ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Oct 30, 2024 จุดหมายเดียวกัน! ขุนคลังมั่นใจคลัง - ธปท. ประสานการทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มีทิศทางกำหนดกรอบเงินเฟ้อชัดเจน ดันขึ้นใกล้ระดับ 2% ย้ำดอกเบี้ยต้องต่ำ จี้แบงก์ชาติกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสม ไม่ให้เสียเปรียบ

    นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ทิศทางการทำงานของกระทรวงการคลังกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระยะต่อจากนี้มั่นใจว่าจะมีการทำงานที่สอดประสานกันมากขึ้น โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ถ้านโยบายการคลังและการเงินไม่เดินไปด้วยกันก็จะลำบาก ซึ่งเรื่องนี้เราเริ่มเห็นทิศทางที่เหมือนกันจากการที่พูดคุยกันมาอย่างต่อเนื่องว่าเรื่องนี้มีความจำเป็นถ้าเราอยากเห็นประเทศดีขึ้นต้องทำงานร่วมกัน

    ส่วนในการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วานนี้ (29 ต.ค.) ได้มีการตกลงกันในเรื่องของกรอบเงินเฟ้อที่เราใช้กรอบที่ 1-3% เราเป็นเรื่องที่รู้ว่าจะทำให้เศรษฐกิจมีความเติบโตมากขึ้นนั้นเรื่องของเงินเฟ้อต้องไม่ต่ำจนเกินไปแต่อย่าสูงโด่งจนเกินไป ซึ่งเราก็ต้องพยายามทำให้อัตราเงินเฟ้อมาอยู่ที่ใกล้กับระดับ 2%

    ขณะที่ในเรื่องดอกเบี้ยนั้นก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเหมือนกันแต่เป็นเรื่องของการลงทุนคนก็รู้การลงทุนนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตก็ต้องรู้ว่าเราต้องการเรื่องของดอกเบี้ยที่ต่ำ เพื่อให้กระตุ้นการลงทุนซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดเอง โดยที่เราไม่ต้องบอกว่าต้องให้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ต่อเนื่อง

    ขณะเดียวกันได้ฝากให้ ธปท.ไปช่วยดูก็คือเราเป็นประเทศส่งออกก็ได้ขอให้ไปดูในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ขอให้ไปดูว่าเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนนี้อย่าให้ประเทศเราเสียเปรียบคู่แข่ง

    #คลัง #ดอกเบี้ย #แบงก์ชาติ #ค่าเงิน #เศรษฐกิจไทย #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/Rr9XrUtBS23A59ch/
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Oct 30, 2024 หลายปัจจัย! ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมดิ่ง จากยอดผลิตรถร่วง 14 เดือนกดดัน เหตุภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้ออ่อนแอ หนี้ครัวเรือนสูง
    .
    นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ระดับ 92.44 หดตัวร้อยละ 3.51 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 57.47 ส่งผลให้ดัชนี MPI ไตรมาส 3 ปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 94.74 หดตัวเฉลี่ยร้อยละ 1.23 และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 58.29 หดตัวเฉลี่ยร้อยละ 0.11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการผลิตยานยนต์ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 ทั้งตลาดภายในประเทศและการส่งออก จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้ออ่อนแอ หนี้ครัวเรือนสูง และสถานการณ์หนี้สงสัยจะสูญ (NPL) ยังอยู่ในระดับที่สูง ทำให้สถาบันการเงินยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและยอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ในระดับสูง
    .
    ขณะเดียวกันต้นทุนพลังงานอยู่ในระดับสูง และปัญหาสินค้านำเข้าราคาถูกมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาถูกกว่าสินค้าของไทย โดยเฉพาะการเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์กระทบผู้ประกอบการไทย ซึ่งสินค้านำเข้าที่ทะลักเข้ามามาก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ และเสื้อผ้า เป็นต้น ขณะที่ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัวร้อยละ 2.86 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 7.05
    .
    การเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทยเดือนตุลาคม 2567 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น” โดยปัจจัยภายในประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น ตามการลงทุนภาคเอกชนและความเชื่อมั่นทางธุรกิจในภาคการผลิตที่ลดลง ผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ และผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น จากภาคการผลิตของสหภาพยุโรปที่ยังคงหดตัว รวมถึงสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา และความกังวลต่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี
    .
    สำหรับประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐมีผลต่ออุตสาหกรรมไทยนั้น มองว่ามีทั้งได้รับอานิสงส์และอาจจะได้รับผลกระทบ ดังนั้น สศอ. จึงมีข้อเสนอแนะแก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยเพื่อให้สามารถปรับตัวและบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม ได้แก่ปรับตัวสู่เทคโนโลยีพลังงานสะอาด และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ,พัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต โดยตรวจสอบและปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการใช้พลังงาน หรือการสูญเสียพลังงานในแต่ละขั้นตอนเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต,นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล,ผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดโลก โดยต้องมีความเข้าใจความต้องการและสามารถจัดการกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และพัฒนาแรงงานโดยสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร (Reskill) พัฒนาเพื่อยกระดับทักษะที่มีอยู่เดิมให้ดียิ่งขึ้น (Upskill) เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ นำมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน (Newskill) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะของแรงงานให้ตรงตามความต้องการของตลาดโลก
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3Am2Mef
    .
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    X: https://twitter.com/BTimes_ch3
    Threads: https://www.threads.net/@btimes.ch3
    Website: https://btimes.biz
    Podcast : https://btimes.podbean.com/
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3
    .
    #ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม #ยอดผลิตรถ #เศรษฐกิจ #หนี้ครัวเรือน #กำลังซื้อ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/nLcfVnXpTjHusJ8k/
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Oct 30, 2024 วูบเยอะ! ยอดผลิตรถยนต์โตโยต้าวูบทั่วโลก ลดลงติดต่อกันเดือนที่ 8 ในเดือนก.ย. 67 เนื่องมาจากยอดขาย ผลิตในสหรัฐฯ และจีนทรุด

    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (Toyota Motor) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เปิดเผยในวันนี้ (30 ต.ค.) ว่าการผลิตรถยนต์ทั่วโลกปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ในเดือน ก.ย. ขณะที่ทั้งยอดขายและการผลิตในสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นสองตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของโตโยต้า ก็ปรับตัวลงเช่นกัน

    โดยการผลิตรถยนต์ทั่วโลกของโตโยต้าลดลง 8% ในเดือน ก.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 826,556 คัน โดยการผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ลดลง 14% และการผลิตในจีนลดลง 19%

    สำหรับปัจจัยที่ทำให้การผลิตรถยนต์โตโยต้าในสหรัฐฯ ลดลงนั้น มาจากการระงับการผลิตและการส่งมอบรถรุ่น Grand Highlander และ Lexus TX ซึ่งเป็นรถสปอร์ตอเนกประสงค์ เนื่องจากพบปัญหาเกี่ยวกับถุงลมนิรภัย อย่างไรก็ดี โตโยต้าได้เริ่มกลับมาผลิตรถยนต์ทั้งสองรุ่นอีกครั้งเมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา

    ส่วนในจีนนั้น โตโยต้ายังคงเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากการที่ผู้บริโภคหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอิน (plug-in hybrids) ที่จำหน่ายโดยผู้ผลิตรถยนต์ของจีน

    ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกลดลง 7% ในเดือน ก.ย. สู่ระดับ 853,149 คัน โดยยอดขายในสหรัฐฯ ร่วงลง 20%, ยอดขายในจีนลดลง 9% และยอดขายในญี่ปุ่นลดลง 6% ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายรถยนต์ของโตโยต้าอยู่ที่ 7.4 ล้านคัน ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

    #โตโยต้า #ยอดผลิตรถยนต์ #ยอดขายรถยนต์โตโยต้า #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/bgsnUu2mDV3YkNbD/
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สเปน :บาเลนเซีย

    ▪️ ยอดผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยในสเปนพุ่ง 158 ราย
    ถือเป็นภัยพิบัติจากพายุครั้งที่เลวร้ายที่สุดในยุโรปในรอบ 50 ปี

    ปรากฏการทางอุตุนิยมวิทยา ภาษาท้องถิ่นเรียก DANA ทำให้ฝนตกหนักผิดปกติ
    ฝนตกต่อเนื่อง ตกหนักพิเศษติดต่อกัน 8 ชั่วโมง เท่ากับปริมาณน้ำฝนตกหนึ่งปี
    ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างคล้ายกับภัยพิบัติ ของพายุเฮอริเคนหรือคลื่นสึนามิ
    รถยนต์ บ้านเรือน ถนนกว่า 150 เส้น ได้รับผลกระทบถูกตัดขาดจากกระแสน้ำและน้ำโคลน

    ปัจจุบันอยู่ระหว่างฟื้นฟูกู้ภัย กู้ระบบโครงสร้างพื้นฐาน ไฟฟ้ากู้ได้ 75% บางพื้นที่ต้องอพยพเนื่องจากน้ำในอ่างเก็บน้ำเกินระดับ ภัยพิบัติในสเปน ที่ฝนตกหนัก น้ำท่วม ในวันที่29/10/2024คือพื้นที่ด้านตะวันออกและทางใต้
    FB_IMG_1730455079822.jpg FB_IMG_1730455081684.jpg FB_IMG_1730455083548.jpg FB_IMG_1730455089439.jpg FB_IMG_1730455091224.jpg FB_IMG_1730455093737.jpg FB_IMG_1730455087274.jpg
    https://www.facebook.com/share/6qB4SxJFg2vgqt5d/
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 1, 2024 ลุ้นแตะ 34 บาท! เงินบาทเปิดวันนี้อ่อนค่าลง บริเวณ 33.81- 33.82 บาท ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รับแรงหนุนจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน
    .
    นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เงินบาท วันนี้เปิดที่ระดับ 33.81 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.75 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-34.00 บาทต่อดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท(USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง ในลักษณะ Sideways Up (กรอบการเคลื่อนไหว 33.74-33.90 บาทต่อดอลลาร์) โดยในช่วงแรกเงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลัง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ออกมาดีกว่าคาด ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE เดือนกันยายน ก็อออกมาสูงกว่าคาดเล็กน้อย ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
    .
    ด้านนักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 33.82 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจาก ปิดตลาดช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 33.76 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคทรงตัวค่อนข้างนิ่ง เนื่องจากตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา
    .
    ส่วนปัจจัยในประเทศรอดูทิศทางของเงินทุนระหว่างประเทศ (Fund Flow) จากการค้าทองเป็นสำคัญ หลังราคาทองใน ตลาดโลกเมื่อคืนนี้ร่วงลงกว่า 50 ดอลลาร์
    .
    โดยวันนี้บาทน่าจะเคลื่อนไหวตามทิศทางราคาทองในตลาดโลกที่ร่วงลงมา ซึ่งปกติช่วงต้นเดือนยังไม่มีปัจจัยใหม่ ต้องรอสัปดาห์ หน้าจึงจะมีปัจจัยสำคัญเข้ามาเยอะ ทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อด้วยการประชุมเฟด ซึ่งประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 33.70 - 34.00 บาท/ดอลลาร์
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/40r5TvU
    .
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    X: https://twitter.com/BTimes_ch3
    Threads: https://www.threads.net/@btimes.ch3
    Website: https://btimes.biz
    Podcast : https://btimes.podbean.com/
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3
    .
    #เงินบาท #ลงทุน #การเงิน #หุ้น #ทองคำ #น้ำมัน #ตลาดหุ้น #ราคาทอง #เศรษฐกิจ #เล่นหุ้น #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/pABvSxcHQyFtu7jr/
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกาหลีใต้
    เป็นครั้งแรกใน 120 ปี ที่เกาหลีใต้มีพายุฝนในฤดูหนาว เดือน พ.ย. ฝนเริ่มตกพรุ่งนี้ จากอิทธิพลพายุ กองเร็ย หลังเคลื่อนตัวออกจากไต้หวัน คาดว่าอากาศในเกาหลีใต้จะหนาวลงไปอีกหลังฝนตก
    FB_IMG_1730455510670.jpg
    https://www.facebook.com/share/KHXNvSee9z1ruJ5B/
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไต้หวัน : พายุไต้ฝุ่นกองเร็ย เคลื่อนตัวออกจากเกาะไต้หวัน
    พายุอ่อนกำลังลงเล็กน้อยและเคลื่อนตัวออกจากไต้หวันเมื่อเวลา 02.30 น. ของวันนี้ (วันที่ 1) คำเตือนสถานที่หลายแห่งยังคงต้องระมัดระวังลมและฝน โรงเรียนหลายแห่งยังคงปิดเรียน เจ้าหน้าที่ทำความสะอาด ฟื้นฟูถนนทำงานเก็บความเรียบร้อยในช่วงเช้า 1/11 พายุไต้ฝุ่นกองเร็ยเป็นสถิติใหม่ พายุลูกใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี ที่ขึ้นฝั่งไต้หวัน มีผู้เสียชีวิต 2 รายในวันที่ 31.10.2024

    FB_IMG_1730455590683.jpg FB_IMG_1730455592714.jpg FB_IMG_1730455594490.jpg FB_IMG_1730455596781.jpg FB_IMG_1730455599060.jpg FB_IMG_1730455600976.jpg

    https://www.facebook.com/share/p/YQzuvT1wzaSx3T73/
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Initium คือ รถไฮโดรเจนรุ่นใหม่ของค่ายเกาหลีอย่าง Hyundai ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ โดยสามารถวิ่งได้ระยะทางกว่า 650 กิโลเมตร ต่อการเติมเชื้อเพลิงหนึ่งครั้ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนอย่าง Nexo ที่ทำได้ 609 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าภายในบ้านเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองได้อีกด้วย
    .
    ทำไมยังกล้าขายไฮโดรเจน ทั้งที่รู้ว่ายังไม่คุ้มค่าเสี่ยง ?

    ด้าน Bloomberg รายงานว่า แม้ว่ารถยนต์พลังงานไฮโดรเจนยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากการผลิตไฮโดรเจนจากพลังงานหมุนเวียนยังไม่คุ้มค่าในเชิงพานิชย์ รวมถึงมีข้อจำกัดด้านการขนส่งและการจัดเก็บ แต่ฮุนไดยังยืนยันที่จะเดินหน้าสู่อนาคตของพลังงานไฮโดรเจน
    .
    เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Hyundai ประกาศว่าจะลงทุนราว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1.3 แสนล้านบาท) ในช่วง 10 ปีข้างหน้าเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในการบรรลุ "การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)" ภายในปี 2045
    .
    โดยตั้งแต่การเปิดตัวรถยนต์ไฮโดรเจนรุ่นแรกคือ Nexo ในปี 2018 ฮุนไดยังคงเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของเทคโนโลยีไฮโดรเจน แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นทั่วโลกจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่มากกว่า
    .
    Jim Park หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจยานพาหนะเชิงพาณิชย์และไฮโดรเจนในอเมริกาเหนือของฮุนได ชี้ว่า ส่วนหนึ่งก็มาจากข้อได้เปรียบของรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนที่สามารถเติมเชื้อเพลิงได้รวดเร็วกว่าและมีระยะทางการขับขี่ที่ไกลกว่า อย่างไรก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่ชี้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่นั้นเป็นวิธีลดการปล่อยมลพิษที่รวดเร็วและประหยัดที่สุดสำหรับรถยนต์โดยสารทั่วไป
    .
    ในขณะที่รถพลังงานไฮโดรเจนอาจเหมาะสมกับการใช้งานในกลุ่มยานพาหนะเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ต้องการพลังงานสูง ด้าน Hyundai จึงมองว่าไฮโดรเจนจะมีบทบาทสำคัญในภาคยานพาหนะเชิงพาณิชย์ เนื่องจากความสามารถในการเก็บพลังงานของไฮโดรเจนสูงกว่า จึงให้ข้อได้เปรียบทั้งในด้านน้ำหนักและระยะทางเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่
    .
    อ่านต่อได้ที่: https://techsauce.co/news/is-it-the...initium-hydrogen-car-for-a-sustainable-future

    https://www.facebook.com/share/p/KeXzhdKU2uJLxN2B/
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 1, 2024 งั้นต้องทรัมป์! ทรัมป์ชนะ กดเงินบาทอาจร่วงแตะ 35 บาทต่อดอลลาร์

    กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า เงินบาทเดือนที่ผ่านมาอ่อนค่าเร็วจากการที่ตลาดปรับมุมมองว่า Fed จะลดดอกเบี้ยช้าลง ทำให้ US Treasury yields ปรับสูงขึ้นพร้อมดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้ง ตลาดมองว่าโอกาสที่ทรัมป์จะชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีมีสูงขึ้น จึงมีการ Price-in ทำให้ Yields ขึ้นต่อ ดอลลาร์แข็งค่า กดดันให้บาทอ่อนค่าเร็ว สำหรับในระยะต่อไปมองว่า ตลาดได้ Price-in การลดดอกเบี้ยของ Fed ค่อนข้างเหมาะสมแล้ว ทำให้โอกาสที่บาทจะอ่อนค่าจากปัจจัยนี้มีน้อย อย่างไรก็ดี หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งตามที่คาด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บาทอ่อนค่าเร็วอีกได้ โดยอาจเห็นบาทอ่อนค่าไปใกล้ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และ US yields อาจสูงขึ้นได้อีก สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ย ประเมินว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในเดือน ก.พ. ปีหน้า โดยหากเงินเฟ้อกลับมาเข้ากรอบได้ตามคาด หรือ กนง. สื่อสารในเชิงHawkish ก็อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยกลับมาสูงขึ้นได้เล็กน้อย

    นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและพันธบัตรรัฐบาลในเดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวผันผวนจาก 2 ประเด็นหลักด้วยกัน คือ มุมมองการลดดอกเบี้ยของ Fed และแนวโน้มผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดยเงินบาทเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนยังแข็งค่าที่ระดับราว 32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ทยอยอ่อนค่าขึ้นต่อเนื่องหลังจากนั้นจนล่าสุดแตะระดับ 33.80 ในช่วงปลายเดือนตุลาคม โดยปัจจัยหลักมาจากการปรับมุมมองของนักลงทุนต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) ที่จะลดดอกเบี้ยน้อยลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury yields) ปรับสูงขึ้น กดดันให้ดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่า และเงินบาทอ่อนค่า นอกจากนี้ ตลาดคาดว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง ทำให้ Yields และราคา Bitcoin ปรับสูงขึ้น อีกทั้ง ราคาหุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายของทรัมป์ (กลุ่มพลังงาน บริษัทผลิตอาวุธ และธนาคาร) สูงขึ้นเช่นกัน ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า จึงกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าเพิ่มเติม

    ในเดือนกันยายนตลาดยัง Price-in การลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ถึงราว 70 bps แต่ล่าสุดตลาดคาด Fed จะลดดอกเบี้ยอีกเพียง 45 bpsเท่านั้น เนื่องจากตลาดปรับมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้น จากที่เคยมองว่าเศรษฐกิจอาจเผชิญภาวะหดตัว (Recession) เป็นมองว่าเศรษฐกิจ อาจกลับมาเร่งตัวได้ (Re-acceleration) ทำให้ Treasury yields สูงขึ้นเร็วในเดือนตุลาคม โดย Yields ระยะสั้น (อายุ 2 ปี) ปรับสูงขึ้นราว 45 bps และ Yields ระยะยาว (อายุ 10 ปี) ปรับสูงขึ้นราว 50 bpsอย่างไรก็ดี นายแพททริกมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังชะลอลงแบบ Soft landing ทำให้ Fed จะสามารถลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งในปีนี้ และ 4 ครั้งปีหน้า (ครั้งละ 25 bps) ทำให้ Terminal rate จะลงไปอยู่ที่ราว 3.25-3.50% ซึ่งใกล้เคียงกับที่ตลาด Price-in ขณะนี้ ดังนั้น โอกาสที่ Yields จะปรับขึ้นต่อ และเงินบาทจะอ่อนค่าจากปัจจัยดังกล่าวน่าจะมีจำกัด อย่างไรก็ดี ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะส่งผลต่อตลาดการเงินโลกและค่าเงินบาทในช่วง 1 เดือนจากนี้ โดยหากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี และพรรคริพับลิกันชนะทั้ง 2 สภา ก็อาจทำให้บาทอ่อนค่าเร็วและอาจแตะระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ได้

    นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า คะแนนของทรัมป์และแฮร์ริสใกล้เคียงกันมาก โดย 538 Poll ให้แฮร์ริสนำ ขณะที่ Real Clear Politics และ Polymarket ให้ทรัมป์มีคะแนนนำ ทั้งนี้ คาดว่าผลคะแนนใน Swing States 7 รัฐ จะเป็นตัวชี้ขาดผลเลือกตั้ง ซึ่งนายวชิรวัฒน์ประเมินว่า หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี และพรรคริพับลิกันชนะทั้ง 2 สภา ก็จะทำให้สินทรัพย์ที่ปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับขึ้นต่อได้ และ Yields จะปรับสูงขึ้นต่อ โดยมองว่า Yields ระยะยาวจะเพิ่มขึ้นมากกว่า Yields ระยะสั้น ทำให้ Treasury curve ปรับชันขึ้น (Bear steepen) นอกจากนี้ ดัชนีเงินดอลลาร์จะแข็งค่าและกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าต่อไปถึงระดับราว 34.80-35.30 ได้ แต่หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี และพรรคริพับลิกันชนะแค่สภาบน นโยบายขึ้น Tariffs และตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มข้นขึ้นจะยังคงทำได้ แต่การลดภาษีนิติบุคคลจะไม่สามารถทำได้ ซึ่งมองว่าเงินบาทอาจจะทรงตัวหรืออ่อนค่าอีกเพียงเล็กน้อยไปที่ราว 34.20-34.70

    สำหรับกรณีที่แฮร์ริสจะชนะการเลือกตั้งนั้น นายวชิรวัฒน์มองว่ามีโอกาสรองลงมา แต่พรรคเดโมแครตอาจชนะเพียงแค่สภาล่าง ซึ่งในกรณีนี้ การออกมาตรการใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีจำกัด ทำให้เศรษฐกิจระยะยาวมีแนวโน้มโตช้าลงTreasury yields มีแนวโน้มปรับลดลงได้ พร้อมเงินดอลลาร์ที่อาจอ่อนค่าจากการ Price-out ของนโยบายทรัมป์ โดยมองว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าที่ราว 32.80-33.30 ได้ สำหรับโอกาสที่แฮร์ริสจะชนะการเลือกตั้งพร้อมกับพรรคเดโมแครตชนะในทั้ง 2 สภานั้น นายวชิรวัฒน์มองว่ามีโอกาสต่ำที่สุด แต่หากเกิดขึ้นจริง เงินบาทอาจแข็งค่าเร็วไปแตะระดับราว 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์

    ทั้งนี้ นอกจากผลการเลือกตั้งแล้ว อีกปัจจัยที่ยังไม่แน่นอนคือระยะเวลาที่จะประกาศผล ซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนในช่วงนั้นได้ โดยผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการอาจออกมาล่าช้า หากมีการประท้วงหรือขอให้นับคะแนนใหม่ในกรณีที่คะแนนใกล้เคียงกันมาก (ในบางรัฐมีกฎให้นับใหม่ได้ หากคะแนนต่างกันไม่ถึง 0.5%) ซึ่งนายวชิรวัฒน์ประเมินว่า ผลการเลือกตั้งน่าจะออกมาอย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 11 ธ.ค. ตามกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี หากแฮร์ริสหรือทรัมป์ชนะด้วยคะแนนที่ห่างกัน ก็อาจรู้ผลได้ในช่วงค่ำวันที่ 6 พ.ย. (เวลาไทย) ทั้งนี้ ด้วยความไม่แน่นอนที่มีอยู่มาก นายวชิรวัฒน์แนะให้ลูกค้าป้องกันความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งไว้บางส่วน โดยอาจจอง Forward บางส่วน และ/หรือพิจารณาซื้อ Options เพื่อป้องกันความเสี่ยงกรณีที่บาทเปลี่ยนแปลงเร็วและไม่เป็นดังที่ประเมิน (Tail risk)

    สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย นายวชิรวัฒน์กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยของ กนง. ในเดือนตุลาคมนั้นเหนือความคาดหมายของตลาด โดยก่อนการประชุม ตลาด Price-in การลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนั้นเพียงราว 16% เท่านั้น สำหรับในระยะต่อไป ตลาดคาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือน มี.ค. ปีหน้า และให้โอกาสราว 80% ที่จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือน มิ.ย. ปีหน้า ทำให้สิ้นสุดวัฏจักรการลดดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75% อย่างไรก็ดี นายวชิรวัฒน์มองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในเดือน ก.พ. ปีหน้า โดยหากเงินเฟ้อกลับมาเข้ากรอบได้ตามคาด หรือ กนง. สื่อสารในเชิง Hawkish ก็อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยกลับมาสูงขึ้นได้เล็กน้อย

    ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    X: https://twitter.com/BTimes_ch3
    Threads: https://www.threads.net/@btimes.ch3
    Website: https://btimes.biz
    Podcast : https://btimes.podbean.com/
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3

    #SCB #SCBFM #ดอกเบี้ย #ธนาคารไทยพาณิชย์ #โดนัลด์ทรัมป์ #เงินบาท #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/oMteXngFesTKu6CF/
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 1, 2024 งั้นต้องทรัมป์! ทรัมป์ชนะ กดเงินบาทอาจร่วงแตะ 35 บาทต่อดอลลาร์

    กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า เงินบาทเดือนที่ผ่านมาอ่อนค่าเร็วจากการที่ตลาดปรับมุมมองว่า Fed จะลดดอกเบี้ยช้าลง ทำให้ US Treasury yields ปรับสูงขึ้นพร้อมดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้ง ตลาดมองว่าโอกาสที่ทรัมป์จะชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีมีสูงขึ้น จึงมีการ Price-in ทำให้ Yields ขึ้นต่อ ดอลลาร์แข็งค่า กดดันให้บาทอ่อนค่าเร็ว สำหรับในระยะต่อไปมองว่า ตลาดได้ Price-in การลดดอกเบี้ยของ Fed ค่อนข้างเหมาะสมแล้ว ทำให้โอกาสที่บาทจะอ่อนค่าจากปัจจัยนี้มีน้อย อย่างไรก็ดี หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งตามที่คาด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บาทอ่อนค่าเร็วอีกได้ โดยอาจเห็นบาทอ่อนค่าไปใกล้ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และ US yields อาจสูงขึ้นได้อีก สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ย ประเมินว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในเดือน ก.พ. ปีหน้า โดยหากเงินเฟ้อกลับมาเข้ากรอบได้ตามคาด หรือ กนง. สื่อสารในเชิงHawkish ก็อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยกลับมาสูงขึ้นได้เล็กน้อย

    นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและพันธบัตรรัฐบาลในเดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวผันผวนจาก 2 ประเด็นหลักด้วยกัน คือ มุมมองการลดดอกเบี้ยของ Fed และแนวโน้มผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดยเงินบาทเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนยังแข็งค่าที่ระดับราว 32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ทยอยอ่อนค่าขึ้นต่อเนื่องหลังจากนั้นจนล่าสุดแตะระดับ 33.80 ในช่วงปลายเดือนตุลาคม โดยปัจจัยหลักมาจากการปรับมุมมองของนักลงทุนต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) ที่จะลดดอกเบี้ยน้อยลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury yields) ปรับสูงขึ้น กดดันให้ดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่า และเงินบาทอ่อนค่า นอกจากนี้ ตลาดคาดว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง ทำให้ Yields และราคา Bitcoin ปรับสูงขึ้น อีกทั้ง ราคาหุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายของทรัมป์ (กลุ่มพลังงาน บริษัทผลิตอาวุธ และธนาคาร) สูงขึ้นเช่นกัน ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า จึงกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าเพิ่มเติม

    ในเดือนกันยายนตลาดยัง Price-in การลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ถึงราว 70 bps แต่ล่าสุดตลาดคาด Fed จะลดดอกเบี้ยอีกเพียง 45 bpsเท่านั้น เนื่องจากตลาดปรับมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้น จากที่เคยมองว่าเศรษฐกิจอาจเผชิญภาวะหดตัว (Recession) เป็นมองว่าเศรษฐกิจ อาจกลับมาเร่งตัวได้ (Re-acceleration) ทำให้ Treasury yields สูงขึ้นเร็วในเดือนตุลาคม โดย Yields ระยะสั้น (อายุ 2 ปี) ปรับสูงขึ้นราว 45 bps และ Yields ระยะยาว (อายุ 10 ปี) ปรับสูงขึ้นราว 50 bpsอย่างไรก็ดี นายแพททริกมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังชะลอลงแบบ Soft landing ทำให้ Fed จะสามารถลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งในปีนี้ และ 4 ครั้งปีหน้า (ครั้งละ 25 bps) ทำให้ Terminal rate จะลงไปอยู่ที่ราว 3.25-3.50% ซึ่งใกล้เคียงกับที่ตลาด Price-in ขณะนี้ ดังนั้น โอกาสที่ Yields จะปรับขึ้นต่อ และเงินบาทจะอ่อนค่าจากปัจจัยดังกล่าวน่าจะมีจำกัด อย่างไรก็ดี ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะส่งผลต่อตลาดการเงินโลกและค่าเงินบาทในช่วง 1 เดือนจากนี้ โดยหากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี และพรรคริพับลิกันชนะทั้ง 2 สภา ก็อาจทำให้บาทอ่อนค่าเร็วและอาจแตะระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ได้

    นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า คะแนนของทรัมป์และแฮร์ริสใกล้เคียงกันมาก โดย 538 Poll ให้แฮร์ริสนำ ขณะที่ Real Clear Politics และ Polymarket ให้ทรัมป์มีคะแนนนำ ทั้งนี้ คาดว่าผลคะแนนใน Swing States 7 รัฐ จะเป็นตัวชี้ขาดผลเลือกตั้ง ซึ่งนายวชิรวัฒน์ประเมินว่า หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี และพรรคริพับลิกันชนะทั้ง 2 สภา ก็จะทำให้สินทรัพย์ที่ปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับขึ้นต่อได้ และ Yields จะปรับสูงขึ้นต่อ โดยมองว่า Yields ระยะยาวจะเพิ่มขึ้นมากกว่า Yields ระยะสั้น ทำให้ Treasury curve ปรับชันขึ้น (Bear steepen) นอกจากนี้ ดัชนีเงินดอลลาร์จะแข็งค่าและกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าต่อไปถึงระดับราว 34.80-35.30 ได้ แต่หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี และพรรคริพับลิกันชนะแค่สภาบน นโยบายขึ้น Tariffs และตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มข้นขึ้นจะยังคงทำได้ แต่การลดภาษีนิติบุคคลจะไม่สามารถทำได้ ซึ่งมองว่าเงินบาทอาจจะทรงตัวหรืออ่อนค่าอีกเพียงเล็กน้อยไปที่ราว 34.20-34.70

    สำหรับกรณีที่แฮร์ริสจะชนะการเลือกตั้งนั้น นายวชิรวัฒน์มองว่ามีโอกาสรองลงมา แต่พรรคเดโมแครตอาจชนะเพียงแค่สภาล่าง ซึ่งในกรณีนี้ การออกมาตรการใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีจำกัด ทำให้เศรษฐกิจระยะยาวมีแนวโน้มโตช้าลงTreasury yields มีแนวโน้มปรับลดลงได้ พร้อมเงินดอลลาร์ที่อาจอ่อนค่าจากการ Price-out ของนโยบายทรัมป์ โดยมองว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าที่ราว 32.80-33.30 ได้ สำหรับโอกาสที่แฮร์ริสจะชนะการเลือกตั้งพร้อมกับพรรคเดโมแครตชนะในทั้ง 2 สภานั้น นายวชิรวัฒน์มองว่ามีโอกาสต่ำที่สุด แต่หากเกิดขึ้นจริง เงินบาทอาจแข็งค่าเร็วไปแตะระดับราว 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์

    ทั้งนี้ นอกจากผลการเลือกตั้งแล้ว อีกปัจจัยที่ยังไม่แน่นอนคือระยะเวลาที่จะประกาศผล ซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนในช่วงนั้นได้ โดยผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการอาจออกมาล่าช้า หากมีการประท้วงหรือขอให้นับคะแนนใหม่ในกรณีที่คะแนนใกล้เคียงกันมาก (ในบางรัฐมีกฎให้นับใหม่ได้ หากคะแนนต่างกันไม่ถึง 0.5%) ซึ่งนายวชิรวัฒน์ประเมินว่า ผลการเลือกตั้งน่าจะออกมาอย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 11 ธ.ค. ตามกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี หากแฮร์ริสหรือทรัมป์ชนะด้วยคะแนนที่ห่างกัน ก็อาจรู้ผลได้ในช่วงค่ำวันที่ 6 พ.ย. (เวลาไทย) ทั้งนี้ ด้วยความไม่แน่นอนที่มีอยู่มาก นายวชิรวัฒน์แนะให้ลูกค้าป้องกันความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งไว้บางส่วน โดยอาจจอง Forward บางส่วน และ/หรือพิจารณาซื้อ Options เพื่อป้องกันความเสี่ยงกรณีที่บาทเปลี่ยนแปลงเร็วและไม่เป็นดังที่ประเมิน (Tail risk)

    สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยไทย นายวชิรวัฒน์กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยของ กนง. ในเดือนตุลาคมนั้นเหนือความคาดหมายของตลาด โดยก่อนการประชุม ตลาด Price-in การลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนั้นเพียงราว 16% เท่านั้น สำหรับในระยะต่อไป ตลาดคาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือน มี.ค. ปีหน้า และให้โอกาสราว 80% ที่จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือน มิ.ย. ปีหน้า ทำให้สิ้นสุดวัฏจักรการลดดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75% อย่างไรก็ดี นายวชิรวัฒน์มองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ในเดือน ก.พ. ปีหน้า โดยหากเงินเฟ้อกลับมาเข้ากรอบได้ตามคาด หรือ กนง. สื่อสารในเชิง Hawkish ก็อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยกลับมาสูงขึ้นได้เล็กน้อย

    ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    X: https://twitter.com/BTimes_ch3
    Threads: https://www.threads.net/@btimes.ch3
    Website: https://btimes.biz
    Podcast : https://btimes.podbean.com/
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3

    #SCB #SCBFM #ดอกเบี้ย #ธนาคารไทยพาณิชย์ #โดนัลด์ทรัมป์ #เงินบาท #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/oMteXngFesTKu6CF/
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1730515880479.jpg

    ดัชนีค่าเงินเอเชียเทียบดอลลาร์ เดือน ต.ค. ที่เพิ่งพ้นไปนี้ ปรากฏว่าแย่สุดตั้งแต่ ก.พ. 2023 เลยเชียวนะครับ รูดหนักมาก และตอนนี้เกรงกันว่าถ้าทรัมป์ชนะเลือกตั้ง จะยิ่งขย่มซ้ำอีก
    ด้านวาณิชธนกิจชั้นนำอย่าง Barclays และ MUFG Bank เริ่มเมียงๆ มองๆ ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศแล้วล่ะครับ ว่าพวกชาติเอเชียทั้งหลายแหล่มีพอไหม หากถึงจุดที่ต้องควักสู้ค่าเงินขึ้นมา
    (ประเด็นสำคัญที่ต้องมอง เพราะอาวุธอื่นเริ่มชักมาใช้ไม่ได้แล้ว การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้เงินตัวเองแข็งขึ้นนั้นเป็นไปแทบไม่ได้ เพราะขืนขึ้นดอกในขณะที่เทรนด์ดอกเบี้ยโลกเป็นขาลง ซึ่งนำโดย "เฟด" แบงก์ชาติอเมริกา ถือว่าผิดท่าเลยล่ะครับ ยิ่งลำพังดูเศรษฐกิจของประเทศเอเชียเองก็ยังไม่ใช่จะไหว จำเป็นต้องลดดอกต่างหาก มิใช่ขึ้นดอก)
    เอเชียมีทุนสำรองฯ สะสมรวมกัน 6.4 ล้านล้านดอลลาร์เลยนะครับ (ไม่นับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นชาติชั้นนำของการเงินโลก)
    ด้าน Nomura และ Bank of America ชี้ว่า อินเดีย ไทย ฟิลิปปินส์ ไม่น่าห่วง เพราะถือว่ามีทุนสำรองฯ เก็บไว้เพียงพอจะใช้พิทักษ์ค่าเงินได้
    ก็ว่ากันไปครับ

    https://www.bloomberg.com/news/arti...ield-from-resurgent-dollar?srnd=homepage-asia

    https://www.facebook.com/share/p/8yMTQZ9gEwYbWEBT/
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘สเปนวิปโยค’ รวมภาพน้ำท่วมครั้งเลวร้ายที่สุด ผู้เสียชีวิตพุ่ง 158 ราย
    .
    ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของ 'สเปน' พุ่งขึ้นเป็น 158 รายแล้ว ทีมกู้ภัยยังคงค้นหาผู้สูญหายอีกหลายสิบคน
    .
    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมฉับพลันรุนแรงในภาคตะวันออกของสเปนเพิ่มขึ้นเป็น 158 รายเมื่อวานนี้ (31 ต.ค.) ขณะที่ทีมกู้ภัยยังคงค้นหาผู้สูญหายอีกหลายสิบคน
    .
    เมื่อวันอังคารที่ 29 ต.ค. ในพื้นที่บางส่วนของแคว้นบาเลนเซีย (Valencia) เกิดฝนตกหนักยาวนาน 8 ชั่วโมง แต่ปริมาณน้ำฝนเทียบเท่ากับที่ตกตลอดทั้งปี นับเป็นอุทกภัยครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สเปนยุคปัจจุบัน และอาจเป็นหนึ่งในวาตภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในยุโรปในรอบกว่า 50 ปี
    .
    มาริอา โฆเซ กาตาลา นายกเทศมนตรีบาเลนเซีย กล่าวกับนักข่าวว่า ทีมกู้ภัยพบร่างผู้เสียชีวิต 8 ศพ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่น 1 นาย ซึ่งติดอยู่ในโรงรถในเขตชานเมืองของบาเลนเซีย
    .
    เหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่จากฝนตกหนักในแคว้นบาเลนเซีย ทางตะวันออกของประเทศ ทำให้น้ำพัดพาสะพานและอาคารหลายแห่งพังเสียหาย รถยนต์กองซ้อนทับกันอยู่บนทางหลวง และน้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรมในแคว้นซึ่งเป็นแหล่งปลูกส้มที่สำคัญ โดยบาเลนเซียผลิตส้มได้ถึง 2 ใน 3 ของทั้งประเทศ และทำให้สเปนเป็นผู้ส่งออกส้มรายใหญ่ของโลก
    .
    ชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดเล่าถึงภาพที่ผู้คนต้องปีนขึ้นไปหลบน้ำท่วมบนหลังคารถ ขณะที่กระแสน้ำสีน้ำตาลไหลเชี่ยวกรากพัดถาโถมเข้ามาตามท้องถนน ทั้งถอนรากต้นไม้และกัดเซาะชิ้นส่วนอาคารหลุดร่วงไปกับสายน้ำ
    .
    นายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซ แห่งสเปนให้คำมั่นก่อนหน้านี้ว่า จะฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด พร้อมกล่าวผ่านรายการโทรทัศน์ว่า "สำหรับพี่น้องประชาชนที่ยังคงตามหาคนที่คุณรักอยู่ในขณะนี้ ชาวสเปนทั้งประเทศขอร่ำไห้ไปกับคุณ"
    .
    นอกจากบาเลนเซียแล้ว ยังเกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะที่แคว้นอันดาลูซิอา (Andalusia) ทางตอนใต้ และนักพยากรณ์อากาศยังเตือนว่าสถานการณ์อาจแย่ลงอีก เนื่องจากพายุกำลังเคลื่อนตัวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
    .
    อุทกภัยครั้งนี้ถือเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่ปี 2564 ที่มีคนเสียชีวิตในเยอรมนีถึง 185 คน และอาจเป็นเหตุน้ำท่วมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของสเปนด้วย เพราะมีผู้เสียชีวิตมากกว่าเหตุน้ำท่วมเมื่อปี 2539 ที่คร่าชีวิตผู้คน 87 คนในเมืองบีเอสกัสซึ่งอยู่แถบเทือกเขาพิเรนีส
    .
    ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วบ่อยครั้งขึ้น โดยนักอุตุนิยมวิทยามองว่า เมื่อทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้น้ำระเหยมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักรุนแรงกว่าที่เคย
    .
    "เมื่อก่อน เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ แต่ปัจจุบันกลับเกิดถี่ขึ้นและสร้างความเสียหายรุนแรงกว่าเดิม" เอร์เนสโต โรดริเกซ คามิโน นักอุตุนิยมวิทยาอาวุโสประจำรัฐและสมาชิกสมาคมอุตุนิยมวิทยาสเปน กล่าว

    FB_IMG_1730516336544.jpg FB_IMG_1730516338589.jpg FB_IMG_1730516342495.jpg FB_IMG_1730516344555.jpg FB_IMG_1730516340556.jpg FB_IMG_1730516348961.jpg FB_IMG_1730516346914.jpg FB_IMG_1730516350887.jpg FB_IMG_1730516352763.jpg FB_IMG_1730516354669.jpg FB_IMG_1730516357860.jpg FB_IMG_1730516363684.jpg FB_IMG_1730516365503.jpg FB_IMG_1730516367900.jpg FB_IMG_1730516369798.jpg FB_IMG_1730516372179.jpg
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #InsightForOpportunities #กรุงเทพธุรกิจUpdate

    https://www.facebook.com/share/p/PMPvB9PjYKufM4hw/
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โดนบีบให้ลาออก? ลูกจ้างร้องเรียนตามกฎหมายได้ เปิดลิสต์ 6 ข้อที่เข้าข่ายถูกนายจ้างบีบให้ออก
    .
    คงไม่มีใครอยาก “ลาออก” จากงานถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่กลับเกิดกรณีเภสัชกรหนุ่มโดนหัวหน้างานบีบให้ลาออกหลายครั้ง ทั้งที่เจ้าตัวเคยแจ้งว่ายังไม่อยากออกจากงาน ในที่สุดเจ้าตัวก็เลือกจบชีวิตตนเอง
    .
    อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นของการ “ถูกบีบให้ลาออก” นั้น หลายคนอาจสงสัยว่าเรื่องนี้ผิดกฎหมายหรือไม่ และแตกต่างจากการ “ถูกเลิกจ้าง (LayOff)” อย่างไรบ้าง?
    .
    สำหรับการเลิกจ้าง คือ การยุติการจ้างงานของพนักงานโดยไม่เกี่ยวข้องกับผลการปฏิบัติงานของบุคคลนั้น พนักงานอาจถูกเลิกจ้างเมื่อบริษัทตัดสินใจลดต้นทุน หรือบริษัทปิดกิจการ ซึ่งลูกจ้างต้องได้ค่าชดเชยตามกฎหมาย
    .
    ส่วนกรณี “ถูกบีบให้ลาออก” นั้น มักจะเกิดจากเหตุผลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ความไม่มีประสิทธิภาพของลูกจ้างเอง หรืออาจถูกกลั่นแกล้ง หรือเกิดปัญหาความขัดแย้งบางอย่างในที่ทำงาน ฯลฯ แต่ก่อนจะฟันธงว่าถูกบีบให้ลาออกจริงหรือไม่? ก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน หากพบว่าลูกจ้างโดนละเมิดจริง หรือบังคับให้ลาออกอย่างไม่เป็นธรรม ก็สามารถฟ้องร้องขอค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ได้
    .
    ส่วนลักษณะใดบ้างที่เข้าข่ายโดนบีบออกจากงานนั้น ข้อมูลจาก HREX.asia ระบุว่า มีหลายวิธีที่นายจ้างมักใช้กดดันให้พนักงานลาออก ได้แก่ โยนงานยากๆ ให้ทำทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางสำเร็จ, สั่งย้ายสายงานโดยไม่มีเหตุผลเหมาะสม, ไม่เลื่อนตำแหน่ง ไม่ขึ้นเงินเดือน ฯลฯ
    .
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1151739?anm=
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #InsightForOpportunities #กรุงเทพธุรกิจLifestyle #กรุงเทพธุรกิจWorklife

    https://www.facebook.com/share/p/JDFD6VDoBxGotCBX/
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘รัสเซีย’ ฟ้อง ‘กูเกิล’ 2 หมื่นล้านล้านล้านล้านล้านดอลลาร์ เหตุแบนยูทูบหนุนรัฐบาล
    .
    รัสเซียฟ้องกูเกิล 2 หมื่นล้านล้านล้านล้านล้านดอลลาร์ เป็นค่าปรับที่มีมูลค่ามหาศาลจนทำให้จีดีพีโลกดูเล็กน้อยไปเลย เนื่องจากกูเกิลแบนช่องยูทูบที่สนับสนุนรัฐบาล
    .
    สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า รัสเซียฟ้องกูเกิลเป็นเงินมากกว่า 2 undecillion รูเบิล หรือ 2 ล้านล้านล้านล้านล้านล้านรูเบิล (2 ที่ตามหลังด้วยศูนย์ 36 ตัว) หลังจากกูเกิลปฏิเสธจ่ายค่าปรับจากการบล็อกช่องยูทูบที่สนับสนุนรัฐบาลรัสเซีย
    .
    เมื่อเทียบเป็นเงินดอลลาร์แล้ว มีมูลค่าราว 20 decillion หรือ 2 หมื่นล้านล้านล้านล้านล้านดอลลาร์ (20 ตามด้วยศูนย์ 33 ตัว) ทำให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของโลกดูเล็กน้อยมาก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า จีดีพีของโลก อยู่ที่ 110 ล้านล้านดอลลาร์
    .
    ขณะที่มูลค่าตลาดของ "อัลฟาเบท" บริษัทแม่กูเกิลอยู่ที่ราว 2 ล้านล้านดอลลาร์เท่านั้น
    .
    TASS สื่อรัฐบาลรัสเซีย รายงานว่า ก่อนหน้านี้ศาลรัสเซียมีคำสั่งให้กูเกิลนำช่องยูทูบจำนวนมากที่ถูกแบนตั้งแต่ปี 2565 กลับมา ไม่งั้นจะถูกปรับ และโทษจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกสัปดาห์
    .
    เมื่อถามเกี่ยวกับคดีความดังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (31 ต.ค.) ดิมิทรี เพสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย เผยว่า ตนไม่สามารถเอ่ยตัวเลขค่าปรับออกมาได้อย่างถูกต้อง แต่บอกว่าจำนวนเงินที่สูงมากนั้นเป็นเชิงสัญลักษณ์ และว่า กูเกิลไม่ควรจำกัดสิทธิของช่องยูทูบเหล่านั้น
    .
    ในการประกาศผลประกอบการรายไตรมาสในสัปดาห์นี้ บริษัทได้เอ่ยถึงเรื่องกฎหมายที่ดำเนินการอยู่ด้วย ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกิจของกูเกิลในรัสเซีย
    .
    กูเกิลกล่าวว่า บริษัทได้รับคำพิพากษาคดีแพ่งซึ่งรวมถึงค่าปรับแบบทบต้น เกี่ยวเนื่องมาจากการยุติบัญชีและการแบน
    .
    "เราไม่เชื่อว่าประเด็นทางกฎหมายที่กำลังดำเนินการอยู่นี้จะมีผลเชิงลบต่อรายได้" กูเกิล ระบุ
    .
    ทั้งนี้ หลังจากที่รัสเซียรุกรานยูเครน กูเกิลได้ลดการดำเนินงานในรัสเซีย แต่ไม่ได้ถอนตัวออกไปจากประเทศ ต่างจากบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกันอื่นๆ ทำให้บริการต่าง ๆ ของกูเกิล ทั้งกูเกิลเสิร์ช และยูทูบ ยังคงสามารถใช้บริการได้ภายในรัสเซีย
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #InsightforOpportunities #กรุงเทพธุรกิจBusiness

    https://www.facebook.com/share/p/Kh7MioDTRXeVGVmY/
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อย่างที่เพจเดือดฯ เคยโพสต์อยู่เรื่อยๆ นะครับ ในอดีตเราไม่เคยคิดฝันเลยว่า Intel "อินเทล" จะมีวันล่มสลาย ภาพมันเรืองรองเกินกว่าจะจินตนาการออกถึงความตกต่ำ แทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่ามันก็มีวันนี้นะครับ ถึงขั้นถูกถอดออกจากดัชนี Dow Jones แห่งตลาดหุ้น Wall Street อเมริกาจนได้
    สวนทางกับ "เอ็นวิเดีย" Nvidia ที่กำลังร้อนแรงเหลือเกิน
    ในวันที่ 8 พ.ย. นี้ ที่ "อินเทล" ต้องระเห็จออกไป ก็เป็น "เอ็นวิเดีย" เข้ามาแทนที่ครับ --- เท่ากับว่าครบแล้ว ดัชนีหุ้นหลักของ Wall Street ทั้ง 3 ดัชนี จะมี "เอ็นวิเดีย" ครบหมด : S&P 500 / Dow Jones / Nasdaq
    มันก็ตามครรลองล่ะครับ ดัชนีพวกนี้คัดสรรเอาหุ้นท้อปๆ ในตลาดหุ้นมาเข้าทำเนียบ ถ้าหุ้นดีๆ ก็ได้เข้า ถ้าหุ้นไม่ดีก็ไม่สมควรอยู่ --- มีหลักเกณฑ์ มีการคำนวณ โปร่งใสชัดเจน
    (*อาจจะมีคำถามว่าแต่ละดัชนีต่างกันอย่างไร ผมเคยเอาเรื่องนี้มาอธิบายในคลาสเรียนด้วยครับ หลักๆ อยู่ที่การเลือกเฉลี่ยแหละครับ แบบถ่วงน้ำหนักตามอะไร ทำให้ตัวเลขออกมาไม่เหมือนกัน และที่จริงหลักการคัดสรรก็ไม่ตรงกันซะทีเดียวครับ
    ตัวอย่างที่เด่นสุด คือ Nasdaq ซึ่งทุกคนน่าจะรู้ๆ กัน คือ หุ้นที่จรัสแสงแบบดาวโรจน์ ซึ่งที่ผ่านมาเทคโนโลยีเป็นหมวดนี้ไงครับ ภาพแทนของ Nasdaq จึงคือเทคโนโลยี และในยุคนี้ภาพของ Nasdaq ก็จะค่อนไปทาง AI)
    Dow Jones จะต่างจากเพื่อน ตรงที่วัดกันที่ราคาหุ้นเองครับ ไม่ใช่มูลค่าตลาด market cap ซึ่งราคาหุ้นของ Nvidia กับ Intel เป็นไง คงไม่ต้องบอกแล้วนะครับ
    ดัชนี Dow Jones มีมา 128 ปีนะครับ แน่นอนว่าหุ้นในนั้นย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านเป็นธรรมดา
    หุ้น Intel อยู่ในนั้นมา 25 ปีแล้วล่ะครับ ก็สิ้นสุดวงจร ถึงคราวถูกถอดออก ก็เป็นสัจธรรมเช่นกัน มีมามีไป มียุคสมัยของมัน
    ส่วน Nvidia ก็จะได้นับ 1 กับ Dow Jones
    หุ้น Nvidia ขึ้นมาตั้ง 900% ใน 2 ขวบปีครับ มูลค่าตลาดตอนนี้ 3.32 ล้านล้านดอลลาร์
    ส่วน Intel นั้น ป่วยการจะเอ่ยถึง มันจบลงไปแล้วล่ะครับ อดีตเคยมี เคยใช่ แต่มันไม่ได้พิสูจน์ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไร
    หมายเหตุ ดัชนี Dow Jones มีแค่ 30 หุ้นนะครับ
    https://www.bloomberg.com/news/arti...w-jones-industrial-average?srnd=homepage-asia
    FB_IMG_1730516638789.jpg FB_IMG_1730516642944.jpg
    https://www.facebook.com/share/yMtHzRqXTZsAgTUq/
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ☀ภายในปี 2030 ไอซ์แลนด์เตรียมใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศเป็นครั้งแรกของโลก !
    .
    บริษัท Space Solar สตาร์ตอัปจากอังกฤษเปิดเผยแผนโครงการสร้างฟาร์มโซลาร์เซลล์ในอวกาศเพื่อจัดส่งพลังงานไฟฟ้าให้แก่ไอซ์แลนด์ภายในปี 2030 โดยโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Space Solar, Reykjavik Energy และ Transition Labs ซึ่งหากโครงการสำเร็จจะนับเป็นการใช้พลังงานหมุนเวียนจากอวกาศเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของโลก และจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    .
    แผนของ Space Solar คือการปล่อยดาวเทียมต้นแบบฟาร์มโซลาร์เซลล์ในอวกาศในปี 2030 โดยดาวเทียมนี้จะมีแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ที่สามารถรวบรวมพลังงานจากดวงอาทิตย์ได้โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเวลากลางวันหรือกลางคืน และไม่ถูกรบกวนจากสภาพอากาศเช่นบนพื้นโลก ซึ่งพลังงานที่ผลิตได้จากฟาร์มนี้คาดว่าจะมีปริมาณ 30 เมกะวัตต์ เพียงพอสำหรับให้พลังงานกับบ้านเรือนกว่า 3,000 หลัง
    .
    แนวคิดฟาร์มโซลาร์เซลล์ในอวกาศ หรือ Space-based Solar Power (SBSP) เป็นการสร้างสถานีพลังงานแสงอาทิตย์ที่ลอยอยู่ในอวกาศเพื่อรวบรวมพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง จากนั้นจะส่งพลังงานกลับมายังโลกโดยระบบส่งพลังงานแบบไร้สาย เช่น การส่งผ่านไมโครเวฟหรือเลเซอร์ ทำให้มีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพมากกว่าการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์หรือกังหันลมบนโลก ซึ่งต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเวลาและสภาพอากาศ
    .
    นอกจากนี้ Space Solar ยังมีแผนระยะยาวในการขยายโครงการฟาร์มโซลาร์เซลล์ในอวกาศ โดยตั้งเป้าหมายสร้างให้ครบ 6 ฟาร์มโซลาร์เซลล์ภายในปี 2040 ซึ่งจะช่วยผลิตพลังงานสะอาดให้ได้สูงถึง 15 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลบนพื้นโลกในปริมาณมหาศาล
    .
    Space Solar มีแผนการก่อสร้างโรงงานมูลค่า 800 ล้านดอลลาร์ เพื่อผลิตดาวเทียมและอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับโครงการฟาร์มโซลาร์เซลล์ในอวกาศ โดยชูจุดเด่นที่ต้นทุนพลังงานจากโซลาร์เซลล์อวกาศนั้นต่ำกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 4 เท่า พร้อมยังผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการพัฒนาใหม่ที่มีศักยภาพสูงในการสนับสนุนเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดและความยั่งยืนในอนาคต
    .
    ที่มา : Space.com
    .
    #BusinessTomorrow #BizTMR #solarcell #solarpower #โซลาร์เซลล์ #พลังงานแสงอาทิตย์

    https://www.facebook.com/share/zKEmt5Kb2w8gNrty/
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150


    Screenshot_25671102_212915.jpg
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เทรนด์ 'กาแฟโรยเกลือ' ลดความขม เพิ่มความกลมกล่อม ไม่ได้เพิ่งฮิต แต่มีหลายสูตรแล้วทั่วโลก
    .
    'กาแฟโรยเกลือ' (Salt in Coffee) เป็นเทรนด์ในแพลตฟอร์มโซเชียลดังอย่างติ๊กต็อกตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ก็ครบหนึ่งปีพอดี กระแสก็ยังพอมีอยู่แต่ไม่แรงเท่าช่วงแรก ๆ ยังเห็นมีคนลงคลิปสั้นแนะนำวิธีชงให้ดูกัน พร้อมบรรยายสรรพคุณว่าช่วยลดความขม ทำให้รสชาติกาแฟดีขึ้น บางคลิปมีคนดูเยอะมากเป็นหลักแสนหลักล้านวิวก็มี
    .
    การเติมเกลือเล็กน้อยลงในกาแฟอาจมีคนที่ 'ชอบ' อยู่พอสมควร ไม่เช่นนั้นร้านกาแฟใหญ่ ๆ ระดับโลกหลายแห่ง โดยเฉพาะในสหรัฐ คงไม่บรรจุเป็นเมนูขึ้นบอร์ดให้ลูกค้าเห็นชัด ๆ ว่ากันว่า ในปีค.ศ. 2009 คาเฟ่กระแสหลักในสหรัฐอเมริกาได้แรงบันดาลใจเกี่ยวกับเมนูกาแฟเกลือ มาจากรายการทีวีว่าด้วยการปรุงอาหารรายการหนึ่งชื่อ 'กู๊ด อีสต์' (Good Eats ) ของคุณอัลตัน บราวน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การอาหารและผู้เขียนตำราอาหาร มีอยู่รายการหนึ่งคุณอัลตัน แนะนำให้เติมเกลือครึ่งช้อนชาเพื่อทำให้รสขมของกาแฟจางลง แล้วยังบอกอีกว่ามีงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าเกลือช่วยแก้ความขมได้ดีกว่าน้ำตาล
    .
    อันที่จริง กาแฟโรยเกลือมีประวัติศาสตร์ยาวนานเป็นร้อย ๆ ปี ไม่ใช่เพิ่งมาทำกันในยุคนี้ ที่ประเทศ 'ตุรกี' นั้น กาแฟใส่เกลือเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีการแต่งงาน ตอนเหนือของ'สแกนดิเนเวีย' รวมไปถึง 'ฮังการี' และ 'ไซบีเรีย' การเติมเกลือลงในกาแฟที่ต้มในหม้อเป็นที่นิยมมาก
    .
    ขณะที่ 'เวียดนาม' มีกาแฟใส่เกลือชื่อ 'คา เฟ มุย' (ca phe muoi) เป็นเมนูยอดฮิต มีส่วนผสมของกาแฟโรบัสต้า, นมข้นหวาน และเกลือ อาจมีโรยหน้าด้วยผงโกโก้ เป็นเทรนด์กาแฟยอดนิยมตัวหนึ่งบนติ๊กต็อก จนซีเอ็นเอ็น สื่อดังสหรัฐ นำเสนอเป็นข่าวลงเว็บไซต์เมื่อกลางปีมานี้เอง แม้แต่สาขาในเวียดนามของร้านสตาร์บัคส์ก็ยังกระโดดเข้าร่วมกระแส มีการเปิดตัวกาแฟเกลือคา เฟ มุย เวอร์ชั่นของร้านไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
    .
    ใน 'ไต้หวัน” เมนูกาแฟเกลือซี ซอลต์ คอฟฟี่ ถือว่ามีคนนิยมกันเยอะทีเดียว สูตรการทำคือ ใช้อเมริกาโน่เย็นหยอดด้านบนด้วยโฟมนมที่มีส่วนผสมของเกลือ
    .
    ส่วนวิทยาศาสตร์ 'เบื้องหลัง' ความเค็มลดความขมนี้ มาจากโซเดียมคลอไรด์ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าเกลือ ไปทำปฏิกิริยากับความขม เมื่อมีคนดื่มกาแฟใส่เกลือ โซเดียมจากเกลือจะไปจับกับหน่วยรับความเค็มของลิ้น ทำให้ลิ้นรับรสขมได้น้อยลง หรือช่วยกลบรสขมเอาไว้ และเพิ่มการรับรู้รสชาติอื่น ๆ เช่น ความหวาน
    .
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/food/1151580?anm=
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #InsightForOpportunities #กรุงเทพธุรกิจLifestyle

    https://www.facebook.com/share/p/hFLtQvrghgoW2SjP/
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 4, 2024 มีอาการ! สื่อจีนชี้แบรนด์รถอีวีเนต้าเผชิญปัญหายอดขายดิ่งแรง 9 เดือนแรกขายไม่ถึง 90,000 คัน ทรุดกว่า -12% สภาพคล่องการเงินสะดุด จ่ายเงินเดือนช้ากว่าปกติ สั่งลดเงินเดือน 30% ภาระหนี้สะสมกว่า 85,000 ล้านใน 3 ปีติด

    อี้ข่าย(Yicai) สำนักข่าวด้านเศรษฐกิจชื่อดังของประเทศจีน รายงานว่า โฮซอน ออโต้ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวี และเป็นเจ้าของแบรนด์เนต้า (Neta) เผชิญกับปัญหาสภาพคล่องการเงิน และการแข่งขันตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ในจีนอย่างรุนแรง ส่งผลให้เนต้าต้องประกาศนโยบายตัดลดค่าใช้จ่ายครั้งสำคัญ รวมถึงปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจของบริษัทใหม่ สำหรับนโยบายตัดลดค่าใช้จ่ายนั้น ประกอบด้วย การปลดพนักงานชาวจีนออกเป็นจำนวนมาก การตัดลดเงินเดือนของพนักงานในแผนกวิจัยและพัฒนาลงมากถึง 30% จากที่ได้รับในปัจจุบัน จากที่ได้รับสูงถึง 1 ล้านหยวน หรือราว 4,770,000 บาท ลงมาเหลือที่ 700,000 หยวน หรือราว 3,339,000 บาท นอกจากนี้ พนักงานในแผนกอื่นๆ จะถูกตัดเงินเดือนระหว่าง 5%-20% ของอัตราเงินเดือนที่ได้รับในปัจจุบัน

    แบรนด์เนต้าต้องเผชิญกับยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถอีวีที่ตกต่ำลงต่อเนื่องในตลาดรถยนต์จีน ปรากฏว่าว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 นี้ เนต้าทำยอดขายได้เพียง 86,000 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันในปีผ่านมาถึง -12.1% เมื่อย้อนไปดูยอดขายรวมของเนต้าในปี 2023 สามารถทำยอดขายได้ที่ 120,000 คัน ซึ่งลดลงจากทั้งปี 2022 มากถึง -16% ปัญหายอดขายตกต่ำต่อเนื่องถึง 2 ปีติดต่อกัน และท่ามกลางภาวะการแข่งขันลดราคาของรถอีวีที่รุนแรงในประเทศจีน ทำให้กระทบถึงสภาพคล่องของบริษัทด้วย มีผลให้ในเดือนกันยายนผ่านมา เนต้ามีปัญหาการจ่ายเงินเดือน และโบนัสส่วนที่เหลือล่าช้าไปจากกำหนดเดิม

    สำหรับสถานะการเงินของบริษัท โฮซอน ออโต้ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เนต้านั้น ตกอยู่ในภาวะการเงินที่เปราะบาง บริษัทดังกล่าวก่อตั้งขึ้นในปี 2018 โดยระดมเงินทุนรวมกันมากถึง 14 ครั้ง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ กลับมียอดขาดทุนสะสมตั้งแต่ปี 2021-2023 หรือในช่วง 3 ปีติดกันมากเกินกว่า 18,000 ล้านหยวน หรือเกิดภาระหนี้สะสมสูงถึง 85,860 ล้านบาท

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมผ่านมา สื่อโซเชียลชื่อดังอีกสื่อของประเทศจีน มีชื่อว่าตี้อีไฉจิง รายงานว่า ชาวเน็ตจีนจำนวนมากโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มสาธารณะในหัวข้อว่า เนต้าจ่ายเงินเดือนพนักงานประจำเดือนกันยายนไม่ตรงตามเวลาปกติ ซึ่งจะต้องจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานก่อนทุกวันที่ 15 ของเดือน ด้านสำนักข่าวฟีนิกซ์ นิวส์ ซึ่งเป็นอีก 1 สำนักข่าวในจีน รายงานว่า นอกจากเนต้าจ่ายเงินเดือนพนักงานไม่ตรงเวลาแล้ว ยังพบว่าเนต้ายังตกเป็นลูกหนี้ของซัพพลายเออร์ผลิตรถอีวีเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการระบุอย่างชัดเจนเกี่ยวกับมูลค่าหนี้สินที่เนต้าติดหนี้กับบรรดาซัพพลายเออร์จำนวนมาก

    นอกจากนี้ สำนักข่าวฟีนิกซ์ นิวส์ ได้รวบรวมข้อมูลของเนต้า พบว่าตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา ยอดขายรถอีวีแบรนด์เนต้าเข้าสู่ภาวะถดถอย สาเหตุจากมียอดขายลดลงต่อเนื่อง ในปี 2023 มียอดขายรวมเพียง 127,500 คัน ซึ่งลดลง 16.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2022 ส่งผลให้กลายเป็นบริษัทรถอีวีเพียงแห่งเดียวที่มียอดขายลดลงในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์หน้าใหม่รายใหญ่

    #เนต้า #สภาพคล่อง #เงินเดือน #รถอีวี #รถไฟฟ้า #จีน #เศรษฐกิจ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/PRGoaF8T8V6Nr5dU/
     

แชร์หน้านี้

Loading...