ช้างเผือกในป่าอีสาน หลวงตาสมหมาย วัดป่าสันติกาวาส คำสอน/ประสบการณ์/วัตถุมงคล/ (ช่างชิต)

อนุโมทนาครับ สาธุๆๆ

 

"พี่ชายหนุ่มรูปหล่อใจดี" เป็นคำเกินจริงนะครับ แต่ก็จะขอรับไว้ 555555 เพื่อรักษาน้ำใจของผู้ให้และบำรุงจิตใจของผู้รับ ต้องบอกว่าน้องฌานกรและครอบครัวมีบุญต้องเจอหลวงตาจริงๆครับ เพราะก่อนหน้านั้นหลวงตากำลังจะไปสงค์น้ำอยู่แล้ว แต่ก็มีโยมชุดหนึ่งเข้ามาหาท่านก่อนพอโยมชุดนั้นกำลังจะกลับหลวงตาก็จะไปสงค์น้ำ น้องฌานกรก็เข้ามาพอดีเลยครับ ต้องบอกว่าเป็นจังหวะบุญที่ต้องได้เจอจริงๆ เพราะก่อนหน้านั้นเห็นหลวงตาบอกช่างชิตว่า "ถ้าคนที่จะมาส่งมาไม่ทันจะนั่งแท้กซี่ไป" ช่างชิตคิดว่าถ้าหลวงตาสงค์น้ำแล้วท่านอาจนั่งแท้กซี่ออกไปเลยก็ได้ครับ โดยไม่รอคนรถ ยังไงขอบคุณมากๆที่เข้ามาร่วมแบ่งปันช่วงเวลาดีๆที่อยู่กับหลวงตา เสียดายที่เป็นช่วงเวลาที่ต้องเร่งรีบ ไม่งั้นจะมีอะไรๆให้ประทับใจอีกเยอะ

 

พึ่งกลับเข้าไซร์งาน เดี้ยวจะนำเรื่องราวดีๆที่ช่างชิตไปกราบหลวงตางวดนี้มาเล่าสู่กันฟังนะครับ ต้องบอกว่ามีเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยจากเดิมเลย รอให้หายเหนื่อยก่อนนะ

 

ตอนแรกคิดอยู่ว่าหรือจะอาสาไปส่งหลวงตากับพระอาจารย์ดีครับ แต่คิดว่ารถผมมันคันเล็ก และอีกอย่างมีแฟนและพ่อตามาด้วยเกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมครับ ถ้ามาคนเดียวผมจะขออาสาไปส่งหลวงตาเองแน่นอนครับ (วันนั้นห่วงหลวงตาจะไม่ทันเครื่องเหมือนกันครับ)

 

ครับผม ยังไงได้พบได้เจอแล้ว ต้องมีครั้งสองแน่นอน น้องอาจได้ช่วยอุปถากท่านในเรื่องบางเรื่องก็ได้นะครับ สาธุ

 

ครับหลังจากเหนื่อยมาหลายวัน(นอนดึก ตื่นเช้า)และดูท่าจะเหนื่อยแบบนี้อีกซักสองสามวัน เพราะมีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะไปหมด ก่อนจะไปนอนช่างชิตก็จะมาพูดถึงที่ไปกราบหลวงตาเมื่อวันอาทิตย์มา หลังจากที่หลวงตาเข้าที่บ้านพักช่วงบ่าย ช่างชิตก็ปั่นจักรยานไปหาหลวงตาเลย ร้อนมากกกกกกก จะเป็นลม พอไปถึงเห็นหลวงตาก็เกิด ปิติ หายเหนื่อยเป็นปิดทิ้ง ได้นั่งนวดให้หลวงตาและพูดคุยกับหลวงตามากมายหลายเรื่องจะแบ่งเป็นข้อๆได้ประมาณนี้
1. หลวงตากับในหลวง
2. พระธาตุของครูบาอาจารย์
3. มิจฉาทิฐิ
4. กิจนิมนต์ของหลวงตา
5. ความเมตตาเกี่ยวกับวัตถุมงคลของพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน
หลักๆก็ประมาณนี้ครับ แล้วก็มีเรื่องกรรมเก่า แต่น้องฌานกรได้มาชร์ไปแล้ว ซึ่งต้องขอบพระคุณอีกครั้ง เพราะเขียนคนเดียวบางทีก็คิดไม่ออก เดี้ยวขอพักซักสี่ทุ่มจะมาเขียนซักเรื่องนะครับ คืนนี้

 

มาต่อกันเลยครับ คืนนี้จัดให้สองเรื่องควบแบบโรงหนังสมัยก่อนเลย เสนอเรื่อง
"หลวงตากับในหลวง" และ "มิจฉาทิฐิ"

..........พอไปถึงได้ซักพักหลังจากได้กราบหลวงตาเรียบร้อยถามไถ่กันนิดหน่อย
ช่างชิตก็ขอโอกาสหลวงตานวดขาถวายท่าน สายตาก็เหลือบไปเห็นรูปในหลวงที่วางอยู่ด้านซ้ายมือหลวงตา เลยเอ่ยปากถามหลวงตาว่า

ชช "หลวงตาเคยเห็นในหลวงไหมครับ"

ลต "เคยสมัยหลวงตาเป็นเด็ก(คิดเอาเองนะครับว่านานแค่ไหนไม่ต่ำกว่า 55 ปีครับ) จำได้ว่าท่านเดินทางมาสกลนคร ตอนนั้นโรงเรียนพานักเรียนออกมารับเสด็จท่านที่ริมถนน หลวงตาใส่หมวก...(ขออภัยจำชื่อไม่ได้)....ยืนรอรับเสด็จ หลวงตาเลยได้เห็นท่านไม่ชัดหรอกแค่แวปเดียว" หลวงตาพูดพร้อมทำท่าทำทางเหมือนจะบอกว่าหมวกที่กล่าวถึงรูปทรงเป็นยังไง

ชช "ในหลวงเดินทางเยี่ยมเยือนสารทุกข์สุกดิบประชาชนขนาดนี้ ท่านทำทุกอย่างเพื่อคนไทยแต่ก็ยังไม่วายมีคนบางกลุ่ม ด่าว่านินทา ท่านนะครับหลวงตา"

ทันใดนั้นหลวงตาก็หัวเราะเบาๆแล้วยิ้มก่อนพูดกับช่างชิตว่า

ลต "ออยเอ้ย นับประสาอะไรในหลวงขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังมีคนนินทาว่าร้ายเลยหรือแม้แต่พระพุทธรูป ท่านไม่เคยทำอะไรเลยแท้ๆนั่งเฉยๆ ก็ยังมีคนมาตำหนิแบบนั้นแบบนี้ พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนให้รู้เท่าทันมัน ไม่ยึดติดกับ คำสรรเสริญ คำนินทา ต่างๆ..... "
ก่อนที่หลวงตาจะว่าภาษาบาลีอีกประโยคแต่ช่างชิตจำไม่ได้

ชช "คือ มันแบบว่าคนที่มาว่าท่านก็ดูเป็นพวกมีความรู้ บางคนจบนอกเรียนสูง ดูเป็นปัญญาชน เขาพูดแบบมีหลักมีการ(ส่วนหนึ่ง มโนอีกหลายๆส่วน) มันทำให้ดูมีความหน้าเชื่อถือคนที่ฟังโดยไม่คิดตาม ได้แต่ดูว่าคนพูดจบนั้นจบนี้ดีกรีแบบนั้นแบบนี้ ก็พลอยหลงเชื่อตามเขาไปอีก บางบ้านเดี้ยวนี้หนักมากเอารูปท่านลงแล้วเอารูป ..(นายกไทยคนหนึ่งที่เราก็รู้ๆว่าใคร)...ขึ้นมาแทนเลยครับหลวงตา"

ลต "ปัญญาทางโลกนิ มันไม่ใช่ปัญญาจริงๆนะออย มันเป็นปัญญาทางโลกียะที่ยังยึดตัวกูของกูเป็นปัญญาที่วิ่งหาแต่อย่างอื่นแต่ไม่เคยค้นหาตัวเอง เป็น มิจฉาทิฐิ มันไม่ใช่เป็นปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง มันเทียบกันไม่ได้กับ ปัญญาทางธรรม ก็เหมือน ......(นายกคนนั้นละ)....จะเอามาเทียบกับในหลวงไม่ได้ ใครเอามาเทียบกันก็เป็น มิจฉาทิฐิ"

ชช "ครับหลวงตา แล้วได้ยินมาว่า ในหลวงท่านปราถนาพุทธภูมิ จริงไหมครับ"

ลต "อันนี้หลวงตาก็ไม่รู้ท่านนะ"

ชช "ตอนนี้ในหลวงแก่มากแล้วและท่านยังไม่สบาย ทำให้พระบางกลุ่มนึกอยากทำอะไรก็ทำ ตอนนี้หลวงตารู้ไหมครับว่า .....(ลักธิจานบิน)....แทบจะกลืน มหาเถรสมาคมไปแล้ว การ ธุดงค์ในเมือง เอาพรมปูเดินแล้วโรยกลีบดอกไม้ มีป้ายไฟเชียร์ ตอนนี้ทางพระผู้ใหญ่ในเถรสมาคมก็ออกมรับรองว่า ถูกต้อง(ตรงไหนว่ะ???) ทำไม สมเด็จ....(ว่าที่สังฆราช)....ถึงไม่บอกไม่ห้ามทางนู้นบางละครับ ท่านก็รู้อยู่แก่ใจ อันไหนผิด อันไหนถูก อันไหนเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน อันไหนไม่ใช่"

ลต "ก็ท่านรู้จักกันกับทางนู้นคุ้นเคยกันไม่ใช่หรือ ก็คงจะเกรงใจกันละ"

ชช "เหนื่อยใจครับหลวงตา วัดบางวัด เจ้าคุณ รวยเป็นพันล้าน ทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่อง อำนาจ ลาภสักการะ ทำให้ออยไม่อยากกราบพระบ้านทำบุญกับพระบ้านเลยหลวงตา" ช่างชิตพูดไปบ่นไปพร้อมทำหน้าตาแบบเบื่อโลก

ลต "ลาภ สักการะ ถ้าพระสงฆ์เก็บสะสมไว้จำนวนมากๆมันก็เป็นของร้อน พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ห้ามไว้ แล้วพระบ้านดีๆก็มีเยอะนะ ไม่ต้องเลือกว่าเป็นพระป่าพระบ้านหรอก"

ชช "ครับ ออยเข้าใจอยู่ว่าต้องดูเป็นบุคคลๆไป แต่ยิ่งเห็นเจ้าคุณคณะภาคบางรูป พูดจาสนับสนุน ....(เจ้าลัทธิจานบิน)....แล้วอดคิดไม่ได้เลยครับว่าอีกไม่นาน ศาสนาพุทธในไทยของเราคงบิดเพี้ยนไปหมด เหมือนยุค สังคจารย์(ผู้นำจิตวิญญาณของชาวฮินดู เมื่อหลายร้อยปีก่อน) ที่เอาฮินดูค่อยๆกลืนพุทธ"

ลต "นั้นละ มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด จึงได้ไปยกย่องเขาแบบนั้น"
หลวงตาพูดบอกพร้อมกับกล่าวถึงเรื่องที่ช่างชิตยกมาประกอบควบ ต่อเลยว่า

ลต "บางอย่างเขา(หมายถึงฮินดู)ก็สอนได้ถูก เช่น การรู้คุณ รู้ประโยชน์ของธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เช่น บอกว่าดวงอาทิตย์ให้แสงสว่างแบบนั้น แม่น้ำให้ประโยชน์แบบนี้ แต่บางอย่างก็เป็นมิจฉาทิฐิ เช่น บูชาไฟ บูชาน้ำ กราบไหว้อ้อนวอนเพื่อร้องขอ อย่างแม่น้ำคงคา บอกว่ากินบอกว่าอาบแล้วจะล้างบาป บาปมันจะไปล้างได้ไง บาปมันไม่ได้เป็นของที่ติดตามเนื้อตามตัวที่จะเอาน้ำมาชะล้างได้....มันเป็นของละเอียดที่อยู่ในจิตใจที่ต้องมี ศีล มี สมาธิ และใช้ ปัญญา เข้าไปพิจารณาถึงจะเห็นจะเข้าใจ ไม่ใช่กินน้ำแล้วบาปหายหมด...." หลวงตากำลังจะว่าต่อก็พอดีมีโยมเข้ามา กราบท่านจึงทำให้การสนทนาระหว่างช่างชิตกับหลวงตาหยุดไปชั่วหนึ่งและเป็นอันจบสองเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดพอดี

..........ครับ ก็อย่างที่หลวงตาบอก ในเรื่องของในหลวง จากที่หลวงตาสอนมาแบบนั้น ก็ทำให้ช่างชิตหายเครียดได้เยอะ เพราะอันว่าโลกเรานี้ไม่หนีสิ้นคนนินทาหรอกครับ แม้จะทำดีขนาดไหนก็ไม่เป็นที่พอใจคนทุกคนหรอก เพราะคนเราส่วนมากจ้องวิ่งหาแต่อย่างอื่น จับผิด จับถูก แต่อย่างอื่นแต่ไม่เคยกลับมาดูตัวเองแบบ หลวงตาท่านว่าจริงๆ
(ช่างชิตก็เป็นนะบางครั้ง) ในหลวงที่ท่านต้องลงไปดูทุกข์สุขของประชาชนตามที่กันดารสมัยก่อน ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า
"ที่เขายากจน ต้องมาทำงานหากินในพื้นที่แห้งแล้งเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะมา แต่เพราะเขาไม่มีที่อื่นจะไป ที่ฉันช่วยเขา ไม่ใช่จะช่วยตลอดไป แต่ช่วยเพื่อให้เขาได้มีโอกาสช่วยตัวเองต่อไป" พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ดูเอาเถอะครับ ท่านทำเพื่อนพวกเราขนาดไหน แต่ก็ไม่วายจริงๆจะมีคำว่าท่าน คงได้แต่ปล่อยวางและเข้าใจแบบหลวงตาว่าละครับ (แต่ถ้ามาว่าท่านต่อหน้าช่างชิตแบบไร้เหตุผลด้วยถ้อยคำหยาบคาย อันนี้ไม่รับรองนะครับที่บวชมาสองครั้งกับที่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์มา จะช่วยให้เขาคนนั้นปลอดภัยไหมนะครับ 5555)
ส่วนเรื่องมิจฉาทิฐิ หรือ ความเห็นผิดในสิ่งนั้นๆ ก็คงเป็นสิ่งที่ยังมีอยู่ทุกที่ทุกเรื่องจริงๆ ก็หวังว่าคนที่มีแนวคิดแบบนี้จะยอมรับฟังเหตุผลจากคนอื่นบ้างลองเอาพิจารณา วันหนึ่งท่านอาจกลับมาเห็นถูกต้องตามหลักตามการที่ควรจะเป็น คืนนี้ง่วงนอนมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันต่อนะครับ ราตีสวัสทุกๆท่าน

*เอารูปหลวงตา กำลังเป่าหัวเด็กน้อยลูกโยมคนหนึ่งที่เข้ามากราบท่าน มาให้ชมกันครับ สาธุ

 

สวัสดีรอบดึกครับทุกๆท่าน ไซร์งานของช่างชิตที่ชลบุรีจะจบแล้ว ไม่เกินวันศุกร์ก็ต้องย้ายของเดี้ยวไม่มีเวลาเขียน จึงจะรีบเขียนให้เสร็จ
เรื่องที่เสนอวันนี้คือ "กิจนิมนต์"และ "พระธาตุ"
หลังจากที่โยมชุดที่มากราบลากลับไป ช่างชิตก็เข้าไปนวดหลวงตาใหม่ เห็นหลวงตารับกิจนิมนต์ไปนั้นไปนี้ไม่หยุดเลยเอ่ยปากถามหลวงตา(ซึ่งก็ถามตลอดทุกครั้งที่เจอ)

ชช "หลวงตาครับ ทำไมต้องเดินทางไปเยอะแยะด้วยละครับ หลวงตาไม่เหนื่อยหรา"

ลต "เหนื่อยสิ แต่มันต้องไปๆช่วยเขาโปรดเขา"

ชช "อยู่วัดสบายกว่าเยอะเลยนะครับ"

ลต "อยู่วัดสบายกว่าอยู่แล้ว"

ชช "งั้นหลวงตาก็ไม่ต้องไปสิครับ"

ลต "มาพิจารณาดูแล้วคงมันเป็นกรรม สมัยก่อนเพ่งครูบาอาจารย์หลวงปู่ท่านว่า "อยู่แต่วัดคงจะสบายดีเนาะ" มาตอนนี้เลยต้องเดินทางไม่ได้หยุดได้หย่อน"

พอช่างชิตได้ฟังเช่นนั้นก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุย มาเล่าถึงพระธาตุของหลวงตามหาบัวที่น้องรู้จักถ่ายได้ให้หลวงตาฟัง

ชช "หลวงตาเคยไปอยู่กับหลวงตามหาบัวไหมครับ"

ลต "ไม่ได้ไปอยู่ประจำก็ไปๆมาๆกับวัดเรานี้ละ"

ชช "น้องคนหนึ่งที่เคยไปส่งหลวงตาที่สนามบินถ่ายรูปพระธาตุของหลวงตามหาบัวมาให้ดู เป็นเม็ดสีส้มๆสวยมากเลยครับหลวงตา"

ลต "พระธาตุหลวงตาท่านแปรเปลี่ยนไปได้หลายอย่างเลยละ ขนาดสำลีเช็ดน้ำเหลืองที่เท้าท่าน ก็กลายเป็นพระธาตุเป็นผลึกสีใสๆ แล้วไปถ่ายจากที่ไหนมา"

ชช "น้องเขาถ่ายที่ วัดมหาไชยครับ ตอนแรกๆเป็นผงขี้เถ้าสีดำพอผ่านไปสองสามปีก็กลายเป็นเม็ดผลึกสีส้มปนอยู่เกือบหมดแล้วครับ"

ลต "อ่อ นี้ละครูบาอาจารย์ อย่างหลวงปู่...(ขออภัยช่างชิตจำชื่อท่านไม่ได้)...บางคนเขาเก็บได้แต่ขี้เก้าในเตาตะกอนแท้ๆ เอามาเก็บไว้ไม่กี่ปีกลายเป็นพลอยเต็มไปหมด"

ชช "แล้วหลวงตาครับ พระะธาตุนิเกิดได้เฉพาะพระอรหันต์หรือเปล่าครับ"

ลต "สัตว์ก็แปรได้เกิดได้แต่เขาไม่ได้เรียกพระธาตุ แบบพวกอะไร ซิลๆ นะ" หลวงตาทำท่านึก

ชช "ฟอสซิล ครับ"

ลต "ใช่ ฟอสซิล แต่ต้องใช้เวลาเป็นล้านปีในการฟอกแปรสภาพ แต่ของครูบาอาจารย์เรานั้น ใช้จิตที่บริสุทธิ์ฟอกทั้งใจและกาย เลยไม่ต้องใช้เวลาเป็นล้านๆปี แต่ใช้เวลาแตกต่างกันไปไม่เหมือนกันแต่ละองค์ บางองค์แป๊ปเดียวก็เป็น บางองค์ก็สองสามปี บางองค์ก็ช้ากว่านั้น"

ชช "แล้วพระอนาคามีจะเป็นพระธาตุแบบพระอรหันต์ไหมครับ"

ลต "ยังไม่เป็นนะ เพราะคนที่กระดูกจะเป็นพระธาตุนั้น พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า มี 4 ประเภท คือ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระมหาจักรพรรดิ์ และ.....(อย่างที่ 4 จำไม่ได้จริงๆครับ ช่วงนี้รู้สึกความจำจะไม่ดีเท่าไร) ถึงจะเป็นพระธาตุ"
*ยังไงเดี้ยวจะไปถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจนะครับสำหรับประโยคที่หลวงตากล่าวตอนนี้ นะครับ ช่างชิตพยายามนึกแล้วนึกไม่ออก ผิดพลาดประการใด ช่างชิตรับผิดแต่เพียงผู้เดียว

ชช "พระมหาจักรพรรดิ์คือ พระราชาครองประเทศ หรอครับ"

ลต "ไม่ใช่ พระมหาจักรพรรดิ์คือพระเจ้าครองทวีปครองโลก อย่าง พระเจ้า....(จำไม่ได้อีกละนึกไม่ออก 555)..."

ชช "หลวงตาครับ แล้วได้ข่าวว่าหลวงปู่กรด(พระลูกวัดของหลวงตาเมื่อหลายปีก่อน มาบวชตอนแก่ประมาณ 70 - 80 มั้งช่างชิตจำไม่ได้แต่ ตอนช่างชิตบวชงวดแรกทันท่าน ท่านมรณะตอนอายุ 90 กว่าๆ มรณะนานหลายปีแล้ว)กระดูกก็เปลี่ยนเป็นพระธาตุใช่ไหมครับ"

ลต "ใช่ หลวงปู่กรดท่านถึงแล้ว บางทีนั่งภาวนาท่าน ขี้ เยี่ยว เองเลยนะ"

ชช "ทำไมเป็นแบบนั้นละครับ"

ลต "เพราะจิตท่านเข้าสมาธิไงไม่ได้ถอนออกมา แต่ร่างกายก็ยังดำเนินตามกระบวนการของมันไป"

ชช "เข้านิโรธสมาบัติหรือเปล่าครับ"

ลต "เปล่าไม่ได้เข้า ท่านนั่งสมาธิภาวนาเฉยๆ"

ชช "หลวงตาครับ แล้ว นิโรธสมาบัติ ใครทำได้บ้างครับ"

ลต "นิโรธสมาบัติเข้าได้เฉพาะพระอรหันต์ ท่านเข้าเพื่อพักร่างกาย พักสังขาร"

ชช "แล้วจะขี้ เยี่ยว แบบหลวงปู่กรดไหมครับ"

ลต "ถ้าเข้านิโรธสมาบัติจะไม่เป็น เพราะเป็นการหยุดพักร่างกาย ไม่กิน ไม่ขี้ ไม่เยี่ยว"(ในความเข้าใจของช่างชิต เหมือนหยุดกระบวนการทางร่างกายไปเลย ซึ่งจะทำได้ยังไง มีเงื่อนไขอะไรแบบไหน เดี้ยวจะไปถามต่องวดหน้า ถ้าหลวงตาไม่รำคาญและหยุดตอบเสียก่อน 5555 ประมาณจะอยากรู้อะไรมากมายเนี่ย)

ชช "เห็นพระหลายรูปแม่ชีบางองค์ อ้างว่าเข้านิโรธสมาบัติในถ้ำนั้นถ้ำนี่น่าจะมั่วไหมครับหลวงตา ออยว่ามั่วนะครับ"

ลต "ไม่รู้เขาหรอก เพราะตอนอยู่ในถ้ำไม่มีใครไปเห็นกับเขา"

แล้วช่างชิตก็คุยต่ออีกเล็กน้อยในเรื่องนี้ก็จะไปคุยเรื่องอื่น(เรื่อง วัตถุมงคลกับครูบาอาจารย์ พรุ่งนี้จะมาเขียนนะครับ)

ครับ ก็อย่างที่ได้ความในบทสนทนาข้างต้น ผลของกรรมนี้เป็นของที่ล้อเล่นไม่ได้จริงๆ เพียงแค่คิดก็มีผลได้ กรรม 3 อย่าง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็ให้เราระวังมโนกรรม(ในส่วนของการคิดไม่ดี)ไว้มากที่สุดนะครับเพราะนั้นเป็นบ่อเกิดของ กายกรรม และ วจีกรรม ถ้าเราคิดดี ก็จะทำดี พูดดี ช่างชิตมาเขียนตัวเองก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรหรอกครับ แต่ก็พยายามทำอยู่ เขียนไปก็เป็นการเตือนตัวเองไปด้วย (เพราะทำได้ไม่มานั่งเขียนแบบนี้หรอก5555)
ส่วนเรื่องพระธาตุนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็เคยกล่าวไว้ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพระพุทธประสงค์ให้พระพุทธสรีระของพระองค์แตกกระจายไปจำนวนมาก พระบรมสารีริกธาตุขนาดเล็กสุดแม้ประมาณเท่าเมล็ดผักกาด[1] ดังปรากฏความในคัมภีร์ปฐมสมันตาปาสาทิกาว่า

“ โย จ ปูเชยฺย สมฺพุทฺธํ ติฏฺนฺตํ โลกนายกํ ธาตุ สาสปมตฺตมฺปิ นิพฺพุตสฺสาปิ ปูชเย ฯ สเม จิตฺตปฺปสาทมฺหิ สมํ ปุญฺ มหคฺคตํ ตสฺมา ถูปํ กริตฺวาน ปูเชหิ ชินธาตุโย ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานพระธาตุให้กระจายว่า เราอยู่ได้ไม่นานก็จะปรินิพพาน ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปในที่ทั้งปวงก่อน เพราะฉะนั้น เมื่อเราแม้ปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระธาตุแม้ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดทำเจดีย์ในที่อยู่ของตนๆ ปรนนิบัติ จงมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า[2]”

พระพุทธประสงค์ดังกล่าวนี้ เพื่อให้ศาสนาของพระองค์แพร่หลายไป และผู้ที่เกิดมาภายหลัง ไม่ทันเห็นพระองค์เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่ จักได้กระทำการสักการะบูชาเพื่อเป็นกุศลแก่ตน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พระบรมสารีริกธาตุแพร่หลายไปยังดินแดนต่างๆ

อ้างอิงจาก
1 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ "ปัจจุปัฏฐานสัญญกเถราปทานที่ ๙"
2 คัมภีร์ปฐมสมันตาปาสาทิกา อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร

ส่วนใครจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ดุลพินิจของท่าน สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสครับ

*เอารูป ฟอสซิล(ที่ใช้เวลาหลายล้านปี) พระธาตุหลวงตาหมาบัว และ รูปหลวงตาเมตตาเจิมทะเบียนรถ มาให้ชมกันครับ

 

ขอสารภาพว่า..ชื่นชอบลีลาการเขียนของช่างชิตมากครับ

ลัทธิจานบิน..น่ากลัวมากขยายสาขามาใกล้บ้านแล้วยังกับเซเว่น
แล้วเขาทำอะไรพิธีมักใหญ่โตอลังการงานสร้าง..

สุดท้ายขอให้หลวงตารักษาสุขภาพด้วยครับ

 

ขอบพระคุณมากนะครับที่ชื่นชอบและเข้ามาคุยกับช่างชิตบ้าง(คนขี้เหงา555) ส่วนลัทธิจานบินนั้น ช่างชิตว่าอีกไม่นานจะเป็นอะไรที่น่ากลัวในพุทธศาสนาในบ้านเราครับ เพราะเขาฉลาดวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เก่งในเรื่องการบริหารและโฆษณาชวนเชื่ออย่างเอกอุ อีก 10 ปี ถ้าไม่มีใครที่มีอำนาจมาสกัดไว้ก่อนหรือมีเหตุอันเป็นไปเองในองค์กรบอกตรงๆเลยครับว่า "จานบินจะครองโลก"

 

มาต่อกันกลับเรื่องสุดท้ายยาวๆไป ก่อนจะกลับไปเก็บของพร้อมย้ายกลับกรุงเทพพรุ่งนี้เช้า นึกแล้วก็ใจหายคนที่เจอกันในไซร์เกือบทุกวันมาเป็นปีๆ สุดท้ายก็ต้องแยกย้ายกันไปตามทางของใครของมัน อย่างท่านว่า "พบกันเพื่อรอวันจากจริงๆ" เอาละคืนนี้ เสนอเรื่อง
"วัตถุมงคลกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์" ยาวๆถือเป็นของขวัญคริสต์มาสนะครับ(เกี่ยวไหม 555)

หลังจากนวดขาหลวงตาไปเรื่อยๆก็คุยกับหลวงตาเรื่องเหรียญที่ช่างชิตขอสร้าง(ไม่ได้ทำซักที ปัจจัย ปัจจัย คำเดียวววว) หลวงตาก็บอกว่าไม่ต้องไปลำบากทำมาหรอก ดังบทสนทนาดังต่อไปนี้

ชช "หลวงตาครับ เหรียญที่ขอหลวงตาสร้างยังไม่มีตังสร้างเลยครับ"

ลต "ไม่ต้องไปทำมา มันยากเจ้าของเฉยๆ"

ชช "ไม่ได้หรอกครับตั้งใจไว้แล้ว"

ลต "อยากทำก็ทำแบบธรรมจักร" หลวงตากล่าวทำให้ช่างชิตจิตใจลุกโชนอีกครั้งจะได้ทำเหรียญอีกรุ่นละ

ชช "หลวงตาก็ทำมาแล้วนิครับ" ช่างชิตกล่าวพร้อมเอามือจับเหรียญธรรมจักร์ที่คอให้หลวงตาดู

ลต "นั้นเป็นแบบเหรียญ ถ้าทำแบบลอยองค์จะได้ไหม(นึกภาพแบบล้อเกวียนนะครับประมาณสามมิติ)"

ชช "ได้ครับ ขอให้ออยถูกลอตตารี่งวดหน้าเลยนะหลวงตา จะทำทั้งสองรุ่นเลย" นี้ละคนเราชอบจริงๆเงินเทวดานิ 55555

ลต "แหนะ ยังจะมาขอให้ถูกอีก...." หลวงตาทำหน้าตายิ้มแต่คิ้วขมวด (แบบประมาณ มึงก็ยังหน้าด้านขอนะ ก็ยังบอกว่าไม่ให้เล่นไม่ให้เล่น 55555)

ชช "เดี้ยวจะมีน้องมากราบหลวงตานะครับ(คุณ ฌานกร)เขาอ่านที่ออยเขียนในเนตแล้วอยากมากราบครับ"

ลต "จั้กไปเขียนอะไร ไปเขียนอะไรโกหกเขาไหมละ" หลวงตาจ้องมองตาไม่กระพริบมาที่ช่างชิต

ชช "ไม่มีครับหลวงตา ก็เขียนตามที่หลวงตาบอกสอนละครับ แต่ออยก็เขียนตามแนวของออย" ช่างชิตตอบแบบเข้มแข็งเพราะพูดความจริงพูดร้อยครั้งก็เหมือนเดิมร้อยครั้ง

ลต "เอาคำสอนของพระพุทธเจ้าไปเขียนนู้น ไม่ต้องเอาคำสอนหลวงตาไปเขียนหรอก"

ชช "เอาของหลวงตาละครับ หลวงตาก็เอามาจากพระพุทธเจ้า (หน้าด้าน555) "

ลต "แต่ก็ออกแนว อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใช่ไหม" หลวงตาจ้องเข้มแต่แฝงด้วยความเมตตา ยิ้มนิดๆที่มุมปาก มาอีกรอบ (นึกภาพตอนนั้นแล้วขำ 5555)

ชช "ใช่ครับ 5555 ก็แนวออยเป็นแบบนี้ ไปเขียนแนวแบบอื่น คนอื่นก็เอาไปเขียนลงเยอะแล้วครับหลวงตา และคนแบบออยที่ชอบทางนี้ก็มีมาก ก็ถือว่าให้เขาอ่านเปิดใจด้วยเปลือกไปก่อน เขาจะได้เปิดรับเนื้อๆต่อไปไงครับหลวงตา แบบออยไง(กว่าจะนึกประโยคมาตอบให้พอฟังได้ เรียบเรียงคำยากเหมือนกันนะ)" เดี้ยวจะโดนบ่นไปมากกว่านี้ช่างชิตก็ตัดบทมาเรื่อง วัตถุมงคลต่อ

ชช "หลวงตาครับ แล้วทำไมครูบาอาจารย์ท่านถึงมีแนวคิดเรื่องสร้างเหรียญสร้างวัตถุมงคลไม่เหมือนกันละครับ เช่น หลวงปู่ฝั้นท่านให้สร้างแต่หลวงตามหาบัวไม่เอาเลย"

ลต "พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านให้สร้าง ก็เพราะท่านเมตตาลูกศิษย์เฉยๆกำลังใจยังอ่อน หลวงปู่ฝั้นลูกศิษย์มาขอท่านก็เมตตา ส่วนที่ท่านไม่ให้สร้างก็เพราะ กลัวพากันหลงและพาเอากันไปขาย"

ชช "อย่างหลวงปู่แสงไปกราบท่าน ท่านหว่านแจกเลยนะครับ แต่ท่านก็บอกว่า "เหรียญท่านอย่าเอาไปขายให้เอาไปแขวน" ของหลวงปู่จันทร์เรียนก็หว่านแต่ของหลวงปู่จันทร์เรียนของท่านหว่านซูกัสกับฮอล 5555"
ช่างชิตกล่าวจบก็หัวเราะมือก็นวดฝาเท้าท่านไม่ขาด หลวงตาก็ยิ้มหัวเราะเบาๆตามช่างชิตเหมือนกัน

ชช "แล้วของหลวงปู่จันทร์เรียนท่านไม่เอาทางนี้เลย แต่เห็นท่านมีแจกรูปนิครับหลวงตา ใครนั่งสมาธิได้ 2 ชั่วโมงจะได้รูป"

ลต "อ่อ อันนั้นมีโยมเอารูปพระพุทธเจ้ามาจากอินเดียเอามาให้หลวงปู่ท่าน หลวงปู่ท่านนั่งพิจารณาเห็นเป็นแสงสว่างจ้ามาก ท่านว่าโยมที่เอามาให้เจตนาดี ท่านเล่าให้หลวงตาฟังนะ ท่านเลยเอามาแจกคนที่นั่งสมาธิได้ 10 ชั่วโมงติดต่อกัน ไปนั่งที่วัดถึงได้"

ชช "อ้าวไม่ใช่ 2 ชั่วโมงหรอครับ"

ลต "ไม่ 10 ชั่วโมงติดกันใครทำได้ท่านจึงให้ ขนาดคุณพรชัย(ลูกศิษย์หลวงตาอีกคนหนึ่งที่สำคัญ ขออภัยที่เอ่ยนาม)นั่งอยู่บ้านไปขอท่าน ท่านก็ไม่ให้" หลวงตาพูดไปก็ยิ้มไป

ชช "อ่อครับ แล้วหลวงตาครับเหรียญหลวงตามหาบัวที่หลวงตาแจกให้แซน(น้องชายช่างชิต)มา หลวงตามหาบัวอธิฐานจิตให้จริงๆใช่ไหมครับ"

ลต "เหรียญท่านจะเอาไปบรรจุเจดีย์ที่ร้อยเอ็ด ท่านอธิฐานให้ตั้ง 3 ครั้งนู้น" ต้องบอกว่าเหรียญรุ่นนี้จะเป็นตำนานแน่นอนครับในอนาคต

ชช "สุดยอดมาก หลวงตาครับวันเกิดปีหน้าขอพระนางพญาหยกของหลวงตาเป็นของขวัญหน่อยนะครับ"

ลต "แกะจากหยกพม่านะ แต่ได้ไปแล้วไม่ใช่หรา" พระนางพญาหยกเป็นอีกหนึ่งของหายากของหลวงตาเพราะมีไม่กี่องค์แบบนับคนได้ได้เลย คนที่ได้ต่างหวงมาก น้องช่างชิตก็แขวนไม่ถอด จะหักคอมันก็เลยยังไม่ได้ 555

ชช "ไม่ใช่ครับ แซนได้ครับ เห็นเขาว่าหยกดีด้านเสริมบารมี กันคุณไสยเลยอยากได้"

ลต "แหนะ มันจะดีไม่ดีมันอยู่ที่เจ้าของ ไม่ได้อยู่ที่หยก" หลวงตาพูดพร้อมยิ้มประมาณว่า มึงนิพูดไม่รู้เรื่องจริงๆนะสอนจนปากเปียกปากแฉะ

แล้วช่างชิตก็นั่งคุยและนวดหลวงตาไปเรื่อยๆจนมีโยมอีกชุด ชุดก่อนน้องฌานกร เข้ามากราบท่าน ช่างชิตเลยถอยออกมาให้ญาติโยมที่พึ่งมาได้เข้าไปกราบหลวงตาแบบใกล้ๆ นี้ละครับ เรื่องราวทั้งหมดสำหรับการเจอหลวงตางวดล่าสุด ก็มาเล่าสู่กันฟังแต่เพียงเท่านี้ เรื่องปฏิทาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์เรื่อง วัตถุมงคล นั้นก็แล้วแต่จริตของแต่ละท่าน แต่ทุกท่านที่เมตตาด้านนี้หรือไม่ได้สนับสนุนด้านนี้ ก็ต่างรักและห่วงลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้นครับ ตามเหตุและผลที่ได้กล่าวไว้ในบทสนทนา จริงๆ หลวงตาท่านไม่สนับสนุนเรื่องวัตถุภายนอก เรื่องไสยศาสตร์ อะไรแบบนี้เลยนะครับ เพียงตอนนี้เหมือนท่านเสร็จกิจของท่านแล้ว หลวงตาเลยโปรดลูกศิษย์ลูกหาเท่าที่จะทำได้ ของๆหลวงตาแจกอย่างเดียวครับไม่ว่าเนื้ออะไร ท่านเมตตาทุกๆคนมากล้นจริงๆ
............สมัย 10 ปีก่อนหลวงตาเคยถามช่างชิตว่าไปสักมาทำไม ช่างชิตก็อ้างนู้นอ้างนี้ บอกว่าพระก็ยังสักพระก็เสกเครื่องรางของขลังเยอะแยะ(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยังเข้าใจว่าไสยศาสตร์เป็นของพุทธศาสนา พระดีๆต้องเก่งไสยศาสตร์ จนมาเจอหลวงตานี้ละครับ ช่างชิตเลยพุธโธ(ผู้ตื่น)ตั้งแต่นั้นมา แต่ยังไงก็ยังชอบเหมือนเดิมนะ 555 เพียงแต่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร) หลวงตาตอบช่างชิตว่ายังไงรู้ไหมครับ หลวงตาตอบว่า "พระที่ไปเล่นไปทำแบบนั้น(ไสยศาสตร์ มนต์ดำ) ตายไป ไปเป็น ผีใหญ่(ผีที่มีฤทธิ์)เยอะมากนะ" นั้นเป็นคำตอบที่ติดหูมา 10 ปีครับ
เราจึงเห็นว่า พระทางสายหลวงปู่มั่นจะไม่ทำอะไรที่เป็นเกี่ยวกับไสยศาสตร์เลย วัตถุมงคลของท่านไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนอาจรูปร่างเหมือนกับเครื่องรางของไสยศาตร์ แต่ท่านก็ไม่ได้ตั้งพิธีบวงสรวงดูฤกษ์ดูยามหรือต้องมีพิธีกรรมอะไรพิเศษพิศดารเลย ที่เห็นๆท่านก็แค่เอามาอธิฐานขอพระบารมีของ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอรหันต์เจ้า ให้ช่วยปกป้องคุ้มครองรักษาผู้ที่ครอบครองวัตถุมงคลนี้เท่านั้น อย่างหลวงปู่บุญจันทร์อาจารย์ของหลวงตา ท่านไม่สบายนอนอยู่ในกุฏิ โยมเอาลังให้พระมาวางหน้ากุฏิ ก่อนจะเข้าไปขอให้ท่านอธิฐานจิตพระให้ ท่านบอกไม่ต้องยกเข้ามาหรอก วางไว้ตรงนั้นละ ละท่านก็เอียงจากเตียงนอนเพ่งมองไปที่กองลังพระลังนั้น ไม่ถึงสามนาที ท่านก็ให้เอากลับ ปรากฏว่าคนที่ได้ไปต่างมีประสบการณ์มากมาย บางคนได้ไปไม่ได้เอาไปแขวน วางไว้บนหิ้งพระ วันดีคืนดีพอหันไปที่หิ้ง พระที่หลวงปู่อธิฐานมีแสงสว่างจ้าออกมาเลยทีเดียว นั้นละครับ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านอาคัยอำนาจจิตที่บริสุทธิ์ที่แก่กล้าทรงอนุภาค มาอธิฐานจิตวัตถุมงคลให้เรา แม้จะไม่มีพิธีมากมายดึงดูดความน่าสนใจอะไร แต่ก็มีประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์กับผู้ศรัทธาที่มีศีลมีธรรมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและคิดว่าจะตลอดยุคพระพุทธศาสนาของเรานี่ละครับ หวังว่าของขวัญคริสต์มาสจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกๆท่านนะครับ คืนนี้ราตรีสวัสดิ์

*เอาภาพหลวงตาสวดบังสกุลเป็นบังสกุลตายให้โยมที่ไม่สบายมาหาหลวงตาและเหรียญหลวงตามหาบัวรุ่นที่ช่างชิตกล่าวถึงมาให้ชมครับ

 

เป็นเรื่องเล่าที่เป็นของขวัญ
ได้อย่างดีเลยครับ..สาธุ

 

เก็บตกบทความล่าสุด (เพราะลืมเมื่อวาน 555)

ชช "หลวงตารู้จักหลวงปู่ขันตีไหมครับ"

ลต "รู้จักสิ ตอนหลวงตาไปดูแลหลวงปู่เรา(หลวงปู่บุญจันทร์)ที่ศิริราช หลวงปู่ขันตีก็ดูแลหลวงปู่ชอบที่ศิริราชเหมือนกัน อยู่ด้วยกันนานอยู่"

ชช "อ่อ เขาว่าท่านเด่นด้านลาภใครนับถือท่านจริงๆจะมีลาภชีวิตมั่นคง"

ลต "ออย เอ้ย........" หลวงตากล่าวสั้นๆยิ้มและส่ายหน้าเบาๆพร้อมหัวเราะเห็นฟันขาวแบบปะรมาณว่า "จนปัญญาจะพูดกับลูกศิษย์คนนี้จริงๆ" 5555

ลต "หลวงปู่ขันตีท่านภาวนาดีมากนะ" แล้วหลวงตาก็กล่าวรับรองหลวงปู่ไว้ให้เป็นข้อคิดกับช่างชิตไปคิดเอาเองอีกหนึ่งดอก

ครับจากเรื่องเล่าล่าสุด มีหลายท่านที่ยังไม่รู้จักครูบาอาจารย์ที่ช่างชิตอ้างอิงถึงในบทสนทนากับหลวงตา (หรือรู้จักก็เอาประสบการณ์กับท่านมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ) คืนนี้ช่างชิตนำภาพมาให้ชมกันครับ
องค์แรก คือ หลวงปู่แสง จันทร์ดะโชโต อายุ 94 พรรษา ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ยุคท้ายๆ ชอบอยู่แบบสันโดษ ไม่เปิดตัว ประวัติท่านแบบละเอียดหาอ่านเอานะครับ เอาเป็นว่าสุดยอดไม่สุดยอด ตอนนี้ท่านยังทรงสังขารอยู่ แต่เส้นผมกลายเป็นพระธาตุ ลูกศิษย์ลูกหาไปนวดถวายท่าน อยู่ๆก็มีเม็ดพระธาตุติดมือมา หลวงตามหาบัวกล่าวรองรับท่านด้วยครับ
องค์สอง หลวงปู่จันทร์เรียน ลูกศิษย์หลวงปู่ชอบ หลวงตามหาบัว ประวัติโดยละเอียดหาอ่านเอานะครับ ท่านเป็นพระอริยะเจ้าที่ไม่มีปฏิทาด้านวัตถุมงคล แต่หลวงปู่เจี๊ยะกล่าวรับรองว่า "หลวงปู่จันทร์เรียน พลังจิตสูงพอๆกับหลวงปู่ฝั้น" หลวงตามหาบัวก็กล่าวรับรองท่านเช่นกัน
องค์สาม หลวงปู่ขันตี ลูกศิษย์หลวงปู่ชอบอีกองค์ ประวัติก็หาอ่านเอาเองเหมือนเดิมนะครับ 5555 หลวงปู่ท่อนเคยกล่าวว่า หลวงปู่ขันตีคือ "ช้างอ้วน" ประมาณว่าเด่นเรื่องลาภเรื่องทำมาหากินไม่อดไม่อยาก คนงานบริษัทน้องชายที่รู้จักกัน ลาออกไปหลายปีก่อน วันนี้ได้ดิบได้ดีเป็นเจ้าของกิจการ เขาก็กล่าวว่า "ตั้งแต่นับถือหลวงปู่แบบสุดใจทำอะไรก็ดีไปหมด หลวงปู่ทำให้มีวันนี้ได้"

โน้ตบุ๊ตนิถ้าไม่มีเม้าท์ใช้งานยากเหมือนกันนะครับ มันไม่ชิน 555 แต่ก็ยังอยากเขียนให้ทุกคนได้อ่านกัน บอกตัวเองว่าแค่นี้จิ๊บๆ ยังไงคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ทุกๆท่านครับ

 

โอ้ สุดยอดครับ ไม่ได้เข้ามาหลายวัน มีเรื่องราวเนื้อหาอ่านจุใจเลย
ของขวัญช่างชิตนำมาฝากถูกใจมากครับ

 

แอบมาติดตามอย่างเงียบๆครับผม

 

อนุโมทนาสาธุนำเด้อครับ

เห็นเหรียญหลวงปู่บ้านตาดแล้วอยากได้เกิ้น

แต่จนปัญญาไม่รู้จะไปตามหาแถวไหน แงแง T__T

 

เสริมท้ายน้อยหนึ่งในประสบการณ์ของผมที่เคยสัมผัสมาบ้าง...

หลวงปู่แสง ญาณวโร
ผมขอยกไว้เหนือเกล้าถึงเรื่องเมตตาหาประมาณมิได้ มากเสียจนผมเกรงสุดๆ

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
ผมขอยกไว้เหนือเกล้าเรื่องความเนี๊ยบเรียบร้อยสุดๆๆ

หลวงปู่ขันตี ญาณวโร
ผมขอยกไว้เรื่องเหนือเกล้าเรื่องใจดีไม่มีประมาณ

 

สวัสดีปีใหม่ 2558 ช่างชิตและสมาชิกทุกท่านครับ
ขอให้มีความสุขกายสบายใจ ปลอดทุกข์ปลอดโศก
ปลอดโรคและปลอดภัย ทุกๆท่านครับ..

 

สวัสดีปีใหม่ครับ ทุกๆ ท่าน
ขอให้ทุกท่านมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา สุขภาพแข็งแรง
ร่ำรวยๆ ครับ