519 เป็นเจ้าอาวาสวัดราหุล อ.บึงสามพัน และได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ.2525 เป็นพระครูสัญญาบัตรพัดยศ ชั้นโท ที่ “พระครูอนุรักษ์วาปีพิสัย” และ เจ้าคณะอำเภอบึงสามพัน พร้อมทั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดดาวนิมิต
    พ.ศ.2530 เป็นเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
    เรื่องราวของ “หลวงพ่อมหาอาคม อินทสโร” พระผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “อาคมขลังเมืองมะขามหวาน” หากจะว่ากันให้ละเอียดแล้ว 2 ฉบับ ก็ไม่หมดเนื้อหา ดังนั้นต้องกราบขออภัยที่ต้องย่อเรื่องให้กระชับ แต่อย่างไรก็ตามผมจะพยายามให้รายละเอียดต่าง ๆ คงเดิม ตามที่ “ครูแดง” ให้ข้อมูลมาครับ
    กล่าวได้อย่างเต็มที่ว่า หลวงพ่อเป็นผู้ฝักใฝ่ในการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นได้ว่าเมื่อเข้าเรียนขั้นมูลหรือชั้นประถมต้น เมื่อายุ 10 ขวบ พ.ศ. 2477 ณ โรงเรียนวัดโนนแดง ต.หนองแปง อ.กมลาไสย จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใกล้บ้าน หลวงพ่อใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นก็จบชั้นประถมปีที่ 4 ใน พ.ศ. 2480 และในปีรุ่ง พ.ศ.2481 ท่านก็ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านตูมชัย ต.หนองแปง ในแถบบ้านเกิดของท่าน ขณะนั้นท่านอายุเพียง 14 ปี
    และดังที่ได้เรียนไว้เบื้องต้น หลวงพ่อเป็นผู้ใฝ่การศึกษา ดังนั้นในการศึกษาพระปริยัติธรรม ท่านจึงพ้นอย่างสะดวกสบาย โดยในขณะอายุ 19 ปี ท่านก็สอบนักธรรมชั้นเอกเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนั้น ท่านยังได้เรียนบาลีไวยากรควบคู่ไปอีกจนแตกฉานกว่าสามเณรในวัยเดียวกัน และเพราะความที่ชอบในการศึกษา หลังช่วงว่างจากการศึกษาบาลีไวยากรแล้ว หลวงพ่อก็เริ่มศึกษาวิชาอาคมกับพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งแต่ละเถรคณาจารย์จะเก่งทางด้านคงกระพันชาตรีและการขับภูติผีปีศาจ แก้คุณไสยต่าง ๆ อาทิ หลวงปู่ป้อ แห่งวัดบ้านเอียด ต.เขว้า อ.เมือง จ.มหาสารคาม และตั้งแต่เป็นสามเณรหลวงพ่อก็ได้วิชาต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะ วิชาขับผี ไล่ปอบ ซึ่งหลวงพ่อก็ได้วิชานี้จนโด่งดัง สมัยเป็นสามเณรแล้ว
    หลังจากอุปสมบทอย่างต่อเนื่องเมื่ออายุครบ 20 ปี แล้วหลวงพ่อก็ได้เดินทางไปศึกษาบาลีธรรมบท ในกรุงเทพมหานคร โดยพักจำพรรษาที่วัดสระเกศ 3 พรรษาด้วยกัน และได้เปลี่ยนสำนักเรียนอีก 2-3 แห่งคือวัดสุทัศน์ และวัดมหาธาตุ แต่แล้วในปี พ.ศ. 2490 ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น ประเทศไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง เกิดวิกฤติ ข้าวยากหมากแพง จากกรุงเทพมหานคร หลวงพ่อก็ได้โยกย้ายกลับขึ้นไปทางภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ หลบภัยอดอยากจากสงครามโดยจำพรรษาอยู่ที่วัดพระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 2 พรรษา
    ก้าวแรกสู่แดนมะขามหวาน นครพ่อขุนผาเมือง”
    ปี พ.ศ. 2494 หลวงพ่อได้ออกธุดงค์จากจังหวัดเชียงใหม่ล่องใต้ตามไม้หมอนรถไฟ และข้ามน้ำข้ามห้วยปีนเขามาถึงอำเภอหล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจำพรรษาครั้งแรกที่วัดไพรสณฑ์วรารามและได้รับมอบหมายจากเจ้าอาวาสให้เป็นครูสอนบาลีธรรมเพราะในขณะนั้น หลวงพ่อได้เปรียญธรรม 4 ประโยค และในปี พ.ศ.เดียวกันนี้ หลวงพ่อก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลลุ้งน้ำเต้า อ.หล่มสัก และจุดนี้คือจุดหักเหให้ชีวิตในสมณเพศของหลวงพ่อ เป็นไปในการเผยแผ่พระศาสนา อบรมปฏิบัติธรรม จริยธรรม แก่พระภิกษุสามเณรในเขตการปกครอง ตลอดจนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยการเทศน์สั่งสอน อุบาสก อุบาสิกา และประชาชนทั่วไป จนทำให้ชื่อเสียงในการเป็นพระธรรมถึกของหลวงพ่อโด่งดังไปทั่วอำเภอและใกล้เคียง
    ในปีรุ่งขึ้น พ.ศ.2495 หลวงพ่อก็ได้รับความไว้วางใจ จากคณะสงฆ์จังหวัดเพชรบูรณ์แต่งตั้งให้เป็นพระธรรมฑูต ของจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหน้าที่ออกเผยแผ่ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ตลอดจนพระภิกษุและสามเณรในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์และใกล้เคียง และเพื่อสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ หลวงพ่อจึงต้องจำพรรษาในจังหวัดซึ่งเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ ณ วัดมหาธาตุ พระอารามหลวงประจำจังหวัด ซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่ออยู่จำพรรษามากที่สุด ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอบึงสามพัน
    ช่วงที่อยู่จำพรรษาที่วัดมหาธาตุ เพชรบูรณ์ หลวงพ่อได้ศึกษาวิชาทางโลกเพิ่มเติมจนได้รับสิทธิให้เข้าสอบวิชาครู และสอบได้ในประกาศนียบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการ หลักสูตร “ครูมลพิเศษ” และนับเป็นรูปแรกของพระภิกษุในจังหวัดเพชรบูรณ์ และเพราะวิสัยชอบศึกษาความรู้ในทุก ๆ แขนง เท่าที่โอกาสจะอำนวยให้จนเป็นผู้คงแก่เรียน รู้จริง ปฏิบัติจริง ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อจึงได้รับโปรดประทานจากสมเด็จพระสังฆราชาฯ ให้ดำรงตำแหน่ง “พระวินัยทรในเขตภาคเหนือ” มีหน้าที่ดูแลความเป็นระเบียบของพระภิกษุสามเณรให้อยู่ในระเบียบวินัยและกฎของมหาเถรสมาคม เขตรับผิดชอบ 8 จังหวัดทางภาคเหนือตอนล่าง อาทิ พิจิตร, นครสวรรค์, กำแพงเพชร, สุโขทัย, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, ตากและเพชรบูรณ์
    หลวงพ่อมหาอาคมอยู่ในตำแหน่ง “พระวินัยทร” ตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงเมื่อยกเลิกระบบการปกครองของสงฆ์ในปี พ.ศ. 2507 นับเป็นพระวินัยทรรูปสุดท้ายของจังหวัดเพชรบูรณ์
    นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2505-2517 หลวงพ่อตั้งปณิธานที่จะออกธุดงควัตร บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมและศึกษาด้านเวทมนต์คาถาจากพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ เพิ่มเติม โดยเริ่มต้นจากภาคเหนือ นับแต่ พิจิตร, พิษณุโลก, สุโขทัย ข้ามภูพระวอที่ตาก ไปแม่สอดและข้ามแม่น้ำเมยเข้าไปพม่า จากนั้นจึงวกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือทางจังหวัดเลย มุ่งอีสานข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งลาว แขวงจำปาศักดิ์ แล้วลงภาคใต้ที่ประจวบฯ ลุยขึ้นเขาสามร้อยยอดต่อไปอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปักกลดแถบเขาโตนงาช้างของนครศรีธรรมราช, ยะลาและข้ามไปปาดังเบซาร์แดนมาลายู
    หลวงพ่อใช้เวลาการเดินทางธุดงค์ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆพร้อมทั้งบำเพ็ญเพียรกรรมฐาน และสมาธิจิตกลางป่าดงดิบนานถึง 12 ปีเต็ม ๆ ได้วิชาความรู้ด้านเวทมนต์คาถา จากพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมหลายรูป ทั้งฝากตัวเป็นศิษย์ และทั้งแลกเปลี่ยนวิชาอักขระยันต์ต่าง ๆ ตามแต่โอกาสจะอำนวยให้ เช่น ปี พ.ศ. 2508 ขณะธุดงค์ไปจังหวัดตาก ข้ามภูพระวอไปอำเภอแม่สอด ได้ไปขอศึกษาวิชาคงกระพันชาตรี เพิ่มเติมกับ “ครูบากัญชัย” หรือ พระครูศิริรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมาตานุสสรณ์ บ้านแม่กึ๊ดหลวง ฉายา เทพเจ้าลุ่มแม่น้ำเมย
    และในปีเดียวกันนี้ หลวงพ่อก็ได้ตัว “นะ” สำคัญยิ่งมาหนึ่งตัว นะตัวนี้หลวงพ่อเคยนำมาสักให้กับลูกศิษย์คนหนึ่งปรากฏว่าเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นมา ถ่ายรูปทำบัตรประชาชนไม่ติด ต้องมาสักแก้จึงถ่ายรูปทำบัตรประชาชนได้ นะตัวดังกล่าวคือ “นะลือชา” หลวงปู่แพง วัดสิงห์หารบ้านสะพือ อุบลราชธานี ศิษย์เอกเทพเจ้าภูเขาควายที่ลือลั่น “สมเด็จรุน” หลวงพ่อได้ร่ำเรียนวิชา ฝังตะกรุดทองคำใต้ท้องแขน และฝังแก้วมณี 4 ดวง (แก้วมณี โชติ-แก้วไพฑูรย์-แก้วปัทมราช-แก้ววิเชียร) คาถาเหล่านี้เป็นคาถาสารพัดนึก ใช้ได้ อยู่ยงคงกระพันมหาอุด แคล้วคลาด เมตตามหานิยม แก้คุณไสยทุกประเภท
    หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์ สุดยอดพระเกจิในอดีต ได้มอบยันต์และคาถากำกับโดยผ่านศิษย์เอกของท่านรูปหนึ่ง ซึ่งปักกลด อยู่ตรงรอยต่อของอำเภอท่าตะโก นครสวรรค์และเพชรบูรณ์ และหลวงพ่อมหาอาคมได้ไปพบเข้าพอดี นะของหลวงพ่อเดิมที่หลวงพ่อได้รับมา คือ “นะ ซ้อนหัว” ซึ่งหลวงพ่อมหาอาคมได้นำลงในตะกรุดทุกดอกของท่านที่มีการจัดสร้าง
    หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี คือ พระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่หลวงพ่อได้ไปขอศึกษาวิชาอาคมโดยถวายตัวเป็นศิษย์ ซึ่งหลวงพ่อพริ้ง ได้เมตตามอบคาถา “ประสานกระดูก” ให้หลวงพ่อทำน้ำมันวิเศษ 108 รักษาประชาชนได้สารพัดโรค
    หลวงพ่อใช้ จังหวัดอุตรดิตถ์ ศิษย์เอกหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ภูเก็ต ได้มอบตำราและคาถาการสร้างยันต์ตะกรุดโทน “คู่ชีวิต” ให้เมื่อครั้งหลวงพ่อธุดงค์ผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์
    และเมื่อต้นปี 2513 เมื่อหลวงพ่อข้ามเขารังไปยังอำเภอชนแดน เพื่อกราบนมัสการเยี่ยมหลวงพ่อทบ ที่วัดพระพุทธบาทชนแดน เพราะทราบข่าวว่ามีคนร้ายบุกขึ้นไปปล้นทรัพย์หลวงพ่อทบบนกุฏิและคนร้ายได้ยิงหลวงพ่อทบถึง 4 นัด แต่ลูกปืนไม่ออก หลวงพ่อได้กราบเรียนหลวงพ่อทบว่า ขณะที่คนร้ายยิงหลวงพ่อทบได้ใช้คาถาอะไร ปืนคนร้ายจึงยิงไม่ออก หลวงพ่อทบท่านมีความเมตตา และชอบพอนิสัยหลวงพ่อมหาอาคมอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ท่องคาถาให้หลวงพ่อมหาอาคมฟัง 1 เที่ยว แล้วลองให้หลวงพ่อท่องให้ฟัง ปรากฏว่าหลวงพ่อมหาอาคมท่องได้ถูกหมดและแม่นยำ หลวงพ่อทบจึงได้บอกว่าเอาไปใช้ดูเป็นคาถาดับไฟดับปืนให้เป็นน้ำ ซึ่งก่อนหน้านี้หลวงพ่อมหาอาคมก็เคยได้คาถา “เมตตาค้าขายดี” ของหลวงพ่อทบมาก่อนแล้ว โดยผ่านโยมผู้หญิงกลางคนหนึ่งที่เป็นศิษย์หลวงพ่อทบ ซึ่งโยมผู้นั้นมีอาชีพค้าขาย ต้องการค้าขายดี ร่ำรวย จึงได้พาลูกและครอบครัวไปกราบขอพึ่งบารมีหลวงพ่อทบ ซึ่งท่านได้เมตตาเขียนเป็นตัวหนังสือขอมลงในกระดาษแทนผ้ายันต์ เพื่อให้ไปบูชา เมื่อได้คาถามาแล้วโยมผู้นั้นอ่านไม่ออก ก็นำคาถาบทนั้นมาให้หลวงพ่อมหาอาคมอ่านและแปลให้ฟัง หลวงพ่ออ่านและแปลจนเข้าใจและท่องจำได้ขึ้นใจ เมื่อมีโอกาสพบหลวงพ่อทบจึงท่องให้ฟัง ซึ่งหลวงพ่อทบบอกว่าใช่ ความจำมหาดีมาก ฉันยกให้ลองเอาไปใช้ดูนะแม้จะได้วิชาอาคมจากพระเกจิชื่อดังแห่งยุคหลาย ๆ รูป แต่ดูเหมือนจะไม่อิ่มในการใฝ่เรียนรู้ของหลวงพ่อมหาอาคมเพราะแม้แต่คฤหัสคนใดที่เก่งจริงรู้จริง หรือจะเป็นเทพเป็นร่างทรง ท่านเป็นขอศึกษาเล่าเรียนทันที เช่น “หลวงปู่ทองคำ” ซึ่งอยู่ในร่างทรงของผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี ท่านหนึ่ง (หลวงปู่ทองคำ เป็นพระภิกษุที่มรณภาพกว่า 400 ปีแล้ว) หลวงพ่อมหาอาคมก็เคยฝากตัวเป็นศิษย์ และได้คาถาดี ๆ จากองค์ที่นับถือเป็นครูอาจารย์
    12 ปี แห่งการแสวงหาและบำเพ็ญเพียรของหลวงพ่อมหาอาคม ได้ทำให้วัตถุมงคลของท่านมีพุทธาคมเข้มขลัง มีพลังแห่งอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์สูงส่ง
    และเป็นที่มาแห่งฉายา“อาคมขลัง เมืองมะขามหวาน”
    และนับแต่ปี พ.ศ. 2520 หยุดการธุดงค์แล้ว 15 ปี หลวงพ่อก็เริ่มจำพรรษาที่วัดบ้านราหุล ต.โคกตะยอ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ ตามคำนิมนต์ ของบรรดาศิษย์และได้ค้นหาภูเขาเล็ก ๆ ที่เคยเดินธุดงค์มาพบ เพราะเหมาะแก่การสร้างวัด เมื่อค้นพบแล้วจึงชวนชาวบ้านและคณะศิษย์ย้ายจากวัดราหุล เริ่มก่อสร้างวัดขึ้นใหม่ ในทำเลนี้ ซึ่งก็คือ วัดดาวนิมิต ในปัจจุบัน
    #มารณกาล
    หลวงพ่อมหาอาคมถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชราในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ นับเป็นการสูญเสียพระเถระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบไปอีกรูปหนึ่ง สุดท้ายนี้จะได้นำเอาคำสั่งสอนของหลวงพ่อมาลงไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ดังนี้
    "มนุษย์และสัตว์ในโลกนี้ เขาเหล่านั้นมาเกิด
    เขาไม่รู้ว่าชาติความเกิดเป็นทุกข์ ชราความแก่เป็นทุกข์
    พยาธิความป่วยไข้เป็นทุกข์ มรณะ ความตายก็เป็นทุกข์
    เกิดมาแล้วโตขึ้นมาจึงเห็นความทุกข์ จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    ถ้าเขารู้คงไม่มาเกิดและไม่มีใครอยากเกิดด้วย
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย สี่อย่างนี้มาพร้อมกันตั้งแต่เกิด
    ถ้าไม่เกิด ก็ไม่แก่ ถ้าไม่แก่ก็ไม่เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็ไม่ตาย
    เขาเรียกกันว่าธรรมชาติ เป็นธรรมดาของโลกต้องเป็นไปอย่างนั้น
    ขันธ์ทั้ง ๕ (ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ)
    ไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้ตั้งมั่น ไม่มีผู้ดำเนิน
    (ดังนั้นจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ว่าเป็นตัวเรา
    และไม่ควรยึดมั่นสิ่งทั้งหลายว่าเป็นของเรา)"
    FB_IMG_1724342212031.jpg
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อมหาอาคมและพระผงรูปเหมือน บูชา 2 องค์คู่กัน 270 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240822_225357.jpg IMG_20240822_225420.jpg IMG_20240822_225444.jpg IMG_20240822_225505.jpg IMG_20240822_225532.jpg IMG_20240822_225553.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    l5.jpg FB_IMG_1724345624599.jpg FB_IMG_1724345620853.jpg

    ประวัติหลวงปู่หนู ฉินนะกาโม วัดทุ่งแหลม
    หลวงปู่หนู ฉินนกาโม มีนามเดิมว่า หนู เจริญวิทยา เกิดเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ ที่ หมู่ ๕ ต.หนองโพ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี โยมบิดาชื่อนายฮง มารดาชื่อนางบาง จบชั้นประถมปีที่ ๔ โรงเรียนวัดหนองโพ แล้วช่วยบิดา-มารดาทำงานทางบ้าน จากนั้นได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดหนองโพ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้ นักธรรมโท ขณะบวชเป็นสามเณร ท่านได้สนใจศึกษาวิชาทางไสยศาสตร์และเวทมนตร์คาถาพุทธาคมต่าง ๆ จึงไปเรียนกับ หลวงพ่อหลาบ วัดเนินตอ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี จนเชี่ยวชาญจากนั้นได้ไปเรียนกับ หลวงพ่อหลุง วัดทุ่งสมอ อีก ๓ ปี กระทั่งอายุครบบวชในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงทำการอุปสมบทที่วัดใหม่เจริญผล โดยมี หลวงพ่อปลิว เป็นพระอุปัชฌาย์แล้วไปจำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดเขาคร้อ หนึ่งพรรษาจึงไปเรียนวิชาพุทธาคม และวิปัสสนากับ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน จ.สุพรรณบุรี
    จากนั้นได้ไปเรียนวิชากับ หลวงพ่อจันทร์ วัดบ้านยาง และหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นครปฐม ซึ่งระหว่างเรียนวิชากับ “หลวงพ่อแช่ม” นั้นท่านได้พบกับศิษย์อีกคนหนึ่งของหลวงพ่อแช่มที่มาเรียนด้วย คือ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จ.นครปฐม จากนั้นจึงไปจำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดเขาคร้อ จนคณะสงฆ์เห็นในศีลาจารวัตรของท่านเหมาะสมจึงนิมนต์ให้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดกระต่ายเต้น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี แต่อยู่ได้ไม่นานเกิดความเบื่อหน่ายกับการบริหารจัดการวัดร่วมกับกรรมการจึงขอลาสิกขาออกไปใช้ชีวิตฆราวาสอยู่ที่ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี ซึ่งระหว่างเป็นฆราวาสอยู่นั้นก็ยังคงปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาเมื่อถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๐๒ ท่านได้ตัดสินใจอุปสมบทอีกครั้ง ณ วัดกุฎบางเค็ม อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี โดยมีพระครูเกษมสุตคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาเปรย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ฉินนกาโม” และไปจำพรรษาปฏิบัติธรรม ณ วัดไทยธรรมาราม อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ๕ พรรษาจึงกลับมาวัดกุฎบางเค็ม ชาวบ้านทุ่งแหลม เลื่อมใสในศีลาจารวัตรจึงนิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่วัดทุ่งแหลม อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี โดยได้ทำการพัฒนาวัดทุ่งแหลมจนเจริญก้าวหน้าเป็นลำดับมา
    ระหว่างอยู่วัดทุ่งแหลมนี้เองมีประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมาก ท่านจึงได้สร้างมงคลวัตถุออกแจกจ่ายแก่ประชาชน และศิษยานุศิษย์มากมายหลายรุ่น ซึ่งก็มีประสบการณ์มากมาย จวบจนกระทั่งถึงวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านจึงละสังขารมรณภาพอย่างสงบ คงทิ้งไว้แต่อนุสรณ์แห่งความดีงามและมงคลวัตถุตลอดจนสังขารที่ไม่เน่าเปื่อย ซึ่งทางวัดได้ใส่หีบแก้วไว้ให้เป็นที่พึ่งทางใจแก่ศิษยานุศิษย์ผู้เลื่อมใส ศรัทธาต่อไป
    เหรียญหลวงปู่หนู ฉินนกาโม วัดทุ่งแหลม รุ่นสุดท้าย,รุ่นแจกแม่ครัว และรุ่นคทาไขว้
    เหรียญหลวงปู่หนู ฉินนกาโม วัดทุ่งแหลม รุ่นสุดท้าย,รุ่นแจกแม่ครัว และรุ่นคทาไขว้
    เหรียญของหลวงปู่ที่เล่นหากันในราคาสูงมีอยู่ไม่กี่รุ่น ส่วนมากจะเป็นรุ่นแรก ๆ ส่วนรุ่นหลัง ๆ จะไม่ค่อยแพง พระเครื่องของท่านจึงถือว่าเป็นของดีราคาถูกเพราะส่วนมากจะทันท่านเสกหมด ปัจจุบันยังพอหาได้ นอกจากมงคลวัตถุของท่านจะศักดิ์สิทธิ์มีประสบการณ์มากมายแล้ว ตัวท่านยังมีชื่อเสียงในด้านการสักอักขระเลขยันต์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะทหารแถบกาญจนบุรีและราชบุรี เมื่อสมัย ๓๐-๔๐ ปีที่แล้ว ล้วนเป็นศิษย์หลวงปู่หนูมากมาย โดยเฉพาะยันต์หนุมานเชิญธงถือว่าหลวงปู่เป็นเจ้าตำรับ หลังจากสิ้นหลวงปู่หนูแล้ว พระครูดัด เจ้าอาวาสรูปต่อมาท่านได้รับวิชานี้ไว้ แต่ไม่ได้ลงมือสักเอง ได้ให้ฆราวาสท่านหนึ่งเป็นผู้ลงเข็มสักให้ ส่วนท่านจะเป่าครอบเอง ต่อมาอาจารย์ฆราวาสท่านนั้นก็ได้วางเข็มไปในที่สุด
    เหรียญหลวงปู่หนู รุ่นแรก วัดทุ่งแหลม
    เหรียญหลวงปู่หนู รุ่นแรก วัดทุ่งแหลม
    ในส่วนของประสบการณ์จากมงคลวัตถุของท่านที่ได้รับการกล่าวขานอย่างมากและร่ำลือกันมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างที่บอกแต่ต้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องแคล้วคลาดจากภยันตรายภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวง และคงกระพันชาตรี โดยเฉพาะประสบการณ์ด้านระเบิด “ระเบิด” นับเป็นอาวุธร้ายแรงที่มีอานุภาพการทำลายล้างสูงกว่าอาวุธชนิดใด ๆ เพราะฤทธิ์เดชของมันสามารถสร้างความเสียหายให้กับทุกสิ่งทุกอย่างได้ในวง กว้าง แม้แต่ชีวิตผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็แหลกเหลวราพณาสูรได้ด้วยอานุภาพ ของมัน แต่แม้ฤทธิ์เดชของระเบิดจะร้ายแรงปานใด บางครั้งก็ไม่อาจสามารถทำอันตรายใด ๆ ต่อผู้ที่มี “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ได้ ซึ่ง ก็มีให้เห็นอยู่เสมอ นับเป็นเรื่อง “เหนือลิขิต ประกาศิตฟ้าดิน” ที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง อย่างเช่น เมื่อปี พ.ศ. 2524 มีครอบครัวของอาสาสมัคร รายหนึ่งคือ นายกู้เกียรติ บัวบาน ครอบครัวนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 ชีวิตประกอบด้วย นายกู้เกียรติ ผู้เป็นสามีพร้อมทั้งภรรยา และบุตรชายอีก 2 คน ชื่อ ด.ช.สมเกียรติ และ ด.ช.เกียรติยศ มีบ้านพักอาศัยอยู่ที่ หมู่บ้านมะขามเอน ต.ป่าหวาย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
    นายกู้เกียรติ ปกติมีอาชีพทำไร่และเป็นอาสาสมัครของรัฐบาล มีหน้าที่คอยคุ้มครองหมู่บ้านจึงได้รับแจกอาวุธที่ใช้ในราชการสงคราม ซึ่งมีทั้ง ปืน และ ระเบิดสังหาร ไว้ใช้สำหรับการปฏิบัติงานตามหน้าที่ เนื่องจากที่ อ.สวนผึ้ง ในสมัยนั้น มีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ชุกชุมมาก ซึ่งอาวุธเหล่านี้ยามเมื่อไม่ได้ใช้งานก็จะเก็บไว้ที่บ้านตลอดเวลา ในวันเกิดเหตุอันเป็นที่มาของเรื่องนี้ตรงกับวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ นายกู้เกียรติ และภรรยาได้ไปทำบุญที่ วัดทุ่งแหลม ตั้งแต่เช้าโดยปล่อยให้บุตรชายทั้งสองทำหน้าที่เฝ้าบ้านกระทั่งเวลาประมาณ ๐๘.๓๐ น. ผู้คนที่มาทำบุญในวัดต่างได้ยินเสียงคล้ายระเบิดดังสนั่นขึ้นเพราะวัดทุ่งแหลมอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน
    ครู่ต่อมาก็มีคนขี่มอเตอร์ไซค์มาด้วยสีหน้าตื่น ๆ พร้อมร้องบอกนายกู้เกียรติ ว่าที่บ้านเกิดระเบิดขึ้นและเห็นลูกชายของนายกู้เกียรตินอนจมกองเลือดทั้งสองคน ได้ยินเช่นนั้นนายกู้เกียรติและภรรยารีบซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ของผู้ที่มาบอก ข่าวตะบึงกลับบ้านทันที เมื่อถึงบ้านจึงได้เห็นสภาพของลูกชายทั้งสอง ที่ทำให้ทั้งนายกู้เกียรติและภรรยา แทบจะเป็นลม เพราะเด็กชายทั้งสองสลบไม่ได้สติจากแรงระเบิด นายกู้เกียรติ รีบนำบุตรชายขึ้นรถไปโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ซึ่งพอหมอและพยาบาลของโรงพยาบาลเห็นสภาพลูกชายทั้งสองของนายกู้เกียรติแล้ว กลับไม่ยอมรับตัวไว้รักษาเพราะเกรงจะช่วยเด็กไม่ได้ เนื่องจากมีเครื่องไม้เครื่องมือไม่พร้อมที่จะรักษานั่นเอง จึงแนะนำให้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลในตัวเมืองจังหวัดราชบุรี
    นายกู้เกียรติ ไม่รอช้ารีบบึ่งไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดราชบุรี ซึ่งพอไปถึงหมอรีบนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินเป็นขณะที่เด็กทั้งสองเริ่มรู้สึกตัว แล้วแต่ยังคงร้องโอดโอยอย่างคนที่อยู่ในอาการเจ็บปวดเพราะพิษสะเก็ดระเบิด ที่ฝังอยู่ตามร่างกาย เพราะหลายคนที่เห็นสภาพของเด็กแล้วต่างระบุว่า อาการของเด็กคงหนักมากและอาจไม่รอดชีวิตด้วยซ้ำ แต่หลังจากหมอได้ทำการชำระล้างบาดแผล เพื่อหาสะเก็ดระเบิด ปรากฏว่ามีสะเก็ดระเบิดตามร่างกายน้อยมาก สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก และหลังจากนำสะเก็ดระเบิดออกพร้อมใส่ยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กทั้งคู่ก็แทบจะไม่มีอาการอย่างใดเลย มีอาการเจ็บปวดก็เพราะบาดแผลระบมเท่านั้นเอง หมอจึงอนุญาตให้นำเด็กกลับบ้านได้ หลังจากกลับถึงบ้านและได้นอนพักเป็นเวลาเกือบค่อนวัน เด็กทั้งคู่จึงบอกเล่าเหตุการณ์ให้นายกู้เกียรติ ผู้พ่อฟังว่า นำลูกระเบิดมาแกะเล่นจึงทำให้เกิดระเบิดขึ้น และแรงระเบิดก็ทำความเสียหายให้ตัวบ้านไม่น้อย แต่เด็กทั้งคู่กลับมีบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเหตุกลับเป็นเช่นนี้นายกู้เกียรติ จึงเชื่อว่าเป็นเพราะ “พุทธบารมี” ของ “เหรียญหลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม” อย่างแน่นอน เพราะทั้งคู่ต่างแขวนคอไว้คนละเหรียญ.
    อาราธนานัง-รายงาน
    ขอบคุณที่มาหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    ขอบคุณทุกเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    หลวงปู่หนูวัดทุ่งแหลม แม่ครัว ปี๒๕๒๖
    บูชา
    250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240822_235827.jpg IMG_20240822_235909.jpg
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,763
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1724404728482.jpg
    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์พิมพ์ขุนแผน
    และรูปถ่ายหลสงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์หลังยันต์เกราะเพชร
    ประวัติ
    หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพุทธรูปเก่าองค์หนึ่ง ที่ขุดพบอย่างบังเอิญเมื่อวันจันทร์ที่ ๒ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีกุน เดือน ๑๒ พ.ศ. ๒๕๐๒ องค์หลวงพ่อเป็นดิน ตั้งอยู่บนคันคลองระพีพัฒน์ฝั่งขวา หันหน้าลงน้ำ ทิศตะวันออก ในท้องที่ ต.คชสิทธิ์ อ.หนองแค จ.สระบุรี
    ก่อนที่จะพบองค์ หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ บริเวณดังกล่าวเป็นเนินดินที่มีระดับสูงกว่าองค์หลวงพ่อ มีเฉพาะทางคนเดินแคบๆ เท่านั้น ต่อมาได้มีคนงานชลประทานประตูน้ำพระเอกาทศรถ มาขุดดินที่เป็นเนินนั้นไปถมริมตลิ่งที่น้ำเซาะพัง
    คนงานได้ขุดดิน มาหลายวันแล้ว จนไปถึงบริเวณที่องค์หลวงพ่อประดิษฐาน ซึ่งเป็นดินที่แข็งมาก ผิดไปจากบริเวณอื่น คนงานจึงขุดดินไม่เข้า แต่ได้ขุดดินไปรอบๆ ที่พอจะขุดได้ ดินก็แตกเป็นรูปพระ โดยไม่มีใครคาดคิดว่า จะเป็นองค์หลวงพ่อ
    ชาวบ้านรู้ข่าวเข้าก็มามุงดูกันจำนวนมาก บางคนก็พูดว่า พระพุทธรูปมาเกิด แต่บางคนคิดไปว่า คนงานชลประทานปั้นองค์พระขึ้นมากันเอง
    พอ ตอนเย็น นางฝอย ชาวบ้านคนหนึ่งที่อาศัยอยู่หลังตลาดหนองตาโล่ ไปหาบข้าวลงเรือที่ ๗ อาร์ จะกลับบ้าน เดิมผ่านมาทางองค์หลวงพ่อ นางฝอยไม่ได้คิดว่าที่เห็นเป็นรูปพระนั้นจะเป็นองค์พระจริงๆ จึงเอาเปลือกอ้อยเป็นธูป และเอาใบมะขามเทศเป็นทอง มาไหว้เป็นการล้อเลียน แล้วก็เดินทางกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันถึงบ้าน นางฝอยเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จึงนึกขึ้นได้ว่า ไปไหว้ล้อเลียนองค์พระนั้นเข้า จึงจุดธูปกราบขอขมาอภัยหลวงพ่อ อาการปวดหัวก็หายทันที
    ตอนเย็นวันเดียวกัน ยายเกลี้ยง บ้านอยู่ใกล้องค์หลวงพ่อ ก็กลายเป็นคนเทียมทรงขึ้น ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ ไม่เคยเป็นมาก่อน ชาวบ้านพากันมามุงดูกันอย่างเนืองแน่น มีผู้สอบถามหลวงพ่อว่า มาจากไหน หลวงพ่อบอกว่า มาอยู่ที่นี่เมื่อสมัย ๒ แล้ว มาคล้องช้าง สามวันไม่ได้ช้าง นอนหลับที่แคร่บนต้นไม้ พระเครื่องได้ตกลงมาแล้ว แต่ก็หาไม่เจอ ต่อมาได้มีคนเอาดินมาถมบริเวณ (คลองระพีพัฒน์ใช้คนขุดเอาดินขึ้นมาถมเมื่อประมาณ ๗๐ ปีก่อน)
    ยาย หนูถามหลวงพ่อว่า ชื่ออะไร หลวงพ่อบอกว่า หากบอกชื่อให้แล้ว จะรับทำสัญญาได้ไหม ยายหนูบอกว่า รับทำให้ได้ หลวงพ่อจึงบอกว่า ให้นิมนต์พระ ๕ วัดมาสวด ให้ตั้งศาลเพียงตา ให้ทำขัน ๕ ทุกๆ วัน และจัดงานกลางเดือน ๑๒ ประจำทุกปี
    แล้วหลวงพ่อก็บอกว่า ท่านชื่อ "สำเร็จศักดิ์สิทธิ์" ใครมากราบไหว้ทำอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ และสำเร็จทุกอย่าง ตามที่คิดไว้
    ขณะ เดียวกัน ชาวบ้านอีกจำนวนมาก ที่มามุงดูก็เอาขันน้ำมาให้ทำน้ำมนต์ แล้วเอากลับไปบ้าน พอเอาน้ำมนต์ใส่ลงในโอ่งน้ำ น้ำในโอ่งเกิดมีเสียงดังจิ๊ดๆๆๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และเป็นเช่นนี้ของทุกคนที่เอาน้ำมนต์ไป
    ต่อมา ยายเง็ก กับชาวบ้านในตลาด ได้ว่าจ้าง นายทวี ดารารัตน์ (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) มาโบกปูนซีเมนต์ที่องค์หลวงพ่อ แต่ชลประทานในสมัยนั้นไม่ยินยอมให้ทำ หาว่ากีดขวางทางคมนาคม โดยขอให้ชาวบ้านโยกย้ายองค์หลวงพ่อไปอยู่ที่อื่น หลวงพ่อก็ไม่ยอมไป และไม่มีใครกล้าย้าย จึงได้โบกปูนซีเมนต์ที่องค์หลวงพ่อจนสำเร็จ
    ในปี ๒๕๐๕ การชลประทานมีคำสั่งให้เอารถขุดปรับทาง ทำถนนบนคันคลอง จากท่าหลวง ถึง อ.หนองแค ระหว่างทางที่จะถึงองค์หลวงพ่อ รถได้ขุดไปรอบๆ ฐานจนเกือบจะถูกองค์หลวงพ่อ ก็ได้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นทันที ฟ้าได้ผ่าลงมากลางวันแสกๆ ทั้งๆ ที่ปราศจากเมฆฝน
    คนขับรีบหยุดรถ แล้วกระโดดลงมากราบขอขมาอภัยหลวงพ่อ โดยไม่กล้าขุดดินใกล้องค์หลวงพ่ออีกต่อไป ชาวบ้านจึงศรัทธาเลื่อมใส เชื่อกันว่าหลวงพ่อมีความศักดิ์สิทธิ์มาก โดยต่างก็เชื่อกันว่า สามารถปกป้องกันภัยได้ทุกอย่าง ใครมาบนบานขออะไร ก็จะได้รับแต่ความสุข ความสมหวัง และสมความปรารถนากันทั่วทุกคน
    ทุกปีในกลางเดือน ๑๒ ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันจัดงานประจำปีขึ้น ๑๕ วัน ๑๕ คืน ตลอดจนงานปีใหม่ ก็มีการจัดงานเฉลิมฉลอง ๑๕ วัน ๑๕ คืน เช่นกัน สาธุชนท่านใด ได้มาสักการบูชา หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ สักครั้ง จะเป็นสิริมงคลและเป็นบุญไปตลอดชีวิตนี้
    คำบูชาองค์หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สวด ๓ จบ)
    พุทธัง ศักดิ์สิทธิ์ ธัมมัง ศักดิ์สิทธิ์ สังฆัง ศักดิ์สิทธิ์
    เสร็จแล้วให้ระลึกถึงหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงอธิฐานตามสิ่งที่ปรารถนา
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    IMG_20240823_155827.jpg IMG_20240823_155843.jpg
    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์พิมพ์ขุนแผน
    (มีตำหนิด้านขวาตามรูป )ปี๒๕๕๓และรูปถ่ายหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์หลังยันต์เกราะเพชร ปี๒๕๖๔
    ให้บูชา 230 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240823_153935.jpg IMG_20240823_153954.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...