พระปิดตาผสมไม่กุฎิหลวงปู่มั่นสมเด็จปรกโพธิ์หลวงพ่อขอมวัดไผ่โรงวัว

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,973
    ค่าพลัง:
    +21,371
    พระกริ่งทรงครุฑ มหาราช ภปร. วัดสีกัน ( พุทธสยาม ) ดอนเมือง
    สร้างถวายเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พ.ศ.2518 เนื้อทองแดงรมดำ ภายในบรรจุเม็ดกริ่ง อุดแผ่นโค๊ต อุ
    ขนาด 1.8 ซ.ม. X 3.5 ซ.ม. สภาพองค์พระสวย สมบูรณ์ พร้อมกล่อง
    จัดสร้างในวโรกาศ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงมีพระชนมายุครบ 4 รอบ ทรงมีพระเมตตาโปรดเกล้า ให้วัดทุ่งสีกัน(วัดพุทธสยาม) สร้างพระประธานองค์พระพุทธสมเด็จมหาราชทรงครุฑ ภปร. ขนาดหน้าตัก 69 นิ้ว สูง 119 นิ้ว เพื่อประดิษฐานที่วิหารจัตุรมุข ไว้เป็นที่สักการะบูชากราบไหว้ แก่พุทธศาสนิกชนชาวพุทธ
    1. ได้นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึง 2 ครั้ง พลโท นวล จันทร์ตรี เป็นผู้ดำเนินการ และได้รับหนังสือตอบจากราชเลขาธิการว่า พระบาทสมเด็จพระ-เจ้าอยู่หัว ทรงปิติชื่นชม ว่างดงาม
    2. พระอธิการทองใบ วิมโม ได้นำพระสมเด็จมหาราชทรงครุฑ แจกทหาร ตำรวจ ประชาชน พ่อค้า ไปเป็นจำนวนมาก ผู้ที่ได้รับแล้วปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ได้ประสบความสุข ความสำเร็จ และรอดพ้นจากภยันอันตราย อย่างมหัศจรรย์ และได้มาเล่าประสบการณ์ที่ได้ประสบให้ฟังหลายครั้งหลายคราว
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 450 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250320_184914.jpg IMG_20250320_184946.jpg IMG_20250320_185024.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2025 at 20:37
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,973
    ค่าพลัง:
    +21,371
    FB_IMG_1742472902308.jpg FB_IMG_1742472913610.jpg

    หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่าน มรณะภาพ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2549 สิริอายุ 86 ปี
    ประวัตท่านบางส่วนครับ
    ฝึกวิชา
    พระอาจารย์บุญยังได้พยายามถ่ายทอดวิชาต่างๆ ด้านพุทธคุณให้ ตอนแรก ๆ หลวงพ่อไม่สนใจ แต่เมื่ออยู่กับท่านนาน ๆ ไปหลวงพ่อเริ่มมีความสนใจขึ้น เห็นพระอาจารย์ท่านทำอะไร ๆ แปลกๆ ให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ เช่น ทำควายธนูด้วยตอกสาน โดยสานมือเดียวแล้ววางไว้ ควายธนูก็มีการขยับเขยื้อนได้ เสกน้ำมันจนเดือดเหมือนน้ำร้อน ฟองเดือดขึ้นมา แต่เมื่อไปสัมผัสด้วยมือกลับไม่ร้อน ทำให้ท่านอยากจะเรียน พระอาจารย์ของหลวงพ่อก็ถ่ายทอดให้ทั้งคาถาปลุกเสก และวิธีฝึก
    วิชาเกราะเพชร
    วิชาหนึ่งที่ท่านชอบและฝึกมาตั้งแต่ต้น คือ “ยันต์เกราเพชร” หรือตาข่ายเพชร โดยหลวงพ่อบุญยังได้เล่าให้ท่านฟังว่าสมัยหลวงปู่ศุข ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ลองวิชาเกราะเพชรกับพระะรูปหนึ่ง ที่แก่กล้าวิชาที่เดินทางผ่านวัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยบอกหลวงปู่สุขว่าจะขี่ม้าพยนต์เข้ามาในโบสถ์ให้ดู หลวงปู่ศุขท่านได้เอาผ้ายันต์เกราะเพชรขึงไว้หน้าประ ตู ปรากฎว่าม้าพยนต์ไม่สามารถผ่านยันต์เกราะเพชรหรือตาข ่ายเพชรไปได้ พระรูปนั้นเมื่อแพ้วิชาของหลวงปู่ศุข ก็ได้เดินทางกลับไปจากวัดปากคลองมะขามเฒ่าเมื่อหลวงพ ่อมหาโพธิ์ได้ฟังจากหลวงพ่อบุญยังเล่าท่านจึงสนใจและ เล่าเรียนวิชาเกราะเพชรลงตระกรุด และผ้ายันต์เกราะเพชรมาตลอดอายุของท่าน
    การลงยันต์เกราะเพชร ต้องท่องสูตรคาภาพระอิติปิโสรัตนมาลา ๕๖ บาท ให้ได้จนขึ้นใจทั้งเดินหน้า และถอยหลังได้รวมทั้งบทปลีกย่อยอื่น ๆ อีกมากมาย ในการลงยันต์เกราะเพชร ท่านบอกว่ายันต์เกราะเพชร เป็นยันต์ที่ค่อนข้างยากผู้เรียกจะต้องมีความขยันหมั ่นเพียร กับความอดทน และการประสิทธิ์ประสาทจากครูบาอาจารย์ น้อยคนนักที่จะลงยันต์เกราะเพชรได้ บางคนมาขอเรียนเห็นพระคาถา ๕๖ บาท ก็ท้อแล้วไม่อยากจะท่องจำ ความเพียรพยายามไม่มี การลงยันต์ก็ต้องหายใจลงตามสูตรพระคาถา ๕๖ บาท ผู้ที่ฝึกฝนใหม่ ๆ ต้องใช้เวลาเรียนเกือบทั้งวันกว่าจะลงยันต์เสร็จ อย่างตัวของหลวงพ่อเองใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่งโมง ถือว่าลงได้เร็วมากแล้วเพราะท่านฝึกมา ตั้งแต่อายุยังรุ่นอยู่
    ในสมัยก่อนยามว่าง ท่านมักลงตระกรุดเกราะเพชรและทำผงพุทธคุณเกราะเพชรทั ้งชนิดป้องกันตัว และถอนคุณถอนของคนที่ถูกผีเข้า ท่านจะเอาตะกรุดเกราะเพชรที่เป็นแผ่นแบบยังไม่ได้ม้ว นเป็นตะกรุด ตบหัวคนถูกผีเข้า ผีจะทรุดลง และออกจากตัวคนไข้ไปทันที ตะกรุดส่วนใหญ่ท่านจะใช้แผ่นทองแดงมาลงยันต์เกราะเพช ร ยกเว้นแผ่นถอนของท่านจะใช้แผ่นตะกั่ว ส่วนตะกรุดเนื้อเงินท่านจะลงให้เฉพาะกับศิษย์ใกล้ชิด เท่านั้น เกี่ยวกับประสบการณ์ในตะกรุดเกราะเพชร มี ส.ส.ท่านหนึ่งใน จ.ชันนาท ที่เคารพนับถือหลวงพ่อมากได้ขอตะกรุดท่านไปใช้พกติดต ัว ขณะหาเสียงถูกผู้ที่ปองร้ายใช้ระเบิดปาใส่ ปรากฏว่า ส.ส.ท่านนั้นไม่เป็นอะไรเลย วิชาลงตะกรุดใต้น้ำ
    หลวงพ่อบุญยังได้เรียนวิชาตะกรุดใต้น้ำจากหลวงปู่ศุข โดยสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ลงให้กับลูกศิษย์ทุกปี แม้กระทั่งพระสมุห์กลับ แสงเขียว ก็ยังขอให้ท่านช่วยลงตะกรุดใต้น้ำที่วัดดอนตาลให้ โดยก่อนที่จะประกอบพิธีจะต้องตั้งเครื่องบูชาครูริมแ ม่น้ำ และต้องตอกเสาหลักไว้ในน้ำสำหรับผู้ที่จะลงตะกรุดเกา ะไว้ ไม่อย่างนั้นจะถูกน้ำพัดลอยไปตามกระแสน้ำ ตะกรุดจะลง และปลุกเสกใต้น้ำเสร็จแล้วจะปล่อยให้ลอยขึ้นมาบนผิวน ้ำ พวกลูกศิษย์ก็จะแจวเรือคอยเก็บอยู่ข้างบน หลวงพ่อบุญยังเล่าให้หลวงพ่อบุญยังฟังว่าน้ำที่
    วัดดอนตาลน้ำเย็นเหลือเกิน หลวงพ่อมหาโพธิ์เล่าว่า ท่านเคยขอเรียนวิชาตะกรุดใต้น้ำนี้จากท่านอาจารย์บุญ ยัง ซึ่งอาจารย์ท่านก็รับปากถ่ายทอดให้แต่ต้องเรียนในวัน เพ็ญเดือน ๑๒ แต่ยังไม่ทันถึงเดือน ๑๒ หลวงพ่อบุญยังก็มรณะภาพลงเสียก่อนเมื่ออายุได้ ๕๕ เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก ที่หลวงพ่อท่านเรียนจากพระอาจารย์ไม่ทันจึงทำให้วิชา นี้สูญไป
    เกี่ยวกับวันที่หลวงพ่อบุญยังมรณภาพ ชาวบ้านแถบวัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้เห็นลูกๆไฟดวงใหญ่ลอยเดินทางไปยังวัดหนองน้อย และได้ลอยกลับมาโดยมีลูกๆไฟดวงเล็กตามมาด้วยเป็นที่ตื อันตาตื่นใจแก่ผู้คนในสมัยนั้นมากเล่าขานกันมาจนถึงปัจุบันนี้
    ชีวิตฆราวาส
    ท่านได้สมรสกับ นางสุขใจ เป็นผู้ที่ค่อนข้างจะมีฐานะดีในจังหวัดชัยนาท แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ได้มีร้านค้าขายของชำอยู่ในอำเภอวัดสิงห์ ยามว่างท่านก็จะไปศึกษาวิชาความรู้ทางไสยศาสตร์กับ พระสมุห์กลับ แสงเขียว วัดดอนตาล ซึ่งถือกันว่าเป็นศิษย์มือขวาของหลวงปู่ศุขเลยทีเดีย ว พระสมุห์กลับภายหลังท่านสึกจากพระเสียอีก
    ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่อมหาโพธิ์ซึ่งตอนนั้นท่านอยู่ในเพศฆราวาส ท่านได้ลงสมัครเลือกตั้งเป็น เทศมนตรีเทศบาล อำเภอวัดสิงห์ ในวาระ ๔ ปำถึง ๒ สมัย รวมเป็น ๘ ปีถึง พ.ศ.๒๕๐๗ ท่านได้เล่าไห็ฟังว่าตอนหาเสียงท่านก็ไม่ค่อยได้ออกไ ปหาเสียงที่ไหนอยู่ในร้านค้าของท่านในอำเภอวัดสิงห์ ค้าขายของไปวัน ๆ หนึ่ง แต่อาศัยที่ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาไสยศาสตร์จากหลว งพ่อบุญยัง และพระสมุห์กลับ ด้วยอานุภาพความศักดิ์ของวิชา นะฤาชา ที่หลวงพ่อบุญยัง ถ่ายทอดไห้มาเป็นพิเศษ จึงทำให้ท่านเป็นที่รู้จักเลื่องลือไปทั้งอำเภอวัดสิ งห์ เป็นที่นิยมชมชอบของประชาชน อำเภอวัดสิงห์ ท่านลอกว่าท่านไม่ต้องไปเหนื่อยกับการหาเสียงเลย ประชาชนทั่วไปเลือกท่านเป็นเทศมนตรีเทศบาล อำเภอวัดสิงห์ ถึง ๒ สมัย จนในปี ๒๕๑๗ กระทรวงมหาดไทยมอบใบประกอบในประกาศนียบัตร ชมเชยในการทำงานของท่าน ที่พัฒนา อำเภอวัดสิงห์ ให้มีความเจริญก้างหน้าแก่ ท้องถิ่น หลังจากที่ท่านได้หมดวาระในตำแหน่งเทศมนตรีไปแล้ว ๙ ปี
    เหตุที่กลับมาบวช
    หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านได้เล่าว่า ชีวิตของท่านมีความผูกพันกับวัดเสมอห่างจากวัดไม่ได้ แม้จะครองเพศฆราวาสก็ต้องวนเวียนอยู่กับวัด ก่อนที่ท่านจะกลับมาบวชจิตใจก้รุดมร้อน ทำอะไรก็เหมือนคนเสียสติ จนต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวโดยไม่มีสาเหตุของโรค จนมีอยู่วันหนึ่งขณะนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านได้ลุกขึ้นมาเขียนยันต์ต่าง ๆ ตลอดจนยันต์ครูที่ท่านเคยเรียนมา ได้ทิ้งไปนานไม่ได้ทบทวนเลย ซึ่งในเพศฆราวาสท่านก็ไม่ได้ฝึกฝนทบทวนต่อ เพราะเวลาว่างใหญ่จะไปทางโลกหมด ต้องวุ่นวายกับครอบครัวเรื่องการทำมาหากินเวลาปฏิบัต ิทางธรรมทางวิชาคุณพระก็หย่อนยานไป ขาดการไหว้ครูทุก ๆ ปี ก็เลยทำให้ท่านผิดปรกติ แต่ก็ดลจิตให้นึกขึ้นมาได้ ว่าสาเหตุจากแรงครูนี้เองโดยไม่ต้องให้แพทย์รักษา ในปี พ.ศ.๒๕๐๙ ท่านก็ได้เข้ามาสู่สมณเพศ อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้งที่วัดพานิชนาราม อำเภอวัดสิงห์ จ.ชัยนาท โดยมีพระอุปัชฌาย์ คือ พระครูสิงหชยสิชฌน์ (เจริญ) พระกรรมวาจารย์ พระคูครูแบน เจ้าอาวาสวัดโคกสุข และพระแช่ม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๒๖ เดือน มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๙ เวลา ๑๖.จ๕ น.และได้มาตำพรรษา สังกัดวัดโคกสุข ต.หนองน้อย อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาม จนถึงปี พ.ศ. ๒ษ๕๑๓ ได้ย้ายมาตำพรรษาอยู่ ณ วัดคลองมอญ ในวันที่ ๒๖ กันยายน เพราะวัดคลองมอญในเวลานั้นเกือบจะเป็นวัดล้างอยู่แล้ วไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่เลย ชาวบ้านที่อาศัยแถววัดคลองมอญ ได้นิมนต์ท่านให้มาปกครองวัดคลองมอญอยู่หลายครั้ง จนท่านต้องมาเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดคลองมอญ ได้สร้างความเจริญให้กับวัดคลองมอญเป็นอันมาก
    กิตติคุณของหลวงพ่อ
    ซื่อเสียงของท่านล่ำลือไปไกลหลายจังหวัด ในเรื่องการรักษาโรคต่าง ๆ ที่ไม่มีสาเหตุ ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ บางคนต้องมารักษาเป็นแรมเดือน ตอนนั้นท่านอยู่ในโบสถ์ รักษาคนไข้โรคแปลกๆ มีทั้งคนถูกคูณถูกของ ทั้งเสน่ห์เล่ห์กลต่าง ๆ น้ำมันพรายฯลฯ บางคนป่วยปางตายท่านก็รักษาจนหายมีชีวิตอยู่รอดได้ ผู้มีจิตศรัทธาจำนวนมากต่างก็มานมัสการท่านขอความเมต รตาจากท่านๆก็ได้สงเคราะห์ให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหน ื่อย ไม่เลือกชั้น วรรณะ ให้ ความเสมอภาคกับทุกๆ คนเสมอมา จนถึงปี พ.ศ. ๑๔๒๖ ท่านก็ได้หยุดรักษาคนไข้ ประกอบกับอายุสังขารท่าน ก็ชราภาพมากแล้วจึงต้องได้รับการพักผ่อน บำรุงรักษาร่างกายให้มีสุขภาพดี เป็นเนื้อนาบุญให้กับลูกศิษย์ และญาติโยม จะได้พึ่งบารมีของท่านไปได้อีก นาน ๆ จนถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ.๒๕๔๔ ) หลวงพ่อมาหาโพธิ์ญาณสังวโร เป็นทายาทศิษย์สายตรงของหลวงปู่ศุข ที่ถ่ายทอดตำราคัมภีร์ด้านพุทธคุณในศิษย์รุ่นที่ ๓ ที่ได้รับมาแต่ผู้เดียว
    การรักษาโรค
    หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านได้สอนวิธีการรักษาให้กับผู้เขียนในตัวผู้ป่วยที่อยู่ในอาการต่างๆ อาการอย่างไรควรรักษาด้วยวิธีการใด บางคนเป็นแผลเน่าไปทั้งตัว เคยไปรักษาที่โรงพยาบาล หมอปัจจุบันบอกว่าเป็นมะเร็ง รักษาอยู่หลายปีไม่หาย ได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาติพี่น้องได้พามารักษาที่ วัดคลองมอญ เมื่อหลวงพ่อดูอาการแล้วบอกว่า “โดนผีคุณ” ไม่ไช่มะเร็งหลวงพ่อท่านได้ใช้ปูนกับน้ำมนต์รักษาคนไ ข้ ใช้มีดหมอสับ และไม้เท้ากดตามตัวคนไข้ ก่อนทำการรักษาต้องมีดอกไม้ ธูปเทียน และเงิน ๖ บาทสลึงเป็นค่าบูชาครู และต้องบนครูด้วยว่า เมื่อหายจากอาการป่วยแล้วจะถวายครูด้วยไก่ ๑ ตัว, เหล้าขาว ๑ ขวด ,กล้วย ๑หวี, ข้าวสาร ๑ ถ้วย , และเงิน ๖ บาทสลึง เป็นสิ่งที่แปลกผู้คนส่วนมาก ที่มารักษาจากหลวงพ่อหายจากโรคร้ายทุกคน เมื่อถึงวันไหว้ครูจะมีผู้คนมามากมายถวายขวัญข้าวครู เต็มโบสถ์ไปหมดแทบจะไม่มีทางเดินเลย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญพระคันธราช หลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ ชัยนาท
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท
    (ปิดรายการ)
    IMG_20250320_191837.jpg IMG_20250320_191807.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2025 at 19:33
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,973
    ค่าพลัง:
    +21,371
    FB_IMG_1742474798810.jpg
    ประวัติโดยสังเขปของพระครูปทุมกิจโกศล หลวงพ่อแสวง อริโย
    (พระเถราจารย์ที่ถูกแกล้งลืม)
    เขียนโดยน้าเทพ วสภ
    ที่กระผมนายเข็มทองกำลังจะเล่าให้ผู้อ่านฟังนี้เป็นความจริงทั้งหมดที่ถูกแกล้งลืมมานานมาก ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ครับ คิดว่าผมเล่านิยายให้ท่านผู้อ่านฟังก็ได้ครับ อย่าเชื่อผมจนกว่าท่านทั้งหลายจะได้เข้าไปกราบแทบเท้าหลวงพ่อครับ โดยผมจะเริ่มเล่าให้ฟัง ณ บัดนี้ครับ
    หลวงพ่อแสวง อริโยเกิดในตระกูลเจ้าพระยา เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด พ.ศ. 2567 ตรงกับ วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2467 ร.ศ.143 จ.ศ. 1286
    บ้านเกิด ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี บิดาชื่อ นายเล็ก มารดาชื่อ นางทรัพย์
    มีพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันรวม 7 คน คือ
    1. นางสาวสาย(ถึงแก่กรรม)
    2. นาวสาวโปรย(ถึงแก่กรรม)
    3. นายสิน
    4. ผู้ใหญ่มล(ถึงแก่กรรม)
    5. นายแจ้ง
    6. พระครูปทุมกิจโกศล เดิมชื่อ ?แจ่ม? แต่ชาวบ้านเรียกท่านว่า ?แสวง? เมื่อท่านอุปสมบทแล้วจึงเรียกติดปากตั้งแต่นั้นมา
    7. นายจำรัส เจนกระบวน
    โยมปู่ชื่อหลวงเจนกระบวนทิศ(ต้นนามสกุลเจนกระบวน) เป็นเชื้อสายชาวมอญที่เป็นแม่ทัพนายกอง ซึ่งมีวิทยาคมสูงส่ง เจ้าของตำราผงสิบสองนักกษัตริย์ พูดถึงผงสิบสองนักกษัตริย์หลายท่านอาจจะงง แต่ถ้าพูดถึงหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ จ.ปทุมธานี และหลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกระฌอ จ.ชลบุรี ท่านคงจะหายสงสัย เพราะสมเด็จรุ่นแรกของหลวงปู่เทียน ที่ผสมผงสิบสองนักกษัตริย์ และสมเด็จรุ่นแรกของหลวงพ่อเริ่ม ก็มีราคาแพงเป็นที่ใฝ่หาของผู้ที่ดวงตก กำลังหาวัตถุมงคลเสริมดวง(รายละเอียดผงสิบสองนักกษัตริย์ หาอ่านได้ในประวัติหลวงปู่เทียนและหลวงพ่อเริ่ม) ผงสิบสองนักกษัตริย์นี้ การสร้างจะคล้ายๆกับผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ถ้าอยากทราบครั้งหน้าผมจะอธิบายรายละเอียดการทำผงสิบสองนักกษัตริย์ให้ฟัง
    มาฟังประวัติของหลวงพ่อกันต่อครับ
    ในวัยเด็กของหลวงพ่อชอบตามโยมแม่ของท่าน ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับแม่ชีพันธ์ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์เอกของท่านพ่อบันฑูรย์สิงห์ จังหวัดสมุครสาคร ถ้าเทียบเดี๋ยวนี้อำนาจฌาณสมาบัติของแม่ชีพันธ์ก็เทียบได้กับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม วัดอาวุธ ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่าคนถูกผีเข้า พาเข้าไปหาแม่ชีพันธ์นั้นท่านแค่อธิษฐานจิตปลายนิ้วชี้ของท่าน ชี้ไปที่ร่างของผู้ถูกผีเข้า ผีถึงกับร้องโหยหวน แล้วรีบออกจากร่างไปอย่างรนราน หลวงพ่อท่านได้รับการฝึกวิปัสสนากรรมฐานจากแม่ชีพันธ์ตั้งแต่วัยเด็ก หลังจากนั้นโยมแม่ของหลวงพ่อจึงพาหลวงพ่อไปฝากเรียนหนังสือไทยและขอมกับหลวงพ่ออู๊ด วัดหัตถสาร จ.ปทุมธานี มาถึงตรงนี้ท่านคงงงๆกันอีกแล้วว่าหลวงพ่ออู๊ดท่านเป็นใครมาจากไหน หลวงพ่ออู๊ดเป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม จ.อยุธยา ซึ่งมีศักดิ์เป็นศิษย์รุ่นพี่ของหลวงพ่ออั้น วัดพระญาติการาม ประวัติของหลวงพ่ออู๊ดไม่ค่อยจะได้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปนัก เพราะท่านเป็นพระที่ไม่ชอบอวดตัว คนส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงศิษย์หลวงพ่อกลั่น มักจะนึกถึงหลวงปู่สี วัดสะแก หลวงปู่ใหญ่ วัดสะแก หลวงพ่อคอน วัดชัยพฤกมาลา แต่ลองมาฟังสิ่งที่ผมจะเล่าถึงในวันสุดท้าย ณ สำนักหลวงพ่อกลั่น ของหลวงพ่ออู๊ด วันนั้นในตอนบ่ายหลวงพ่อกลั่น เรียกหลวงพ่ออู๊ดเข้าไปหาแล้วบอกว่า ?ท่านอู๊ดวิชาที่ผมมีอยู่ผมได้สอนท่านไปจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ถ้าคุณอยากจะก้าวหน้าต่อไปในเพศบรรพชิต คุณคงต้องหาที่ศึกษาเพิ่มเติมแล้วล่ะ? หลวงพ่ออู๊ดจึงถามหลวงพ่อกลั่นว่า ?หลวงพ่อครับ แล้วจะให้กระผมไปศึกษาต่อที่ไหนดีล่ะครับ ช่วยแนะนำผมด้วยครับ? หลวงพ่อกลั่นจึงตอบว่า ?ถ้าต้องการศึกษาต่อคงต้องไปหาหลวงพ่อหนู วัดชีปะขาวแล้วล่ะ(จ.อยุธยา) เดี๋ยวผมจะเขียนจดหมายฝากตัวคุณไปให้หลวงพ่อหนูด้วย? หลังจากนั้นหลวงพ่ออู๊ดก็ได้ออกจากสำนักของหลวงพ่อกลั่นพร้อมกับจดหมายฝากตัวที่หลวงพ่อกลั่นเขียนไว้ให้ เดินทางมุ่งหน้าสู่วัดชีปะขาวโดยลำพัง เมื่อถึงวัดชีปะขาวแล้วจึงนำจดหมายฝากตัวนี้ถวายให้หลวงพ่อหนูอ่าน เมื่อหลวงพ่อหนูอ่านแล้วก็ถามหลวงพ่ออู๊ดว่า ?คุณอยู่อารามไหนกัน? หลวงพ่ออู๊ดตอบว่า ?เกล้ากระผมอยู่วัดหัตถสารจังหวัดประทุมธานีครับ? หลวงพ่อหนูก็ถามต่อไปอีกว่า ?อ้าว! แล้วจะอยู่เรียนวิชากันอย่างไร? หลวงพ่ออู๊ดตอบว่า ?ผมจะเดินทางไปๆมาๆ เพื่อมาขอศึกษาต่อครับ? หลวงพ่อหนูตอบว่า ?เอ้อ อย่างนั้นไม่ต้องลำบากหรอก เดี๋ยวข้าจะไปหาเอ็งเอง ที่วัดของเอ็งมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่หนึ่งต้นใช่มั้ย? หลวงพ่ออู๊ดตอบว่า ?ใช่ครับหลวงปู่? หลวงพ่อหนูจึงตอบว่า ?เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าเอ็งไม่เข้าใจหรือติดขัดในวิชาใดๆ เอ็งไปรอข้าที่ต้นโพธิ์ใหญ่ พร้มกับจุดธูป 9 ดอก รำลึกถึงข้า ช้าจะไปหาเอ็งเอง? ท่านผู้อ่านครับเหมือนนิยายมั้ย แต่ฟังก่อนครับหลวงพ่ออู๊ดได้ต่อวิชาต่างๆจากหลวงปู่หนู วัดชีปะขาวจนจบคัมภีร์พระเวท ณ ที่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่วัดหัตถสารนั้นเอง หลวงพ่อเล่าให้ผมฟังแบบนี้ ผมก็ไม่กล้าถามท่านต่อแล้วครับเพราะผมรู้ดีว่าพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าท่านมักจะสำเร็จวิชาย่นระยะทางโดยอาศัยพลังแห่งธาตุเป็นหลัก ซึ่งเราก็อาจจะหาอ่านได้ในนิตยสารพระเกจิต่างๆมากมาย ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจง หลวงพ่อเดิม ฯลฯ ย้อนเข้ามาถึงเรื่องราวของหลวงพ่อต่อถึงตอนที่โยมแม่พาหลวงพ่อมาฝากเรียนหนังสือขอมและไทย โดยฝากไว้กับหลวงพ่ออู๊ด หลวงพ่อได้เรียนชั้นประถมที่วัดหัตถสารจากหลวงพ่ออู๊ดพร้อมเกร็ดวิชาต่างๆ จนเรียนจบแล้ว หลวงพ่อจึงได้บวชเณรอยู่กับหลวงพ่ออู๊ดที่วัดหัตถสารจนอายุใกล้ครบบวชพระ โยมแม่จึงขอร้องให้ไปบวชที่วัดใกล้บ้านคือวัดสว่างภพนั่นเอง หลวงพ่อได้อุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.2487 ณ พัทธสีมาวัดสว่างภพ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มีพระอธิการเฮ็ง สุมโนเป็นพระอุปัชฌาย์ พระวินัยธรหลุย เป็นพระกรรมวาจารย์และพระอธิการสวัสดิ์ โสตฺถิทตุโตเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วได้รับฉายาว่า ?อริโย? และหลังจากได้อุปสมบทแล้วได้กลับไปขอศึกษาวิชาในสายหลวงพ่อกลั่นจากหลวงพ่ออู๊ดต่อ พร้อมกับไปฝากตัวกับพระเถราจารย์รุ่นเก่าอีกมากมายนับไม่ถ้วน พระเถราจารย์ที่หลวงพ่อแสวงได้ศึกษามีดังนี้
    1. หลวงพ่อเลื่อน วัดไผ่ จ.อยุธยา
    2. หลวงพ่อสมบุญ วัดสว่างภพ หลวงพ่อแสวงได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492 ? 2500 จนมีความรู้ความสามารถทางการแพทย์แผนโบราณเป็นอย่างดี
    3. หลวงพ่อโป๋ วัดวังแดง จ.อยุธยา
    4. หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ จ.อยุธยา หลวงพ่อแสวงได้รับการถ่ายทอดมาหลายวิชา
    5. หลวงพ่ออุ่ม วัดเจ้ากอ จ.อยุธยา
    6. หลวงพ่ออู๊ด วัดหัตถสาร จ.ปทุมธานี
    7. หลวงพ่ออ่ำ วัดวงฆ้อง จ.อยุธยา
    8. หลวงพ่อโอภาส วัดพระศรีไกรน้อย บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เก่งมากทางสักยันต์ คงกระพันชาตรี
    9. หลวงพ่อจง พุทธสโร แห่งวัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา ที่เราคงจะได้ต้องบรรยายอะไรมาก เพราะว่าทุกๆคนน่าจะรู้จักท่านดี มีเรื่องเล่าขันๆให้ท่านผู้อ่านฟัง วันหนึ่งผมอยากจะรู้ว่าในตะกรุดสิบหกดอกของหลวงพ่อจงลงอักขระเลขยันต์อะไรไว้ ผมจึงขับรถไปหาหลวงพ่อแม้น ที่วัดหน้าต่างนอก เมื่อไปถึงวัดทางสะดวกเลยครับ พระหลวงพ่อแม้นกำลังไม่มีแขกพอดี ผมจึงเรียนถามท่านว่า ?หลวงพ่อครับ ตะกรุดสิบหกดอกของหลวงพ่อจง ลงยันต์อะไรไว้ครับผมอยากจะทราบ? หลวงพ่อแม้นท่านตอบผมว่า ?เอ้อ! คุณโยมมาจากวัดไหน? ผมตอบท่านว่า ?ผมมาจากวัดสว่างภพ จ.ปทุมธานีครับ? หลวงพ่อแม้นท่านยิ้มแล้วตอบผมว่า ?โยมมาซะไกลเลยนะ ไปถามหลวงพ่อแหวงสิ เขาทันเรียนกับหลวงพ่อจงและใกล้ชิดกว่าฉันอีก? มาถึงตอนนี้ไม่อยากจะบรรยายความรู้สึกเลยครับหน้าแตก(หมอไม่รับเย็บเลยงานนี้) ผมรีบขับรถกลับไปวัดสว่างภพทันทีเพื่อไปกราบแทบเท้าหลวงพ่อแสวง ท่านจึงเล่าความจริงให้ผมฟังว่าท่านไปๆมาๆ ระหว่างวัดหน้าต่างนอกและวัดสว่างภพอยู่เป็นปี เพื่อต่อวิชากับหลวงพ่อจง จนหลวงพ่อจงเมตตามาอยู่ช่วยปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดสว่างภพเป็นเวลาถึง 7 วัน 7 คืน พร้อมกับมอบเหล็กจารไว้ให้หลวงพ่อ 1 อัน พร้อมกับผงพุทธคุณ 1 บาตรใหญ่ๆ เพื่อให้หลวงพ่อแสวงสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปหลวงพ่อจงและพิมพ์สมเด็จเนื้อผง 1 รุ่น(ครั้งหน้าผมจะโม้ให้ฟังถึงวัตถุมงคลรุ่นนี้ พร้อมกับข่าวดีว่า ยังมีอยู่ที่วัดสว่างภพครับ)
    10. อาจารย์คง เป็นฆราวาสและเป็นศิษย์หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม จ.อยุธยา หลวงพ่อแสวงได้เรียนวิชาอาคมทางด้านคงกระพันแคล้วคลาดและเมตตามหานิยม เรียกได้ว่าครบเครื่อง
    11. อาจารย์หลำ เป็นฆราวาสมีอาคมแก่กล้าทางด้านคงกระพันชาตรี
    12. อาจารย์และพระเกจิอาจารย์ท่านอื่นๆอีกมากมาย แต่ไม่สามารถนำบอกกล่าวกันให้ฟังได้ครับ
    สรุป
    1. หลวงพ่อแสวงเป็นพระที่เก็บตัวไม่ชอบโอ้อวด
    2. เป็นพระเกจิอาจารย์ที่นั่งปรกตามพิธีพุทธาภิเษกมากกว่า 100 งาน แต่ไม่เคยขึ้นชื่อ เพราะว่า พอช่างภาพจะถ่ายรูปหลวงพ่อเดินหนีแล้วครับ(หนีอย่างเดียว)
    3. ตำรวจเก่าๆแถวประตูน้ำพระอินทร์ต้องขอร้องหลวงพ่อให้วางเข็มสัก และห้ามแจกตะกรุดกับเชือกคาด เพราะลูกศิษย์นอกคอกของหลวงพ่อทำให้ตำรวจต้องทำงานหนัก
    4. เป็นพระเกจิอาจารย์รูปเดียวที่นั่งปรกในพิธีของวัดประสาทบุญญาวาส ปี พ.ศ. 2505 และ พ.ศ. 2506 รูปเดียวที่ยังทรงสังขารอยู่(ตำนานที่ยังมีลมหายใจ)
    5. เป็นพระเกจิอาจารย์รูปเดียวที่นึ่งปรกในพิธีการสร้างพระสมเด็จบางขุนพรหม ปี พ.ศ. 2509 และหลวงพ่อยังได้รับแจกสมเด็จพิมพ์คะแนนจากเจ้าอาวาสวัดบางขุนพรหมมาประมาณ 200 องค์(อยากได้ก็ไปตื้อกับหลวงพ่อกันเอาเองนะครับ งานนี้ผมไม่เกี่ยว)
    6. ตอนนี้ญาติโยมที่เป็นชาวมาเลเซียมาตื้อหลวงพ่อให้ขึ้นเครื่องไปโปรดญาติโยมที่มาเลเซีย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปโดนอะไรกันเข้า เห็นบอกว่าถ้าหลวงพ่อไม่ไปมาเลเซีย จะจัดแพ็คเก็จทัวร์รอบพิเศษมากินนอนกันที่วัดสว่างภพกันเลยครับ(เอากันเข้าไป)
    7. มีพระชรารูปหนึ่งปัจจุบันมรณภาพไปแล้ว ซึ่งบวชรุ่นเดียวกันกับหลวงพ่อ เล่าให้ผมฟังว่าเคยแอบดูหลวงพ่อว่าท่านไปทำอะไรในโบสถ์ และเห็นหลวงพ่อเสกผ้าอาบน้ำฝนโยนลงกับพื้น ผ้าอาบน้ำฝนนั้นกลับกลายเป็นกระต่ายสีขาววิ่งรอบตัวหลวงพ่อ(เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลแล้วกันนะครับ งานนี้ผมก็ไม่เกี่ยวอีกนั่นแหละ) แต่รู้ว่าตอนที่พระชรารูปนี้ท่านคุยกับผมท่านบอกว่าจะเอาอาตมาไปสาบาญที่ไหนก็ได้
    บทส่งท้าย
    ถ้าจะเล่าเรื่องประสบการณ์และอภินิหารของวัตถุมงคล ต้องขอยกยอดไว้เที่ยวหน้าแล้วกันนะครับ และถ้าอยากจะได้วัตถุมงคลของหลวงพ่อรุ่นเก่าๆ หรือเหรียญรุ่นแรกไม่ต้องติดต่อมาทางผมเลยนะครับ เพราะว่าตลอดสิบกว่าปีที่ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อผมมีเหล็กจารที่หลวงพ่อได้ให้ไว้อันเดียวครับ และผมเองไม่เคยมีของหลวงพ่อไว้ขายเหมือนอย่างที่ลูกศิษย์ในสายอื่นเค้าทำกัน เพราะผมก็ไม่ได้ตั้งศูนย์พระเครื่อง อ้อ! เกือบลืมไป ล่าสุดนี้กรมศิลปากรได้จัดสร้างพระพิฆเนศ รุ่นที่สอง ทำพิธีปลุกเสกที่กรมศิลปากร บริเวณวังหน้า ทางกรรมการผู้จัดสร้างฝ่ายกรมศิลปากร โหวตรายนามพระเกจิอาจารย์ที่จะเข้านั่งปรกทั่วประเทศให้เหลือ 16 รูป หลวงพ่อแสวงคือหนึ่งในนั้นด้วยครับ
    เอาเป็นว่าเที่ยวหน้าถ้าผมมีเวลาจะมาโม้ให้ท่านฟังกันต่อนะครับ
    ขอความโชคดีมีชัยและจตุรพิธพรชัย จงมีแด่ทุกๆท่านครับ
    โชคดี งดเหล้าวันเข้าพรรษาโดยถ้วนหน้าครับ
    ตะกรุดโทนมหาอุตม์ ที่สุดหน้าทอง หมายปองมีดหมอเทพศาสตรา พญาสิงห์สุดคงทน แก้จนตะเพียนทอง พรั่งพร้อมกริ่งโบราณ อภินิหารหลวงพ่ออู่ทอง
    ประกาศ! วัตถุมงคลของวัดสว่างภพทุกชิ้นในขณะนี้เป็นของเก่าที่หลวงพ่อแสวงอธิษฐานจิตปลุกเสกไว้ให้อย่างเต็มที่ตลอดหลายไตรมาสก่อนมรณภาพ โดยมิได้มีการสร้างเสริมหรือสร้างใหม่แต่อย่างใด จึงขอแจ้งให้บรรดาศิษยานุศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือในองค์หลวงพ่อแสวงทุกท่านทราบโดยทั่วกัน
    วัดสว่างภพ
    ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จปรกโพธิ์หลวงพ่อแสวงวัดสว่างภพ
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250320_191145.jpg IMG_20250320_191210.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2025 at 07:02
  4. sunmk

    sunmk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    1,299
    ค่าพลัง:
    +1,095
    จองพระกริ่งทรงครุฑ มหาราช ภปร. วัดสีกัน
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,973
    ค่าพลัง:
    +21,371
    รับทราบครับขอบคุณครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,973
    ค่าพลัง:
    +21,371
    FB_IMG_1742477544159.jpg

    หลวงพ่อทองสุข ลทฺธเมโธ วัดหนองฆ้อ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
    หลวงพ่อทองสุข ลทฺธเมโธ วัดหนองฆ้อ อายุ 88ปี 67พรรษาเจ้าอาวาสวัดหนองฆ้อ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่แก้วเกสาโร พระผู้ทรงพุทธาคมแห่งวัดหนองพะวา ผู้คนเริ่มรู้จักท่านเมื่อครั้งพิธีปลุกเสกสีผึ้งพรายแม่ส้มที่วัดระหารไร่ เมื่อครั้งหลวงพ่อทองสุข นั่งอธิฐานจิตปลุกเสกในขณะที่นั่งอยู่นั้นได้เกิดปรากฏการน้ำมนต์เดือด และสายสิญจน์ที่ท่านปลุกเสกอยู่นั้นไม่ไหม้ไฟ ปรากฏการนี้ทำให้หลายคนถึงกับตกตลึงว่าเกจิรูปนี้คือใคร มาจากไหน และหลานคนคนคิดว่าลูกศิษย์หลวงปู่ทิมหลวงปู่แก้ว มีหลวงพ่อสิน หลวงพ่อสาคร เท่านั้นหรือแล้วหลวงพ่อทองสุขท่านมาจากไหน ต้องบอกเลยว่าลูกศิษย์หลวงปู่ทิม หลวงปู่แก้ว ไม่ได้มีเพียงหลวงพ่อสิน หลวงพ่อสาคร เท่านั้นหลวงปู่ทิมท่านยังมีลูกศิษย์ อีกหลายท่านหลายรูปที่เรายังไม่รู้จักทั้งมีชีวิตอยู่และมรณภาพไปแล้วเช่นหลวงปู่โทน วัดเขาคีรีน้อย หลวงปู่ทิมรับเป็นศิษย์เมื่อครั้งจำพรรษาที่วัดนามะตูม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี หลวงพ่อบาง วัดหนองกาน้ำ หลวงพ่อทวน วัดแม่น้ำคู้ อ.ปลวกแดง หลวงปู่เย็นวัดหัวชวด ที่กล่าวมาก็เป็นที่พอรู้จักกันบ้าง และมีบางรูปท่านหลายท่านไม่รู้จักเลย หลวงพ่อทองสุข ลทฺธเมโธ วัดหนองฆ้อ ถือว่าเป็นศิษย์หลวงปู่ทิมหลวงปู่แก้วที่คนรู้จักน้อยมาก เพราะท่านรักความสงบเรียบง่ายสมถะเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยได้เปิดเผยตัวเองท่านไม่ชอบความวุ่นวายและอยู่แบบนี้เรื่อยมา

    FB_IMG_1742477439652.jpg
    หลวงพ่อทองสุข ลทฺธเมโธ เจ้าอาวาสวัดหนองฆ้อ นามเดิม ทองสุข นามสกุล ขอบอรัญ เกิดเมื่อวันศุกร์ ที่ 22 พฤษภพาคม 2479 ขึ้น 2ค่ำ เดือน 7ปี ชวด ท่านเป็นบุตรของโยมพ่ออ่ำ และโยมแม่อวบบ้านเกิดหนองคอกหมู หมู่ที่ 3 ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เป็นหมู่บ้านใกล้บ้านค่าย มีหลวงพ่อวงษ์ (อดีต)เจ้าอาวาสวัดหนองฆ้อ หลวงพ่อจะตามโยมบิดา มารดาไปทำบุญที่วัดบ้านค่ายอยู่เป็นประจำ ได้และเห็นจริยาวัตรอันงดงามเห็นการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระภิกษุสงฆ์ทำให้เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธ หลวงปู่สุขท่านมีนิสัยรักความสงบชอบศึกษาเรื่องราวเกี่ยวธรรมมะประกอบกับมีอุปนิสัยรักสันโดษ และท่านยังชอบเรียนรู้สิ่งต่างไม่ทางตำราว่านยา สมุนไพร เรื่องราวเกี่ยวกับลี้ลับต่างตั้งแต่สมัยท่านอายุยังไม่ครบบวช จึงไม่แปลกใจที่ท่านมีความรู้เรื่องราวต่างมากมาย ครั้นเมื่ออายุครบ 21 ปีอายุครบบวชท่านตั้งใจว่า วันหนึ่งเราจะบวชแบบหลวงพ่อวงษ์และศิษย์ของท่าน เมื่อถึงเวลาท่านได้ให้โยมบิดา โยมมารดาพาไปฝากวัดและอุปสมบทเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2500 โดยมีพระครูวิจิตรธรรมนุวัติ (หลวงพ่อลัด )วัดหนองกระบอกเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระสวัสดิ์ กิตฺตวณฺโณ วัดกระบกขึ้นผึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการสร้อย ถริธมฺโม วัดหวายกรองเป็นอนุสาวนาจารย์ ได้ ฉายา “ลทฺธเมโธ” หลังได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้วท่านได้กลับไปจำพรรษาที่วัดหนองพะวา สลับไปปฏิบัติกับพระอุปัชฌาย์ของท่าน (หลวงพ่อลัด)ที่วัดหนองกระบอกได้เรียนรู้สรรพวิชาต่างหลวงพ่อลัดไม่ว่าจะธรรมบาลี ฝึกหัดเรียนอักขระตัวธรรม หัดท่องบทสวดมนต์ พระคาถาต่าง ซึ่งเป็นพื้นฐาน หลวงพ่อทองสุขท่านมีไหวพริบดี สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและยังอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เคยโอ้อวดใครและมั่นฝึกฝนตนเองอยู่เสมอระหว่างที่ไปสลับไปมา ระหว่างวัดหนองพะวะและหนองกระบอกท่านก็ได้เรียนรู้การฝึกวิปัสสนา ฝึกกรรมฐาน นั่งสมาธิภาวนาอยู่ตลอดเวลาและได้เรียนวิชาต่าง และท่านได้เรียนวิชาจากหลวงปู่แก้ว เกสาโร ไม่ว่าจะวิชาตั้งธาตุ 4 นะ มะ พะ ธะ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นพื้นฐานผู้ที่จะเรียน กสินต่างๆหลวงพ่อทองสุขได้เรียนวิชาหลวงปู่แก้ว ไม่ว่าจะเป็นวิชาสักยันต์ ว่านยาดูฤกษ์ยาม ต่าง การเขียนอักขระเลขยันต์หลวงปู่แก้วได้ถ่ายทอดให้พลวงพ่อทองสุข ยันต์ที่หลวงปู่แก้ว ได้หัดให้หลวงพ่อทองสุขคือยันต์ อิติปิโสแปดทิศ หลวงพ่อทองสุขได้เริ่มหัดเขียนยันต์นี้เป็นยันต์แรกใช้เวลาหลายวันหลวงปู่แก้วจะให้ท่องพระคาถาไปด้วยในขณะที่เขียนยันต์ เพื่อให้เกิดสมาธิและเพื่อให้เกิดพุทธคุณเมื่อหลวงปู่แก้วท่านเห็นว่าผ่านแล้วท่านจึงสอนยันต์ถัดไปหลวงปู่แก้วท่าเคร่งมากหากยังไม่ชำนาญท่านจะยังไม่สอนต่อและระหว่างที่เรียนท่านจะทดสอบอยู่เสมอเมื่อหลวงพ่อทองสุขได้เรียนรู้เกี่ยวกับอักขระเลขยันต์จนชำนาญแล้วหลวงปู่แก้วจึ่งเริ่มหัดให้ท่านสักยันต์ ให้ ยันต์ที่หลวงปู่แก้วสักให้หลวงพ่อทองสุข มีหลายยันต์ เช่นยันต์อิติปิโสแปด ยันต์พุทธเจ้าห้าพระองค์ ยันต์หนุมาน ยันต์สาม การที่หลวงปู่แก้วท่านสักยันต์ให้หลวงพ่อทองสุขนั้นเป็นเครื่องหมายว่ายอมรับการเป็นศิษย์อย่างสมบูรณ์ หลักจากได้รับการสักยันต์จากหลวงปู่แก้วแล้วหลวงพ่อทองสุข ก็เริ่มสักให้ญาติโยมแทนหลวงปู่แก้วในการสักแต่ละครั้งต้องดูฤกษ์ยามอันเป็นมงคลที่สุดแล้วค่อยทำการสักยันต์ ในสมัยนั้นจะมีการสักอยู่สองแบบคือสักหมึกและสักน้ำมันว่าน เมื่อสักเสร็จแล้วหลวงปู่แก้วท่านก็จะมาบรรจุคาถาอาคมให้เป็นอันเสร็จพิธี หลวงพ่อทองสุขท่านอยู่จำพรรษาที่วัดหนองพะวาถึง 5พรรษาก่อนที่จะเดินทางไปที่วัดหวายกองและอยู่จำพรรษา 1พรรษาหลังจากพรรษาหลวงพ่อทองสุขเดินไปที่พักสงฆ์ดอนจันทร์ สมัยก่อนต้องเดินทางด้วยเท้าไม่ค่อยถนนหนทางมีแต่ป่าไม้จำทำให้เดินไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวกหนักเมื่อท่านถึงพักสงฆ์ดอนจันทร์
    ประวัติความเป็นมาวัดดอนจันทร์
    วัดดอนจันทร์ เดิมในสมัยโบราณชาวชาวบ้านเรียกว่า วัดเนินจันทร์ เพราะเป็นเนินเตี้ยๆสภาพพื้นที่เป็นดินทรายละเอียดและมีไม้จันทร์หอมต้นใหญ่อยู่แถวที่บริเวณสร้างวัด ชาวบ้านจึงเรียกกันว่าวัดเนินจันทร์ ซึ่งเป็นที่ของ นายกรุด วิเชียรปักษา เนื้อที่ ๕๐ ไร่ ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๐ นายกรุด วิเชียรปักษาเจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินให้เพื่อทำการสร้างวัดโดยมีประชาชนในท้องที่ได้ประชุมศึกษาหารือกันเพื่อจะทำการสร้างวัดเพราะหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ไกลจากวัดต่างๆมากประชาชนจะไปทำบุญก็ไม่สะดวกเพราะในสมัยก่อนนั้นไม่มีรถและถนนหนทางก็ไม่สะดวกสบายเหมือนปัจจุบันนี้ ต่างคนก็คิดเห็นความบากจึงตกลงกันสร้างวัดในระยะเริ่มแรกสร้างเป็นกุฎีหลังเล็กๆขึ้นหนึ่งหลังพอเป็นที่พักของพระภิกษุสงฆ์ และได้อาราธนาพระภิกษุมาจากวัดต่างๆรวมทั้งหมด ๗ รูป ด้วยกันมาจำพรรษาที่พักสงฆ์ดอนจันทร์นี้ ต่อมาประชาชนท้องถิ่นเห็นชอบเกิดความศรัทธา จึงพร้อมใจกันสร้างกุฎีขึ้นอีก ๑ หลัง และศาลาการเปรียญ ๑ หลัง ในปีต่อมา นายกรุด วิเชียรปักษา ได้จัดการทำเรื่องขออนุญาตตั้งวัดให้ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการและกระทรวงศึกษาธิการได้รับอนุญาตยกให้เป็นวัดขึ้นในพระพุทธศาสนา มีนามว่า วัดดอนจันทร์ เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๑๒
    เมื่อเป็นวัดถูกต้องตามระเบียบของทางการแล้ว พระทองสุข ลทฺธเมโธ ได้รับการแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปแรกเมื่อพ.ศ.๒๕๓๑ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสมาถึงพ.ศ.๒๕๑๘พระอธิการทองสุข ลทฺธเมโธ


    ในระหว่างที่หลวงพ่อทองสุขท่านจำพรรษาที่วัดดอนจันทร์ได้ก็ได้ถือโอกาสไปศึกษาเล่าเรียนวิชาจากหลวงปู่ทิมเป็นเวลาหลายพรรษาระหว่างที่ศึกษาวิชากับหลวงปู่ทิมนั้นท่านก็จะได้เรียนจากจากหลวงปู่แก้วอีกด้วยเพราะหลวงปู่แก้วท่านมาวัดละหารไร่อยู่เป็นประจำ วิชาที่ได้เรียนจากหลวงปู่ทิมคือการทำน้ำมนต์ ตำราการปลุกเสก วิชาอักขระเลขยันต์ วิชาแพทย์หลวงพ่อทองสุขท่านชอบศึกษาวิชาด่านสมุนไพรว่านยา ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดมามาจากหลวงปู่ทิมและโยมฆาราวาสน นอกจากท่านไปมากับวัดอยู่พระหากท่านติดขัดเรื่องไหนเมื่อถามหลวงปู่ทิม หลวงปู่ทิมก็จะบอกว่าให้ไปหาหลวงปู่แก้วให้หลวงปู่แก้วบอกสอนแทนท่าน ดั้งนั้นหลวงพ่อทองสุข ท่านจะได้เรียนวิชาจากหลวงปู่แก้วมากกว่าหลวงปู่ทิมเพราะหลวงปู่ทิมท่านมีลูกศิษย์หลายท่านประกอบด้วยท่านมีกิจนิมนต์มากมาขอศึกษาเล่าเรียนวิชาจากท่านในยุคนั้น หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับท่านก็ไปมาที่วัดละหารไร่อยู่เป็นประจำ เพื่อมาศึกษาเล่าเรียนเวทย์มนต์คาถา ตำราต่างๆ จากหลวงปู่ทิม นอกจากได้พบเกจิหลายท่านเช่นหลวงพ่อสินวัดละหารใหญ่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่เสมอ หลวงพ่อทองสุข ท่านคอยติดตามหลวงปู่แก้ว ตลอดเวลาไม่ว่าหลวงปู่แก้วจะเดินทางไปไหนท่านก็ติดตามไปทุกที่เช่นเมื่อครั้งหลวงปู่ทิม หลวงปู่แก้วไปจำพรรษาที่วัดแม้น้ำคู้ ท่านก็ติดตามหลวงปู่แก้ว หลวงพ่อทองสุขท่านมีความจำดีมากในเขต บ้านค่ายจะรู้จักท่านดีเพราะท่านเป็นพระคู่สวดปาฏิโมก ในสมัยนั้นเส้นทางสันจรยังลำบากจะเดินทางไปไหนต้องใช้เวลานานมากถ้าเดินทางไหนไกลๆต้องค้างคืนที่วัดนั้น หลวงพ่อทองสุข
    ประสบการณ์ด้านวัตถุมงคลของหลวงพ่อทองสุข นั้นมีมากมายทั้งทางด้านเมตตาแคล้วคลาดและคงกระพันชาตรีชาวบ้านในพื้นที่อำเภอบ้านค่ายต่างรู้จักท่านลูกศิษย์ท่านมีมากมาย และยังเป็นครูอาจารย์ของหลายเกจิ เช่นหลวงพ่อรัตน์ วัดป่าหวาย หลวงพ่อนพ วราโร สำนักปฏิบัติธรรมสวนขนุน ชึ่งได้เล่าเรียนวิชาจากหลวงพ่อทองสุข ล้วนแต่มีประสบการณ์ วัตถุมงคลของท่านนั้น เริ่มสร้างตั้ง ปี 2517 เมื่อครั้งท่านยังจำพรรษาที่วัดดอนจันทร์ ท่านได้จัดสร้างพระสมเด็จเนื้อกระยาสารท รุ่นแรกท่านกดพิมพ์ ด้วยมือท่านเองที่ละองค์และสร้างจำนวนน้อย และได้แจกลูกศิษย์ชาวดอนจันทร์ ไว้บูชาติดตัวสมัยก่อนคนในพื้นที่ศรัทธาท่านมาก และลูกศิษย์ท่านมีหลายกลุ่ม ทั้งวัยรุ่น และโดยนิสัยของวัยรุ่นก็มีความคึกคะนองโดยปกติ เมื่อมีงานวัดก็ไปเที่ยวและเกิดการทะเลาะวิวาทเป็นธรรมดา เมื่อเกิดเรื่องก่อมีการยิงต่อสู้ ระหว่างวัยรุ่น ดอนจันทร์และวัยรุ่นเจ้าถิ่น วัยรุ่นดอนจันทร์นั้นพกพระสมเด็จของหลวงพ่อทองสุข เมื่อวัยรุ่นเจ้าถิ่น ชักปืนยิง 3นัดแต่กระสุนไม่ออก ทำให้วัยรุ่นเจ้าถิ่นตกใจ ถึงกลับวิ่งหนี ไปตั้งหลัก ในหมู่บ้าน และสืบทราบคู่อริที่ยิงนั้นเป็นชาวหนอกละลอก หลวงพ่อทองสุขนั้นในช่วงต้นปี18 ท่านก็ไปมาระหว่างวัดดอนจันทร์ และวัดไร่ ตลอดและได้มีโอกาสได้เรียนรู้ วิชาเพิ่มเติมจากหลวงปู่ทิม ท่านได้เดินทางไปพร้อมลุงเนา ในช่วงกลางคืนทุกวัน ไม่แปลกใจที่วัตถุมงคลจึงมีพุทธคุณครบทุกด้าน ทั้งเมตตาและแคล้วคลาด และท่านยังได้ติดตามหลวงปู่แก้ว ไปอยู่ที่วัดแม่น้ำคู้ เมื่อครั้งหลวงปู่แก้ว ปลุกเสกเหรียญ ปิดตาหลวงพ่อทองสุขท่านก็อยู่ในพิธีด้วย ท่านจึงเป็นเกจิอีกรูปหนึ่งที่วัตถุมงคลด้านคงกระพันชาตรี หลวงพ่อทองสุข ท่านไม่ชอบถ่ายรูปจึงไม่คอยมีรูปท่านเพราะท่านมีนิสัยรักสันโดษ และชอบศึกษาความรู้อยู่เป็นประจำ ยิ่งได้ใกล้ชิดครูอาจารย์ อย่างหลวงปู่แก้ว เกสาโร ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาทั้งหมดที่มี ให้และเป็นศิษย์หลวงปู่แก้วไว้ใจ ในทุกเรื่อง ทั้งการสักยันต์ การทำน้ำมนต์หลวงปู่แก้วท่านได้สอนให้หลวงพ่อทองสุข ครบทุกอย่าง และหลวงพ่อนาค วัดหนองพะวา ผู้เป็นศิษย์น้อง หากทางวัดหนองพะวา จัดสร้างวัตถุมงคล เกจิที่ขาดไม่ได้คือหลวงพ่อทองสุข ที่หลวงพ่อนาคต้องนิมนต์ท่านมานั่งปรกอธิฐานจิต เพราะว่าด้วยวิชาอาคม หลวงพ่อทองสุข ท่านเก่งทุกด้าน เรื่องราวศักดิ์สิทธิ์ ของท่านไม่ใช่แค่วัตถุมงคลของท่าน น้ำมนต์ของท่านก็ศักดิ์สิทธิ์ ไม่แพ้กัน เมื่อครั้งท่านได้มาที่หนองฆ้อ เริ่มจัดตั้ง สำนักสงฆ์ ชาวบ้านมีการเจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ สามวันดี สี่วันหายและได้หาท่านว่าผีท่านได้ไปเอาขันน้ำมนต์ มาพรมให้อาการผิดปกติก็เริ่มดีขั้น ในช่วงที่ท่านมาอยู่ที่วัดหนองฆ้อ ท่านก็เริ่มจัดสร้างวัตถุมงคลหลายรุ่น เช่นพระผงสมเด็จ พระผงสมเด็จปรกโพธิ์ และเครื่องราง เช่นตระกรุด
    ชาวบ้านในพื้นที่ต่างพากันบูชาวัตถุมงคลของท่านเป็นจำนวนมาก และมีประสบการณ์อย่าง คุณอ้น ชาวบ้านหนองฆ้อมีอาชีพขับรถ ส่งของ ต่างจังหวัดอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งได้เดินทางไปส่งสินค้าที่จังหวัด จันทบุรี พร้อมเพื่อนอีกสามคน อีกคนชื่องา ปัจจุบันบวชเป็นภิกษุที่วัดหนองฆ้อ ในขณะเดินทางเกิดฝนตกหนัก ทำให้มองไม่เป็นถนนรถได้เกิดอุบัติเหตุ พลิกควัมลงข้างทางทำให้รถพังเสียหายเป็นอย่างมาก ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์คิดว่าคนที่อยู่ในรถ ตายการหมดเพราะสภาพรถเสียหายมากแต่พอสักพักทั้งสามคนออกมาจากรถไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ชึ่งทำให้ชาวตกใจไม่มีใครเป็นที่อัจรรย์ใจให้ผู้พบเห็นเหตุการณ์ และมีอีกหนึ่งเหตุการณ์ ป้าคร ลูกศิษย์หลวงพ่อทองสุข ได้ขับรถไปทำธุระได้เกิดอุบัติเหตุรถยนต์เสียหลักลงข้างทาง แต่ไม่รับอันตรายใดเลยในรถของป้าคร มีพระผงรูปเหมือนหลวงพ่อทองสุข และเหรียญ ฝังพัทธสีมา ติดตัวอยู่ นอกจากนี้ชาวบ้านส่วนมากมีอาชีพทำสวนมักจะถูกงูกัดอยู่เป็นประจำและสัตว์มีพิษ หลวงพ่อทองสุข จึงได้จัดสร้างพระผงสมเด็จปรกโพธิ์ เนื้อว่าน ผสมว่านกันงู เมื่อชาวบ้านนำไปบูชาติดตัว ไม่มีใครโดนงูกัดอีกเลย ทำให้วัตถุมงคลของท่านหายากเพิ่มมากขึ้น ในการสร้างวัตถุมงคลของท่าน ท่าจะเน้นเรื่องมวลสารมาก เพราะมวลสารทุกอย่างล้วนมีพลังพุทธคุณอยู่ในตัวอยู่แล้วท่านจึงพยายามหามวลสารมาให้ครบตามตำราที่ท่านได้เรียนมา นอกนี้สีผึ่งของท่านยังสิ่งที่ลูกศิษย์หลายคนนำไปบูชา เพราะหลายคนมีอาชีพค้าขาย ก็จะบูชา พุทธคุณนั้นเมตตา เหมือนมนต์นะจังงัง สะกดให้ผู้พบเห็นเกิดเมตตา หากค้าขายก็ขายจะค้าขายดีนัก เพราะท่านได้เล่าเรียนวิชาจากครูอาจารย์ การทำสีผึ่งนั้นทำได้อยากมากเพราะส่วนผสมนั้นมีเยอะ หลวงพ่อท่านจะย้ำเสมอว่า ทำอะไรต้องทำให้ดี คนเอาไปใช้จะได้เกิดพลังพุทธคุณช่วยคุ้มครอง และมีลูกศิษย์ชาวจังหวัดชลบุรี ได้มาบูชาเหรียญนาคปรกไตรมาส ไปบูชา ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ชนท้ายรถยนต์ มองจากสภาพรถแล้วชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ว่าผู้ประสบอุบัติเหตุ คงเสียชีวิตแล้วชาวบ้านมึงมองหาศพแต่ไม่เจอพบแต่หนุ่มโรงงาน นั่งสูบบุหรี่จึงถามคนที่ชนท้ายรถไปไหน และในขณะนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำตรวจได้มาถึงที่เกิดเหตุพอดี และทำการสอบถามผู้เห็นการว่าเป็นอย่างไรและถามหาผู้บาดเจ็บว่าไปส่งโรงพยาบาลหรือยัง ทางผู้ประสบเหตุจึงบอกว่าตนเป็นเองเป็นประสบเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ตำตรวจถึงกับตกใจเพราะผู้ประสบเหตุไม่เป็นอะไรเลยมีแค่แผลถลอกนิดหน่อยและถามว่าท่านบูชาพระเครื่องอะไร เขาตอบว่าแขวนนาคปรกหลวงพ่อทองสุข วัดหนองฆ้อ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงบูชาต่อในราคา 3000บาทแต่ผู้ประสบเหตุบอกว่าผมไม่ขายหรอกครับพระองค์นี้ช่วยให้ผมรอดตาย จากอุบัติเหตุในครั้งนี้ดังปาฎิหารผมจะเก็บไว้บูชาครับและหลังจากเหตุการณ์นี้เขาก็ได้มากราบหลวงพ่อทองสุขที่วัดหนองฆ้อและได้เล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อท่านฟังท่านบอกว่าดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก และเขาบูชาวัตถุมงคลของท่านกลับให้ญาติพี่น้องได้บูชาอีกหลายเหรียญหนึ่หงเรื่องราววัตถุมงคลของหลวงปู่เกี่ยวกับกันเรื่องเวทมนต์คุณใส น้องปรางเป็นชาวจังหวัดกาฬสินธ์ ได้เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อไปร่วมงานบวชของแฟนและได้ไปเยี่ยมญาติที่ป่วยในหมู่บ้าน ปกติน้องปรางจะบูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่อยู่เป็นประจำและเวลาว่าก็จะมากราบท่านอยู่เป็นประจำ วันนั้นได้ไปเยี่ยมญาติที่ป่วยหนักอยู่ พอน้องปรางเดินเข้าไปใกล้ญาติที่ป่วยอยู่ ก็มีอาการผิดปกติ เกิดร้องเสียงดัง ขึ้นมาว่ากูร้อน กูร้อนมึงออกไป มึงออกไป อย่ามาใกล้กู กูกลัวแล้ว และ ผลักปรางออก ด้วยความตกใจ ปรางจึงถามญาติพี่ว่าน้องว่าลุงเป็นอะไร ทำไมมีอาการแบบนี้ ทุกคนตอบว่าไม่ทราบเหมือนกัน เมื่อปรางเห็นท่าไม่ดีจึงจึงนำเอาสร้อยคอที่ห้อยพระสวมลงที่คอของลุง แก่ยิ่งร้องดั่งลั่นบ้านเลย กูไม่ไม่อยู่แล้ว กูร้อนโอย อาการร้องอย่างทรมาน กรีดร้อง เหมือนเสียงของลิง ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านในระแวงนั้นว่าคนที่ร้องแบบนั้นนั่นมักจะโดนของหรือโดนผีปอบเข้าสิงร่าง พอลุงอาการดีขึ้นจึงได้ถามว่าลุงเป็นอะไร แต่ลุงก็ตอบว่าไม่รู้ หลังเวลาผ่านไปอีกไม่กี่วันลุงก็เสี่ยชีวิต ชาวบ้านเชื่อว่าเพราะผีปอบกิน ความเชื่อทางภาคอีสาน หลังจากนั้นปรางไม่เคยหากวัตถุมงคลของหลวงพ่ออีกเลย และได้บูชาติดตัวตลอดเวลา ลูกของหลวงปู่หลายคนเรื่องประการทางด้านคงกระพัน และแคล้วลูกศิษย์คนหนึ่งในอำเภอบ้านค่าย ไม่ทราบทำผิดเรื่องคดีอะไร ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมยิง บริเวณป่าอ้อย ในขณะหลบหนีก็โดนหลังที่บริเวณด้านหลัง แต่กระสุนไม่สามารถทะลุร่างกายไปได้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต้นเดือนมีนาคม ปี 61นี้เองและผู้ที่โดนยิงก็มาเล่าหลวงพ่อฟังถึงเหตุการณ์ที่ตนเองโดนยิงหลวงพ่อบอกว่าให้กลับตัวเป็นดีสะเรื่องอะไรที่มันไม่ดีก็ขอให้เลิกทำคราวนี้อาจจะรอดมาได้ เขาบอกว่าหากไม่ได้เหรียญของหลวงพ่อผมคงตายไปแล้วเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5-6 นายยิงจนกระสุนหมดทุกนาย และยังรอดมาได้หากไม่ได้บารมีหลวงพ่อคุ้มครองตนคงไม่รอดเป็นแน่แท้ หลังจากเขาก็ให้หลวงพ่อพรมน้ำมน๖ให้แล้วกลับบ้าน หลายคนที่ไปกราบหลวงพ่อท่านครั้งแรกที่ไปกราบท่านนั้นมักจะแอบถ่ายรูปท่านเสมอแต่พอถ่ายเสร็จปรากฏว่าไม่มีภาพหลวงพ่อท่านติดกสักภาพ พี่ดวงดี ทำงานที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดได้มากราบหลวงปู่ที่วัดหนองฆ้อพร้อมกับแฟน พอพี่ดวงกราบหลวงพ่อก็ให้แฟนถ่ายรูป แต่ถ่ายยังไงก็ถ่ายไม่ติด กดถ่ายไปสิบกว่าภาพก็ไม่ติดเลยแถวโทรศัพท์ มือถือค้างอีก ไม่สามารถทำงานได้แล้วก็ได้ปิดและปิดเครื่องใหม่ที่จะถ่าย แต่ไม่ติด ในขณะ
    นั้นมีลุกศิษย์อยู่ด้วยจึงถามว่าได้ขออนุญาตท่านแล้วหรือยังจะถ่ายรูปท่าน เขาเลยตอบว่ายัง ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับถ้าไม่ขอท่านส่วนมากถ่ายภาพท่านไม่ติด ถ้าท่านไม่อนุญาตทุกคนที่มากราบท่านส่วนก็เจอแบบเดี่ยวกันไม่แปลกใจเลยที่ท่านไม่ค่อยมีภาพถ่าย น้อยมาก ชาวบ้านจะรู้ดี ท่านไม่ชอบถ่ายรูปเลย นอกจะเรื่องเมตาแคล้วคลาดท่านยังเก่งเรื่องการทำนายทายทัก ดูฤกษ์ยาม ยายแหวงท๊อปไลน์ ก็เป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่งหลวงพ่อเมตตา ครั้งหนึ่งยายแหลวงได้มากราบท่านในช่วงนั้นยายแหวงไม่ค่อยมีงานแสดงเลยว่างจึงได้มากราบหลวงพ่อที่วัด พอมาถึงที่วัด หลวงพ่อท่านก็ทักว่าให้มาต่ออายูเลย ยานแหวงกับตกใจ เป็นช่วงนี้ฝันไม่ค่อยดีและมีเรื่องให้ต้องคิดกังวลอยู่มาก ทั้งเรื่องานและครอบครัว หลวงพ่อท่านจึงได้ทำพิธีต่ออายุให้พร้อมรดน้ำมนต์ ต่อมายายแหวงก็มีงานเข้ามาเรื่อยซึ่งต่างเมื่อก่อนที่มีงานแสดงแต่ก็จะถูกยกเลิกอยู่เป็นประจำ ทำให้ยายแหวงมากราบท่านอยู่เป็นประจำพร้อมเพื่อนศิลปิน ทุกครั้งมีงานที่วัดก็มาช่วยงานหลวงพ่อท่านอยู่เป็นประจำ ชาวบ้านในหมู่บ้านหากใครมีของหายหรือหาไม่ไม่เจอก็จะมาให้หลวงพ่อท่านทำนาย อยู่เป็นเป็นประจำ แล้วท่านก็จะบอกว่าได้คืนหรือไม่หรืออยู่ที่ไหน วันชัย พาช่างมาซ่อมหลังห้องวัตถุมงคลวัด แล้วลืมกุญแจรถไว้หายังไงก็หาไม่เจอ หาตั้งแต่ 10โมงเช้า จนบ่าย 2โมง สอบถามใครก็ไม่ใครเอาไป เดินบริเวณวัดก็ไม่เจอ ทางพี่โก๋กฤษณ์ลูกศิษย์เลยบอกว่าไปกราบหลวงพ่อสิ ถามท่านว่าใครเอาเอาไป ท่านเลยบอกว่าอยู่ตรงนั่งเยอะนั้นละอยู่กับผู้หญิง เก็บไว้ พอกราบท่านเสร็จแล้วก็ออกมาถามพี่ที่อยู่ด้านว่ามีใครเห็นกุนเจ พี่ผู้หญิงก็เลยค้นในกระเป๋า เจอเลย ตอนแรกถามทุกก็ไม่ใครเห็นไม่ใครหยิบไปพี่โก๋เลยว่ามาแล้วไม่กราบท่านคงโดนละสิ พี่ก็โดนมาเหมือนกัน มาวัดแล้วต้องกราบพระ ให้ความเคารพสถานที่ หลวงพ่อได้บอกกับลุกศิษย์ที่มาวัด ทุกครั้งที่มากราบท่านหลวงพ่อก็มีเรื่องราวเกราบงกับประวัติของท่าน อยู่เสมอและคำสอนแทรกอยู่ตลอดเวลาทั้งทางโลกและทางธรรม ค่อยเตือนสติ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท ในบรรดาพระเกจิในสายบ้านค่ายจะรู้จักท่านในนามผู้มีคาถาคมแก่กล้า และเป็นเคารพมากมากและมีลูกศิษย์มากมาย ทั้งเรื่องความจำ ท่านถือว่าเป็นที่ความจำดีและมีความเมตตา ค่อยอนุเคราะห์และสงเคราะห์ผู้เดือนร้อนอยู่เสมอ ท่านยังคอยอุปถัมภ์ นักเรียนผู้เป็นอนาคตของชาติ ในทุกๆปีท่านก็จะมอบทุนการศึกษา และให้เงินสนับสนุนทางโรงเรียนอยู่เสมอ หลายคนเรียนจบโรงเรียนจบก็มาฝากตัวเป็นศิษย์ท่านคอยดูแลท่าน และมาช่วยท่านสร้างวัตถุมงคล อยู่เป็นประจำ เรื่องประสบการด้านวัตถุมงคลของท่านมีทุกด้าน ทางด้านเมตตา และทางมหาเสน่ห์นั้น มีมากมาลูกศิษย์ท่านยุคเก่าๆนั้นจะเป็นที่ชื่อชอบผู้หญิงจำนวนมากและจะมีแรงดึงดูดเพศตรงข้ามากยิ่งสีผึ่งของท่านนี้ท่านจะหวงมาก ท่านจะเลือกให้ลูกศิษย์บางคนเท่านั้นเพราะพุทธคุณแรงมาก ใครที่ได้ไปมักมี มีเมียหลายคน หากนำไปใช้ทางด้านค่ายขาย ก็จะค้าขายดีมาก เพราะท่านได้เรียนตำราการทำสีผึ่งจากหลวงปู่ทาบ หลวงปู่ทิม หลวงปู่แก้ว และตำรานี้ท่านหวงมาก ลูกศิษย์จะมีไม่กี่คนที่ท่านให้ไป และคนที่ได้ก็ต่างหวงมากใครขอก็ไม่แบ่ง เพราะนำใช้แล้วเกิดประสบการณ์จริง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จวัดดอนจันทร์(เนื้อผงน้ำมัน)วัดเก่าก่อนที่หลวงพ่อมาอยู่
    วัดหนองฆ้อ หลวงพ่อสุข เมตตาปลุกเสก อธิฐานจิต
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250320_202404.jpg IMG_20250320_202442.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,973
    ค่าพลัง:
    +21,371
    FB_IMG_1742481252783.jpg FB_IMG_1742481038844.jpg

    พระผงปิดตาผสมไม้กุฎิหลวงปู่มั่น ปี ๒๕๕๓
    โดยองค์หลวงปู่สังข์ สังกิจโจอธิษฐาน ณกุฏิหลังเก่า นานถึง 45 นาที
    องค์หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร เมตตาอธิษฐานจิต ณ วัดศรีมุงเมือง
    มวลสารที่ใช้สถาปนาองค์พระ คือ ไม้กุฏิ หลวงปู่มั่น จากวัดป่ากลางโนนภู่ และ ดอกพิกุล จากวัดดำรงธรรมาราม ซึ่งวัดนี้ องค์หลวงพ่อประสิทธิ์ ท่านเคยมาเมืองจันทบุรี และ จำได้ว่า ที่นี่ มะขามป้อมเยอะ
    กลุ่มคุณหมอทั้งหลายที่ในโรงพยาบาลสวนดอก (เชียงใหม่) ต่างยกย่องกล่าวขานถึงหลวงพ่อว่าน่าอัศจรรย์แท้ !! เพราะเขาถ่าย x-ray ท่านออกมาปรากฏว่ากระดูกข้างในเป็นแก้วทั้งหมด หมอทั้งหลายในโรงพยาบาลสวนดอก เลยเคารพท่าน
    กราบไหว้พระอริยเจ้าองค์นี้ และหลวงตามหาบัวก็ยืนยันในความดีและคุณธรรมของท่านพระอาจารย์ประสิทธิ์
    พระปิดตามวลสารผสมไม้กุฏิหลวงปู่มั่นได้รับการอธิษฐานจิตจาก พระเถระอริยเจ้าทั้ง๒องค์ หลวงปู่สังข์วัดป่าอาจารย์ตื้อและหลวงพ่อประสิทธิ์วัดป่าหมู่ใหม่
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250320_210828.jpg IMG_20250320_210907.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,973
    ค่าพลัง:
    +21,371
    FB_IMG_1742482911515.jpg

    ประวัติปฏิปทา
    หลวงปู่สุภัทธ์ ปุญฺญาคโม
    หลวงปู่สุภัทธ์ ปุญฺญาคโม ท่านมีนามเดิมว่า "สุภัทธ" นามสกุล "มารุวรรณ์" ท่านเกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๑ ที่บ้านเลขที่ ๑๘ หมู่ที่ ๓ บ้านกุดน้ำใส ต.กุดน้ำใส อ.จตุรภักษ์พิมาน จ.ร้อยเอ็ด โยมบิดาชื่อว่านายมา มารุวรรณ์ โยมมารดาชื่อว่านางลุน มารุวรรณ์ โยมบิดาโยมมารดาของหลวงปู่ มีอาชีพทำนาและปลูกพืชไร่ หลวงปู่สุภัทธ ท่านเป็นบุตรคนที่ ๓ ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๘ คน เป็นชาย ๓ คน และหญิง ๕ คน

    หลวงปู่สุภัทธ์ ท่านได้ให้ความเมตตาเล่าให้ฟังว่าในวัยเด็กนั้นหลวงปู่มักจะติดตามโยมมารดาไปยังที่ต่าง ๆ เสมอ จากการที่ติดตามโยมมารดานี้เอง ทำให้หลวงปู่ได้นิสัยใฝ่ธรรมมาตั้งแต่เด็ก ๆ กล่าวคือโยมมารดาของท่านชอบทำบุญ และไปวัดอยู่จำศีลภาวนาเสมอ ๆ โดยเฉพาะวันโกนวันพระ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เด็กชายสุภัทธ มารุวรรณ์ จึงมีโอกาสไปวัดและคุ้นเคยกับวัดคุ้นเคยกับพระสงฆ์องค์เจ้ามาตั้งแต่เยาว์วัย
    ท่านมีความศรัทธาต่อการบวชได้รับการโน้มน้าวจิตใจ คิดอยากจะบวชเรียนอย่างพระเณรในวัดตามที่ท่านได้พบเห็นมา โดยปกติในชีวิตชาวชนบททั่วไป ประชาชนจะมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ในเรื่องวัดวาเรื่องพระศาสนาเป็นอย่างยิ่งในวันพระชาวบ้านจะช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดบริเวณวัด ศาลาการเปรียญ หอฉันตลอดจนห้องพระและพระอุโบสถร่วมกัน นับเป็นความร่วมมือร่วมใจที่ดีงามอย่างยิ่ง
    เมื่อถึงวันพระชาวบ้านจะนำอาหารคาวหวานใส่เป็นสำรับ หรือปิ่นโต นำมาทำบุญที่วัดกัน ส่วนวันธรรมดาก็จะพากันตักบาตรพระเป็นประจำทุกเช้า ซึ่งพระสงฆ์จะเดินเรียงแถวมารับบิณฑบาตในหมู่บ้านและชาวบ้านจะพร้อมเพรียงกันออกมาตักบาตรเป็นภาพที่ประทับใจอย่างยิ่ง ในวันพระหลังจากพระฉันเสร็จแล้ว ญาติโยมรับอนุโมทนาแล้วถือศีลอุโบสถตามความสมัครใจแล้ว ก็อยู่ปฏิบัติภาวนาไปตลอดคืน จนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่
    ส่วนชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้รับศีลอุโบสถก็จะร่วมใจกันถากถางหญ้าป่าพงบริเวณวัด ปัดกวาดบริเวณวัดจนสะอาดบางคนก็เข้าไปขัดทำความสะอาดห้องน้ำ มองดูเจริญตาเจริญใจเสร็จแล้วก็พากันกลับบ้านเพื่อประกอบภาระกิจของตนต่อไป
    หลวงปู่สุภัทธ์ ปุญฺญาคโม ท่านคุ้นภาพที่ดีงามเหล่านี้ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กชายสุภัทธ มารุวรรณ์ ตัวเล็ก ๆ ภาพแห่งการเป็นพระที่ดี ฝังจิตใจของท่านมาตั้งแต่สมัยนั้นในช่วงเยาว์วัย ที่หลวงปู่ใช้ชีวิตอยู่กับบิดามารดาท่านก็ได้ช่วยเหลือกิจการต่าง ๆ ภายในบ้าน เช่น ทำนา ทำสวนและช่วยงานในบ้านเยี่ยงเด็กผู้ชายในชนบททั่วไป
    ภายในจิตใจของหลวงปู่ท่านใฝ่ฝันที่จะบวชเป็นเณรเป็นพระอยู่ตลอดเวลา ด้วยเพราะถูกอัธยาศัยและเห็นการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของพระสงฆ์ในวัดที่หมู่บ้าน ท่านจึงขออนุญาตบิดามารดาไปบวช หลังจากหลวงปู่ได้เรียนจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ซึ่งเป็นการเรียนที่สูงสุดแล้วในสมัยนั้น
    หลังจากหลวงปู่ได้บวชเณรที่วัดในหมู่บ้านแล้วนั้น หลวงปู่ท่านก็ได้ศึกษาธรรมและแล้ววันหนึ่งหลวงปู่ท่านก็ได้พบและได้เห็นการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระกรรมฐานสายพระป่า ที่มีหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์ใหญ่แห่งสายพระป่าที่ท่านได้พาพระเณรธุดงค์ผ่านมา และเณรน้อยสุภัทธได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อท่านหลวงปู่เสาร์ จึงขออนุญาตบิดามารดา ขอติดตามหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เพื่อไปศึกษาธรรมกับพระอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ก็ได้พาเณรน้อยสุภัทธ เดินฝ่าป่าฝ่าดงไปถึงเมืองอุบลฯ เณรน้อยสุภัทธก็ได้อยู่ปฏิบัติธรรมและคอยอุปัฏฐากพระอาจารย์เป็นเวลา ๓ เดือน
    แต่ด้วยอายุยังน้อยและความห่วงหาอาทรของแม่ที่ลูกชายต้องจากอกแม่ไปไกล ๆ และเมื่อสมัยก่อนนั้น แม่ได้ข่าวว่ามีพระเณรที่ไปธุดงค์นั้นเสียชีวิตก็นึกว่าลูกชายและด้วยความเป็นห่วงลูกชายจึงได้ติดตามไปหาที่เมืองอุบลและไปขอร้องให้เณรน้อยสุภัทธกลับบ้านเกิดเมืองนอน เณรน้อยสุภัทธก็ได้บอกกับโยมแม่ว่า จะขอปฏิบัติกับพระอาจารย์อยู่ที่นี้ แต่แม่ก็ได้อ้อนวอนขอร้องให้เณรน้อยกลับไปปฏิบัติใกล้บ้าน เณรน้อยสุภัทธก็เลยจำใจ จึงได้ไปกราบลาพระอาจารย์เสาร์ กลับมาปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้บ้านและได้ไปไปศึกษาธรรมกับหลวงลุง
    หลวงลุงของท่านก็คือหลวงปู่มหาทองมา แห่งเมืองร้อยเอ็ด และได้ติดตามหลวงลุงไปในสถานที่ต่าง ๆ หลวงลุงของท่านก็จะคอยสอนการปฏิบัติธรรมให้เณรน้อยสุภัทธอยู่เสมอ ในการปฏิบัติธรรมและสอนมูลกัจจารย์ให้ท่านซึ่งสมัยก่อนนั้นพระเณรจะนิยมเรียนกันมากเพราะถือว่าของสำคัญเรียกว่าธรรมะชั้นสูง ถ้าใครเรียนสำเร็จจะมีความรู้แตกฉานมากเพราะเป็นการเรียนภาษาบาลีล้วน ๆ
    หลังจากนั้นเณรน้อยสุภัทธก็ได้เข้ามาศึกษาเรียนปริยัติธรรมที่เมืองบางกอกมาพำนักอยู่ที่วัดจักรวรรดิ์และได้ไปเรียนนักธรรมโทนักธรรมเอกจนจบ ที่วัดระฆังโฆษิตตารามและเรียนด้านวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ราชวรมหาวิหารกับสมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสโภ) เป็นเวลา ๑ ปี ๖ เดือน
    หลังจากนั้นหลวงปู่สุภัทธ ปุญญาคโม ก็มุ่งแสวงหาความสงบโดยการออกเดินธุดงค์จากเมืองบางกอกผ่านป่าเขาลำเนาไพรเพียงองค์เดียว และแวะกราบไหว้นมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรี แล้วไปปฏิบัติธรรมตามถ้ำตามเขาในพื้นที่ทั้งจังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรีและจังหวัดเพชรบูรณ์แล้วเดินธุดงค์ต่อไปผ่านเทือกเขาเมืองเพชรบูรณ์ หล่มสัก เข้าเขตจังหวัดเลย สถานที่นี้แหละที่ท่านได้พบกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโมและได้เข้าไปกราบขอเป็นศิษย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโมและติดตามหลวงปู่ชอบไปปฏิบัติตามสถานที่ต่าง ๆ
    ในขณะนั้นหลวงปู่สุภัทธ์ ท่านเป็นพระหนุ่มกว่าเพื่อนที่ออกเดินธุดงค์ติดตามหลวงปู่ชอบ เพราะมีพรรษาน้อยกว่าเพื่อนมีพรรษาเพียง ๖ พรรษา ๗ พรรษา ส่วนพระรูปอื่นมีพรรษาที่เยอะกว่าคือ ๑๐ กว่าพรรษา
    ส่วนหลวงปู่ชอบ พระอาจารย์ของท่านแล้ว ๒๐ กว่าพรรษา พระที่ติดตามที่ธุดงค์ไปด้วยกันก็มีหลวงปู่รอด หลวงปู่สรรค์ หลวงปู่บุญตัน ที่ไหนป่าช้าผีดุหรือมีสัตว์ป่าเช่น เสือ ช้างป่า หลวงปู่ชอบจะพาไปปฏิบัติธรรมกรรมฐาน
    หลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่ชอบไม่ให้กลัวเพราะสัตว์ที่เจอนั้นเทวดาท่านมาลองจิตมาทดสอบจิตใจว่าจะมาปฏิบัติจริงหรือไม่และมากำชับให้ปฏิบัติเจริญภาวนาไม่ให้จิตออกนอกหลู่นอกทาง หลวงปู่สุภัทธ ปุญญาคโม ท่านได้อยู่ปฏิบัติธรรมและติดตามหลวงปู่ชอบอยู่ถึง ๓ ปี หลังจากนั้นท่านก็ได้ไปอยู่ปฏิบัติธรรมและจำพรรษากับหลวงปู่รอด ณ วัดป่าภูหินกอง อ.วังสะพุง จ.เลย และท่านได้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์หลายรูปไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่น(บ้านแดง)อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต, หลวงปู่มหาทองมา ร้อยเอ็ด, หลวงปู่ซุ่น ติกขปญโญ วัดบ้านเสือโก้ก ต.เสือโก้ก อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม, หลวงพ่อโต ยโสธโร วัดบ้านกล้วย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา, หลวงพ่อฟุ้ง วัดป่าภูแฝด จ.ชัยภูมิ
    ไปธุดงค์สถานปฏิบัติธรรมอยู่วัดถ้ำวัวแดง จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านไปปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน ไปธุดงค์ปฏิบัติธรรมจำพรรษาที่เมืองลาวกับหลวงลุงถึง ๓ พรรษา ไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานตามป่าตามเทือกเขาตามถ้ำแทบภูเขาควาย ประเทศลาว ไปศึกษากับคณาจารย์ที่เมืองพม่า ได้ตำราวิชาความรู้ต่าง ๆ ของหลวงปู่คำคะนิง แห่งวัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.อุบลราชธานี และอีกหลายรูป ที่หลวงปู่ท่านได้ไปปฏิบัติธรรมจำพรรษาอยู่ด้วย
    หลวงปู่สุภัทธ ปุญญาคโม ท่านผ่านการธุดงค์มาอย่างโชกโชนไม่ว่าจะเป็นแถบลุ่มแม่น้ำโขง ไทย ลาว พม่า เขมร ท่านได้ผ่านอุปสรรคนานานับประการโดยที่ท่านมีเพียง "ธรรมมาวุธ” เพียงอย่างเดียว ทุกแห่งทุกหนที่ท่านธุดงค์ผ่านท่านจะอบรมสั่งสอนชาวบ้านให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลวงปู่ท่านจะเคร่งครัดมากในการปฏิบัติธรรม ท่านจะคอยสอนให้พระเณรคอยมั่นฝึกฝนการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ และคอยสอนชาวบ้านให้รู้จักการรักษาศีล ๕ ว่าถ้าใครรักษาหรือปฏิบัติไม่ได้ท่านก็เปรียบให้ดูว่า อย่างนิ้วมือของคนเราแต่ละข้างมี ๕ นิ้ว ถ้าขาดหายไปนิ้วใดนิ้วหนึ่งก็ไม่ปกติจะทำอะไรก็ไม่เป็นสุข ผู้รักษาศีลให้สะอาดหมดจดดีต้องปฏิบัติธรรม ๒ ข้อเสียก่อนคือหิริและโอตตัปปะ คือเมื่อศีลเกิดขึ้นกับตัวเรา เราก็เกิดความอิ่มใจ ใจก็สงบ เมื่อใจสงบความสบายก็เกิดขึ้นที่ใจ และหลวงปู่ท่านจะคอยบอกคอยสอนอยู่เสมออย่าให้มีความโลภเกิดขึ้นในสันดานของตน เพราะความโลภที่คิดอยากได้ของผู้อื่นนั้นเป็นความคิดที่ผิดจะไม่มีมิตรคบค้าสมาคมด้วย และความโลภนี้จะนำไปสู่ความหายนะ นอกจากนี้แล้วหลวงปู่จะคอยสอนเรื่องพระคุณพ่อพระคุณแม่อยู่เสมอก็เหมือนกับหลวงปู่ได้กล่าวไว้ว่า
    ..อย่าตระหนี่กับคุณพ่อคุณแม่ ผู้บังเกิดเกล้าของตนเอง พ่อแม่เป็นเนื้อนาบุญของลูก ๆ ที่ลูกสามารถปลูกต้นบุญให้งอกงามได้ ...พ่อแม่เป็นอรหันต์ในบ้าน
    ขอให้รู้ไว้ว่าถ้าพ่อแม่ของคุณยังมีชีวิตอยู่แล้ว คุณมีโอกาสได้เลี้ยงดูปูเสื่อท่านนั้น นับว่าคุณเป็นคนโชคดีมาก ๆ เพราะนั้นเป็นโอกาสที่คุณจะได้ปลูกต้นบุญเต็มที่..
    ...ลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยหัวใจไม่ทอดทิ้ง
    ลูกคนนั้นจะไม่มีวันตกต่ำ

    ชีวิตจะงอกงามรุ่งเรือง ครอบครัวเป็นสุข
    การงานเจริญก้าวหน้า ไม่มีปัญหาอุปสรรคให้หนักใจ..”
    ศัตรูที่แท้จริงของคนเรา คือ โลภ โกรธ หลง
    ต้องแก้ด้วยการมี ศีล สมาธิ ปัญญา

    อยากรวย ให้พากันทำทาน
    อยากสวย ให้พากันรักษาศีล
    อยากมีปัญญาดี ให้พากันเจริญภาวนา
    ฟังไว้เด้อ...
    ฝึกทำใจให้เป็นบุญ....จะเช้า สาย บ่าย เย็น
    ให้ภาวนาพุทโธ...สิ่งไหนบ่ดี...บ่ต้องไปใส่ใจ
    ทำใจใส ๆ สบาย ๆ
    บาปกรรมใหม่...ในปัจจุบัน...ก็อย่าทำให้เกิด
    ชีวิตจะมีแต่ความสุข...บ่ฟุ้งซ่านขุ่นมัว
    ทั้งยามหลับและยามตื่น...
    กราบ กราบ กราบ
    ที่มาประวัติ คัดลอกมาจากเพจ
    ลูกศิษย์หลวงปู่สุภัทธ์ ปุญฺญาคโม
    ขออนุญาตและอนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระพุทธชินราชและรูปถ่ายติดจีวรชานหมากหลวงปู่สุภัทร
    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250320_210740.jpg IMG_20250320_210801.jpg IMG_20250320_210650.jpg IMG_20250320_210713.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,973
    ค่าพลัง:
    +21,371
    pq.jpg

    ข้อมูลประวัติ หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี

    ไกลออกไปจากเมืองหลวง เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว บริเวณทุ่งแถบนั้นเต็มไปด้วยต้นข้าวที่กำลังออกรวงเหลืองอร่าม ข้าวแต่ละรวงเบ่งบานและอวบโต จนลำต้นไม่อาจทานน้ำหนักของเมล็ดข้าวได้ ต้องโน้มตัวทอดลงสู่พื้นดิน บริเวณนั้นมีชื่อเรียกว่า "บ้านไผ่เดาะ" อยู่ในตำบลบางตะเคียน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดนี้เองนับแล้วคืออู่ข้าวอู่น้ำ ของเมืองไทยก็คงไม่ผิด
    บ้านไผ่เดาะ เป็นชุมชนที่หนาแน่นพอสมควร อาชีพหลักของผู้คนที่นั่นคือการทำนา อันเป็นอาชีพดั้งเดิมที่บรรพบุรุษมอบให้ไว้ เนื่องจากเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ ทำนาได้ผลมากมาย ความสงบสุขจึงมีให้เห็นอยู่ทั่วไป
    ณ ที่นี่แหละ คือถิ่นกำเนิดของเด็กคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า "เป้า" เด็กชายเป้าผู้นี้เมื่อเติบใหญ่ได้กลายเป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึง อย่างมาก น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้นขอให้เราย้อนกลับ ไปสู่ครั้งปฐมวัยของเด็กน้อยผู้นี้กันเถอะ
    เด็กชายเป้าเป็นบุตรของชาวนาโดยตรงผู้หนึ่ง บิดาชื่อว่า "นายช้าง" มารดาชื่อว่า "นางเปรม" มีพี่น้องรวมทั้งสิ้น ๘ คน เป้าเป็นบุตรคนที่ ๕ เมื่อเป้าเกิดทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้อง ก็รู้ว่าเป้าไม่ใช่คนแข็งแรงอะไรนัก เพราะเป้าเป็นเด็กผอม พุงป่อง และเจ็บออดๆ แอดๆ เสมอแต่ว่าอาการนั้นก็ไม่หนักหนาอะไร คงเลี้ยงดูกันได้เรื่อยมา
    ชีวิตในวัยเด็กนั้นเป้าก็เหมือนกับเด็กอื่นๆทั่วไป คือชอบเล่นฝุ่นสนุกซุกซนตะลอนๆ ไปตามชายทุ่งและดำผุดดำว่ายอยู่ในคลองบึงที่ไม่ห่างจากบ้านนัก ทั้งๆที่เป็นเด็กซึ่งพ่อแม่ออกจะเป็นห่วงอยู่ เพราะเกรงว่าโรคภัยจะแทรกแซง เนื่องจากความอ่อนแอ แต่เป้าก็คงซุกซน และเจริญวัยเรื่อยมา พร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เป้าเริ่มมีภาระเล็กๆน้อยๆ คือติดตามผู้ใหญ่ออกไปทำนา ตามแรงความสามารถเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการสอนวิชาชีพที่จะกลายเป็นสมบัติติดตัวไปวันข้างหน้าอีก วิธีหนึ่ง
    แต่กับพ่อกับแม่ของเป้าแล้วคิดไปไกลกว่านั้นอีก คือชีวิตของชาวนาจะมีอะไรไปมากกว่าตื่นเช้าออกสู่ทุ่งกว้าง เย็นลงก็กลับบ้าน วิชาความรู้อื่นนั้นคงไม่มี ในเมื่อหาเวลาที่จะร่ำเรียนไม่ได้ ความคิดที่วูบขึ้นมาเช่นนั้น ในขณะนั้นทำให้พ่อแม่ของเป้าตัดสินใจส่งลูกชายน้อยๆ ไปขอรับวิชาความรู้ จากแหล่งรวมของสรรพวิชาทั้งหลาย นั่นก็คือวัด วัดแรกที่เป้าได้ร่ำเรียนคือวัดใกล้ๆบ้านนั่นเอง เป้าได้รับรู้ธรรมเนียมใหม่ กล่าวคือเป้าต้องรับใช้ปรนนิบัติพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์ด้วยหลังจากเลิก เรียนแล้ว ซึ่งก็หาทำให้เด็กน้อยเบื่อหน่ายไม่ การรับใช้อาจารย์ก็เหมือนกับรับใช้พ่อแม่ ดังนั้นเป้าจึงมิได้รังเกียจ ตรงกันข้ามกับมีความกระตือรือร้น เมื่ออาจารย์เรียกหาความรู้ในด้านอ่านออกเขียนภาษาไทยของเด็กชายเป้าก็ก้าว หน้าไปอย่างรวดเร็วอ่านเขียนได้คล่องแคล่ว และด้วยความกระตือรือร้นของเด็กผู้นี้ ทำให้อาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาบังเกิดความเมตตา สอนเด็กชายเป้าให้รู้จักอ่านเขียนภาษาขอมต่อไป
    ว่ากันว่าใครก็ตามในสมัยนั้นยุคนั้น ถ้าเรียนภาษาขอมก็ถือว่าเป็นการเรียนในชั้นสูง แต่เรียนไปได้ไม่นาน เป็นก็จำต้องย้ายวัดเพื่อการศึกษาต่อไป ตามธรรมเนียมของนักเรียนใหม่ พระอาจารย์ย่อจะปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้ เป้าจึงต้องย้อนเรียนภาษาไทยอีกครั้งเป็นการทบทวน ดูเหมือนว่าความรู้ในภาษาไทยที่เป้ามีอยู่แล้วจะเป็นที่รับรองของพระอาจารย์ เป้าจึงได้ก้าวต่อไปสู่ชั้นสูงคือเรียนภาษาขอมอีกครั้ง
    ในครั้งนี้เด็กน้อยผู้นี้ได้แสดงความสามารถ ให้ประจักษ์อีกครั้งหนึ่งเพราะชั่วเวลาไม่นาน เป้าก็อ่านหนังสือของเลยหน้าเด็กๆรุ่นเดียวกันจนเป็นที่เลื่องลือยกย่อง อาจารย์เองก็ถึงกับออกปากชมไม่ขาดปากเลย เพื่อนๆของเป้าถึงกับออกปากอย่างล้อเลียน เป้าน่ากลัวไม่ใช่คนไทย แต่เป็นขอม จึงอ่านเขียนหนังสือขอมได้คล่องแคล่วนัก และแล้วฉายาว่า "ขอม" ก็ปรากฏขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่เมื่อเรียกกันไปนานๆ ชื่อเป้าก็ชักเลือนหายไปทุกที เพื่อนฝูงและผู้รู้จักมักคุ้นตลอดจนคนที่สูงอายุกว่า ต่างยอมรับเอาฉายาขอมเข้าไว้อย่างสะดวกปากคำหนึ่งก็ขอมสองคำก็ขอม ที่สุดชื่อเป้าอันเป้าชื่อเดิมของเด็กน้อยผู้นี้ ก็สูญหายไปจากปากอย่างเด็ดขาด กลายเป็นเด็กชายขอมขึ้นมาแทนที่
    กล่าวถึงการศึกษาที่วัด อันเสมือนโรงเรียนสำหรับยุคนั้น เปรียบได้กับการคึกษาของนักเรียนประจำในยุคนี้ กล่าวคือต้องพำนักอยู่ทีวัดตลอดไป โดยมีอาจารย์ที่เป็นทั้งครูและผู้ปกครองไปพร้อมๆกัน แต่นั่นก็หาใช่ว่านักเรียนของวัดจะไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน ที่จริงเมื่อถึงเวลาอันสมควร นักเรียนวัดก็กลับบ้านกันทั้งนั้น เป้า หรือบัดนี้มีชื่อใหม่ตามความนิยมว่า "ขอม" ก็กลับบ้านเหมือนกัน เมื่อถึงบ้านความซุกซนแบบเดิมๆ ที่เป้าเคยเล่นซุกซนก็หายไป เป้าหรือขอมกลายเป็นเด็กที่มีระเบียบรู้จักการปรนนิบัติรับใช้ผู้สูงอายุ กว่า การพูดจาก็ฉาดฉานจะอ่านจะเขียนก็คล่องแคล่ว สร้างความชื่นใจให้กับผู้ที่เป็นพ่อแม่เป็นอย่างยิ่ง จนทำให้นายช้างและนางเปรมลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ตนนั้นได้แก้วไว้ในมือแล้วสมควรที่จะได้รับการเจียรไนต่อไป ดังนั้นหลังจากที่ศึกษาอยู่ ณ วัดบางสามได้ระยะหนึ่งของก็ถูกส่งตัวเข้ากรุงซึ่งเป็นการเผชิญชีวิตครั้ง ใหญ่สำหรับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่เคยจากบ้านไปไหนไกลเกินกว่าวัดบางสาม แต่การไปครั้งนี้หมายถึงอนาคตที่จะชี้บอกว่า ต่อไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ดังคำเปรียบเทียบที่ผู้ใหญ่ชอบพูดกันหรือไม่ แทนที่จะเป็นเพียงชาวไร่ชาวนาดังบรรพบุรุษของตน และแน่ล่ะกรุงเทพฯ ช่างเป็นคำที่หวานหูเสียนี่กระไร สวรรค์สำหรับทุกคน ใครได้ไปแล้วมักไม่ยอมกลับกัน
    ขอมถูกพ่อแม่พามาฝากไว้วัดสระเกศ เนื่องจากมีภิกษุที่รู้จักคุ้นเคยกับทางบ้านจำพรรษาอยู่ที่นั่น วัดสระเกศก็เลยได้เป็นบ้านที่สองของเด็กชายขอม พร้อมๆ กับการเข้าโรงเรียนประถมศึกษาซึ่งตั้งอยู่ที่วัดนั้นด้วย บัดนี้แทนที่จะเรียนแบบแผนเก่า แต่ขอมได้เรียนหลักสูตรการศึกษา แบบใหม่ที่หลวงท่านกำหนดให้อนุชนได้เล่าเรียน ชีวิตอันเป็นประจำวันของขอม ในกรุงเทพฯ ก็เริ่มต้นด้วยการตื่นแต่เช้าตรู่ หาอาหารใส่ปากใส่ท้องแต่พออิ่ม แล้วก็มุ่งหน้าไปยังโรงเรียน คร่ำเคร่งอยู่กับการเรียนไปจนบ้ายคล้อยจึงกลับวัด คอยปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์ที่ขอมอาศัยอยู่ด้วย และได้อาศัยข้าวก้นบาตรของพระอาจารย์นั้นเอง เป็นอาหารยังชีพเรื่อยมา
    เวลาผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน และจากเดือนเป็นปี ขอมคงปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลายกับการศึกษา ขณะที่การรับใช้พระอาจารย์ก็รักษาไว้มิให้ขาดตกบกพร่อง เป็นอยู่เช่นนี้ล่วงได้ ๓ ปี ขอมจบการศึกษาในชั้นประถมปีที่ ๓ ก็เดินทางกลับสู่อ้อมอกของพ่อแม่อีกครั้งหนึ่งขอมกลับบ้านอย่างคนที่ไปชุบ ตัวในเมืองหลวงมาแล้วเมื่อย่างก้าวไปที่ใด ก็มีแต่คนนิยมชมชอบ จะพูดจาก็มีคนนับถือ และแม้ว่าชีวิตเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม ซึ่งก็หมายถึงวัยแห่งความกระตือรือร้น และการเที่ยวเตร่สนุกสนานเฮฮากับเพื่อนฝูงและสาวพื้นบ้านเป็นสิ่งที่หลีก เลี่ยงไม่ได้ก็ตามแต่หนุ่มน้อยขอมก็ไม่ยอมปล่อยใจให้ล่องลอยไปเกินกว่าขอบ เขต สิ่งที่ขอมคิดมากในขณะนั้นคือ ทำนาช่วยภาระของพ่อแม่ แต่เรานั้นหาได้เป็นคนโดยสมบูรณ์ไม่หากยังไม่ได้บวชเรียน ดังนั้นเมื่อขอมอายุครบบวช พ่อแม่ก็จัดการบวชให้ที่วัดบางสาม อันเป็นวัดใกล้บ้านและสถานศึกษาเดิมของขอม เพราะระยะเวลานี้ ขอมมีนิสัยไปในทางรักสันโดษ ชอบพินิจพิเคราะห์ตรึกตรองต่างกว่าเพื่อนวัยเดียวกันคนอื่นๆ
    พิธีอุปสมบทขอมจัดทำกันอย่างเต็มที่เท่าที่ฐานะจะอำนวยได้ และท่ามกลางความชื่นชมของทุกคนเนื่องจากพ่อแม่ของขอมเป็นผู้ที่กว้างขวางมี คนไปมาคบหาด้วยจำนวนมาก การบวชคราวนี้จึงมี พระครูวินยานุโยคแห่งวัดสองพี่น้อง เป็นองค์อุปัชฌาย์ พระอาจารย์กอนวัดบางสาม เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เผือกวัดบางซอ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ขอมได้รับฉายาที่พระอุปัชฌาย์ตั้งให้คือ "อนิโชภิกขุ"
    นวกะภิกษุอนิโช หรือเด็กชายเป้าที่เพื่อนๆ เรียกกันว่า "ขอม" ก็ได้ก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์ ตั้งแต่บัดนั้น พระขอม หรือ อนิโชภิกษุ เมื่อจำพรราอยู่ที่วัดบางสามก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระธรรมวินัยด้วยความ เอาใจใส่อย่างยิ่ง และได้ปฏิบัติตนในในศีลจารวัตร เป็นอย่างดีอยู่หลายปีจนกระทั่งเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง ยังมีสำนักสงฆ์สร้างขึ้นใหม่แห่งหนึ่ง มีชื่อเรียกตามความนิยมของชาวบ้านว่า "วัดไผ่โรงวัว" ที่นี่ไม่มีสมภารเจ้าวัด บรรดาชาวบ้านย่านนั้นซึ่งจับตาดูพระขอมมาตั้งแต่ต้น ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้ที่สมควรได้ตำแหน่งสมภารวัดใหม่นี้ไม่มีท่านใดเหมาะเท่าพระขอม เมื่อลงความเห็นกันดังนี้ ต่างก็พากันไปนิมนต์ อนิโชภิกษุหรือพระขอม ให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดไผ่โรงวัวก่อน พระขอมซึ่งเคยเป็นที่คุ้นเคยกับพุทธบริษัทที่นั่นไม่อาจขัดศรัทธาได้ จึงได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนั้นเป็นเวลา ๒ ปี
    ชีวิตของท่านอโชภิกษุในช่วงนี้ หากจะขาดก็คือขาดสถานศึกษาเล่าเรียน เพราะวัดไผ่โรงวัวเป็นวัดใหม่ ขาดสถานศึกษาเล่าเรียน สิ่งนี้ทำให้พระขอมได้พิจารณาตนเองและเห็นว่าอันธรรมวินัยของพระศาสดานั้น ท่านยังเข้าไม่ถึงพอที่จะเป็นสมภารเจวัดได้ หากผู้ศรัทธายังประสงค์จะให้ท่านเป็นผู้นำของวัดนี้อยู่ ท่านก็จำต้องเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ดังนั้นท่านจึงขอย้ายไปจำพรรษาที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งอยู่ในตัวเมืองสุพรรณบุรี แล้วไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประตูสารใกล้ๆกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ที่ท่านจำพรรษาอยู่นั่นเอง การศึกษาพระปริยัติธรรมของพระขอมดำเนินไป 3 ปี ก็สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก อันเป็นความรู้ชั้นเถรภูมิ
    คราวนี้ท่านกลับมาสู่วัดไผ่โรงวัวอีกครั้งหนึ่งอย่างสมภาคภูมิ กลับมาอย่างผู้พร้อมที่จะบริหารกิจให้พระศาสนาเต็มที่ ดังได้กล่าวมาแล้วว่าวัดไผ่โรงวัวเป็นวัดใหม่ ความใหม่นี้เอง เป็นความใหม่ที่ยังไม่ถึงพร้อมกล่าวง่ายๆ คือไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กุฏิที่อยู่จำพรรษาของภิกษุ สามเณร ก็เป็นกระต๊อบมุงจากเก่าๆ มีอยู่เพียง ๒ หลัง ศาลาการเปรียญที่จะเป็นที่บำเพ็ญกุศลของทายก ทายิกา เป็นเพียงโรงทำด้วยไม้ไผ่หลังคามุงจาก อาศัยพื้นดินเป็นพื้นของศาลาน่าอนาถใจยิ่ง
    ภาระของพระขอม คือปรับปรุงศาสนาสถานแห่งนี้ให้น่าพักพิง สมกับเป็นวัดเสียก่อน เพื่อจะได้เป็นหนทางนำไปซึ่งการปรับปรุงจิตใจ ของชาวบ้านผู้ศรัทธาเป็นขั้นที่ สอง และเนื่องจากบรรดาชาวบ้านต่างก็มีศรัทธาพระขอมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว งานปรับปรุงก่อสร้างชั้นแรกจึงผ่านไปได้ไม่ยาก เริ่มด้วยการถมดิน ไม่ให้น้ำท่วมวัดได้ เพราะบริเวณดังกล่าวนี้เป็นที่ลุ่มมาก ถึงฤดูฝนคราใดน้ำท่วมทุกปีและท่วมมากขนาดเรือยนต์เรือแจมแล่นถึงกุฏิได้ เมื่อถมดินเสร็จท่านได้จัดการขุดสระน้ำสำหรับเป็นที่สรงน้ำของพระภิกษุ สามเณร และเพื่อชาวบ้านทั้งหลายจะได้อาศัยอาบกินโดยทั่วไป แล้วซ่อมกฏิที่ชำรุด ทรุดโทรม สร้างศาลาการเปรียญ สร้างโบสถ์ จัดสรรให้เหมาะสมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม สมกับคำว่า "วัด" ศรัทธาของประชาชนก็เพิ่มมากขึ้น
    นับแต่พระขอม สละเพศฆารวาสมาสู่พระพุทธศาสนา ท่านมีความตั้งใจมั่น ดังที่เรียกว่า มโนปณิธาน เรื่องนี้ท่านกล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า "..อาตมาได้ฟังพระท่านเทศน์ว่า บุคคลผู้ใดเลื่อมใส ได้สร้างพระพุทธรูปจะเล็กเท่าต้นคาก็ดี โตกว่าต้นคาก็ดี ผู้นั้นจะได้เป็นพรหมเป็นอินทร์ หมื่นชาติ แสนชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ หมื่นชาติแสนชาติ ผู้นั้นจะไม่เป็นผู้ตกต่ำเลยจนตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าผู้ใดสร้างพระพุทธรูปด้วยทองคำ ผู้นั้นจะได้เกิดเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.." ด้วยมโนปณิธานนี้เองทำให้ท่านขอมคิดเริ่มสร้างพระพุทธโคดมด้วยทองสัมฤทธิ์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พ.ศ. ๒๕๑๒ ท่านขอมก็เริ่มบอกบุญแก่ญาติโยมใช้เวลา ๒ ปีกว่าจะเริ่มสร้างได้ เนื่องจากเป็นงานใหญ่นั่นเอง ถึงต้องใช้เวลาสร้างทั้งหมด ๑๒ ปี ด้วยกัน จะแล้วเสร็จ พ.ศ. ๑๕๑๒ หลังจากนั่นท่านขอมก็เริ่มสร้างสิ่งก่อสร้างอีกหลายอย่าง อาทิเช่น สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล แดนสวรรค์ นรกภูมิ เมืองกบิลพัสดุ์และอีกหลายๆ อย่างด้วยกัน ดังที่เป็นกันอยู่เท่าทุกวันนี้
    ถ้าถามว่าหลวงพ่อขอมจะสร้างสิ่งก่อสร้างไว้มากมายเพื่ออะไร ท่านก็ตอบว่า อาตมาสร้างไว้เพื่อให้ผู้ศรัทธาและอนุชนรุ่นหลัง ได้ศึกษาเรื่องราวของพุทธประวัติ นอกจากงานก่อสร้างแล้วหลวงพ่อขอมท่านก็ยังเป็นนักเขียน นักแต่งที่มีความสามารถไม่ยิ่งไม่หย่อนไปกว่าด้านงานก่อสร้าง ผลงานของท่านปรากฏอยู่หลายเรื่องเฉพาะ ที่จัดพิมพ์แจกเป็นธรรมทานไปแล้วก็มีเรื่อง ธรรมฑูตเถื่อน พุทธไกรฤกษ์ สมถะและวิปัสสนา
    จนมาถึงวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เวลา ๑๖.๔๕ น. หลวงพ่อขอมก็มรณภาพลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว รวมสิริอายุ ๘๘ ปี ๖๘ พรรษา ทำให้นักถึงคำปฏิญาณ ของท่านอนิโช ที่กล่าวไว้ ๕ ข้อ คือ
    ๑. ชีวิตของเราที่เหลือขอช่วยพระพุทธองค์ไปจนตาย
    ๒. เมื่อมีชีวิตอยู่ ถ้าเรามีเงิน ส่วนตัวสัก ๑ บาท เราก็จะอายพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง
    ๓. เราจะให้รูปพระองค์เกลื่อนไปในพื้นธรณี
    ๔. โอ..โลกนี้ ไม่ใช่ของฉัน
    ๕. เราต้องตาย ตายใต้ผ้าเหลืองของเรา
    บัดนี้ท่านอนิโชนั้น ได้ทำคำปฏิญาณของท่านได้สมบูรณ์แล้วทุกประการ ท่านพระครูผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กชายเป้าในอดีต ซึ่งบัดนี้สละทุกสิ่งเพื่อเจริญรอยตามบาทพระพุทธองค์ ท่านคือศิษย์พระคถาคต ผู้มุ่งมั่น
    สมเด็จปรกโพธิ์สายรุ้งและผงน้ำมันธรรมดาหลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว ปี 2500 เนื้อผงน้ำมัน หลังรูปเหมือนลหนังสือตรง 2 แถว ไม่ลงกรุ พระสมปรกโพธิ์เด็จพิมพ์ 3 ชั้น เนื้อผงพุทธคุณ ผสมผงเกสรว่าน108ชนิด และผงเก่า ของสมเด็จพระพุทธาจารย์โต และผงที่ หลวงพ่อขอมเขียนและลบเองกับมือ พระสมเด็จรุ่นนี้ คนในพื้นที่เรียนกันว่าพระสมเด็จ พิมพ์สายรุ้ง ของหลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว (วัดโพธาราม) อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี พระสมเด็จรุ่นนี้ สร้างราวปี พ.ศ.2500 เป็นพระที่ หลวงพ่อขอมสร้างไว้บรรจุในเจดีย์ ไม่ได้นำออกแจกจ่ายญาติโยม พระชุดนี้ออกมาตอนที่พระเจดีย์ ถูกทุบเมื่อราวปีพ.ศ.2530 ด้านหลังเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อขอม พิมพ์หยดน้ำ และมีตัวหนังสือเขียนกำกับเอาไว้ 1แถว องค์ในภาพนี้ เรียกว่า พิมพ์1แถวตัวหนังสือตรง ส่วนพระสายรุ้ง รุ่น2สร้างราวปีพ.ศ.2516 ด้านหลังจะเป็นรูปหลวงพ่อขอม พิมพ์รูปไข่ และจะไม่มีคราบขี้กรุ พุทธคุณเมตตา แคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพันและมหาอุต
    ผมมีข้อมูลดีๆ ของคุณเบญจพร มาเล่าให้ฟังกันครับคือ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2518 ทางวัดบางนมโค จัดพิธีมหาพุทธภิเษกในงานทำบุญ 100 ปีของหลวงพ่อปาน ซึ่งครั้งกระนั้นมีพระอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมมาร่วมพิธีปรกปลุกเสก 4 องค์ด้วยกันคือ
    หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว
    หลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง
    หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา
    หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย ซึ่งท่านเป็นพระเถระจารย์ในศิษย์หลวงพ่อปาน ที่วัดบางนมโคต้องนิมนต์ท่านมาร่วมพิธีทุกครั้งเมื่อมีงาน....
    หลวงพ่อมีเข้าไปในโบสถ์วัดบางนมโค เป็นองค์ที่ 3 ต่อจากหลวงพ่อเชิญและหลวงพ่อเมี้ยนและด้วยความที่หลวงพ่อมีเป็นพระอาจารย์ที่มีอุปนิสัยนอบน้อมถ่อมตนเห็นว่าตนเองยัง มีอายุน้อย ท่านจึงเลือกธรรมมาสน์ที่หันหน้าเข้าหาประธานตรงที่นาคนั่งขานนาคในเวลาอุปสมบท ขณะนั้นหลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัวมาถึงพอดี ท่านจึงขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ที่เหลือซึ่งตั้งอยู่หน้าพระประธาน อันเป็นที่นั่งพระอุปัชฒาย์จึงหันหน้าชนกับหลวงพ่อมีโดยมีประรำอิทธิ์มงคลขึ้นอยู่ระหว่างกลาง พอพระภิกษุสงฆ์สวดพุทธาภิเษา หลวงพ่อมีก็เข้าสมาธิจิตปลุกเสก ฉับพลันนั้นท่านก็รู้สึกว่า มีสิ่งของตกลงมาธรรมาสน์ใกล้หน้าแข็งของท่านดัง "กึก" หลวงพ่อมีนั่งเข้าสมาธิจิตเฉยเมยไม่ได้มีความสนใจไยดีต่อเสียงรอบข้างแต่อย่างใด สักครู่หนึ่ง ก็มีเสียงตกลงมาดังกึกบนธรรมาสน์ที่เดียวกันอีกครั้งและมีเสียงกุกๆกักๆพอได้ยิน หลวงพ่อมีทราบได้ในทันทีว่า ถูกลองของแน่แล้ว แต่ไม่มีอารมณ์หวั่นไหวยังคงนั่นหลับตาเฉย พร้อมกับเข้า เตโชกสิณ อธิษฐานจิตให้เห็นว่าสิ่งที่ตกลงมา 2 ครั้งนั้นมันเป็นอะไรกันแน่ ด้วยทิพยอำนาจแห่งเตโชกสิณ สิ่งที่ปรากฏภายในดวงจิตของหลวงพ่อมีก็คือ ตะปูโลงผี ขนาด 3 นิ้ว 2 ตัว กำลังเคลื่อนไหวดุจมีชีวิตอยู่ไปมา หลวงพ่อมีจึงลืมตาก้มหน้าลงมามองดูด้วยตาเนื้อเพื่อให้รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาหลวงพ่อมีขณะนั้นตะปูจริงๆและกำลังหันปลายแหลมตั้งชี้พุ่งขึ้นมาหาหลวงพ่อมีทั้ง 2 ตัว พระเถระแห่งวัดมารวิชัย วางมือขวาลงไปใช้นิ้วชี้กดตะปู 2 ตัว พร้อมกับว่าพระพระคาถาเป่าพรวดลงไปเบาๆตาปูโลงผีก็หมดฤทธิ์ ท่านจึงเก็บไว้ใต้ผ้าอาสนะแล้วเริ่มเข้าสมาธิจิตปลุกเสกอิทธิมหามงคลต่อไป ทันใดนั้น ก็มีตะปูตกลงมาใกล้หน้าแข้งท่านอีกเป็นตัวที่ 3 ตัวที่4 และตัวที่ 5 ซึ่งหลวงพ่อมีก็เก็บแล้วเขี่ยเข้าไปในอาสนะที่ท่านนั่งจนครบ 5 ตัว อธิษฐานจิตเพื่อดูให้รู้แน่ว่าถูกพระอาจารย์ดีองค์ไหนในจำนวนทั้ง 3 รูป คือ หลวงพ่อขอม หลวงพ่อเชิญ หลวงพ่อเมี้ยน ภาพของพระอาจารย์ที่แกล้งทดสอบวิทยาคมก็ผุดขึ้นจักขุทวารและมโนทวาร....
    หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว พระอาจารย์ผู้เลิศล้ำแห่งจังหวัดสุพรรณบุรีนั่นเอง หลวงพ่อมียังไม่แน่ใจว่าจะเป็นหลวงพ่อขอมหรือไม่ท่านจึงอธิษฐานนึกถึงภาพหลวงพ่อเชิญและหลวงพ่อเมี้ยนตามลำดับ แต่ภาพนิมิตที่เกิดขึ้นภายในความคิดทุกครั้งกลับกลายเป็นภาพของหลวงพ่อขอมเช่นเดิม องเป็นหลวงพ่อขอมแน่ๆหลวงพ่อมีนึกคิด พอเสร็จพิธีพุทธาภิเษกจบที่ 4 ผู้คนเข้าไปกราบสักการะหลวงพ่อขอมอย่างล้นหลาม เพราะท่านเป็นพระเกจิมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในขณะนั้น หลวงพ่อมีหยิบตะปูใส่พาน 4 ตัว แล้วเก็บไว้ 1 ตัว เพื่อเป็นที่ระลึก 1 ตัว และเอาดอกไม้ธูปเทียนวางทับปิดบังตะปูไว้ เดินตรงรี่เข้าไปถวายหลวงพ่อขอม เป็นการแสดงความคารวะ หลวงพ่อขอมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมรับเฉยๆเสียอย่างนั้น หลวงพ่อมีจึงพูดขึ้นว่า "หลวงพ่อผมเอาดอกไม้ธูปเทียนมาถวาย"
    หลวงพ่อขอมจึงรับประเคนจากหลวงพ่อมี อย่างขัดไม่ได้ ปกติท่านไม่ได้รับทั้งพานคงใช้มือรวบเอาเฉพาะธูปเทียนเท่านั้น ท่านจึงมองเห็นตะปูวางอยู่ในพาน หลวงพ่อขอมจึงเอ่ยถามหลวงพ่อมีขึ้นว่า "นั่นอะไร"
    หลวงพ่อมี ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ แบบคนจริงว่า "ตะปูของหลวงพ่อ ผมนำมาถวายคืน" หลวงพ่อจึงรับพานไป แล้วพูดติดขำขันอย่างสบายอารมย์ เป็นการยอมรับหลวงพ่อมี แถมรู้ทันถามตรงๆขึ้นว่า "แล้วตะปูอีกตัวหนึ่ง เก็บเข้าไว้ในย่ามทำไม" หลวงพ่อมีตอบอย่างนอบน้อมว่า "ขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกครับ"
    นั่นแสดงถึงความลึกล้ำในเวทวิทยาคมขององค์พระเกจิอาจารย์สมัยนั้นว่าลึกล้ำเก่งกาจ มีอำนาจพลังทางจิตมากมายขนาดไหน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จปรกโพธิ์เนื้อผงน้ำมันปี ๒๕๐๐
    ๒ องค์คู่ องค์ที่ไม่ใช่สายรุ้ง แตกปิ่นขอบข้างติดกาวไว้ครับ
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท

    IMG_20250320_224435.jpg IMG_20250320_224456.jpg IMG_20250320_224520.jpg IMG_20250320_224549.jpg IMG_20250320_224334.jpg IMG_20250320_224404.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,973
    ค่าพลัง:
    +21,371
    วันนี้จัดส่ง
    1742494123594.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,973
    ค่าพลัง:
    +21,371
    FB_IMG_1705647681611.jpg

    พระเกจิอาจารย์มีอาคมสุดลึกล้ำแห่งอำเภอประจันตคาม ท่านเป็นพระที่เรียกได้ว่าเก่งแบบ"คมในฝัก" ของพื้นที่มานาน ซึ่งน้อยคนนักจะได้ทราบประวัติของท่าน ซึ่งนับวันยิ่งลางเลือนไปตามกาลเวลา วันนี้ขอเสนอประวัติ ปฏิปทา ปาฎิหาริย์ ของท่าน นามท่านคือ "พระครูพรหมจริยาธิมุต" หรือที่ชาวบ้านมักเรียกท่านว่าหลวงพ่อสมบุญ พรหมสโร วัดจันทรังษี(บ้านตม) ต.ดงบัง อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ศิษย์ก้นกุฏิและลูกบุญธรรมของท่าน"พระครูพิพัฒน์ปัจจันตเขตต์" (หลวงปู่สิงห์ พรหมสโร) วัดบ้านโนน ปฐมเถราจารย์ยุคต้นๆก่อนสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพาของจังหวัดปราจีนบุรี จากการสืบเสาะค้นหาประวัติท่านจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ทำให้ทราบว่า ท่านเกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พุทธศักราช 2449 แต่เกิดมาได้ไม่นานก็เสียชีวิต พ่อแม่ท่านจึงนำมาฝังไว้ หลวงพ่อสิงห์ได้ทราบด้วยญานวิถีว่ายังไม่ได้เสียชีวิต จึงรับมาอุปถัมภ์อุปการะเป็นลูกบุตรธรรมเหตุที่รอดมาได้นี้หลวงปู่สิงห์จึงตั้งชื่อให้ว่า ''สมบุญ ''แต่ก็เป็นช่วงบั้นปลายชีวิตหลวงปู่สิงห์แล้ว
    .. นามเดิม สมบุญ สกุล บ้านบก บิดาชื่อ จวน มารดาชื่อแก้ว บ้านบก มีพี่น้องรวมสิ้น 7 ท่าน
    .. อายุเข้าเกณฑ์ทหารท่านได้ไปเป็นทหารต่อมาเมื่ออายุได้ 24 ปีจึงได้ตัดสินใจอุปสมบทเมื่อปี พศ.2473 โดยมีหลวงปู่สิงห์ วัดบ้านโนน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูจันทนสารคุณ วัดบ้านโนน กรรมวาจารย์ หลวงพ่อพระอาจารย์สี วัดบ้านโนน อนุสาวนาจารย์ ณ พัทธสีมาวัดบ้านโนน ได้รับฉายา "พรหฺมสโร" อันเป็นฉายาเดียวกับหลวงพ่อสิงห์ปรมาจารย์ใหญ่ของท่าน
    ..ได้ร่ำเรียนสรรพวิชาอาคมต่างๆจากหลวงปู่สิงห์ หลังจากที่สิ้นหลวงปู่สิงห์แล้ว จึงร่ำเรียนทบทวนสรรพวิชากับหลวงพ่อจ้อย ศิษย์ของหลวงปู่สิงห์ซึ่งเป็นศิษย์ผู้พี่พอสมควร จากนั้นดั้นด้นเดินทางไปเรียนวิชากับ "พระครูสิทธิสารคุณ" หลวงพ่อจาด คังคสโรวัดบางกระเบา สุดยอดพระเกจิยุคสงครามอินโดจีน โดยหลวงพ่อจาดมีวิชาหนังเหนียว อยู่ยงคงกะพัน เรียกได้ว่าทหารที่นำเครื่องรางพระเครื่องของท่านไปใช้ต่างพบประสบการณ์อย่างโชกโชน หลังจากศึกษาวิทยาคมจนเป็นที่พอใจแล้วจึงกลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดจันทรังษี(บ้านตม) จนเมื่อปี พ.ศ.2513 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นประทวน ที่ "พระครูสมบุญ พรหมสโร" และต่อมาได้รับพระครูสัญญาบัตร ที่ "พระครูพรหมจริยาธิมุต"
    ดังนั้นแล้วหลวงพ่อสมบุญ จึงเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เต็มเปี่ยมด้วยวิชาอาคม ไม่เป็นสองรองใคร สหธรรมมิกรูปสำคัญของหลวงพ่อสมบุญ มีมากมายอาทิ
    "พระครูพรหมาภิรัต" หลวงพ่อบุญ วัดตะเคียนทอง(สุดสายเหนียวเมืองประจันตคาม)
    "พระครูวิมลศีลาจารย์" หลวงพ่อเส็ง วัดศรีประจันตคาม(พุทธคุณเด่นทุกอย่างครอบจักรวาลนางกวักท่านราคาหลักแสน)
    หลวงพ่อปลั่ง วัดอรัญไพรศรี(ยันต์หมูทองแดงท่านเด็ดขาดนักเรื่องแคล้วคลาดคงกะพัน) เป็นต้น เท่ากับว่าท่านเป็นศิษย์สายหลวงปู่สิงห์ อย่างแท้จริง เหรียญที่ท่านปลุกเสกนั้น มีอิทธิคุณเด่นมากในด้านคงกะพันชาตรีและเเคล้วคลาดเป็นอย่างยิ่ง พระเครื่องที่ท่านสร้างมีมากมายหลายสิบรุ่น พระหลักร้อยแต่พุทธคุณหลายล้าน ท่านละสังขารเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2537 สิริอายุได้ 88 ปี 64 พรรษา ยังความโศกเศร้าให้กับบรรดาศิษย์เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เกิดเป็นอัศจรรย์เมื่อร่างของท่านมิได้เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลาแต่ปัจจุบันแห้งสนิทดุจหิน ลักษณะเด่นของท่านคือช่วงท่านมีอายุมากหัวท่านจะปูดบริเวณหน้าผากครับ ปล.หากข้อมูลผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ ตูน มหาลาภ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อสมบุญวัดจันทรังษี (บ้านตม)ปี๒๕๒๒
    กะไหล่ทองลงยาสีน้ำเงิน
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250321_131128.jpg IMG_20250321_131204.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...