ท่องนรก-ดินแดนเปรต กับ พระมาลัย

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย Sittirat, 23 สิงหาคม 2005.

  1. Sittirat

    Sittirat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +821
    บทที่ 1
    พระมาลัยเยี่ยมเมืองนรก
    ณ ตามพปัณณิทวีป ซึ่งปัจจุบันคือเกาะลังกา มีพระเถระองค์หนึ่งชื่อ "พระมาลัย" ท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มีบุญญานุภาพ และฤทธิ์เดชเกริกไกร มีเกียรติคุณแผ่ไพศาล เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในทวีปนี้
    พระมาลัยอาศัยบ้านกัมโพชะ ซึ่งเป็นชนบทเล็กๆ เป็นที่โคจรบิณฑบาต และอยู่จำพรรษามาเป็นเวลาช้านาน ท่านมีอุปการคุณแก่บรรดามนุษย์ ในหมู่บ้านแห่งนี้มาก โดยนอกจากจะเป็นเนื้อนาบุญให้ชาวบ้าน ได้ทำบุญสุนทานกันแล้ว ท่านยังเข้าฌาณสมาบัติชำแรกแผ่นดินไปเมืองนรกบ่อยๆ และทุกครั้งที่ท่านไปถึง ท่านจะสำแดงฤทธิ์บันดาลไฟที่กำลังลุกโชนโชติช่วง เผาไหม้บรรดาสัตว์นรกอยู่อย่างบ้าคลั่งนั้นให้ดับ พร้อมกับให้ฝนเทลงมาตกต้องร่างแสนจะร้อนเร่าจนเกือบจะสุกเกรียมของสัตว์ผู้ยาก เป็นการใหญ่ ขณะเดียวกัน ก็บันดาลลมให้กระพือพัดต้นงิ้วและภูเขาไฟ รวมทั้งอีกาปากเหล็กทั้งหลาย ให้กระจัดกระจายพลัดพรายไปจนหมด เสร็จแล้วบันดาลให้น้ำที่กำลังเดือดพล่านในกระทะทองแดง กลายเป็นน้ำเย็น และมีรสหวานปานน้ำผึ้ง ให้พวกสัตว์นรกเหล่านั้นได้ดื่มกินกันอย่างสำราญ ต่อจากนั้นก็แสดงธรรมโปรดให้เป็นที่เอิบอาบซาบซึ้งใจทั่วกัน พวกสัตว์นรกทั้งหลายเมื่อได้ฟังเทศน์จบแล้ว ต่างพากันยกมือไหว้แล้วร้องสั่งท่านว่า

    "พระคุณเจ้าขอรับ ได้โปรดเวทนาพวกข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระคุณเจ้ากลับไปถึงโลกมนุษย์แล้ว ขอได้แวะไปบ้านนั้น เมืองนั้น บอกญาติของข้าพเจ้าชื่อนั้น ให้เร่งทำบุญ แล้วอุทิศส่วนบุญมาให้ข้าพเจ้าด้วยเถอะ ข้าพเจ้าจะได้พ้นกรรมเร็วๆ เจ้าข้า"

    ฝ่ายพระมาลัยครั้นกลับมาถึงโลกมนุษย์ ก็นำความตามที่สัตว์นรกพวกนั้นสั่งมาบอกแก่ ญาติ พี่ น้อง ตามตำบลที่ระบุไว้ทุกประการ บรรดาญาติ ครั้นได้ฟังท่านบอก ก็ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ โดยไม่รั้งรอ สัตว์นรกผู้เสวยกรรม เมื่อได้อนุโมทนาส่วนกุศลแล้ว ก็พ้นกรรมไปเกิดบนสวรรค์ เสวยสมบัติทิพย์เป็นที่สำราญในทันที

    ต่อมา หลังจากที่ท่านไปโปรดสัตว์นรก ณ เมืองนรกแล้ว พระมาลัยก็ไปสวรรค์บ้าง ครั้นได้เห็นเทพบุตร เทพธิดาเสวยสุขสำราญในสวรรค์ ก็กลับมาบอกชาวบ้านให้เร่งทำบุญสุนทาน เพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์อย่างเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นบ้าง ทำให้ชาวบ้านเกิดเลื่อมใส ศรัทธา ทำบุญให้ทานเป็นการใหญ่ และเมื่อสิ้นชีวิตลงไปก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์เสวยสุขสำราญตามควรแก่ ผลบุญของตน ด้วยประการเช่นนี้

    ต่อมาวันหนึ่ง พระมาลัยผู้มีฤทธิ์ได้ชำแรกแผ่นดินลงมาเยี่ยมเมืองนรกอีกคำรบหนึ่ง เพื่อจะได้ไปนำข่าวคราว การเสวยผลกรรมของบรรดาสัตว์นรก ที่ยังเหลือมาบอกแก่ชาวบ้านต่อไป

    พอดีคราวนี้ จะเป็นการบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ท่านได้พบบรรดาสัตว์นรกทั้งหลาย กำลังถูกผู้คุมเอาหอกทิ่มแทงอย่างไม่ปรานีปราศรัยแทงซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างไม่เลือกที่ จนเลือดทะลักไหลนองท่วมพื้น และบรรดาสัตว์ผู้น่าสงสารเหล่านั้น ต่างก็ร้องโอดโอยลั่นขึ้นด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ท่ามกลางการนั่งมองอย่างชอบอกชอบใจของยมพบาล เจ้าแห่งนรก ท่านจึงแวะเข้าไปถามยมพบาลว่า

    "นี่แน่ะท่าน ท่านคือยมพบาลใช่ไหม?"
    "ถูกแล้ว พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ "ข้าพเจ้าคือพระยายมราช หรือที่ใครๆเรียกกันติดปากว่ายมพบาลนั่นแหละขอรับ"

    "อาตมาอยากจะถามท่านสักหน่อยว่า ทำไมท่านโหดเหี้ยมเหลือร้ายนัก พวกผู้คุมลงโทษสัตว์นรกอย่างไม่ปรานีปราศรัย แต่ท่านกลับนั่งดูเฉย ไม่เห็นห้ามปรามอะไรเลยยังงี้เล่าท่าน"

    ยมพบาลหัวเราะ ราวกับว่าคำถามนั้น ทำให้เขาขบขันเสียเต็มประดา "พระคุณเจ้าถามอะไรก็ไม่ทราบ ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้โหดร้ายอะไรเลยสักนิด มีแต่เมตตาปรานีอย่างมากที่สุด"

    "ท่านพูดเป็นเล่นไปได้" พระมาลัยหัวเราะออกมาด้วยความขบขันเหมือนกัน "นี่นะหรือคนที่มีเมตตาปรานี เห็นคนถูกเฆี่ยนตีทิ่มแทงจนเลือดท่วมตัว ดิ้นรนทุรนทุรายเหมือนปลาถูกทุบหัวเช่นนี้ กลับนั่งเฉยเหมือนเป็นทองไม่รู้ร้อน อาตมาว่าท่านใจดำเป็นหมึกมากกว่านะท่านนะ"

    "ขอพระคุณเจ้าอย่าได้เข้าใจผิดอย่างนั้นเลยขอรับ" ยมพบาลอธิบาย "ทุกอย่างมันเกิดจากกรรมที่สัตว์พวกนั้นก่อไว้เองทั้งนั้น พระคุณเจ้า และกรรมนั่นเองแหละที่ทำร้ายตัวเขาอยู่ขณะนี้ ใครจะห้ามปรามหรือคัดค้านทัดทาน ช่วยเหลืออย่างไรก็ไม่ได้หรอก ใครทำไว้อย่างไร ต้องได้อย่างนั้นขอรับ"

    "ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ได้เรียกว่าท่านมีเมตตาปรานีอย่างที่สุดอยู่ดี" พระมาลัยติดใจสงสัยเรื่องความเมตตาปรานีของยมพบาลอยู่ "เพราะเมื่อท่านช่วยเหลืออะไรเขาไม่ได้ แล้วทำไมต้องคุยว่ามีเมตตาปรานีด้วยเล่า?"

    "อ๋อ! ข้อนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้อธิบายถวายพระคุณเจ้า" ยมพบาลรีบสาธยายต่อไป "ความจริงตามกฎของนรกระบุไว้ว่า เมื่อคนที่ตายมาแล้วถึงที่นี่ ข้าพเจ้าจะให้สุวานเปิดดูบัญชีความดี ความชั่วที่เขาทำไว้ ใครทำความดีไว้มากก้จะส่งไปบนสวรรค์ แต่ถ้าใครทำความชั่วไว้มาก ก็จะส่งไปลงโทษตามสถานความผิดทันที โดยไม่มีการลดหย่อนหรือปรานีใดๆทั้งสิ้น แต่กระนั้นก็ดี ข้าพเจ้ายังให้โอกาสซักถามเขาถึงความดี และเทวฑูตทั้งห้าประการอีกหลายครั้ง เพื่อจะให้เขาได้สติ ระลึกนึกถึงความดีบางสิ่งบางอย่างที่เขาทำไว้บ้าง จนกระทั่งเห็นว่าเขานึกไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ จึงจะส่งตัวไปลงโทษ และถ้าตอนนั้นเกิดมีใครนึกขึ้นมาได้ ก็จะส่งตัวไปสวรรค์ทันที"

    "ท่านถามเขายังไง คงยากไปกระมังถึงตอบไม่ได้"

    "ไม่ยากดอกขอรับ-เรื่องความดี ข้าพเจ้าถามว่าเมื่ออยู่เป็นมนุษย์ ได้ทำบุญให้ทาน หรือช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากบ้างไหม ที่ไหน เท่านี้แหล่ะ"

    "แล้วเรื่องเทวฑูตล่ะ"

    "ข้าพเจ้าก็ถามทุกข์ ที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามจะพึงได้รับ คือ ทุกข์ตอนเกิด ทุกข์ตอนแก่ ทุกข์ตอนเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์ตอนตาย แล้วก็ทุกข์ในการ เวียนว่ายตายเกิดนั่นแหละขอรับ ข้าพเจ้าเคยถามว่า ตอนเจ้าเป็นมนุษย์เห็นเด็กเล็กๆ นอนอยู่ในผ้าอ้อมเลอะเทอะจมขี้จมเยี่ยวบ้างไหม ครั้นเขาตอบว่าเห็น ข้าพเจ้าก็ซักต่อไปว่าเจ้าเห็นแล้วคิดยังไงบ้าง เขาตอบว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย ข้าพเจ้าพยายามซักถามอีกสองสามครั้ง เพื่อจะให้เขาเกิดความสังเวชในชาติทุกข์ มีสติระลึกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ เขากลับย้อนเอาว่า กะแค่เห็นเด็กเล็กเด็กแดง จะต้องคิดให้เป็นกังวลทำไม เสียเวลาเปล่าๆ ข้าพเจ้าเห็นว่า เขาผู้นี้ไม่มีสติ มีความประมาทในชาติธรรม เป็นคนใช้ไม่ได้

    แต่กระนั้นยังให้โอกาสเขาต่อไปอีกว่า เจ้าเห็นคนแก่หนังเหนียว เดินถือไม้เท้างกๆ เงิ่นๆ บ้างไหม? เขากลับย้อนถามเอาอีกว่า จะไปคิดให้เสียเวลาทำไม ข้าพเจ้าเห็นว่า เขาผู้นี้ไม่มีสติ ประมาทในชราธรรม เป็นคนใช้ไม่ได้อีกตามเคย

    ข้าพเจ้าได้ให้โอกาสถามเขาต่อไปอีกว่า เจ้าเห็นคนป่วยบ้างไหม และเห็นแล้วคิดอะไรบ้าง? เขาก็ตอบอย่างฉะฉานตามเคยว่า คนป่วยนะหรือ เคยเห็นมาเสียนับไม่ถ้วน แต่เห็นแล้วจะให้คิดถึงทำไม ขยะแขยงเต็มทน ตกลงเขาผู้นี้ก็ยังไม่มีสติ ประมาทในพยาธิธรรมอีกอย่างหนึ่ง

    ข้าพเจ้าได้ถามเขาต่อไปว่า เจ้าเคยเห็นคนตามบ้างไหม และเห็นแล้วคิดอะไรบ้าง? เขาตอบว่า เห็นนะเห็นหรอก แต่จะไปคิดทำไมให้เสียเวลา มีแต่กลัวจะมาหลอกเอาเท่านั้น ตอลงเขาก็ยังไม่มีสติ ประมาทในมรณธรรม อีกประการหนึ่ง

    ข้าพเจ้าได้ถามเขาต่อไปเป็นครั้งสุดท้ายว่า เจ้าเคยเห็นคนถูกลงโทษเฆี่ยนตีประหารบ้างไหม? เขาตอบอย่างเหนื่อยหน่ายว่า โอ๊ย! เห็นมาแยะ แต่จะให้คิดถึงนะหรือ ป่วยการ นอกจากจะสมน้ำหน้ามันเท่านั้นเอง ก็เป็นอันว่า เขาไม่มีสติพิจารณาสังขารธรรมให้เกิดความสังเวชใจ มัวแต่ประมาทมองไม่เห็นภัยในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และการเวียนว่ายตายเกิดประการใดเลย เขาถูกบาปหนา ปิดบังดวงปัญญาไว้ คนเช่นนี้จะปรานีไม่ได้ ควรที่จะโยนลงกระทะทองแดง เอาหอกแหลมแทงให้ดิ้นพล่านไปทันทีดีกว่า จริงไหม? พระคุณเจ้า?"

    พระมาลัยพยักหน้า "ก็จริงอยู่หรอก แต่ทว่า เท่าที่ท่านบอกทั้งหมด ยังไม่เห็นตอนไหนบ่งบอกว่าท่านมีเมตตาปรานี ดังที่คุยไว้เลย มีแต่แสดงความโหดร้าย หาแง่จะลงโทษเขาอยู่ท่าเดียวเท่านั้นเอง"

    "พระคุณเจ้าจะกรุณาอธิบายหน่อยได้ไหมว่า เมตตาปรานี มีลักษณะอย่างไร?" ยมพบาลย้อนถาม

    "ลักษณะความเมตตาปรานีก็คือ การสำรวมจิตมั่นอยู่ในความรักใคร่ สนิทสนมเอ็นดู สงสารในสัตว์ไม่เลือกหน้า อย่างมั่นคงนะสิท่าน"

    "ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้ามีความรักใคร่สัตว์นรกอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้วนี่ พระคุณเจ้า"

    "แต่ท่านเอาแต่สั่งลงโทษสัตว์นรก อย่างนี้จะเรียกว่าความรักใคร่ได้อย่างไร? มันขัดกันอยู่นะท่านยมพบาล"

    ยมพบาลหัวเราะ พลางตอบอย่างฉะฉาน

    "พระคุณเจ้ายังเข้าใจข้าพเจ้าผิดอยู่นั่นเอง เอาละทีนี้จะยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ตามธรรมดาย่อมรักใครในบุตร และลูกศิษย์มาก พยายามเลี้ยงดูอย่างทะนะถนอม และสั่งสอนวิชาการให้อย่างดี แต่เมื่อบุตรนั้น ประพฤติผิดก็ดุด่าเฆี่ยนตี-อย่างนี้ พระคุณเจ้าจะตำหนิว่า พ่อแม่ ครูอาจารย์พวกนั้น ขาดเมตตาปรานีหรือเปล่าของรับ?"

    "เปล่าหรอกท่าน พ่อแม่ครูอาจารย์พวกนั้นทำไปด้วยความรักใครเมตตาปรานีต่างหาก"

    "ข้าพเจ้าก็เหมือนกัน สัตว์นรกพวกนี้กระทำผิดก็จำต้องลงโทษ เพื่อให้สำนึกตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยความเมตตาปรานีพวกเขาแท้ๆ ข้าพเจ้าจึงทำ"

    พระเถระได้ฟังเหตุผลของเจ้านรก ก็หมดสิ้นความสงสัย ไม่พูดว่ากระไรต่อไป จนยมพบาลถามขึ้น

    "พระคุณเจ้าลงมาเมืองนรกนี่ ได้เดินตรวจดูทั่วหรือยังขอรับ?"

    "ยังเลยท่าน เพียงแต่ผ่านๆสามสี่แห่งเท่านั้น หากท่านจะพาเดินชมให้ทั่วสักหน่อย ก็จะเป็นการดีมาก อาตมาจะได้บันดาลให้ชาวโลกข้างบนเห็นด้วย"

    "แหม! ถ้ายังงั้นก็วิเศษขอรับ พระคุณเจ้า เอาละ ข้าพเจ้าจะพาพระคุณเจ้า ไปตระเวณให้ทั่วเดี๋ยวนี้แหละ และยังไงก็ขอให้พระคุณเจ้าช่วยเปิดให้ชาวโลกเห็น จนครบถ้วนให้ได้ พวกเขาจะได้กลัว ไม่กล้าทำบาปกันต่อไป มนุษย์เดี๋ยวนี้ก็ดื้อด้านกันเหลือเกิน พระคุณเจ้า"

    "อ้าว! แล้วท่านไม่กลัวว่างงานหรือ?" พระมาลัยแกล้งย้อน

    "อ๋อ! ว่างงานเพราะไม่มีคนตกนรกน่ะหรือพระคุณเจ้า?" ยมพบาลหัวเราะร่วน "ข้าพเจ้าจะไปกลัวทำไม ในเมื่อไม่มีคนมาตกนรก จนนรกต้องล้มเลิกไป ข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นสวรรค์หมดกรรมเท่านั้นเอง"

    "หมายความว่าทุกวันนี้ท่านยังมีกรรมเวรยังงั้นหรือท่าน"

    "นั่นมันของตายขอรับ พระคุณเจ้า ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ามีทั้งกรรมเวรและมีทั้งบุญกุศล ครึ่งหนึ่งเป็นเทวดา อีกครึ่งเป็นสัตว์นรก พระคุณเจ้ารู้ไว้เสียด้วยเถอะ"

    "ท่านพูดยังงี้ ทำให้อาตมางงใหญ่ โปรดอธิบายต่ออีกสักหน่อยเถอะ"

    "ก็หมายความว่า ข้าพเจ้ามีความสุขเยี่ยงเทวดาทั้งหลายเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งต้องมาวุ่นวาย ทรมานสังขารสอบสวนคดีความ ตัดสินลงโทษสัตว์นรกอยู่ในดินแดนโลกันต์อย่างนี้แหละท่าน"

    "อ๋อ! ยังงั้นเองหรอกหรือ?" พระมาลัยเพิ่งจะถึงบางอ้อตอนนี้ "เอาละ ขอให้อาตมาได้รบกวนถามเพียงเท่านี้เถอะ ต่อไปนี้ช่วยพาอาตมาไปเที่ยวชมนรกดีกว่า อาตมามาที่นี่หลายครั้ง แต่ไม่เห็นทั่วสักที"

    ยมพบาลว่าพลางลุกขึ้น จากแท่นออกเดิดนำหน้า พาพระเถระจากเมืองมนุษย์เที่ยวชมเมืองนรกโดยไม่รอช้า

    ดินแดนลงโทษสัตว์นรกแห่งแรกที่ยมพบาลพาพระมาลัยไปชมนั้น เป็นภูเขาหินลูกใหญ่สองลูกเป็นเครื่องหมาย ซึ่งภายในภูเขาลูกนี้ มีเครื่องยนต์กลไกอยู่ภายใน สามารให้เคลื่อนมากระทบบดขยี้ สัตว์นรกที่เข้าไปอยู่ในระหว่างกลาง ให้แหลกละเอียด ได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากจะเปรียบง่ายๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับหีบ ที่หีบอ้อยสดให้น้ำอ้อยไห้อ้อยออกมานั่นเอง

    ในช่วงเวลาที่ยมพบาลพาพระเถระไปถึงนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่สัตว์นรก ผู้ตกเป็นทาสกรรมหลายต่อหลาย กำลังถูกผู้คุมจับพุ่งเข้าไปในภูเขายนต์ และถูกภูเขาเคลื่อนมาบดขยี้เนื้อตัวอย่างไม่ปรานีปราศรัย ต่างก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว แสนสาหัส จนกระทั่งร่างแหลกเหลวเป็นจุณวิจุณไป ไม่มีเสียงที่จะร้องต่อไปนั่นแหละ ภูเขาทั้งสองจึงเคลื่อนตัวออกจากกัน แล้วผู้คุมก็จับคนใหม่พุ่งเข้าไปแทน เช่นนี้เรื่อยไป เป็นที่เสียวไส้ สยดสยอง ขนลุกขนพอง แก่ผู้ที่ได้พบเห็นอย่างมากทีเดียว

    นี่เองชีวิตของผู้ตกเป็นหนี้กรรม ต้องยอมเสวยทุกขเวทนาชดใช้ไป แม้ว่าความทุกขเวทนาดังกล่าว จะแสนสาหัสยิ่งกว่ากรรมที่ตนทำไว้เพียงใดก็ตาม ทางเดียวคือ ยอม-ยอมก้มหน้ารับมันต่อไป จนกว่าจะหมดสิ้น

    "ที่นี่เรียก ยันตปสาณนรก พระคุณเจ้า" ยมพบาลเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น หลังจากที่ปล่อยให้พระมาลัย นิ่งมองด้วยความสมเพชเวทนาอยู่เป็นเวลานาน "เป็นนรกย่อยๆ ที่ใช้ลงโทษสัตว์นรกผู้มีกรรมเล็กๆ น้อยๆ ขอรับ"

    "กรรมเล็กๆ น้อยๆ ?" พระมาลัยทวนคำ "หมายความว่ากรรมประเภทไหนล่ะท่าน?"

    "ก็จำพวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยการใช้เครื่องทรมานนี้ประการต่างๆ เช่น จับสัตว์ใส่เครื่องบดทั้งๆ ที่ยังเป็นๆ อยู่นั่นแหละ พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ "คนพวกนี้เห็นชีวิตสัตว์อื่นเป็นเครื่องเล่น การร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของสัตว์อื่น แทนที่จะก่อให้เกิดความเวทนาสงสาร กลับทำให้พวกเขา เกิดความครึกครื้น สนุกสนาน ประการหนึ่งว่า ได้ฟังเสียงดนตรีอันไพเราะ ครั้นตัวเขาตาย จึงมาพบกับความทุกขเวทนาเช่นนี้ ขอรับ"

    "แหม! น่าสงสาร นี่เป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขาแท้ๆ" พระมาลัยครางเสียงเศร้า "แล้วนี่ เมื่อไหร่พวกเขาจะพ้นกรรมเสียทีเล่า ท่าน"

    "ก็หลายปีขอรับ ทั้งนี้ต้องแล้วแต่กรรมที่เขาทำไว้ มากหรือน้อยเท่าใดเป็นเกณฑ์ ใครทำไว้มากก็ต้องรับโทษนาน ใครทำน้อยก็รับโทษไม่นาน โดยการตายแล้วเกิด มาถูกโยนเข้าไปในภูเขายนต์อีกเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นกรรม เออ นิมนต์ไปดูที่อื่นเถอะขอรับ ยังมีอีกแยะเดี๋ยวจะไม่ทั่ว"

    ยมพบาลว่าพลางเดินนำหน้าพระมาลัย ไปยังแดนทรมาณแห่งต่อไป

    สักครู่ก็มาถึงหน้าประตูบานใหญ่ ซึ่งปิดสนิทอยู่ ตรงกลางกำแพงเหล็กมหึมา ที่ล้อมรอบบริเวณภายในประตูนั้นไว้อย่างมิดชิด และมั่นคงแข็งแรงทั้งสี่ด้าน หลังจากกำปั้นอันใหญ่ของยมพบาลเคาะกึกๆ ที่บานประตูสองครั้ง บานเหล็กใหญ่ก็เผยออกต้อนรับ และทันทีที่ยมพบาลก้าวนำหน้าเข้าไป ปิศาจร่างผอมกระหร่องผิวดำสนิท ราวกับถ่าน ซึ่งเฝ้าอยู่ด้านในประตู ก็ผุดลุกขึ้นแสดงความเคารพเจ้าแห่งนรกอย่างรวดเร็ว

    ยมพบาลพยักหน้านิดหนึ่ง แล้วเดินนำหน้าพระมาลัยเข้าไปข้างใน ชั่วครู่ก็มาถึงขอบสระน้ำอันกว้างใหญ่ และเปี่ยมด้วยน้ำใสสะอาดดุจตาตั๊กแตน พอดีขณะนั้น ปิศาจร่างใหญ่สองสามคน กำลังจับสัตว์นรกลงกลางสระอย่างไม่ปรานีปราศรัย สัตว์นรกได้แต่ร้องโอดโอยเรียกให้ช่วยลั่น ครั้นแล้วเมื่อร่างของมันโครมลงน้ำ เสียงร้องก็เงียบหายไป และสักครู่ร่างของมันก็ลอยทื่อขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้ชีวิตจิตใจ

    มิใช่แต่เพียงเท่านั้น ยังมีอีกหลายตนซึ่งถูกจับโยนลงในสระ และดับดิ้นสิ้นใจ พาร่างลอยขึ้นมาเหนือน้ำเช่นเดียวกัน

    "ที่นี่เรียก สีตละนรก พระคุณเจ้า" ยมพบาลอธิบาย "หมายถึงนรกที่มีน้ำเย็นที่สุดกว่าแห่งใดทั้งสิ้น หากจะเรียกให้ทันสมันหน่อยก็ว่า แดนน้ำเย็นมหาภัย ขอรับ

    "แล้วพวกสัตว์นรกทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มารับโทษที่นี่เล่า?" พระมาลัยซักต่อไป

    "สัตว์นรกพวกนี้ เมื่อชาติก่อน ชอบผลักคนหรือสัตว์ให้ตกไปจมน้ำตาย โดยเห็นเป็นของสนุกสนาน หรือเกมกีฬา อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นแหล พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ แล้วพาพระเถระออกจากแดนน้ำเย็นมหาภัย ไปดูที่อื่นต่อไป

    ชั่วเวลาต่อมา ยมพบาลก็พาพระเถระ มายืนอยู่หน้าประตูเหล็กมหึมา ที่ปิดสนิทอยู่ตรงกลางกำแพงเหล็กหนา รายล้อมปิดอาณาบริเวณภายในไว้ทั้งสี่ด้าน อย่างเดียวกับแดนน้ำเย็นมหาภัย ซึ่งเพิ่งจากมาเมื่อครู่นี้ จะแตกต่างไปก็เพียงแต่ใหญ่และสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

    หลังจากที่ยืนรีรอการเปิดรับ จากข้างในเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ฉับพลันทันใด ที่บานประตูเหล็กมหึมานั้น เปิดอ้าออก เจ้าแห่งนรกก็พาพระเถระ เดินผ่านประตูเหล็กอีกชั้นหนึ่ง เข้าไปถึงสนามหญ้าเขียวขจี ซึ่งมีเป็นลานกว้างใหญ่อยู่ข้างใน และถัดไปเป็นสระน้ำใสสะอาด ดารดาษด้วยดอกบัวชูช่อไสว มีฝูงปลาตัวน้อยใหญ่ แหวกว่ายอยู่ ดูน่ารื่นรมย์และสมควรที่จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ มากกว่าจะเป็นแดนอันหฤโหด

    ดูเหมือนจะไม่ช้านานเท่าใดนัก ที่พระมาลัยถูกพามาหยุดยืนอยู่ริมสระนั้น ท่านก็สังเกตเห็นสัตว์นรก รูปร่างผอมโซเหลือแต่กระดูก ราวกับอดอยาก มานานนับปีฝูงหนึ่ง วิ่งกรูกันมาจากห้องขังใหญ่ที่มุมสนามหญ้าด้านโน้น และพอมาถึงสระน้ำ ต่างก็แย่งกันกระโจนลงกินน้ำ อย่างคนกำลังกระหายหิวเป็นที่สุด

    เพียงครู่เดียว เมื่อต่างคนต่างได้อื่มน้ำจนอื่มแปล้พุงกลางสมอยากแล้ว ก็พากันขึ้นจากสระมานอนแผ่หรา อยู่สนามหญ้ารอบๆ เป็นการพักเหนื่อยเอาแรง ไม่มีใครรู้ว่าน้ำที่ตนดื่มกินเข้าไปนั้น จะกลับกลายเป็นสิ่งทำลายตนในภายหลัง

    และขณะที่พระคุณเจ้าจากเมืองมนุษย์ กำลังนิ่งมองด้วยความสนใจนั้น เสียงร้องโอดโอยอย่างคนได้ครับความเจ็บปวดแสนสาหัสของสัตว์นรกตนหนึ่ง ซึ่งนอนแซ่วอยู่เบื้องหน้าก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างของมันกระโดดถลาไปดิ้นทุรนทุราย เกลือกกลิ้งตามพื้นหญ้าอย่างน่าเวทนา และในชั่วอึดใจต่อมา ไส้น้อยใหญ่และตับไตของมัน ก็ไหลทะลักออกมาทางทวารเบื้องต่ำ พร้อมด้วยเมล็ดแกลบที่กำลังลุกเป็นไฟ เผาไหม้อย่างไม่หยุดหย่อน

    ถูกแล้ว! น้ำที่ดื่มเข้าไปอัดไว้ในท้องเมื่อครู่ ได้กลายเป็นแกลบ และลงมือทำงานเผาผลาญขึ้นแล้ว ไม่เพียงแต่เท่านี้ สัตว์นรกอีกหลายต่อหลายตน ซึ่งนอนแผ่หราอยู่ในบริเวณนั้น พอคนแรกด่าวดิ้นสิ้นใจไป คนต่อมา ที่สอง ที่สาม สี่ ห้า จนกระทั่งถึงคนสุดท้ายที่มีอยู่ ต่างร้องโอดโอยและกระโดดถลาไปดิ้นทุรนทุราย เหมือนคนแรกหมด ตามลำดับ ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของผู้ที่ได้พบเห็น

    "ที่นี่เรียก ธุสนรก พระคุณเจ้า" ยมพบาลอธิบาย "แดนแห่งนี้เป็นแกลบเพลิงที่เหล่าสัตว์นรกเห็นเข้าแล้วนึกว่าน้ำ สวาปามดื่มกินเข้าไปในท้อง สุดท้ายก็ทำลายตับไตไส้พุงของพวกมันเสียป่นปี้ และก็ผู้ที่จะมาเสวยทุกข์ทรมานในนรกแห่งนี้ ส่วนมากเมื่อชาติก่อน เอายาพิษใส่ในอาหารหรือน้ำดื่ม ให้คนอื่นกินขอรับ"

    "แหม! น่าสังเวชเหลือเกินท่าน" พระมาลัยครางออกมาด้วยความสังเวชสลดใจ

    "มันเป็นเรื่องเวรกรรม พระคุณเจ้า กรรมที่เขาทำไว้นั่นแหละ จะตามมาสนองเขาเอง ไม่มีใครทำให้เลย นิมนต์ไปดูที่อื่นต่อเถอะ ขอรับ" ยมพบาลรีบตัดบท พาพระเถระออกจากที่นั้นไปโดยเร็ว

    อีกครู่ต่อมา เจ้าแห่งนรกก็พาพระเถระมาถึงแดนนรกอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ถึดกันไปไม่ถึงยี่สิบก้าว และดูเหมือนนรกแห่งนี้ จะแปลกกว่าสองสามแห่งที่ผ่านมาไม่น้อยทีเดียว โดยไม่มีกระทะครอบ หรือประตูเหล็กปิดกั้น กำแพงล้อมใดๆทั้งสิ้น พอไปถึง ก็มองเห็นเป็นลานกว้าง ปูด้วยหินอ่อนสีเขียวอย่างราบเรียบ เป็นเงาวาววับคล้ายแผ่นกระจก ถูกแล้วมันน่าจะเป็นที่ประชุมสโมสร บริษัทบริวาร หรือมิฉะนั้นก็เป็นที่เล่นกีฬากลางแจ้ง ของผู้ยิ่งใหญ่คนใดคนหนึ่งมากกว่าอย่างอื่น

    ยมพบาลคงจะพาพระเถระจากเมืองมนุษย์ มาดูความกว้างของลานหินอ่อนอย่างนี้ไม่มีปัญหา?

    "พระคุณเจ้าอย่าเพิ่งคิดว่า ที่นี่เป็นสนามกีฬาหรืออื่นใด" ยมพบาลเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้มือไปยังมุมสุดเบื้องหน้า ซึ่งปรากฏเป็นมีลูกกลิ้งหินมหึมาเท่าภูเขาลูกหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ "โน่นขอรับ ลูกกลิ้งหินที่เห็นอยู่นั่นแหละ คือสิ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์ที่สุด มิใช่มีลูกเดียวนะ ข้างหลัง และซ้ายขวา ยังมีอีก รวมเป็น 4 ลูกด้วยกัน ลูกหิ้นทั้งสี่นี้เป็นลูกกลิ้งไฟ มีไว้สำหรับกลิ้งมาบดสัตว์นรกที่วิ่งเข้าไปยืนบนลานหินนี้ พระคุณเจ้า"

    พอดีกับที่ขณะนั้น เสียงผีเท้าของใครต่อใครวิ่งมาอย่างสับสน พร้อมกับเสียงหวดแส้ดังวื้ดว้าด และเสียงกรีดร้องโอดโอยติดตามมาทางเบื้องหลัง

    ทั้งยมพบาลและพระเถระหันขวับมาดูพร้อมๆกัน มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากฝูงสัตว์นรก ที่กำลังถูกเหล่าผู้คุมไล่ต้อนเข้าเครื่องบดชดใช้กรรมนั่นเอง ตัวไหนที่พูดกันรู้เรื่องง่าย และวิ่งเร็วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตรงกันข้าม ตัวไหนพูดยากและวิ่งช้า แส้เหล็กอันใหญ่ยาวราวกับสายบรรทัด ก็ซัดโครมๆ เข้าที่เนื้อตัวอย่างไม่เลือกที่และปรานีปราศรัย แม้จะเกิดเป็นรอยแผลแตกเลือดทะลักออกม และมันจะส่งเสียงร้องครวญครางขอความเวทนาสงสารสักปานใด ก็เหมือนยั่วยุให้พวกผู้คุมกระหน่ำแส้เหล็กเข้าให้หนักขึ้น จนในที่สุด แม้จะถึงกับลุกไม่ขึ้น ก็ต้องพยายามคลานรุดหน้าไปตามคำสั่ง

    เหล่าสัตว์นรกวิ่งทยอยล้มลุกคลุกคลาน และกระเสือกกระสน หนีออกหน้าซ้ายขวากันให้อลหม่านไปหมด แต่จนแล้วจนรอด ก็หนีไปไหนไม่พ้น นอกจากจะถูกต้อนไปนอนแซ่วหมดสติเรี่ยวแรง อยู่บนลานหินอ่อนเบื้องหน้านั่นเอง ไม่มีใครกระเสือกกระสนหนีต่อไปอีก ราวกับรู้ชะตาตนเองฉะนั้น

    ชั่วขณะนั้นเอง ก็บังเกิดมีไฟลุกแดงวาบขึ้นและโชติช่วงไปทั่วลูกกลิ้งหินเหล่านั้น ราวกับปาฏิหารย์ ขณะเดียวกัน ลูกกลิ้งแต่ละลูกก็ผันออกจากที่เข้ามาสู่กลางถนน ซึ่งเหล่าสัตว์นรกทั้งหลาย กำลังนอนรอความตายอยู่ ด้วยความเร็วราวกับลูกธนู และเสียงดังราวกับฟ้าลั่น

    ครืน! ครืน! ครืน! พริบตาเดียวก็ถึงตัว บังเอิญมีสัตว์นรกบางตัวรู้สึก เบิกตาโพลงขึ้น ครั้นมองเห็นภัยกำลังจะมาถึงตัว ก็ส่งเสียงร้องให้คนช่วย


    "โอย! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! พร้อมกันนั้น ต่างถลันลุกขึ้นจะตะเกียกตะกายหนี แต่ช้าไปเสียแล้ว ลูกกลิ้งทั้งสี่ครืนเข้ามาทับ และบดขยี้พร้อมๆกัน ไม่ต่างอะไรกับรถบดถนน ท่ามกลางเสียงร้องโอดโอย ให้ระงมไปหมด เลือดสดๆ กระจายไปทั่วลานหินอ่อน จนมองเห็นเป็นสีแดงทั้งผืน

    "ที่นี่เรียก ปิสสกปัพพตนรก ขอรับ พระคุณเจ้า พวกที่ชอบทรมาณสัตว์ด้วยการเอาเหล็ก หรือหินเผาไฟนาบ หรือบดตามเนื้อตัวสัตว์ทั้งหลายอย่างสนุกมือนั่นแหละ เมื่อตายแล้วจะมาเสวยผลกรรมอยู่ในนรกแห่งนี้ขอรับ" ยมพบาลกล่าวแล้วพาพระเถระเดินออกจากที่นั้น ตรงไปยังแดนนรกแห่งอื่นทันที

    สักครู่ก็มาถึงศาลาใหญ่ตั้งอยู่ โดดเดี่ยวบนเนินสูง และดูเหมือนนอกจากจะมีบันไดเหล็กเล็กๆ มีรูปร่างไม่ต่างจากบันไดลิงทอดขึ้นไปจากข้างล่างเพียงอันเดียวแล้ว ก็ไม่มีกำแพงเหล็กหรือประตูใหญ่ใดๆทั้งสิ้น

    ฉับพลันทันใดที่ถูกพาไต่ขึ้นไปยืนอยู่หน้าศาลาหลังนั้น พระมาลัยก็เหลือบไปเห็นมีถาดอาหารอันโอชารส ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ตั้งเรียงรายอยู่เต็มตามความกว้างขวางและโอ่โถงของมัน ซึ่งอาหารเหล่านี้จัดไว้สำหรับใคร ไม่สามารถจะทราบหรือเดาได้ถูก และชั่วขณะที่เต็มไปด้วยความแปลกใจสงสัย ของพระเถระนั่นเอง ก็มีสัตว์นรกรูปร่างผอมโซฝูงหนึ่ง วิ่งกรูกันเข้ามาในศาลานั้น โดยไม่ทราบว่ามาจากทิศทางใด และสัตว์พวกนั้นต่างพากันตรงเข้าหาสำรับกับข้าว ที่ตั้งเรียงรายอยู่นั้น ตัวไหนที่ล้าหลังมาไม่ทัน ต้องใช้วิธียื้อแย่งจากเพื่อน ปราศจากความเกรงอกเกรงใจใดๆทั้งสิ้น ฝ่ายตัวที่ถูกแย่งก็พยายามต่อสู้ป้องกัน มิให้ถ้วยชามอาหารซึ่งตน กำลังกินอยู่อย่างเอร็ดอร่อยนั้นหลุดลอยไปจากมือเป็นการใหญ่ แต่ยิ่งต่อสู้ป้องกันเท่าใด เหมือนยิ่งยุ อ้ายตัวนักแย่งยิ่งรุกหนักขึ้น เอาไปเอามาเกิดศึกชิงอาหาร สัตว์นรกเหล่านั้นต่างแย่งถ้วยชามขึ้นขว้างปา และโผนเข้าทุบต่อยเตะตีกันอุตลุด

    ฝ่ายยมพบาลเมื่อเห็นเหตุการณ์รุนแรงเช่นนั้น ก็ส่งให้ผู้คุมเข้าห้ามปรามอย่างทันควัน หลังจากหวดแส้และประเคนฆ้อนเหล็กตัวนั้นตัวนี้อยู่ชั่วขณะ ศึกชิงอาหารก็สงบราบคาบลงด้วยการลงไปหมอบราบคาบแก้ว เป็นแถว อยู่กับภาคพื้นของเหล่าสัตว์นรกผู้อดโซ ทั้งสองมือที่ยกขึ้นพนกศีรษะและเนื้อตัวของพวกมัน ตกอยู่ในอาการสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวต่อโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ เพราะความผิดครั้งนี้ เป็นที่สุด

    กล่าวกันว่า กฎหมายในเมืองนรกนั้น มีการลงโทษสัตว์นรกอย่างหนึ่ง สำหรับความผิดที่บังอาจไปก่อขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการลักขโมย แย่งชิงวิ่งราวข้าวของกัน หรือทะเลาะวิวาทต่อตีกัน ไม่ว่าหนักหรือเบา น้อยหรือมาก นอกเหนือไปจากโทษทัณฑ์ที่จะพึงได้รับจากผลกรรมแล้ว นั่นก็คือ วิธีที่พวกผู้คุมจับมามัดแล้วใช้ฆ้อนเหล็กทุบตี จนกระทั่งทนเจ็บปวดทรมานไม่ไหว สลบไปแล้วเอาน้ำรดให้ฟื้นคืนมา และกระหน่ำตีต่อไปจนสลบไปอีก ทำอย่างนี้ถึงสามครั้ง ฟื้นสาม-สลบสาม เรียกกันว่า "สามสลบ" ถูกแล้ว อันวิธีสามสลบนี้ เหล่าสัตว์นรกต่างเข็ดขยาด หวาดกลัวกันเหลือเกิน บางรายถึงบอกว่า ถ้าจะให้เปลี่ยนเอาอย่างอื่นที่หนักหนากว่านี้ เช่นกรอกน้ำทองแดง หรือเข้าเครื่องบด มันยินดีทีเดียว เพราะถึงแม้วิธีเหล่านี้จะทำให้มันตายวายชีวาไป ก็ยังดีกว่าอยู่แบบเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสเช่นนี้

    ในช่วงเวลาที่เต็ฒไปด้วยอาการสั่นสะท้านหวาดกลัวของสัตว์นรกพวกนั้น ดูเหมือนจะไม่มีสัตว์นรกตัวใด ที่ไม่นึกวิงวอนขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า บนสวรรค์ ตลอดจนกระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างในสากลโลก จงช่วยดลบันดาลอย่าให้เหล่าผู้คุมใช้วิธีสามสลบนี้กับตน ยังไงๆก็ขอให้ใช้อย่างอื่นเถอะ แม้ว่ามันจะหนักหนายิ่งกว่านี้สักเพียงใด

    อนิจจา! เหล่าสัตว์นรกผู้น่าสงสาร บางทีการวิงวอนขอความเมตตา จากพระผู้เป็นเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสัตว์นรกเหล่านั้น จะช่วยพวกมันได้จริงก็เป็นได้ และเป็นได้ยิ่งกว่าที่วิงวอนขอนั้นอีก-มันช่างเป็นความปรานีที่เอิบอาบซาบซ่านใจ อย่างไม่นึกไม่ฝันอะไรเช่นนั้น

    ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดรวดร้าว อันเนื่องมาแต่การถูกเหล่าผู้คุมเข้าไปห้ามทุบตีเมื่อครู่นี้ ตลอดจนกระทั่งอาการสั่นสะท้าน หวาดกลัวทั้งหลายจะเหือดหายไปราวกับปลิดทิ้ง เหล่าสัตว์นรกที่หมอบราบคาบแก้ว ณ ที่นั้นต่างโดดผลุงลอกยขึ้นด้วยความปิติยินดีในทันใด เมื่อได้ยินเสียงยมพบาลร้องสั่งลูกน้องขึ้นว่า "พอ-พอทีเถอะไม่ต้องทุบตีอะไรพวกนี้อีก แค่นี้มันก็แสนสาหัสพอแล้ว ไป-ไปจัดสำรับกับข้าวมาให้พวกมันกินใหม่ดีกว่า"

    "ไชโย ขอให้ท่านยมพบาล เจ้านายของเราจงเจริญ" ปากคอที่กำลังระริก แสนเต็มตื้นด้วยความปิติยินดีของสัตว์นรกเปล่งเสียงไชโยโห่ร้องขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่กังวานเสียงของยมพบาลจะขาดห้วงลง และแล้วพวกมันก็พากันกรูเข้ามาหมายจะกราบกราน แสดงความซาบซึ้งดีใจครั้งนี้อย่างที่สุด แต่ "ไม่ต้องเข้ามาหรอก พวกแกนั่งลงตามเดิมดีกว่า" ยมพบาลโบกมือห้ามเสียก่อน "เดี๋ยวพวกนั้น ก็จะยกสำรับกับข้าวมาให้กิน และหวังว่ายังไงเสียคราวนี้คงจะไม่เกิดการตะลุมบอนกันอย่างเมื่อกี้เป็นแน่"

    "ไม่เกิดแน่ขอรับ พวกข้าพเจ้าขอรับรอง" พวกสัตว์นรกร้องตอบขึ้นพร้อมกันอย่างทันควัน "เออ! ดีมาก" ยมพบาลตอบในที่สุด

    ในช่วงเวลาต่อมานั้นเอง สำรับกับข้าวชุดใหม่โอชารสที่กำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นฟุ้ง ไม่แพ้ชุดก่อนก็ถูกนำมาตั้งไว้เป็นที่เรียบร้อยตามคำสั่งของยมพบาลทุกประการ และเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว เหล่าสัตว์นรกผู้อดโซ ก็พากันลงมือตักข้าวปลาอาหารใส่ปากอย่างไม่รีรอ แต่ระมัดระวัง ไม่ให้มือไม้ของตน เผลอไปยื้อแย่งกันและกันอย่างเมื่อกี้เป็นที่สุด เดี๋ยวจะเกิดศึกชิงอาหารถึงขั้นตะลุมบอนกันขึ้นอีก

    อย่างไรก็ดี ตลอดเวลาที่กำลังตักข้าวปลาอาหารกินนั้น พวกมันต่างนึกขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เมตตาช่วยดลบันดาลให้เหตุการณ์ครั้งนี้ เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี แทนที่จะถูกลงโทษทัณฑ์ แต่กลับได้กินอาหารอย่างดีโอชารสเช่นนี้

    ครั้นแล้ว โดยไม่มีใครนึกฝันว่าเหตุการณ์ที่เปลี่ยนจากร้ายกลายมาเป็นดีแล้วนั้น จะย้อนกลับมาเป็นร้าย และร้ายยิ่งกว่าเดิมอีก พอข้าวปลาอาหารเหล่านั้นถูกเคี้ยวกลืนเข้าไปในท้องเพียงครู่เดียว ก็กลับกลายเป็นก้อนเหล็กแดงไหม้ เอาไส้พุงขาดกระจุยกระจายออกมา ท่ามกลางความเจ็บปวดและร้องครวญคราง อย่างสุดเสียงของพวกมัน จนในที่สุดต่างก็หงายตึงลงฟาดพื้นสิ้นใจไป อย่างน่าสมเพทเวทนา ทิ้งไว้แต่ชามข้าวที่พึ่งจะกินเข้าไปไม่ทันไร

    นี่เอง ความเมตตาปรานีที่เอิบอาบซ่านใจ ซึ่งพวกมันคิดว่าได้รับจากพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความจริง มันเป็นการใช้ไม้นวม เพื่อหลอกให้พวกมันกินข้าวปลาอาหารเข้าไป จะได้ไหม้ไส้พุงแตกทลายออกมา ตามความประสงค์ของยมพบาลโดยแท้

    "ทำไมท่านโหดร้ายอย่างนั้นเล่า ยมพบาล?" พระมาลัยท้วง "ท่านรู้ว่าอาหารเหล่านี้เป็นก้อนเหล็กแดง ยังอุตส่าห์หลอกให้พวกนี้กินเข้าไปได้?"

    "มิใช่ข้าพเจ้าหลอกพวกเขาดอกขอรับ" ยมพบาลตอบ "กรรมแต่ชาติก่อนต่างหากหลอกพวกเขา-ชาติก่อนนี้ พวกเขาเป็นข้าราชการ ทำงานเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน แต่กลับทุจริตคิดมิชอบ ฉ้อฉลเอาทรัพย์สินตลอดจนข้าวปลาอาหาร จากประชาชน มาบำรุงกระเพาะตนเอง โดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของใคร เขาถือว่ายังไง ขอให้เราได้กินอิ่มไปตลอดชาติก็แล้วกัน ในที่สุดเลยต้องมาอดอยากปากแห้ง มองเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหารโอชะไปเช่นนี้แหละ พระคุณเจ้า"

    ยมพบาลพูดจบ ก็รีบพาพระเถระเดินออกจากที่นั่นไปทันที ไม่ยอมให้ท่านได้ถามอะไรอีกต่อไป เพราะเวลามีน้องเกรงจะไปไม่ทั่ว

    ไม่ช้าก็มาถึงสวนใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยต้นมะม่วงนานาชนิด และต้นสูงใหญ่ และดกหนกด้วยกิ่งใบ ต่างกับมะม่วงธรรมดา เรียงรายเป็นทิวแถว ยาวสุดลูกหูลูกตา อยู่ในอาณาบริเวณอันโล่งเตียน เป็นระเบียบสวยงาม ราวกับผู้หนึ่งผู้ใดมาตกแต่งไว้ และไม่ผิดอะไรกับสวนมะม่วงของพระราชามหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองมนุษย์โดยแท้

    และนอกไปกว่านั้น ทั่วกิ่งใบมะม่วงทุกต้น กำลังสะพรั่งด้วยผลอันสุกงอม แต่ละลูกมีขนาดเท่าฟักแฟงแตงไทยของเรา และส่งกลิ่นหอมน่ากินมากทีเดียว

    ในฉับพลันที่ยมพบาลพระเถระไปถึงนั่นเอง ก็มีสัตว์นรกกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาทางเบื้องหน้า ด้วยกิริยาท่าทางที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี รายกับมันวิ่งเข้ามาเห็นป่า ยิ่งกว่านั้น พวกเขายิ่งส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวมาแต่ไกล

    "สบายแล้ว พวกเรา ที่นี่เป็นสวนมะม่วงดังที่คิดไว้จริงๆ แหม! มันกว้างใหญ่ร่มรื่นเหลือเกิน และโอ! ต้นมะม่วงเหล่านี้กำลังมีลูกสุกงอมเสียด้วยสิ คราวนี้ต้องฟาดให้หมดทั้งสอนเลย มาพวกเราเร็วเข้า"

    และโดยไม่ยอมปล่อยเวลาให้ผ่านไป พวกมันต่างพากันปีนป่ายขึ้นต้นมะม่วงหมายเขย่าผล ให้หล่นร่วงลงมา จะได้เก็บกินให้สมใจ และสมกับความหิวกระหาย ที่กำลังทวีความรุนแรงหนักขึ้นอยู่ในขณะนี้

    แต่ยังมิทันที่จะได้ถึงคาคบ ก็บังเกิดมีลมพัดแรงขึ้นอย่างกำหนด หมายไม่ได้ว่ามาจากทิศทางใด มันพัดมาต้องใบมะม่วงทั้งหลายให้ร่วงหล่นลงมา กลับกลายเป็นหอกดาบอันคมกล้า พุ่งลงมาเสียบหน้าเสียบหลังสัตว์นรกพวกนั้นอย่างรวดเร็ว ราวกับห่าฝน ยังผลให้พวกมันหกคะเมนลงมาสู่ภาคพื้น พร้อมทั้งส่งเสียงร้องลั่น ด้วยความเจ็บปวด ตัวไหนที่ยังไม่ขาดใจ พอทรงกายลุกขึ้นได้ ก็พยายามตะเกียกตะกายหนีอย่างสุดแรง บางตัวที่ยังมีแรงมากกว่าเพื่อนหน่อย ก็ร้องตะโกนมาบอกพรรคพวก ซึ่งอยู่เบื้องหลังว่า "หนีเร็ว พวกเรา ไอ้ใบมะม่วงนี่ กลายเป็นหอกดาบเล่นงานเราเสียแล้ว เร็วหนีเร็ว"

    ปากตะโกนพลาง เท้าจ้ำอ้าวกลับไปตามทางที่เข้ามา หมายจะให้พ้นจากสวนมะม่วงอุบาทว์นี้โดยเร็วที่สุด ฝ่ายพรรคพวกผู้อยู่เบื้องหลังที่ยังไม่ได้สติสตัง พอได้ยินเช่นนั้น ก็รีบถลันลุกพรวดพราดวิ่งตามมา บางตัวแม้จะแขนขาดด้วนไป เพราะหอกดาบแล่นมาต้อง แต่ก็ยังพยายามยันกายวิ่งมาด้วย

    อย่างไรก็ดี ยังมิทันที่สัตว์นรกผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นจะพ้นไปจากสวน ในขณะนั้น บังเกิดมีกำแพงเหล็กใหญ่ลุกโชนด้วยเปลวไป ผุดขึ้นมาจากพื้นดินขวางหน้า พวกมันไว้อย่างฉับพลัน ไม่ผิดอะไรกับฝูงสัตว์น้อยใหญ่ ในป่าที่ถูกนายพรานผู้ฉลาด สกัดกั้นการหนีของพวกมันไว้ด้วยวิธีเผาป่า ให้ลุกลามขึ้นข้างหน้า ในขณะที่ให้พวกของตนคนหนึ่งคนใดไล่ยิงมาฉะนั้น

    หมดสิ้นกันที สำหรับหนทางจะวิ่งหนีไป ครั้นจะย้อนกลับมาอีก หอกดาบก็ยังพุ่งตามมาราวกับห่าฝน ดูเหมือนชั่วขณะนั้น เหล่าสัตว์นรกผู้น่าสงสารจะมองไม่เห็นวิธีใด ดีไปกว่าการตะเกียกตะกายเลียบไปตามกำแพงเหล็กมหึมานั้นต่อไป เพื่อบางทีจะได้พบช่องทาง พอโผล่พ้นออกไปจากสวนมะม่วงอุบาทว์นี้บ้าง แม้ว่า ความยาวของกำแพงจะเหยียดยาวออกไปจนสุดลูกหูลูกตา และมองหาที่สุดไม่ห็นก็ตามที

    แต่ฉับพลันนั้นเอง เหตุการณ์ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าที่เกิดขึ้นแล้ว ก็อุบัติขึ้น สุนัขตัวใหญ่ขนาดเท่าช้างสาร มีเขี้ยวยาวโง้งออกมาจากปาก นัยน์ตาทั้งสองโตเท่าไข่ห่านนั้น ลุกวาวอย่างน่ากลัว 1-2-3-4-5 ตัวพอดิพอดี วิ่งมาจากทิศทางใดไม่ทันเห็น และทั้งหมดทะยานเข้าใส่สัตว์นรกพวกนั้น เหมือนเสือร้าย ที่กำลังกระหายหิว ต่างตัวต่างกระโดยเข้าขย้ำค้ำคอเหยื่อของมันให้ด่าวดิ้นลงสู่ภาคพื้น และกัดกินเลือดเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย ท่างกลางเสียงร้องโอดโอย และพยายามดิ้นรนทุรนทุราย หนีพวกสัตว์นรกอย่างสุดแรงเกิด

    ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาต่อมาไม่ถึงอึดใจ ยังมิทันที่สุนัขพวกนั้นจะกินอิ่ม ก็มีแร้งใหญ่ขนาดเท่าเรือนเกวียนโถมถลาลงมาจากอากาศ ขับไล่สุนัขทั้งหมด ให้หนีไป แล้วจิกทิ้งกินเนื้องสัตว์นรกเหล่านั้นจนเหลือแต่กระดูกในพริบตา

    "ที่นี่มีชื่อว่า แดนหอกดาบร่วง ขอรับ พระคุณเจ้า" ยมพบาลสาธยาย "สัตว์นรกต้องมาเสวยทุกข์ทรมาณอยู่ในดินแดนนี้ แต่ชาติก่อนได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตด้วยการเป็นพลานล่าเนื้อ ไล่ต้อน ทิ่มแทงสัตว์อื่น ด้วยหอก และเอาไฟเผาป่า ครอกสัตว์ตายอย่างทารุณโหดร้าย พระคุณเจ้า"

    "แหม! น่าอัศจรรย์แท้" พระมาลัยพึมพำเบาๆ

    "ยังมีที่น่าอัศจรรย์กว่านี้มากขอรับ นิมนต์ตามข้าพเจ้ามาเถอะ ข้าพเจ้าจะพาไปดู" ว่าพลางยมพบาลก็รีบเดิน ออกหน้าพระเถระไปยังแดนอื่นโดยไม่รอช้า

    ต่อมา ก็มาถึงที่โล่งแห่งหนึ่ง ซึ่งแลเห็นแม่น้ำเหยียดยาวขวางกั้น เป็นเส้นขนานอยู่เบื้องหน้า ทั้งสองฟากฝั่งมีเครือหวายอันใหญ่มหึมา เท่าต้นมะพร้าวขนาดเขื่องขึ้นสลับซับซ้อน และเกี่ยวพันกันเต็มไปหมด แทบจะไม่มีเถาวัลย์ หรือ พันธุ์ไม้ใดๆเจือปน ราวกับมีคนหนึ่งคนใด จงใจมาปลูกไว้ฉะนั้น

    และดูเหมือนตลอดฟากฝั่งที่มาถึงนั้น จะมีที่ซึ่งเครือหวายเหล่านั้น ยอมเว้นว่างให้เพียงช่องทางเล็กๆ พอเดินเข้าไปในอาณาบริเวณของแม่น้ำได้ช่องเดียวเท่านั้นเอง

    "ที่นี่คือแดนเครือหวายขอรับพระคุณเจ้า" ยมพบาลแนะนำขณะที่พาพระเถระ ไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำแห่งนั้น ตลอดสองฝั่งแม่น้ำ มีต้นหวายขึ้นแต็ม ทั้งเครือทั้งหนามของมันคมยิ่งกว่ามีดโกน สามารถบาดร่างกายของสัตว์นรกให้ขาดสะบั้นหั่นแหลก เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ได้ดีทีเดียว

    "สัตว์นรกที่มาได้รับกรรม ณ แดนนี้ เพราะทำความชั่วอะไรไว้หรือท่าน?" พระมาลัยซัก

    "ส่วนมาก็เป็นพวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยการเอาเครื่องดักวาง ซุ่มซ่อนลวงไว้นั่นแหละขอรับ สัตว์อื่นๆ ที่เดินผ่านมา ไม่ทันได้ระวังตัว ก็ติดเครื่องดักของเขาเข้าจนได้ รับความทรมาณอย่างแสนสาหัส"

    "คงจะเป็นพวกพรานดักนก หนู เก้ง กวาง นั่นกระมัง?"

    "ใช่ขอรับ พระคุณเจ้า และนอกไปกว่านั้นก็ยังมีพวกพรานดักคนไปขายเป็นสินค้าอีก เพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนทรมาณของคนอื่น เลยต้องมารับกรรมเช่นนี้แหละ ขอรับ"

    พอดีขณะที่ยมพบาลพูดจบนั่นเอง มีสัตว์นรกพวกหนึ่ง กำลังเดินมาด้วยท่าทางระโหยโรยแรงเต็มที ครั้นเหลือบเห็นแม่น้ำอยู่เบื้องหน้าเช่นนั้น ก็มีความปิติยินดี ขยับฝีเท้าวิ่งเข้ามาโดยไม่รั้งรอ ด้วยหวังที่จะดื่มน้ำดับความกระหายให้สมใจ และโดยไม่ได้มองเห็นเครือหวายที่กีดกั้นใดๆทั้งสิ้น พวกมันพุ่งตัวโครมหมายจะลงสู่แม่น้ำทันทีทันใด

    แน่นอน! ไม่มีตัวใดจะไม่ปะทะเข้ากับเครือหวายเบื้องหน้า ต่างก็พากันถูกเครือและหนามหวายบั่นร่างกาย ขาดเป็นท่อนน้อยใหญ่ในฉับพลัน พวกมันได้แต่ส่งเสียงร้องโอดโอย และดับดิ้นสิ้นใจไปอย่างน่าสยดสยอง และน่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด

    มีบางตัวที่วิ่งมาข้างหลัง พอเห็นเพื่อนร่วมทุกข์ประสบกับอันตรายอย่างร้ายแรงเช่นนั้น ก็ตื่นตระหนกตกใจกลัว และหันหลังวิ่งกลับไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่ขณะเดียวกัน ผู้คุมซึ่งคอยดูแลอยู่แถวนั้นเหลือบมาเห็น ก็ฉวยค้อนเหล็กอันใหญ่ กระโจนไล่กวดติดตามไปในฉับพลัน คว้าไหล่ของมันไว้ พร้อมกับดึงเข้ามาประเคนค้อนเหล็ก ลงกลางกระหม่อมเต็มเหนี่ยว

    "โอย! ช่วยด้วย"

    สัตว์นรกผู้เคราะห์ร้ายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เหมือนศีรษะจะแตกทลายไปในบัดดล แต่ยิ่งร้อง ค้อนเหล็กในมือของผู้คุม ยิ่งกระหน่ำลงอย่างมันมือ และเพียงไม่กี่โป๊ก สัตว์นรกตนนั้น ก็พาร่างที่โชกด้วยเลือด ทรุดฮวบม่อยกระรอกไป ครั้นแล้ว ผู้คุมก็คว้าร่างที่ปราศจากสติสตังนั้น โยนกลับมายังกองหวาย ร่างขาดสะบั้นหั่นแหลกไปทันใด

    อนิจจา! ช่างน่าสงสาร

    หลังจากที่ออกจากแดนเครือหวายแล้ว ยมพบาลก็พาพระเถระ ตระเวนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แดนต่อไป คือ แดนขี้เถ้า ซึ่งอยู่ถัดแดนเครือหวายเพียงเล็กน้อย

    แดนขี้เถ้าดังกล่าวนี้ มีกองขี้เถ้าใหญ่ ที่เต็มไปด้วยความร้อนดังไฟ สามารถเผาผลาญสัตว์นรก ซึ่งถูกจับโยนเข้าไปให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา แม้ว่ามันจะมีเพียงสองสามกอง และราบเรียบ อยู่ในแอ่งเหล็กใหญ่หนา มองดูไม่ต่างอะไรกับขี้เถ้าธรรมดา แต่ความร้อนของมันก็แรงระอุอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์นรกเป็นร้อยเป็นพัน ต่างดับดิ้นสิ้นร่างไปอย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว

    สำหรับสัตว์นรกที่ต้องมาตกระกำลำบากในแดนแห่งนี้ ก็เพราะเหตุที่เมื่อชาติก่อน ชอบเอาสัตว์อื่น จับหมกขี้เถ้าร้อนๆทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง

    แห่งต่อมาคือ แดนหลุมคูถ ทั่วทั้งอาณาบริเวณสี่เหลี่ยมจตุรัสภายในกำแพงเหล็กอันใหญ่หนานั้น เต็มไปด้วยหลุมคูถอันกว้างใหญ่ และลึกขนาดท่วมศีรษะ ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งตลบอบอวล เรียงรายอยู่ต่อๆกันไป รวมทั้งหมดประมาณ 10 หลุมเห็นจะได้

    ภายในหลุมคูถแต่ละแห่ง มีหนอนตัวใหญ่เท่าช้าง แหวกว่ายกันเป็นหมู่ๆ อยู่ในหลุมนั้น ต่างตัวต่างคอยจ้อง ปากที่แหลมดังเข็ม คอยเหยื่ออย่างหิวกระหายตลอดเวลา พอเหล่าผู้คุม จับสัตว์นรกโยนทิ้งลงไป พวกมันก็กรูกันเข้ารุมล้อมกัดกินเนื้อสัตว์นรกเป็นการใหญ่ ตัวไหนที่ฉลาดว่องไวกว่าเพื่อน ก็ล้วงเข้าไปในปาก ทึ้งตับไตไส้พุงออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเนื้อตัวหมดตับไตไส้พุง ก็ฟาดกระดูกเข้าอีก จนราบเรียบไม่มีเหลือหรอ

    ไม่มีหนอนที่ไหนจะร้ายเท่านี้!

    ต่อจากนั้น ยมพบาลก็พาพระเถระมาดูหม้อกระทะเหล็กอันใหญ่เท่าภูเขาลูกมหึมา ซึ่งกำลังตั้งเดือดพล่านอยู่บนเตาไฟ เหล่าสัตว์นรกผู้เป็นเชลยกรรม ต่างถูกจับโยนลงในกระทะเหล็กนั้น ไปด่าวดิ้นปลิ้นไป อยู่ในน้ำร้อน ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ถูกโยนในหม้อนน้ำร้อนทั้งเป็น

    ที่นี่มีชื่อเรียกว่า โลหะกุมภี หรือเรียกง่ายๆว่า แดนกระทะเหล็ก ผู้ที่ชอบลักลอบข่มขืนลูกเมียเขาโดยไม่เลือกหน้า มักจะมาเสวยกรรมอยู่ ณ โลหะกุมภีนี้ทั้งนั้น

    ถัดจากโลหะกุมภีนี้ไปเพียงเล็กน้อย ก็เป็น แดนกระทะทองแดง ซึ่งแดนนี้นอกจากจะมีหม้อกระทะใบใหญ่ต้มน้ำทองแดง และแทรกด้วยก้อนกรวดเหล็กเดือดพล่านอยู่บนเตาไป เช่นเดียวกับโลหะกุมภีแล้ว ณ ภาคพื้นตรงหน้า ยังมีแผ่นเหล็กหนา กำลังลุกโชนด้วยเปลวไฟติดไว้เป็นแท่น ที่สำหรับจับสัตว์นรก มานอนหงายแล้วตักน้ำทองแดงในกระทะ มากรอกปาก ให้ปากคอและท้องไส้ ถูกเผาไหม้แตกพังทลายตายไปในที่สุด

    แดนกระทะทองแดงนี้ เป็นแหล่งลงโทษนักดื่มเหล้าคอทองแดงทั้งหลาย พวกที่เช้าเมาเย็นเมา ระวังไว้ให้ดีเถอะ ตายไป จะถูกนำตัวไปนอนหงายกรอกน้ำทองแดง ณ แดนนี้จนได้

    และทันทีที่เดินผ่านหม้อกระทะทองแดงนั้นไป ก็มาถึงป่างิ้วใหญ่ ซึ่งมีต้นงิ้วสูงยิ่งกว่าต้นไม้ใด ในเมืองมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละต้นมีหนามแหลมคม เป็นเหล็กยาวชี้ออกมา พร้อมด้วยเปลวไฟติดโชนอยู่ทั่วทุกอัน

    นี่คือ ดงต้นงิ้ว ที่บรรดาชายหญิง ผู้ไม่รู้จักอิ่มในรสสวาท เที่ยวนอกใจผัวนอกใจเมีย ไปเสพสุขกับคนที่เขามีเจ้าของอื่นๆ พากันกลัวนักกลัวหนา ถึงกับบางคน ก่อนจะตาย ได้สั่งให้ญาติเอาขวานใหญ่ใส่ในโลง จะได้เอาขวานนั้นไปโค่นต้นงิ้วในเมืองนรกเสียนั่นเอง

    พอดีขณะนั้น ผู้คุมในแดนนี้ กำลังไล่ให้สัตว์นรกตัวเมีย ป่ายปีนขึ้นไปตามความสูงลิบลิ่ว ของต้นงิ้วนั้น และไล่ตัวผู้ขึ้นตามไป ครั้นขัดขืนก็เอาหอกแทงส่งขึ้นไป ทั้งตัวเมียตัวผู้ถูกหนามงิ้วทิ่มแทงทั่วร่าง ร้องเจ็บปวดครวญครางออกมาไม่ขาดระยะ

    แต่ดูเหมือนจะยิ่งร้องครวญครางเท่าใด เหล่าผู้คุมก็ส่งขึ้นไปด้วยหอกคู่มือเท่านั้น และพอแข็งจิตแข็งใจขึ้นไปได้ครึ่งต้น ก็มีกาปากเหล็กตัวใหญ่ โผถลาเข้ามาจิกเนื้อกินเป็นพัลวัน ทั้งตัวเมียและตัวผู้ต่างก็สู้ทนความเจ็บปวดต่อไปไม่ไหว เลยปล่อยร่างหงายผึ่งลงมาสิ้นใจอยู่เบื้องล่าง

    ทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะอวสานเพียงแค่นั้น แต่ในทันทีนั้นเอง มีสุนัขตัวใหญ่เท่าช้างหลายต่อหลายตัว ซึ่งคอยทีอยู่เบื้องล่าง พอเห็นร่างของสัตว์นรกเหล่านั้นหงายผึ่งลงมา ก็โจนฟัดเนื้อหนังกิน จนเหลือแค่กระดูก

    ความจริง อันรสสวาทนั้นจะก่อให้เกิดความชื่นมื่นได้ก็เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่ทว่า หากเป็นการละเมิดต่อ "ของต้องห้าม" ผลลัพธ์ของมันช่างสยดสยองเสียจนเทียบกันไม่ติดเลยจริงๆ

    เมื่อออกจากป่างิ้วแล้ว ยมพบาลก็พาพระเถระมาดูพวกผีดิบ ที่ถูกขังอยู่ภายในอาณาบริเวณ ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็กใหญ่หนา และมีเปลวไฟลุกโชนติดไปโดยตลอด

    อันผีดิบพวกนี้ มีรูปร่างผอมกระหร่อง แลเห็นซี่โครงเป็นแถบๆ พวกมันมีเล็บมือเล็บเท้าเป็นดาบ เป็นจอบเสียมอันคมกล้า กำลังก้มหน้าก้มตาถากเนื้อหนังของมันกินเป็นอาหารอย่างน่าเวทนา บางตัวหมดเนื้อหนังที่จะถากกิน ก็จัดแจงงัดกระดูกซี่โครงของมันมาทดแทน แก้ความกระหายหิวต่อไปโดยไม่ยอมอดตาย แต่วาระสุดท้าย มันก็ต้องพาร่างฟาดตึงลงสิ้นใจจนได้

    ยังมีอีกพวกหนึ่ง ซึ่งพวกนี้มีเพียงนิ้วมือเป็นหอกดาบอย่างเดียว แต่ดูเหมือนจะร้ายยิ่งกว่าพวกก่อนเป็นไหนๆ โดยมิได้ใช้น้ำมือที่เป็นหอกดาบนั้นถากเนื้อเถือหนังของตนกิน หากใช้ไล่ทิ่มแทงพรรกพวกมันเองอย่างบ้าดีเดือด และไม่ยอมนึกถึงใคร นอกไปกว่าความเคียดแค้นต่อกันและกัน ซึ่งไม่ทราบมีมาแต่ปางใด พอเห็นหน้ากันเข้า ก็โจนเข้าใส่กันทันทีทันใด ราวกับพวกเจ้ายุทธจักรในหนังกำลังภายใจยังไงยังงั้น ที่ตายก็ตายไป แต่ที่ยังอยู่ก็ต้องเป็นศัตรูคอยสังหารผลาญชีวากันต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด นี่เขาเรียกว่า ผีดิบอันธพาล ล่ะ

    กล่าวกันว่า สัตว์นรกพวกนี้ เมื่อชาติปางก่อนเป็นอันธพาล คอยเกะกะรังควาน ความสุขสงบของชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา ครั้นตายจึงถูกส่งมาเป็นอันธพาล ณ แดนแห่งนี้

    จากแดนผีดิบอันธพาล ก็เป็น แดนนักโทษประหาร แดนนี้มีกำแพงเหล็กใหญ่ ล้อมรอบอย่างแข็งแรง และทันทีที่ยมพบาลพาพระเถระไปถึง ก็มองเห็นเหล่าผู้คุมในแดนนั้น กำลังจับสัตว์นรก ให้นอนลงบนแผ่นเหล็กแดง เสร็จแล้วจัดการแล่เนื้อเถือหนังออก ให้เหลือแต่กระดูก สัตว์นรกพวกนั้น ต่างได้รับความเจ็บปวด ร้องไห้ครวญคราญระงมไปทั่วบริเวณ สิ้นเสียงร้องเมื่อใด ย่อมหมายถึง มันได้จบสิ้นชีวิตแล้วเมื่อนั้น ตัวไหนตายช้า ก็ได้รับความทรมาณมากกว่าตัวที่ตายเร็ว แต่อย่างไรก็ดี ดูว่าจะมีน้อยรายเหลือเกินที่ตายเร็ว มีแต่นอนร้องครวญครางอยู่เช่นนั้นเป็นสองวันจึงจะตาย ทั้งนี้อาจจะเป็นด้วยการหาอุบายสืบต่อชีวิตสัตว์เหล่านั้น ให้ทรมาณอย่างสาสมกับกรรมที่ทำไว้ ของเหล่าผู้คุมเพชฌฆาตก็เป็นได้

    อีกแดนหนึ่ง ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกัน และมีชื่อเรียกกันว่า แดนนักโทษประหาร เช่นเดียวกัน แต่แดนนี้มีภูเขาเป็นกำแพงล้อมรอบ และวิธีประหารของเพชฌฆาตก็แตกต่างกัน โดยใช้สายบรรทัดเหล็ก โตเท่าลำตาล ลุกโชนด้วยเปลวไฟ ฟาดลงมาบนร่างของสัตว์นรก ที่มัดให้นอนหงายอยู่บนแผ่นเหล็กทองแดง ยังผลให้ร่างนั้นขาดเป็นสองท่อน ท่ามกลางเสียงร้องไห้ ครวญครางอย่างโหยหวลของพวกมัน

    ยิ่งไปกว่านั้น ในแดนนี้ยังมีพิเศษอยู่อีกอย่างหนึ่งนั่นคือ ตรงประตูด้านหลัง ซึ่งเปิดโล่งไว้ให้สัตว์นรก เผลอวิ่งหนีออกไป ให้รอดพ้นจากความตาย ที่กำลังคุกคามตนอยู่ทุกขณะนั้น มีแผ่นเหล็กที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟอยู่แผ่นหนึ่ง พอมันวิ่งไปถึง มันจะแล่นมาสกัดกั้น เผาสัตว์ทั้งหลายให้วอดวายไปในพริบตาทีเดียว

    ถัดจากแดนที่สองนี้ไปอีกเล็กน้อย ก็เป็นแดนนักโทษประหารอีกแดนหนึ่ง ในแดนนี้มีวิธีประหารด้วยการเอาลวดเหล็กเส้นใหญ่ มัดสัตว์นรก ฉุดกระชากไปนอนหงายบนแผ่นเหล็กแดง แล้วกระหน่ำด้วยค้อนเหล็กอันใหญ่ ให้บี้แบนแตกกระจุยกระจายไป ไม่ต่างอะไรกับนายช่างตีเหล็ก

    อีกวิธีหนึ่งก็คือ การขุดหลุมฝังสัตว์นรกนั้นไว้เพียงแค่เอว และเอาเชือกมัดรั้งแขนไว้ มิให้กระดุกระดิกได้ สักครู่มีลูกกลิ้งอันใหญ่ ที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟ แล่นมาจากทิศตะวันออก ตรงเข้าบดขยี้ร่างนั้นเป็นจุณวิจุณไป

    มีสัตว์นรกบางตัวที่กระเสือกกระสนดิ้นรนหนี แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีทางพ้นไปได้ ตัวที่ถูกจับได้ก่อน ก็พูกมัดโยงเอาไว้เหนือกองไฟที่กำลังลุกโชน เพียงชั่วไม่กี่มากน้อยก็จบสิ้นชิวิตชั่วของมัน กลางกองเพลิง สำหรับตัวที่มีเท้าไฟ วิ่งหนีไปได้คล่องแคล่วว่องไว พอวิ่งไปไม่ทันพ้นเขตแดน ก็มีกองไฟผุดขึ้นข้างหน้า และล้อมข้างซ้ายขวาไว้ มิให้หนีต่อไป แล้วก็ขณะที่มันวิ่งพล่านไปมาอยู่ระหว่างกองไฟนั้นเอง มีภูเขาสองลูก กลิ้งมาบดขยี้แหลกเหลวไปในทันทีทันใด

    สำหรับแดนที่สี่ มีเปลวไฟติดตลอดไปทั่วพื้นที่ ซึ่งปูด้วยแผ่นเหล็กหนา ราบเรียบดุจหน้ากลอง และมีดอกบัว กรวดหนามแหลมคม สำหรับครอบคลุมร่างของสัตว์นรกไว้ ตั้งแต่ศีรษะลงไปจนถึงเท้า ส่วนเปลวไฟเบื้องล่าง ก็พุ่งขึ้นมาครอกสัตว์นรกนั้น ตลอดแนวที่ดอกบัวกรดครอบคลุมอยู่ ทำให้มันร้องลั่นเสียงหลง และร้อนเร่าเผาไหม้อยู่เช่นนั้น จนกว่าจะขาดใจตาย

    บางตัวดิ้นไปดิ้นมา สามารถถอนดอกบัวกรดขึ้นจากคอได้ จึงรีบวิ่งหนีออกไป ฝ่ายผู้คุมเห็นเข้า ก็ฉวยเอากระบองเหล็กอันใหญ่ ไล่ตามตีมันจนหัวเละ มันสมองไหล ล้มฟาดลงสิ้นใจอยู่ ณ ที่นั้น

    แดนประหารต่อไป มีหลาวเหล็กใหญ่เท่าลำตาล กำลังรุ่งโรจน์เป็นเปลวไฟ ปักอยู่ในแดนนี้เป็นหมื่นแสนอัน และเหล็กหลาวเหล่านั้น มีสัตว์นรกเสียบอยู่ตรงปลายภายใต้เปลวไฟ ที่พุ่งขึ้นไปเผาไหม้ จนเกรียมอยู่กับปลายหลาวเหล็ก ไม่ผิดอะไรกับเนื้อเสียบไม้ ปิ้งบนถ่านไฟ ฉะนั้น

    และครั้นเนื้อหนังของสัตว์นรกไหม้เกรียมแล้ว ก็มีสุนัขใหญ่ วิ่งมาลากลงจากปลายหลาวเหล็ก มาเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย

    อีกแดนหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปอีกไม่เท่าไร แดนนี้ทั้งลึกทั้งกว้าง มีกำแพงล้อมรอบถึงสองชั้น ชั้นนอกเป็นกำแพงเหล็กอย่างที่ผ่านมา แต่ชั้นในเป็นภูเขาเหล็กใหญ่ ลุกโชนด้วยเปลวไฟ และบนพื้นแผ่นเหล็กเหล่านั้น มีขวากเหล็กแหลมปักเรียงรายอยู่เต็ม พอสัตว์นรกถูกไล่หนีขึ้นไปบนภูเขานั้น ก็มีลมกรดพดขวากเหล็กมาเสียบหน้าเสียบหลังของพวกมัน ล้มตายกันเกลื่อนกลาด ไม่มีทางใด จะรอดพ้นไปได้แม้แต่ตัวเดียว

    แดนประหารแหล่งสุดท้าย ใหญ่กว่าทุกแดนในนรก ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็กเป็นเปลวไฟ และภายใน มีเปลวไฟ ลุกไหม้สัตว์นรกอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน ทนได้ก็ทนไป หารทนไม่ไหว ก็ตายไปเท่านั้นเอง

    "พระคุณเจ้าขอรับ ที่นี่แหละ คือ โลกันตนรก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า อเวจี ล่ะ" ยมพบาลเอ่ยขึ้นภายหลังที่พระมาลัย ตระเวณดูทั่วทุกแดนแล้ว "แดนนี้เป็นแดนที่ยิ่งใหญ่และมีความหฤโหดทารุณที่สุด พระคุณเจ้า"

    "งั้นก็เป็นแดนสุดท้ายแล้วซีท่าน?" พระเถระย้อนถาม

    "ถูกแล้วขอรับ แดนนี้เป็นแดนสุดท้าย หมดสิ้นเมืองนรกเพียงแค่นี้"

    "แหม! น่าชมมิใช่เล่นนะท่าน เออว่าแต่ นรกทั้งหมดนี่ เมื่อรวมแล้ว มีกี่แดนด้วยกัน ท่านยมพบาล?"

    "มีมากแดนเหลือเกินขอรับ เฉพาะแดนใหญ่ๆ ก็มี 8 แดน และแต่ละแดนยังแยกออกเป็นแดนเล็กๆน้อยๆ เรียกว่าแดนบริวาร อีก 16 แดน เบ็ดเสร็จทั้งแดนเล็กแดนใหญ่ ดูเหมือนจะมีไม่น้อยกว่า 136 แดน แล้วก็ยังมีแดนปลีกย่อย สำหรับลงโทษสัตว์นรก ผู้มีโทษน้อย นับไม่ถ้วน พระคุณเจ้า"

    "แล้วทำยังไง ท่านจึงสามารถดูแลทั่วถึงได้เล่า?" พระมาลัยซักต่อไป

    "ข้าพเจ้าดูแลโดยใช้ผู้ช่วยหลายคนขอรับ พระคุณเจ้า โดยเฉพาะแดนใหญ่ๆ แต่ละแดน ข้าพเจ้ามีผู้ช่วยถึง 4 คน รวมทั้งหมด 32 คน และผู้ช่วยของข้าพเจ้าแต่ละคน มีสุวานคอยทำหน้าที่ จดรายงานถึง 4 คนด้วยกัน รวมแล้ว มีสุวานถึง 128 คน"

    "หมายความว่า ผู้ช่วยของท่านทุกคน ต้องคอยรายงานการลงโทษสัตว์นรก ผู้มีกรรมให้ท่านทราบอยู่เสมอยังงั้นหรือ?"

    "ถูกแล้วขอรับ พระคุณเจ้า และโดยรายงานของผู้ช่วยพวกนี้แหละ ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า คนไหนได้รับโทษครบถ้วนตามกรรมที่ตนทำไว้หรือยัง? หรือว่ายังมีเศษกรรมใดๆตกค้างอยู่อีก แต่หมดหน้าที่ของเมืองนรกแล้ว ข้าพเจ้าก็สั่งให้เขาไปเกิดเป็นเปรต ชดใช้หนี้กรรมนั้นต่อไปในโลกมนุษย์"

    พระคุณเจ้าจากโลกมนุษย์ ฟังยมพบาลอธิบายดังกล่าวนั้น ก็เข้าใจเป็นอันดี และครั้นจะถามต่อไปอีก ก็เห็นว่ารบกวนเจ้านรกมาพอสมควรแล้ว จึงกล่าวขอบอกขอบใจและอำลากลับ "ไว้วันหน้า อาตมาจะมารบกวนท่านยมพบาลอีก" พระเถระกล่าวในที่สุด

    ยมพบาลกระพุ่มมือไหว้แสดงความเคารพ

    "นิมนต์ได้ทุกเมื่อขอรับ พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าจะคอยต้อนรับ ถวายคำอธิบายแก่พระคุณเจ้าด้วยความยินดีเสมอ"

    "ขอบคุณท่านมาก อาตมาลาก่อน"

    ว่าแล้ว พระเถระจากเมืองมนุษย์ ก็นั่งเข้าจตุตถฌาน แผลงฤทธิ์ชำแรกแผ่นดิน ขึ้นไปยังโลกมนุษย์ทันที
    ------------
    บทที่ 2
    พระมาลัยเยี่ยมแดนปิศาจ (เปรต)
    วันหนึ่ง หลังจากที่กลับจากทัศนาจรเมืองนรกได้ไม่นาน พระมาลัยเถระ นึกอยากจะไปเยี่ยมแดนปิศาจดูบ้าง บางทีอาจจะได้ข่าวคราวอะไรดีๆ มาฝากชาวบ้านชาวเมืองดังที่เคย ดังนั้น เมื่อกลับจากบิณฑบาต และฉันอาหารเช้าเสร็จแล้ว พระคุณเจ้าก็เข้าจตุตฌาน อธิษฐานจิต เหาะตรงไปยังแดนปิศาจ ซึ่งอยู่กลางป่าหิมพานต์ แดนชมพูทวีป นั่นเอง
    และเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว พระคุณเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ก็พาร่างมายืนอยู่หน้าวิมานแก้วผลึก ซึ่งตั้งตระหง่าน อยู่ตรงกลางสระโบกขรณีอันกว้างใหญ่ และเต็มไปด้วยดอกบัวชูช่อไสว เป็นที่น่าเพลิดเพลินเจริญใจยิ่งนัก

    "มีใครอยู่บ้างไหม?" พระเถระส่งเสียงร้องเรียก พอดีประตูวิมานเปิดออก พร้อมกับใบหน้าอันเกรอะกรังไปด้วยน้ำเหลือง ไม่ต่างอะไรกับซากศพที่โผล่ขึ้นจากโลง ยื่นออกมา และทันทีที่เจ้าของใบหน้าอันน่าขยะแขยงนั้น เห็นชายผ้าเหลืองปลิวไสว มันรีบทรุดกายลงนั่ง พร้อมกับกุลีกุจอยกมือไหว้ท่วมหัว

    "อ๋อ! พระคุณเจ้านั่นเอง ต้องการพบใครหรือขอรับ?"

    "ท่านมหิทธิกะอยู่ไหม?" พระเถระหมายถึงปิศาจผู้มีฤทธิ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าของบรรดาปิศาจร้าย และไม่ร้ายทั้งมวล "ถ้าอยู่ช่วยบอกด้วยว่า เราคือพระมาลัย อยากจะพบสนทนาด้วยสักครู่"

    "พระคุณเจ้ามาลัย?" เจ้าปิศาจตนนั้นทวนคำอย่างตื่นเต้น "โอ! พระคุณเจ้าอุตส่าห์มาถึงที่นี่"

    "เจ้ารู้จักเราด้วยหรือ?" พระมาลัยย้อนถาม

    "รู้จักซีขอรับ รู้จักชื่อพระคุณเจ้า" มันตอบเสียงมิวายตื่นเต้นดีใจ "พระคุณเจ้าที่มีเมตตาเที่ยวโปรดสัตว์นรก ผู้ตกยากทั้งหลายอยู่เสมอ จนชื่อเสียงลือกระฉ่อนทั่วไปยังไงขอรับ อย่าว่าแต่ข้าพเจ้าตนเดียวเลย แม้แต่ปิศาจทุกตนในเมืองนี้ ก็ล้วนแต่รู้จักพระคุณเจ้าทั้งนั้น เพราะบางตนและหลายตนเคยพบพระคุณเจ้า ได้รับความเมตตาจากพระคุณเจ้า เมื่อครั้งยังเสวยทุกข์ทรมาณอยู่ในนรกด้วยขอรับ"

    "งั้นผู้ที่อยู่เมืองนี้ ส่วนมากก็มาจากนรกกันทั้งนั้นนะซี?"

    "ถูกแล้วขอรับ พระคุณเจ้า มีส่วนน้อยที่ไม่ได้ผ่านนรกมา พอตายจากมนุษย์มาเกิดเป็นปิศาจอยู่ที่นี่เลย"

    "แล้วเจ้าล่ะ ผ่านนรกมาแล้วหรือเปล่า?"

    "เปล่าขอรับ ข้าพเจ้ามาจากมนุษย์เลยทีเดียว"

    "เจ้ามีบาปกรรมอะไรหรือ ถึงต้องมาเป็นปิศาจอยู่ที่นี่"

    เจ้าปิศาจหันไปมองซ้ายมองขวาอยู่นิดหนึ่ง คล้ายระแวงว่า จะมีใครมาแอบฟังเรื่องราวอันแสนชั่วของมัน แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเศร้าว่า

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้านี้เมื่อเป็นมนุษย์ เป็นคนเห็นแก่ได้ ยังไงก็ช่าง ขอให้ได้มาเป็นเอาทั้งนั้น ถูกผิดชั่วดีไม่คำนึงถึง"

    "แล้วเจ้าไปได้อะไรมาล่ะ? เล่าให้ละเอียดซิ"

    "ก่อนนี้ข้าพเจ้าเป็นคนเดินขายน้ำหอม แรกๆ ก็เอาน้ำหมอชนิดดีขนานแท้ไปขาย ปรากฏว่าขายดีมาก จนข้าพเจ้าร่ำรวย มีเงินทองขึ้นในชั่วระยะเวลาไม่กี่มากน้อย จากนั้นข้าพเจ้าเกิดความคิดขึ้นมาว่า ทางที่ดีถ้าเอาน้ำหอมปลอมไปขาย โดยโกหกว่าเป็นของจริง เราคงจะได้เงินมากกว่านี้ ดังนั้นจึงเอาน้ำหอมปลอมไปขายตามที่คิด ปรากฏว่าขายดิบขายดี จนนับเงินไม่ทัน ข้าพเจ้าร่ำรวยขึ้น อีกเท่าตัว แต่คนที่ซื้อน้ำหอมปลอมไปใช้นะซิแย่ พอเอาน้ำหอมทาที่ไหน ก็เกิดพุพองขึ้นที่นั่น ทั้งหน้าตา เนื้อตัวของเขา เน่าเฟะไปหมด เพราะน้ำหอมปลอมของข้าพเจ้านั่นเอง และเพราะบาปกรรมอันนี้ ข้าพเจ้าตายลง จึงมาเกิดเป็นปิศาจ เนื้อตัวหน้าตาเน่าเฟะไปหมด ตลอดเวลาข้าพเจ้ากินอาหารอย่างอื่นไม่ได้ ต้องดูดน้ำเหลืองจากแผลของตัวเอง กินเป็นอาหาร แสนลำบากทรมาณเหลือเกินพระคุณเจ้า ไม่ควรเลย-ไม่ควรที่ข้าพเจ้าจะทำชั่วช้าให้ตัวเองต้องลำบากลำบนเช่นนี้"

    "คงอีกไม่นานดอกกระมัง?" พระมาลัยตอบ "ตั้งหน้าตั้งตาและตั้งจิตใจมั่นอยู่ในความดีเข้าเถอะ ไม่ช้าเจ้าก็จะพ้นทุกข์หรอก"

    พอดีขณะที่พระมาลัยพูดจบนั่นเอง ก็ปรากฏมีงูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่ง หัวเท่าขันตักน้ำขนาดใหญ่ โผล่ขึ้นมาจากสระ ตรงเบื้องหน้าที่พระเถระยืนอยู่ เจ้าปิศาจเห็นเข้าก็บอกเสียงลั่นว่า

    "เฮ้ย! อ้ายเหลือม นี่พระมาลัยผู้เป็นเจ้าของพวกเรา เอ็งมาไหว้ท่านเสีย"

    "อ๋อ! เจ้าหรอกหรือ?" พระเถระหันมาพอดี มันหยุดชะงัก ขดตัวเข้า แล้วผงกหัวเป็นเชิงแสดงความเคารพ

    "เจ้าเคยเป็นมนุษย์เดินเหินไปไหนด้วยเท้าอย่างสบาย แต่บัดนี้มาเดินด้วยอก คงลำบากมากซีนะ"

    "ลำบากแสนสาหัส ประคุณเอ๋ย" อ้ายเหลือมตอบ "แต่ทำยังไงได้ มีกรรมก็จำต้องทนอย่างนี้แหล พระคุณเจ้า"

    "เจ้าทำบาปกรรมอะไรนักหนาหรือ? บอกเราหน่อยได้ไหม"

    "ได้ขอรับ เมื่อก่อนตอนที่ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีมีเงินทองมากมาย แต่หาได้ใช้เงินนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นแต่อย่างไรไม่ ได้มาเท่าไรมีอยู่เท่าไร เก็บฝังดินไว้จนหมดสิ้น ในที่สุด เมื่อชีวิตสิ้นลง ก็ต้องมาเกิดเป็นงูเหลือม เฝ้าทรัพย์ ไม่ได้กินอะไรเช่นนี้ พระคุณเจ้าโปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถอะ ช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นกรรมด้วยขอรับ"

    "จะให้เราช่วยยังไงเล่า?"

    "ไม่ยากขอรับ เมื่อพระคุณเจ้ากลับไปเมืองมนุษย์แล้ว ขอได้โปรดบอกกับญาติชื่อนั้นของข้าพเจ้า ได้มาขุดเอาทรัพย์ ซึ่งฝังอยู่ในถ้ำโน้นไปทำบุญทำทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลมาให้ข้าพเจ้าด้วย แค่นี้ ข้าพเจ้าก็จะพ้นทุกข์ทรมาณแล้ว"

    "เอาละถ้างั้นเราจะบอกให้" พระเถระรับคำ

    "เป็นบุญวาสนาของข้าพเจ้าอย่างยิ่งทีเดียวขอรับ" อ้ายงูเหลือมพูดขึ้นอย่างดีใจ พลางผงกหัวแสดงความเคารพอีกครั้งหนึ่ง "ข้าพเจ้าลาพระคุณเจ้าละ ยังไงได้โปรดข้าพเจ้าให้ได้นะขอรับ"

    ว่าแล้วมันก็หันหลังกลับ พุ่งตัวลงน้ำเสียงดังโครมใหญ่และไม่ช้าก็ลับหายไปในกอบัว

    ไม่ทราบว่าเป็นการบังเอิญหรืออย่างไรก็สุดจะเดา ทันทีที่อ้ายงูเหลือมหายลงไปในสระ ร่างสูงโย่งเท่าต้นตาลของปิศาจตนหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นทางเบื้องซ้ายพระเถระ พร้อมด้วยคออันแสนยาว ไม่ต่างกับคอนกกระยาง มันยื่นตาและจมูกอันกลวงโบ๋ และลิ้นอันยาวเกือบวา พุ่งตรงมายังท่าน พลางจะตระหวัดร่างท่านเข้าไปในปากอันกว้างของมันอย่างกระเหี้ยนกระหาย แต่ทว่าพอปลายลิ้นปะทะกับผ้าเหลืองเข้าไปนิด ก็ต้องหดกลับพร้อมกับส่งเสียงร้องโอดโอยลั่น ยังกะถูกไฟลวกกระนั้นแหละ

    "โอย! ตายแล้ว ร้อนเหลือเกิน"

    "ฮะ ฮะ สมน้ำหน้าแล้ว" เจ้าปิศาจหัวเราะเยาะ "เอ็งมันตะกละ เห็นใครก็จะกินตะบันราด ถึงเจอดีเข้าอย่างนี้ นี่พระคุณเจ้าพระมาลัย เอ็งรู้จักไหม?"

    "ขะ...ข้าไม่รู้" เจ้าปิศาจลิ้นยาวตอบเสียงตะกุกตะกัก เพราะความปวดแสบปวดร้อน ยังรวดร้าวอยู่ที่ปลายลิ้น "ข้าขอโทษด้วย"

    "นั่งลงซี อ้ายเวร" เจ้าปิศาจตะคอก "ขอโทษเปล่าๆได้หรือ? นั่งลงกราบพระคุณเจ้าเสีย เร็วเข้า"

    "จ๊ะ ข้าจะนั่งลงกราบท่านเดี๋ยวนี้" มันตอบพร้อมกับพาร่างอันสูงโย่งของมัน ทรุดลงนั่งพับเพียบแต้ และยกมือไหว้พระเถระประหลกๆ "ข้าผิดไปแล้ว ยกโทษให้ข้าด้วยเถอะ พระคุณเจ้า"

    พระมาลัยมองเจ้าปิศาจลิ้นยาว อย่างสมเพทเวทนา พลางพูดว่า

    "เราไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก นั่งตามสบายเถอะ ร่างเจ้าสูงโย่งแถมยังคอยาวลิ้นยาวเช่นนี้ ขืนนั่งเรียบร้อย มีหวังลำบากทรมาณหนักแน่ จริงไหมล่ะ?"

    "จริงขอรับ พระคุณเจ้า แต่จะทำยังไงได้ขอรับ ข้ามีกรรม กำอย่างไม่ยอมแบเลย พระคุณเจ้าได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ"

    "จะให้เราช่วยได้ยังไงเล่า ในเมื่อเรายังไม่ทราบเลยว่า เจ้าทำบาปกรรมอะไรไว้ และพอจะแก้ไขหรือช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้หรือไม่อย่างไร?"

    "ข้ากำลังจะเล่าถวายพระคุณเจ้าเดี๋ยวนี้" "ที่ข้ามาตกระกำลำบายอยู่เช่นนี้ เพราะเมื่อข้าเป็นมนุษย์ ข้าเป็นคนจรวัด ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ได้แต่เที่ยวนอนตามศาลาวัด พอทายกทายิกามาทำบุญทำทาน และจัดอาหารเตรียมถวายพระที่ศาลานั้น ข้าก็คอยจ้องจังหวะที่เขาเผลอ แอบขโมย ของคาวหวานเขากิน ก่อนที่จะได้ถวายพระ ครั้นพวกเขาหันมาเห็นเข้า ต่างก็โมโหโกรธอย่างหนัก คว้าไม้ไล่ตีข้า จนหัวร้างข้างแตก และตายคาที่ ข้าเลยมาเกิดเป็นปิศาจตัวยาว ลิ้นยาวคอยเขมือบอะไรต่อมิอะไรกินเข้าไปอยู่เสมอ แต่ทว่าไม่รู้จักอิ่มเช่นนี้ พระคุณเจ้ามีทางไหนที่จะช่วยให้ข้าพ้นกรรม ได้โปรดเวทนาด้วยเถิดขอรับ"

    "ก็มีอยู่วิธีเดียว เจ้าลิ้นยาว" พระเถระบอกหลังจากที่ฟังมันเล่าจบ "เจ้าต้องตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลห้า คืองดเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมยของเขากิน ไม่ละเมิดสิทธิประเวณี ในลูกเมียคนเื่น ไม่พูดเท็จ และไม่ดื่มสุรายาเมา อย่างเคร่งครัด และเรากลับไปจากนี่ ก็จะไปบอกให้ญาติของเจ้า ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ เข้าใจว่าไม่ช้าคงจะพ้นกรรม"

    "แหม! เป็นพระคุณแก่สัตว์ผู้ยากเหลือเกินขอรับ ข้าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ ที่พระคุณเจ้าช่วยเหลือแนะนำเช่นนี้" เจ้าลิ้นยาวพูดพร้อมกับยกมือไหว้ประหลกๆด้วยความตื่นเต้นดีใจ "ข้าจะปฏิบัติตามที่พระคุณเจ้าบอกทุกอย่างขอรับ"

    ว่าแล้วเจ้าปิศาจลิ้นยาวก็ลุกขึ้น พาร่างอันสูงโย่งของมันเดินจากไป ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องใจ ราวกับว่าจะได้พ้นทุกข์ทรมานในวันพรุ่งนี้กระนั้นแหละ

    พอเจ้าปิศาจลิ้นยาวพาร่างเดินกลับไปได้ไม่ถึงอึดใจ ณ บริเวณหน้าวิมาณแก้วผลึก ซึ่งพระมาลัยก็เจ้าปิศาจหน้ารังผึ้งยืนอยู่นั้น ก็มืดครึ้งลง พร้อมกับพายุพัดผันมาอย่างหนัก อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ และบัดดลน้ำฝนก็เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว มิหนำซ้ำ สายฟ้าเบื้องบน ฟาดเปรี้ยงลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    "เอ๊ะ! นี่มันอะไรกันนี่?" พระมาลัยผู้เป็นเจ้า รีบสำรวมจิต เพ่งพิจารณาเหตุวิบัติอัศจรรย์ที่เกิดขี้นทันที และเมื่อทราบชัดว่า มหิทธิกะ หัวหน้าปิศาจผู้มีฤทธิ์ ซึ่งเพิ่งจะกลับมาจากธุรกิจข้างนอก บันดาลให้เป็นไป เพื่อทดลองของดีกับท่านดังนั้น ท่านก็จัดแจงแก้ไขด้วย "กำลังภายใน" โดยไม่รอช้า

    อึดใจเดียวเท่านั้นเอง พายุที่พัดผันและสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาก็พลันหายไปราวกับปลิดทิ้ง พร้อมทั้งร้องฟ้าที่มืดครึ้ม พลันสว่างจ้าขึ้นในพริบตา

    "มหิทธิกะเอ๋ย เราคือพระมาลัยยังไงล่ะ?" พระเถระร้องบอกแนะนำตัวไป ปิศาจจะปล่อยกำลังภายในชุดใหม่มาอีก "ท่านจำเราได้มิใช่หรือ?" เราเคยลงไปช่วยท่านตอนที่ท่านยังจมอยู่ในนรกอเวจีโน่นไง?"

    เท่านั้นเองร่างอันสง่าผึ่งผายของมหิทธิกะ ภายใต้เครื่องทรงอันเฉิดฉาย ไม่ต่างอะไรกับเทพบุตรก็ปรากฏขึ้น และดูเหมือนทันทีที่เจ้าปิศาจหน้ารับผึ้งถอยออกห่าง เขาก็คลานเข้ามากราบแทบเท้าพระเถระ ด้วยความตื่นเต้นดีใจทันที

    "โอ! พระคุณเจ้า ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้พบพระคุณเจ้า ทั้งๆที่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า พระคุณเจ้าจะมาถึงที่นี่ เขาละล่ำละลัก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นสุดขีด "พระคุณเจ้ามานานแล้วหรือขอรับ?"

    "ไม่นานเท่าไรหรอกท่าน" พระเถระตอบ "เรามาถึงก็ถามปิศาจตนนี้ว่าท่านอยู่หรือเปล่า แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบ ก็มีเจ้างูเหลือมกับเจ้าลิ้นยาวมาคุยด้วย เลยคุยกับเข้าทั้งสองพักหนึ่ง พอดีท่านก็มานี่แหละ"

    "แหม! เจ้างูเหลือมกับเจ้าลิ้นยาวมันบังอาจมาพบพระคุณเจ้าถึงที่นี่เชียวหรือ? เสียงหัวหน้าปิศาจชักขุ่นขึ้นมาทันใด "มันทำอะไรพระคุณเจ้าหรือเปล่าขอรับ? บอกข้าเถอะ ข้าจะลากคอมันมาจัดการลงโทษเดี๋ยวนี้"

    พระมาลัยหัวเราะ "เขาไม่ได้ทำอะไรเราหรอก นอกจากจะขอความช่วยเหลือให้ไปบอกญาติพี่น้องทำบุญ ทำทานส่งมาให้เขาเท่านั้นเอง ท่านอย่าขัดเคืองเขาเลย หาที่นั่งให้เรานั่งก่อนเถอะ เรายืนขาแข็งนานแล้ว"

    "เออ! จริงซีนะ ข้าก็ลืมไป" หัวหน้าปิศาจร้องลั่น บอกเจ้าปิศาจหน้ารังผึ้งไปจัดแจงยกอาสนะมาปูถวายที่หน้ามุขปราสาททันที "นิมนต์พระคุณเจ้าเข้าไปนั่งเสียก่อนขอรับ แล้วจะได้คุยกันต่อ"

    พระเถระเดินเข้าไปนั่งบนอาสนะ ที่เจ้าปิศาจหน้ารังผึ้งจัดถวายเป็นการด่วนนั้นอย่างไม่รอช้า และพอนั่งลงเรียบร้อย หัวหน้าปิศาจก็ถามต่อทันที

    "ข้ายังไม่ได้ถามพระคุณเจ้าเลยว่า พระคุณเจ้าสบายดีหรือขอรับ?"

    "เราสบายดีเสมอ แล้วท่านล่ะ?"

    "ข้าไม่ค่อยสบายนักหรอกขอรับ เพราะตอนนี้ อ้ายพวกปิศาจอันธพาลมีแยะ ต้องคอยไปปราบปรามกันอยู่เรื่อง ก็มิใช่ใครหรอก อ้ายงูเหลือม กับอ้ายลิ้นยาวที่พบพระคุณเจ้านั่นแหละขอรับ เป็นตัวการใหญ่ มันคอยเกะกะระรายพรรคพวกอยู่เรื่อยๆ และพอข้าเรียกมาลงโทษ ก็เลิกเสียพักหนึ่ง ไม่ช้าไม่นานมันก็พาลอาละวาดขึ้น"

    "คงจะเป็นเพราะมันถูกทรมาณหนักเกินไป จนมองโลกในแง่ร้าย เห็นพรรคพวกเป็นศัตรูไปหมดเองแหละท่าน และต่อไปนี้เราคิดว่ามันคงไม่ก่อความวุ่นวายอะไร ให้ท่านปวดเศียรอีกต่อไป เพราะได้สั่งสอนมัน และให้ความหวังว่าจะช่วยเหลือมัน ให้พ้นเวรพ้นกรรมแล้ว"

    "ถ้าได้อย่างงั้นก็เยี่ยมนะซี พระคุณเจ้า" หัวหน้าปิศาจชักเสียงใสขึ้นมาทันที "แต่ อ้อ ก็อีกนั่นแหละ พระคุณเจ้าขอรับ เมื่อสองตัวนี่หมดพยศ ก็มีตัวสำรองคอยรับหน้าที่แทนอีกสองตัว คือเจ้าปากเข็มกับเจ้าปากไฟ เจ้าสองตัวนี่ออกท่าให้ข้าเห็นอยู่หลายครั้ง โดยเจ้าปากเข็ม เที่ยมเอาเข็มที่ปากของมันทิ่มหน้าตา เนื้อตัวพรรคพวก ส่วนเจ้าปากไฟ ก็เที่ยวพ่นเปลวไฟออกจากปากใสหน้าเพื่อน แต่ทว่า บารมี มันยังไม่แก่กล้าถึงขนาดอย่างอ้ายงูเหลือม กับอ้ายลิ้นยาว หรือไม่ก็คงเห็นว่า อ้ายงูเหลือมกับอ้ายลิ้นยาว ยังคงความเป็นลูกพี่ใหญ่อยู่ ไม่งั้นคงประกาศศักดาไปนานแล้วพระคุณเจ้า มีทางใดจะช่วยปราบพยศมันก่อนที่จะลุกลามใหญ่โต ก็ช่วยข้าด้วยซิขอรับ"

    "เรามาที่นี่ก็หวังจะมาช่วยท่าน และมวลปิศาจทั้งหลายในเมืองนี้ให้บรรเทาจากเคราะห์กรรม" พระมาลัยเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเนิบนาบ "เอายังงี้ก็แล้วกัน ท่านช่วยพาเราไปพบปิศาจทุกตัวที่อยู่ในเมืองนี้ แล้วเราจะสั่งสอนเขาหาทางช่วยเขาให้พ้นทุกข์"

    "แต่เมืองนี้ใหญ่โตกว้างขวางมากนะขอรับ" หัวหน้าปิศาจทัดทาน เพราะเกรงพระเถระจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า โดยใช่เหตุ "วันนี้ทั้งวัน พระคุณเจ้าเดินไม่ทั่วแน่ ขอให้ข้าเรียกปิศาจทุกตัวมาพร้อมกันที่นี่ดีกว่าขอรับ"

    "ปิศาจที่นี่มีมากเท่าไร?" พระเถระย้อนถาม

    "ประมาณสองสามหมื่นตัว จากสิบสองตระกูลขอรับ"

    "ถ้ายังงั้น ท่านพาเราไปพบหัวหน้าตระกูลจะไม่ดีกว่าหรือ?" พระเถระคงอยากจะตระเวณดูด้วยตนเองอยู่ดี "เพราะการที่เรียกประชุมที่นี่ จะเป็นการยุ่งยากแก่ท่านโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว เราจะไม่มีโอกาสเห็นชีวิตจริงของเขาพวกนั้นเลย"

    "ก็ได้เหมือนกันขอรับ งั้นตามข้ามาเถอะ ข้าจะพาพระคุณเจ้าไปเดี๋ยวนี้"

    หัวหน้าปิศาจตกลง พร้อมกับลุกขึ้นเดินนำหน้า พาพระเถระตระเวณแดนปิศาจทันที

    พอออกจากวิมาณแก้วผลึก ของหัวหจ้าปิศาจมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็มาถึงต้นไทรต้นหนึ่ง ซึ่งมีกิ่งก้านสาขา ดกหนาแผ่ไปทั่วบริเวณอันกว้างใหญ่ เป็นที่น่าร่มรื่นยิ่งนก และพอหัวหน้าปิศาจพาพระเถระย่างเท้าเข้าไปในร่มต้นไทรแห่งนั้น ก็พบปิศาจตนหนึ่ง เอาขาเกี่ยวกิ่งไทร ห้อยหัวที่รุงรังด้วยผมลงมายังภาคพื้น หน้าตาเนื้อตัวของมัน เต็มไปด้วยรอยแผล และมีเลือดหนองไหลหยดย้อย โดยเฉพาะที่ปาก ดูเหมือนจะเน่าเฟะ มีหนอนตัวโตเท่าแขน เจาะไช ไต่ยั้วเยี้ยอยู่เต็ม และ ดูเหมือนทันทีที่มันเห็นเจ้านายเดินนำหน้า พาพระเถระมา มันก็ยกมือทั้งสองขึ้นไหว้จนท่วมหัว พลางละล่ำละลักถามว่า

    "เจ้านายจะไปไหนขอรับ"

    "พาพระคุณเจ้ามาลัยมาเยี่ยมเอ็ง" หัวหน้าตอบแล้วพลางหันมาทางพระคุณเจ้า "พระคุณเจ้าขอรับ นี่คืออ้ายปากเน่า มันมีกรรมหนักกว่าใครทั้งหมดในเมืองนี้ เพราะต้องห้อยหัวอยู่กับต้นไม้อย่างนี้ ตลอดเวลา จะลงมาเดินไปไหนก็ไม่ได้"

    "แล้วจะได้กินอะไรหรือ?" พระมาลัยถามด้วยเสียงเศร้า เต็มไปด้วยความสมเพทเวทนาเหลือประมาณ "หรือมีคนเอาอะไรมาส่งให้?"

    "ไม่หรอกขอรับจะได้กินก็คือหนอนใหญ่ๆ ที่ไต่ยั้วเยี้ยอยู่เต็มปากของมันนั่นแหละ เพราะบังเอิญเผลอๆ เจ้าหนอนมันไต่เพลินหลงเข้าไปในปาก อ้ายเจ้านี่หิวแสบไส้อยู่แล้ว ก็เคี้ยวกลืนลงท้องไปเลยขอรับ พระคุณเจ้า"

    "แหม! น่าสงสารมาก" พระเถระคราง "นี่เจ้าผู้น่าสงสาร เจ้าทำบาปทำกรรมอะไรไว้นะถึงได้ทรมานขนาดนี้?"

    อ้ายปากเน่ายกมือไหว้พระเถระอย่างลำบากยากเย็นพลางตอบว่า "ข้าเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น และเลวชาติมากขอรับพระคุณเจ้า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ข้ามีพ่อแม่ที่แสนดี รักและเอาอกเอาใจข้า ราวกับแก้วตา แต่ข้ากลับเกลียดชังท่าน ด่าว่าท่านสารพัด ยังกับท่านเป็นขี้ข้าทาสาทาสีกระนั้นแหละ พอข้าสิ้นชีวิตไป ก็ตกนรก ถูกยมพบาลเอาน้ำกรดกรอกปาก และเหยียบจมลงในกระทะทองแดง เสียนมนาน ครั้นข้าหลุดมาจากนรก ก็มาเกิดเป็นปิศาจปากเน่าอยู่ที่นี่อีก"

    "คงอีกไม่นานกระมัง เจ้าจะได้พ้นกรรม?" พระเถระซักต่อไป

    "ข้าไม่ทราบขอรับ แต่ยังไงพระคุณเจ้าได้โปรดช่วยเหลือข้าด้วยเถอะ นึกว่าเวทนาสัตว์ผู้ยากก็แล้วกัน"

    "จะให้เราช่วยอะไรเล่า?"

    "ช่วยไปบอกญาติข้าชื่อนั้น ที่เมืองอนุราชธานี ให้ทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลมาให้ด้วย ข้าอดอยากไม่ได้อาหารอะไร นอกจากหนอนมาเป็นเวลานานแล้วขอรับ"

    "แค่นั้นเองหรือ?"

    "ขอแค่นั้นก่อนเถอะครับ เพราะเมื่อข้าได้กินอาหารดีๆอิ่มๆ แม้จะต้องห้อยหัวทรมาณอยู่อย่างนี้ อีกสักห้าปี สิบปีก็คงพอทนได้กระมัง?"

    "เอาละ แล้วเราจะบอกให้"

    พระเถระตอบในที่สุด แล้วหันมาบอกให้หัวหน้าปิศาจมัคคุเทศก์ พาเดินต่อไป

    สักครู่หนึ่ง มหิทธิกะก็พาพระเถระมายืนอยู่ตรงหน้าภูเขาใหญ่ สีดำทมึนลูกหนึ่ง ซึ่งตั้งขวางปิดทางเดินอยู่ ทันทีที่หัวหน้าปิศาจหยุดยืนกึกลงตรงเชิงเขา เจ้าภูเขาลูกนั้น ก็มีอาการเคลื่อนไหวยวบเยียบ ราวกับมีวิญญาณ และ ก่อนที่พระเถระผู้เดินตามหลังมาจะทัน รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ปรากฏมีหน้าอันรกรุงรังด้วยหนวดเครา และผมเผ้ายาวเฟื้อย แต่ตรงตากับจมูกกลวงโบ๋ เลื่อนออกมาจากอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับปากอันเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคม ไมต่างอะไรกับเขี้ยวสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งเผยออก

    "สวัสดีขอรับ ท่านหัวหน้าท่านจะไปไหนขอรับ?"

    "เออ! สวัสดี อ้ายภูเขา" หัวหน้าปิศาจตอบ "ข้าพาพระคุณเจ้ามาลัยมาเยี่ยมเอ็ง"

    "โอ! พระคุณเจ้ามาลัยผู้ใจดี" มันอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น พลางผงกศีรษะหงึกๆ เป็นเชิงแสดงความเคารพ "ข้าขอไหว้ขอรับ พระคุณเจ้า"

    "นี่คือปิศาจภูเขาขอรับ พระคุณเจ้า" หัวหน้าปิศาจแนะนำขึ้นก่อนที่พระเถระจะตอบมันประการใด "รูปร่างมันใหญ่โตเท่าภูเขาใหญ่ๆ ลูกหนึ่ง แต่มีหัว มีหน้าตานิดเดียว"

    "คงเคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้นะซี?" พระเถระถาม

    "ไม่ได้ขอรับ" มันต้องจมอยู่ที่นี่ชัวกัปป์ชั่วกัลป์"

    "เจ้าทำบาปทำกรรมอะไรไว้หนักหนาหรือ เจ้าภูเขา?" พระเถระหันไปถามเจ้าปิศาจ

    "ข้าเป็นคนไม่มีศาสนา เห็นผิดเป็นชอบ เที่ยวหลอกลวงชาวบ้านชาวเมืองให้หลงเชื่อ กราบไหว้บูชาต้นไม้ ภูเขา โดยเอาเครื่องเซ่นไหว้ ไปกราบกรานทุกวี่ทุกวัน แล้วข้าก็ไปเก็บเอากินเสียเอง ข้าเลี้ยงชีวิตแบบนี้มานาน จนกระทั่งตาย จึงได้มาเกิดเป็นปิศาจภูเขา เฝ้าแผ่นดินอยู่ที่นี่ เคลื่อนไหวไปไหนก็ไม่ได้ หิวแสนหิวก็ไม่มีอะไรมาให้กินขอรับ" ปิศาจภูเขาเล่าประวัติอันชั่วช้าของมัน "หากพระคุณเจ้ามีทางใดจะช่วยให้พ้นกรรม พ้นทุกข์ทรมานก็ได้โปรดเวทนาข้าด้วยเถิดขอรับ"

    "ก็ได้ ถ้าเจ้าทำตามที่เราบอกได้" พระเถระว่า

    "ทำอย่างไร พระคุณเจ้า?" ปิศาจภูเขาย้อนถามอย่างตื่นเต้นดีใจ "พระคุรเจ้าโปรดสั่งมาเถอะ ข้าจะพยายามทำให้ได้ทุกอย่าง"

    "เจ้าจงระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณอยู่เสมอ ไม่ช้าไม่นานเจ้าก็จะพ้นทุกข์ทรมาน"

    "ขอรับ ข้าจะทำตามที่พระคุณเจ้าบอกทุกอย่าง" ปิศาจยืนยันอย่างมั่นใจ

    หลังจากที่ออกจากที่ของปิศาจภูเขามาได้ไม่นาน มหิทธิกะก็พาพระเถระมาถึงป่าใหญ่ อันเต็มไปด้วยความมืดครึ้ม และมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง ฟุ้งออกมาจนแทบสำลักแห่งหนึ่ง เพื่อให้พระผู้เป็นเจ้าเดินเข้าไปในอาณาบริเวณแห่งนั้นได้อย่างสบาย หัวหน้าปิศาจผู้มีฤทธิ์ก็บันดาลให้ความมืดครึ้ม และกลิ่นอันแสนเหม็นนั้นหายไปในบัดดล แล้วก็พาพระเถระย่างเหยียบเข้าไปในป่าแห่งนั้น และทันทีทันใดที่เข้าไปถึง พระเถระก็ได้พบร่างผอมโซ ของพวกปิศาจพวกหนึ่ง มีหัวติดอยู่ที่ท้อง กำลังงมมะงาหรา เที่ยวเก็บซากศพทั้งสัตว์ ทั้งคน ซึ่งแข็งทื่อ ขึ้นอืด เน่าเปื่อย ระเกะระกะอยู่บริเวณแถวนั้น มาฉีกเนื้อกินอย่างเอร็ดอร่อย

    "นี่คือปิศาจศพขอรับ พระคุณเจ้า" หัวหน้าปิศาจแนะนำ "อ้ายพวกนี้มีหัวติดอยู่กับท้อง และหน้าที่ของมันอย่างเดียว คือเที่ยวไปเก็ฐศพทั้งสัตว์ทั้งคน จารที่ต่างๆ มากองไว้ที่นี่ รอให้ขึ้นอืดเน่าเปื่อยเสียก่อน แล้วจึงค่อยฉีกเนื้อกินขอรับ"

    "ทำยังไงจะคุยกับเขาได้เล่า ท่าน?" พระมาลัยถาม

    "เดี๋ยวข้าจะเรียกมา" หัวหน้าปิศาาจว่าพลางหันไปทางเจ้าปิศาจศพตัวหนึ่ง ซึ่งเพิ่งจะกัดเนื้อเน่าก้อนหนึ่งเข้าปากเคี้ยวกลืนลงท้องเรียบร้อย "เฮ้ย! เจ้านั่น เข้ามานี่หน่อยซิ มากราบพระคุณเจ้าพระมาลัยเสีย ข้าพาท่านมาเยี่ยม"

    เจ้าปิศาจผู้พิศมัยเนื้อเน่า คลานเข้ามากราบพระมาลัยอย่างว่าง่าย

    "พระคุณเจ้ามาจากไหนขอรับ?" มันทักทายขึ้นเป็นประโยคแรก

    "เรามาจากเมืองมนุษย์" พระเถระตอบ "เจ้าอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือ?"

    "นานแล้วขอรับ"

    "อาหารของเจ้า มีแต่ศพอย่างเดียวเท่านั้นหรือ?"

    "ขอรับ อย่างอื่นถึงมีก็กินไม่ได้"

    "เจ้าทำบาปทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มากินศพอยู่เช่นนี้?"

    เจ้าปิศาจศพเมื่อถูกถามเช่นนั้น ก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเล่าประวัติอันแสนชั่วของมันด้วยเสียงเศร้า น่าสงสารว่า

    "เมื่อข้าพเจ้าเป็นมนุษย์เป็นมหาอำมาตย์ผู้มีอำนาจ ของกษัตริย์องค์หนึ่ง ข้าใช้อำนาจเที่ยวกดขี่ข่มเหง ประชาราษฎร์ ขูดรีดภาษี เบียดบังเอาทรัพย์สินของราษฎรมาบำรุงความสุข ความสำราญของตน โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนยากเข็ญคนอื่น เมื่อข้าตายลงก็ไปตกนรกหมกไหม้ อยู่เป็นเวลานาน พอพ้นนรก ก็ยังมาเกิดเป็นปิศาจ คอยเก็บซากศพกินเป็นอาหารเช่นนี้ขอรับ"

    "เจ้าจะให้เราช่วยอะไรบ้างไหม?" พระเถระถามต่อไป ด้วยความสงสารเห็นใจ

    "ช่วยไปบอกญาติขอข้าชื่อนั้น อยู่ที่เมืองนั้นให้ตั้งหน้าทำความดี อย่ากดขี่ข่มเหงคนอื่น และขอให้เขาทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลให้ข้าด้วยเถอะ พระคุณเจ้า"

    "เอาละ ถ้างั้นเรากลับไปถึงแล้ว เราจะบอกให้" พระเถระรับคำ

    พอดีกับที่พระเถระพูดจบนั่นเอง ก็มีปิศาจสองตัว ตัวหนึ่งปากเขรอะด้วยขี้มูกน้ำลาย ส่วนอีกตัวหนึ่งปากเปรอะไปด้วยอุจจาระ พากันวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา พร้อมกับละล่ำละลัก บอกหัวหน้าปิศาจว่า

    "เจ้านายขอรับ ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด"

    "เรื่องอะไรวะ?" มหิทธิกะย้อนถาม

    "อ้ายปากเข็มกับอ้ายปากไฟ มันมารังแกข้าทั้งสอง และกำลังไล่กวดข้าทั้งสองมา" ปิศาจทั้งสองบอกเสียงกระเส่า พร้อมกับหันหน้ามองทางเบื้องหลัง "โน่นไง มันวิ่งมาโน่นแล้ว"

    "เอาละ เจ้านั่งเฉยๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจัดการกับมันเอง"

    "หัวหน้าปิศาจบอก พอดีปิศาจปากเข็ม กับปิศาจปากไฟวิ่งกวดติดตามมาถึง และครั้นมันเหลือบมองเห็นเจ้านายยืนจ้องมันอยู่ มันหยุดกึกและเตรียมจะหันหลังถอยกลับ

    "หยุดก่อนอ้ายปากเข็ม อ้ายปากไฟ" มหิทธิกะตวาด "เอ็งทั้งสองมาหาข้าซิ"

    ปิศาจอันธพาลทั้งสองเดินคอตก เข้ามาหาอย่างว่าง่าย

    "มันเรื่องอะไรกันวะ หากินอยู่คนละที่แท้ๆ ทำไมต้องมารังแกกัน?" เจ้านายปิศาจเริ่มสอบสวน

    "ข้าหิว อยากจะกินเลือดของเจ้านี่" เจ้าปากเข็มตอบอย่างตรงไปตรงมา "จึงเอาเข็มทิ่มหลังมัน เจาะเลือดมันกิน แต่มันไม่ยอมขอรับ"

    "ข้าก็หิวเหมือนกัน หาไฟที่ไหนกินไม่ได้ จึงเอาไฟมาพ่นเผาไอ้นี่" ปิศาจปากไฟก็ตอบตามตรงดุจเดียวกัน "พอเนื้อตัวมันไหม้แล้ว ข้าก็จะได้เปลวไฟกินจนอิ่ม"

    "แต่เอ็งทั้งสองไม่น่าจะมารังแกพวกเดียวกัน" เจ้านายตัดบท "เลือดที่อื่น และไฟที่อื่นมีแยะ เอ็งทำไมไม่ไปหามากินวะ?"

    "ข้าทั้งสองไปหาแล้ว มันไม่มีขอรับนาย" ปิศาจปากเข็มเถียง "สงสัยจะขาดตลาด หรือไม่งั้นก็ถูกพ่อค้าสมองใสเก็บกักตุนเสียหมด"

    "เอ็งพูดยังกับว่าเอ็งเป็นพ่อค้ายังงั้นแหละ" หัวหน้าปิศาจหัวเราะเบาๆ "เอายังงี้ดีกว่า เลิกรังแกกัน และมากราบพระผู้เป็นเจ้ามาลัยเสีย ข้าพาท่านมาเยี่ยมพวกเอ็ง"

    "มาโปรดพวกข้าด้วยหรือเปล่า พระคุณเจ้า?"

    ปิศาจพวกนั้นร้องถามขึ้นเกือบจะพร้อมกัน ขณะที่พากันทรุดนั่ง และยกมือทั้งสองไหว้พระเถระ

    "เจ้าทำบาปกรรมอะไรไว้หรือ?" พระเถระเอ่ยถามปากเข็มขึ้นก่อนที่จะตอบคำถามพวกมัน "เล่าให้เราฟังหน่อยซิ แล้วเราจะช่วย"

    เจ้าปากเข็มยกมือไหว้ประหลกๆ ขึ้นอีกครั้ง พลางเล่าประวัติของมันขึ้นว่า

    "ก่อนนี้ข้าเป็นคนมีเงิน มากและออกเงินให้กู้ ขูดรีดเอาดอกเบี้ย อย่างไม่เมตตาปรานีคนยากคนจนขอรับ ครั้นตายลงมาเกิดเป็นปิศาจปากเท่ารูเข็มอยู่ที่นี่ ข้าได้รับความทุกข์ทรมานมาก เพราะกินอาหารอะไรอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเที่ยวดูดเลือดคนอื่นกิน และเมื่อหาเลือดจากคนอื่นไม่ได้ ก็ต้องเอาปากทิ่มเนื้อตัวเอง ดูดเลือดตัวเองกินแทนขอรับ"

    "แล้วเจ้าปากไฟนั่น?" พระเถระหันมาทางอ้ายปากไฟ ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ "ก่อนนี้เจ้าทำบาปกรรมอะไรไว้?"

    "ข้าเป็นนักวางเพลิงขอรับ พระคุณเจ้า" อ้ายปากไฟเล่าประวัติตัวเอง "ที่โลกมนุษย์นั้นพระคุณเจ้าก็ทราบ ดีว่าเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงเพียงไหน คนมีเงินที่มีที่ดินมากๆ ก็เอาเงินให้กู้ เอาที่ดินให้คนจนเช่าปลูกบ้านสร้างเรือนอยู่ ครั้นเก็บดอกเบี้ย หรือเก็บค่าเช่าไม่ได้ ก็โมโหโกรธาจ้างคน เอาไฟมาเผาบ้านเรือนเสียพินาศสิ้นหมด ข้าเป็นสมุนมือขวาของนายทุนคนหนึ่ง และเที่ยวเผาบ้านเรือนของคนยาคนจน ที่ไม่มีเงินจ่ายค่าดอกเบี้ย หรือไม่มีค่าเช่าให้นายทุนเสียป่นปี้ไป มากนับไม่ถ้วนขอรับ ครั้นตายลงมา ก็ไปตกนรกถูกไฟเผาไหม้อยู่นมนาน พอพ้นจากนรก ก็มาเป็นปิศาจ เที่ยวกินแต่เปลวไฟอยู่ที่นี่แหละขอรับ พระคุณเจ้า"

    "สำหรับข้าเป็นคนขี้เหนียวขอรับ" เจ้าปิศาจที่ปากเขรอะไปด้วยน้ำมูกและน้ำลาย เล่าความชั่วของตัวเองต่อไป ก่อนที่จะพระเถระจะถาม "ไม่ว่าข้าวปลาอาหาร ทรัพย์สินเงินทองข้ามีพร้อมทุกอย่าง แต่ทว่าไม่ยอมให้ใคร เมื่อคนยากคนจนมาขอ ข้าก็สั่งขี้มูก บ้วนน้ำลายใส่ห่อใบตองให้เสมอไป ดังนั้น ข้าจึงมาเกิดเป็นปิศาจ เที่ยวกินแต่ขี้มูก น้ำลายของคนอื่นเป็นอาหารขอรับ"

    "ข้าก็เหมือนกัน" เจ้าปิศาจที่ปากเปรอะด้วยอุจจาระเล่าต่อบ้าง ก่อนนี้ข้าเอาอุจาระห่อใบตอง ให้ขอทานไปทุกครั้งที่เขามาขอ ด้วยบาปกรรมอันนี้ ข้าจึงต้องมาเป็นปิศาจ เที่ยวกินอุจจาระ เป็นอาหารอยู่เช่นนี้"

    "แหม ! น่าสงสารเหลือเกิน" พระผู้เป็นเจ้ามาลัยครางขึ้นเมื่อปิศาจพวกนั้นเล่าประวัติ อันชั่วช้าของตนจบลง "เอาละ ถ้าพวกเจ้าอยากพ้นกรรมเร็วๆ ก็จงยึดมั่นรำลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และอย่าเบียดเบียนเกะกะระรานพวกเดียวกัน อีกทั้งคนอื่นก็อย่าไปก่อกรรมทำเข็ญ ให้เขาเดือดร้อน แล้วพวกเจ้าจะพ้นทุกข์ทรมานในไม่ช้า"

    "เอาละ เราจะบอกให้" พระเถระตอบในที่สุด

    ครู่ต่อมา หัวหน้าปิศาจก็พาพระเถระมาถึงอาณาบริเวณ อันเต็มไปด้วยทรายอันร้อนระอุ และทั่วอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่แห่งนั้น มีแต่ทรายสุดลูกหูลูกตา ไม่มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นแม้แต่ต้นเดียวเลย

    ณ บริเวณแห่งนี้ พระเถระได้พบร่างผอมโซ มีแต่กระดูกของปิศาาจจำนวนมาก ทั้งนั่งทั้งนอนระเนระนาด และส่งเสียงร้องครวญครางอยู่บนพื้นทราย อันร้อนระอุนั้น

    "ที่นี่เป็นที่อยู่ของพวกปิศาจกระดูกขอรับ พระคุณเจ้า" หัวหน้าปิศาจหันมาบอก ขณะที่ก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าปิศาจตนหนึ่ง ซึ่งนอนร้องครวญครางอยู่อย่างน่าเวทนา "ปิศาจพวกนี้ถูกทรมานอยู่กลางทะเลาทราย ไม่มีข้าวมีน้ำ หรืออาหารอื่นใดกิน ต้องนั่งนอนร้องครวญครางอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา"

    "แล้วทำไมพวกนี้ไม่ออกไปหากินที่อื่นเล่าท่าน?"

    "มันไม่มีตาจะมองเห็น ไม่มีขาจะเดิน อีกทั้งไม่มีแขน ที่จะขยับเขยื้อนพาร่างเคลื่อนไหวไปไหนขอรับ"

    "แหม ! น่าเวทนาเหลือเกิน พวกนี้ทำบาปกรรมอะไรไว้หนักหนานะ ท่านรู้ไหม?"

    "ชาติก่อนนี้เขาชอบจับสัตว์น้อยมาขัง ทรมานให้อดอยากขอรับ พระคุณเจ้า เพราะกรรมอันนี้ จึงส่งให้เขามาเกิดเป็นปิศาจอดอยากทรมาน จนเหลือแต่กระดูกอย่างนี้"

    "อืม ! การทรมานสัตว์เล็กน้อยนี่ บาปหนักมิใช่เล่นเหมือนกัน นี่เจ้ากระดูก เราคือพระมาลัย มาเยี่ยมเจ้า เจ้าจะให้เราช่วยอะไรบ้างไหม?"

    เจ้ากระดูกมองไม่เห็น แต่ได้ยินเสียงชัดเจนดี ครั้นรู้ว่าพระมาลัยมาโปรดเช่นนี้ ก็ดีใจร้องบอกว่า

    "ขอพระคุณเจ้า ได้โปรดช่วยบอกญาติของข้า ชื่อนั้น อยู่ที่นั่น ทำบุญทำทานอุทิศมาให้ข้าบ้างเถอะ ข้าจะได้มีอาหารกินบ้าง ข้าหิวเหลือเกินขอรับ"

    "เอาเถอะ เราจะบอกให้" พระเถระบอก "สำหรับเจ้าอยู่ทางนี้ ถ้าอยากพ้นทุกข์ทรมานเร็วๆ ก็จงระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เข้าไว้เสมอ เจ้าจะเป็นสุขในไม่ช้า"

    "ขอรับ พระคุณเจ้า" ปิศาจกระดูกรับคำในที่สุด

    หลังจากที่ออกจากแดนทะเลทรายมาได้สักครู่ มหิทธิกะ ก็พาพระเถระมาถึงริมแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง และตอนริมฝั่งอันยาวเหยียดนั้น มีวิมานแก้ว วิมานทอง วิมานเงิน ตั้งเรียงรายอยู่มากมาย ราวกับมีผู้มาเนรมิตไว้กระนั้นแหละ และ ณ วิมานอันสวยงามเหล่านั้นเอง หัวหน้าปิศาจบอกพระเถระว่า เป็นที่อยู่ของพวกปิศาจชั้นดี ซึ่งพวกนี้เรียกว่า "ปิศาจมีวิมานอยู่"

    "พวกนี้กลางวันเป็นเทวดา แต่กลางคืนเป็นปิศาจขอรับ พระคุณเจ้า" มหิทธิกะ เล่าถึงพวกปิศาจชั้นดีต่อไป "บางคน ก็ต้องออกไปให้สุนัข จากนรก กัดกินเจื้อเป็นอาหาร ตั้งแต่หัวค่ำ ตลอดจนย่ำรุ่ง พอพระอาทิตย์ขึ้นก็กลับกลายเป็นเทวดา มาเสวยสุขอยู่ในวิมานของตน บางคนก็ออกไปเที่ยวกินของสกปรกตามที่ต่างๆ จนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว จึงกลับกลายเป็นเทวดา เข้าวิมานไป"

    "ทำไมจึงเป็นดังนั้นเล่า ท่าน?" พระเถระซักขึ้นอย่างฉงนฉงาย

    "ปิศาจพวกนี้มีทั้งบาป ทั้งบุญขอรับ บางคนก็มีบาปเหลืออยู่น้อย บางคนก็เหลืออยู่มาก แต่มีบุญช่วยหนุน ช่วยแบ่งเบาอยู่บ้าง จึงเป็นดังนี้ แม้แต่ข้าก็เหมือนกัน"

    "ท่านเป็นยังไง?"

    "ข้าแม้จะมีวิมานอยู่อย่างสวยหรู มีฤทธิ์เดชมากมาย อีกทั้งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าปิศาจอยู่ ณ เมืองนี้ ก็เฉพาะกลางวันถึงเที่ยงคืนเท่านั้น หลังจากนั้นไปแล้ว ข้าต้องกลายร่างเป็นปิศาจออกจากวิมาน ไปเที่ยวเก็บอุจจาระสัตว์น้อยใหญ่ตามป่า กินเป็นอาหาร จนกระทั่วรุ่งเช้าจึงกลับเป็นเทวดา มาเสวยสุขอยู่ในวิมานได้ ขอรับ"

    "ท่านยังมีบาปกรรมอะไรอีกหรือ?"

    "ข้าเคยห่อขี้นกใส่บาตรพระภิกษุ ซึ่งมาบิณฑบาต ครั้งเดียวเท่านั้นขอรับ ครั้งเดียวจริงๆ และเพื่อจะล้อพระภิกษุองค์นั้นเล่น แต่ต้องมาตกนรกหมกไหม้ เป็นเวลาช้านาน และเมื่อพ้นจากนรก ยังมาเกิดเป็นปิศาจชดใช้กรรมต่อไปอีกขอรับ"

    "แล้วท่านทำบุญอะไรบ้างเล่า"

    "ข้าเคยสร้างกุฏิถวายพระภิกษุสงฆ์ ขอรับ"

    "อ๋อ ! เพราะอย่างนี้เอง ท่านจึงมีวิมานแก้วผลึกอันสวยงามอยู่ และได้เป็นถึงหัวหน้าปิศาจ ณ ดินแดนแห่งนี้"

    "ก็คงอีกไม่ช้าหรอกขอรับ ข้าจะพ้นกรรมและขึ้นไปเกิดบนสวรรค์" หัวหน้าปิศาจเล่าต่อไป "พระคุณเจ้าช่วยแนะนำข้าบ้างซิขอรับ ข้าจะทำอย่างไรจึงจะได้ไปเสวยสุข บนสวรรค์เร็วๆ "

    "ท่านต้องยึดถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง และรักษาศีลห้า โดยเคร่งครัด แล้วท่านจะพ้นทุกข์ อีกทั้งไปเสวยสุขบนสวรรค์นานแสนนานทีเดียว"

    "ขอรับ พระคุณเจ้า ข้าจะปฏิบัติตามคำแนะนำ ขอพระคุณเจ้าเสมอ" หัวหน้าปิศาจผู้มีฤทธิ์กล่าวพร้อมกับ ทรุดตัวลงกราบแทบเท้าพระคุณเจ้า

    ฝ่ายพระเถระ เมื่อตระเวนแดนปิศาจมา และได้พบปิศาจผู้เป็นทาสกรรมมากมาย หลายตนถึงขนาดนี้แล้ว เห็นว่าได้เวลาพอสมควร จึงอำลามหิทธิกะจอมปิศาจกลับสู่เมืองมนุษย์

    หลังจากที่มาถึงเมืองมนุษย์แล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็นำข่าวคราวไปบอก ญาติพี่น้อง ของบรรดาปิศาจทั้งหลาย ตามตำบลที่อยู่ ซึ่งพวกปิศาจบอกมา ให้เขาพากันทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ และให้พวกเขาตั้งหน้าทำความดีกันต่อไป

    -------------
    บทที่ 3
    พระมาลัยเยี่ยมเมืองสวรรค์
    ต่อมาวันหนึ่ง พระมาลัยเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านกัมโพชคาม ที่ท่านอยู่นั้น พอดีขณะนั้น มีบุรุษเข็ญใจคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวบ้านกัมโพชคาม และพ่อของเขาได้ตายไปนานแล้ว เหลืออยู่แต่แม่ เขาได้อุตส่าห์ทนลำบากหาเลี้ยงแม่มาด้วยดี ทุกๆเช้า เขาจะถือขวานเข้าสู่ป่า เพื่อตัวฟืนมาขายตามประสายาก สักพักใหญ่ เมื่อได้ฟืนพอสมควรแล้วก็แบกกลับมา วันนั้น เขากลับจากหาฟืน เดินผ่านสระแห่งหนึ่ง ซึ่งมีน้ำใสสะอาด จึงลงอาบในสระ ชำระล้างเนื้อตัว ระงับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เสร็จแล้วก็ก้าวขึ้นมา บังเอิญ เหลือบเห็นดอกบัวบาน สะพรั่งชูช่อไสว อยู่ข้างๆ ฝั่งสระ จึงเด็ดเอามา 8 ดอก ครั้นขึ้นจากสระ แล้วก็เดินกลับบ้าน พอดีพบพระเถระ กลับจากบิณฑบาต สวนทางมา และด้วยท่วงท่าอันสง่างามของพระเถระ ทำให้เกิดความเลื่อมใส จึงตรงเข้าไปนมัสการ แล้ววางดอกบัวบนปากบาตร พลางถามอย่างอ่อนน้อมว่า
    "พระคุณเจ้าขอรับ ข้าพเจ้าบูชาด้วยดอกบัวในครั้งนี้ ด้วยหวังใจอยากจะได้ ร่ำรวย มั่งมี พ้นทุกข์พ้นยาก ทันตาเห็น ความหวังของข้าพเจ้าครั้งนี้จะสำเร็จหรือเปล่า ขอรับ?"

    เมื่อถูกถามแบบจู่โจมเช่นนั้น พระเถระก็นั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบเสียงเนิบนาบว่า

    "พ่อหนุ่ม ท่านปรารถนาเกินวิสัยเสียแล้ว ท่านจะมีผลทันตาเห็น จะต้องเป็นทานที่ถวายแก่พระอรหันต์ ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติมาใหม่เท่านั้น สำหรับตัวเราออกมานานแล้ว เห็นจะโปรดให้สำเร็จสมใจหวังไม่ได้แน่ละ"

    "แต่ข้าพเจ้าได้ทราบมานานแล้วว่า ถ้าได้ทำบุญกับพระอรหันต์แล้ว ย่อมจะได้ผลทันตาเห็นนี่นะ พระคุณเจ้า?" ชายเข็ญใจย้อนถาม

    "ไม่เสมอไปหรอกท่าน สมเด็จพระศาสดาของเราตรัสบอกไว้ว่า ทานที่จะได้ผลทันตาเห็นนั้น จะต้องมีสิ่งประกอบ 4 อย่างคือ ถึงพร้อมด้วยผู้รับทาน นับแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ ถึงพร้อมด้วยไทยธรรมที่หามาได้โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยเจตนาจะให้ทาน และพระอรหันต์ผู้มากด้วยคุณธรรมเป็นผู้ยินดีในนิโรธสมาบัติ สำหรับท่านเพียงผู้รับเป็นพระอรหนต์ กับมีไทยธรรม รวมกันสองอย่างเท่านั้น จะให้สำเร็จทันตาเห็นได้ยังไง"

    "ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะทำยังไงจึงจะได้ผลดี เล่าพระคุณเจ้า?"

    "พ่อหนุ่มเอ๋ย ท่านจงเอาดอกไม้บูชาพระรัตนตรัยเถิด"

    "พระรัตนตรัย? พระคุณเจ้าหมายถึงอะไรขอรับ?"

    "หมายถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อหนุ่ม"

    อยู่ที่ใจของท่านเอง พ่อหนุ่มเอ๋ย จงตั้งใจระลึกถึงพระพุทธคุ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ เสียก่อน แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอบูชาดอกไม้เหล่านี้ แด่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพียงแค่นี้ก็จัดว่าท่าน ได้บูชาพระรัตนตรัยแล้ว และจะต้องได้รบผลดีเป็นแน่"

    เมื่อชายเข็ญใจได้ฟังพระเถระอธิบายดังนั้น ก็กระทำตามคำของท่าน พร้อมทั้งตั้งความปรารถนาว่า

    "ด้วยเดชะบุญที่ข้าพเจ้าถวายดอกบัวครั้งนี้ ถ้าข้าพเจ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ จะเกิดในภพใดๆ ก็ดี ขึ้นชื่อว่า ความยากจนเข็ญใจไร้ทรัพย์ เหมือนชาตินี้ แล้วขออย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าเลยเป็นอันขาด"

    "ขอท่านจงสำเร็จดังที่ปรารถนาเถิด"

    พระมาลัยเถระ กล่าวอนุโมทนาในที่สุด แล้วเดินจากไป

    หลังจากที่พระมาลัยกลับมาถึงวัด และฉันอาหารเช้า เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านก็นั่งคิดอยู่ในใจว่า "สถานที่ให้เกิดธรรมสังเวช 7 แห่ง คือ ที่พระศาสดาประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร ทรงกระทำยมกปาฏิหารย์ เสด็จลงจากดาวดึงส์ปรินิพพาน และสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาททั้ง 5 นั้น เราได้ถวายสักการบูชาเสมออยู่แล้ว ยังเหลือแต่พระจุฬามณีสถาน ซึ่งเป็นที่มวยพระเกศธาตุ ของพระบรมศาสดาประดิษฐานอยู่บนสวรรค์นั้น เรายังมิได้ขึ้นไปนมัสการเลย พอดีครั้งนี้เราได้ดอกบัวมา 8 ดอก ควรที่จะนำดอกบัวนี้ขึ้นไปบูชาพระจุฬามณีสถาน ในดาวดึงส์สวรรค์ดีกว่า"

    เมื่อคิดดังนั้นแล้ว พระเถระก็เข้าจตุตถฌาน บันดาลให้ร่างของท่านเหาะลอยล่องขึ้นสู่อากาศมิทันช้า เพียงลัดนิ้วมือเดียว ก็ถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และมาปรากฏอยู่ ณ ลานพระจุฬามณีเจดีย์เบื้องหน้าไพชยนต์ปราสาท ของพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์ พระเถระยกหัตถ์ขึ้นนมัสการพระจุฬามณี ทั้ง 8 ทิศ บูชาด้วยดอกอุบลทั้ง 8 ดอก แล้วกระทำประทักษิณ 3 รอบ พร้อมทั้งนั่งลงนมัสการ กราบไหว้ทั้ง 8 ทิศ เสร็จแล้วนั่ง ณ ที่ข้างพระเจดีย์มุมหนึ่ง

    ขณะนั้น พระอินทร์ซึ่งประทับอยู่ในทิพยวิมาน ทรงดำริในพระทัยว่า วันนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เราจะออกไปถวายเครื่องสักการบูชา พระจุฬามณี สักหน่อย ครั้นแล้วก็มีเทวบัญชาาประกาศ ให้มวลนางสวรรค์กัลยาทั้งหลายทราบ พร้อมทั้งจัดแจงแต่งองค์ เสด็จออกจากปราสาท ตรงไปยังพระจุฬามณีเจดีย์สถาน ติดตามด้วยเทพบุตร เทพธิดาซึ่งเป็นบริวารจำนวนมาก

    ครั้นแล้วก็เสด็จเข้าไปในลานพระเจดีย์ ทรงกระทำประทักษิณครบ 3 รอบ แล้วทรุดองค์ ถวายอภิวาท ทรงตั้งเครื่องสักการบูชาไว้ ณ ที่วางเครื่องบูชา แล้วเสด็จออกมาประทับ ณ ที่มุมด้านหนึ่งของพระเจดีย์ เพื่อเปิดโอกาสให้บริวารเข้านมัสการต่อไป

    พอดีขณะนั้นเอง พระองค์ทอดพระเนตรมาเห็นพระมาลัย นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ ณ มุมพระเจดีย์ด้านขวา ทำให้ฉงนสนเท่ห์ในพระทัยว่า พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้มาจากที่ไหน และมาได้ยังไง จึงตัดสินใจลุกจากที่ประทับ ตรงไปนมัสการพระเถระ แล้วตรัสปราศรัยขึ้นว่า

    "พระคุณเจ้าขอรับ พระคุณเจ้ามาจากไหน"

    "ขอถวายพระพร อาตมาภาพมาจากชมพูทวีป มหาบพิตร" พระมาลัยตอบอย่างทันที

    "ชมพูทวีป?" พระอินทร์ทวนคำ "พระคุณเจ้า หมายถึงที่ไหนขอรับ?"

    "หมายถึงโลกมนุษย์ มหาบพิตร โลกมนุษย์ซึ่งมีต้นหว้าสูงใหญ่ ยิ่งกว่าต้นไม้อื่นใดทั้งหมด เป็นต้นไม้ประจำทวีป จนได้นามว่า ชมพูทวีป นั่นแหละ มหาบพิตร"

    "พระคุณเจ้าทราบไหมว่า ชมพูทวีป ของพระคุณเจ้านั้นกว้างยาวเท่าไหร และมีสัตว์อาศัยอยู่มากน้อยเท่าใด ขอรับ?"

    "เท่าที่อาตมาทราบ ชมพูทวีปนั้นกว้างยาวได้หมื่นโยชน์ โดยประมาณ มหาบพิตร เป็นมหาสมุทรเสีย 4,000 โยชน์ ป่าหิมพานต์เสีย 3,000 โยชน์ ส่วนอีก 3,000 โยชน์เป็นถิ่นมนุษย์อาศัยอยู่ และมีสัตว์อาศัยอยู่จำนวนมาก แบ่งออกเป็น 4 จำพวกด้วยกันคือ สัตว์สองเท้า สัตว์สี่เท้า สัตว์หลายเท้า และสัตว์ไม่มีเท้า"

    "แหม! พระคุณเจ้าช่างจดจำเก่งเหลือเกิน" พระอินทร์รับสั่งชม "พระคุณเจ้าชื่ออะไรขอรับ?"

    "อาตมาภาพมีนามว่า มาลัย มหาบพิตร" พระมาลัยตอบ "มหาบพิตรคงไม่ยออาตมาภาพอีกกระมังว่าชื่อเพราะ?"

    "ไม่ยอหรอก พระคุณเจ้า แต่จะขอถามต่อไปว่า ชื่อพระคุณเจ้าหมายความว่าอย่างไร?"

    "อาตมาภาพเกิดที่เกาะมาลัย บ้านไม้จันทน์แดง มหาบพิตร ชื่อของอาตมาภาพจึงตั้งตามชื่อเกาะ"

    "แล้วพระคุณเจ้าขึ้นมาถึงสวรรค์ของข้าพเจ้านี้ พระคุณเจ้ามาโดยวิธีใดขอรับ?"

    "อาตมา มาด้วยอำนาจฌานสมาบัติ เพียงลัดนิ้วมือเดียว ก็มาถึงที่นี่" พระมาลัยชี้แจง "เออ แล้วมหาบพิตร ยังไม่ได้บอกอาตมาเลย มหาบพิตร ชื่ออะไร?"

    พระอินทร์หัวเราะพลางตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนหลายชื่อขอรับ หากจะนับให้ถ้วน ก็มีถึง 7 ชื่อด้วยกัน คือ มาฆะ ปุรินทะ สักกะ วาสวะ สหัสเนตร สุชัมบดี และ เทวานมินทร์"

    "ทำไมมหาบพิตรถึงได้มีชื่อมากมายยังงั้นเล่า อธิบายให้อาตมาฟังหน่อยได้ไหม?"

    "ได้ขอรับ พระคุณเจ้า" พระอินทร์ตกลงทันที "เมื่อครั้งข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้ามีชื่อว่า มฆมาณพ ครั้นมาเกิดบนสวรรค์ จึงได้ชื่อว่า มาฆะ เมื่อครั้งข้าพเจ้าเป็นมนุษย์นั้น ข้าพเจ้าให้ทานก่อนใครเสมอ จึงได้ชื่อว่า ปุรินทะ และเมื่อเวลาให้ทาน ข้าพเจ้าให้ทานด้วยความเคารพ จึงได้ชื่อว่า สักกะ ข้าพเจ้าเป็นสามีของนางสุชาดา จึงได้ชื่อว่า สุชัมบดี และข้าพเจ้าเป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลาย บนสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์นี้ จึงได้ชื่อว่า เทวานมินทร์

    "แล้วมหาบพิตรทำบุญอะไรไว้หนักหนา จึงได้มาเกิดเป็นพระอินทร์เล่า?" พระมาลัยซักต่อไป

    "ข้าพเจ้าทำบุญหลายอย่างหลายประการ พระคุณเจ้า แต่ที่สำคัญที่สุดคือ วัตรบท 7 ประการ ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมิได้ขาดจนตลอดชีวิตขอรับ"

    "มหาบพิตรได้โปรดบอกหน่อยเถะว่า วัตรบท 7 ประการ นั้น คืออะไรบ้าง เผื่ออาตาม จะได้จดจำนำไปบอกชาวโลก ผู้อยากเป็นพระอินทร์ให้ปฏิบัติตามอย่างท่านบ้าง"

    "แหม! ท่าน ได้ยังงั้นก็ดีนะซี พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าอยากจะให้ชาวโลกทำอย่างข้าพเจ้าเหลือเกิน" น้ำเสียงของพระอินทร์ เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ราวกับจะไม่กลัวว่า จะมีใครมาเกิดเป็นพระอินทร์ ชิงตำแหน่งของตนไปกระนั้นแหละ"

    "วัตรบท 7 ประการ ที่ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมานั้นคือ เลี้ยงพ่อแม่โดยความเคารพประการหนึ่ง มีความอ่อนน้อมยำเกรงต่อผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูล ไม่ดูหมิ่นท่านประการหนึ่ง พูดแต่คำที่ไพเราะอ่อนหวาน ไม่ส่อเสียดยุแยงตะแคงรั่วคนอื่น ไม่ตระหนี่เหนียวแน่น ตั้งอยู่ในความสุจริตซื่อตรง และไม่ยอมตกเป็นทาสของความโกรธ ถึงเกิดขึ้นก็พยายามข่มไว้จนได้ ด้วยอำนาจคุณความดีที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญมานี่แหละ ข้าพเจ้าจึงได้มาบังเกิด ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ พระคุณเจ้า"

    "คำว่า ดาวดึงส์ หมายความว่าอย่างไร มหาบพิตร?" พระมาลัยคงซักเรื่อยไป

    "หมายความว่า พิภพนี้มีเทวดาเกิดขึ้น ครั้งแรก 33 องค์ แล้วเทดาองค์อื่นๆ จึงเกิด ขอรับ พระคุณเจ้า"

    "ดาวดึงส์นี่คงกว้างใหญ่มากนะ มหาบพิตร?"

    "กว้างหมื่นโยชน์ขอรับ พระคุณเจ้า และมีกำแพงสูง สิบหกโยชน์ล้อมรอบ มีประตูอีกพันหนึ่ง ข้างในประดับด้วยสวนดอกไม้ และสระโบกขรณี ที่เที่ยวเล่นพักผ่อนหย่อนใจของพวกเทวดาขอรับ"

    "แล้วมีต้นไม้อะไรประจำทวีปบ้างไหม มหาบพิตร?"

    "มีไม้ปาริฉัตตพฤกษ์ หรือ เรียกสามัญว่า ไม้แคฝอย เป็นต้นไม้ประจำทวีป ขอรับ"

    "ต้นใหญ่ขนาดไหน มหาบพิตร?"

    "ต้นใหญ่มากขอรับ วัดรอบลำต้นประมาณ 16 โยชน์ สูงถึงคาคบ 50 โยชน์ มีกิ่งใหญ่ 4 กิ่ง แผ่ไปไกล กิ่งละ 50 โยชน์ สูงขึ้นไปได้ร้อยโยชน์ พระคุณเจ้า"

    "แหม! ต้นใหญ่จังเลย มหาบพิตร แล้วใต้ร่มต้นไม้แคฝอยนี่ มีอะไรบ้างหรือเปล่า?"

    "มีซี พระคุณเจ้า มี บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เป็นแท่นที่นั่งของข้าพเจ้าซึ่งชาวโลกรู้จักกันดี ถ้ามีเหตุเดือดร้อนขึ้นในเมืองมนุษย์ แท่นนี้จะแข็งกระด้าง ไม่อ่อนนุ่มเหมือนเวลาปกติ เป็นเครื่องหมายบอกให้ข้าพเจ้ารู้ว่า มีเรื่องร้ายเป็นเหตุเภทภัยแก่ผู้มีบุญ ในเมืองมนุษย์ขึ้น แล้วจำต้องลงไปช่วยขอรับ"

    "แท่นนี้กว้างใหญ่ขนาดไหน มหาบพิตร?"

    "ยาว 60 โยชน์ กว้าง 50 โยชน์ หนา 15 โยชน์ มีสีแดงเหมือนดอกชะบา และ หงอกไก่ พระคุณเจ้า"

    "แล้ววิมานที่มหาบพิตรอยู่นั่น มีชื่อว่าอะไร?"

    "ชื่อ เวชยันต์มหาปราสาท สูงพันโยชน์ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว 7 ประการ และมีวิมานทองอีกหลังหนึ่ง อยู่ภายในเวชยันต์มหาปราสาทนั้น สูง 700 โยชน์ ประดับประดาด้วยแก้ว 7 ประการ ขอรับ พระคุณเจ้า"

    "มหาบพิตรอยู่คนเดียวหรือมีคนอื่นอยู่ด้วย?"

    "ข้าพเจ้าอยู่กันหลายคน พระคุณเจ้า มีมเหสีของข้าพเจ้า 4 คนคือ นางสุธัมมา นางสุจิตรา นางสุนันทา และ นางสุชาดา กับนางฟ้า อีกประมาณ สองโกฏิห้าล้าน ขอรับ"

    "โอโฮ้! มหาบพิตรมีชายามากถึงสองโกฏิห้าล้าน แต่พระองค์ยกย่องให้เป็นมเหสีเพียง 4 คนเท่านั้น นางทั้งสี่นี่ พระองค์ทรงรักมากใช่ไหม?"

    "มิใช่หรอก พระคุณเจ้า เรื่องของเรื่องเป็นเพราะบุญกุศลที่ได้ทำไว้เมื่อชาติก่อนต่างหาก ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง เมื่อข้าพเจ้าเป็นมฆมาณพอยู่นั้น ข้าพเจ้าได้สร้างศาลาขึ้นหลังหนึ่ง อัครมเหสีทั้งสี่นี้ มีน้ำใจเลื่อมใสเป็นอันดี นางสุจิตรา ได้ปลูกสวนดอกไม้ไว้ข้างศาลา นางสุนันทา ได้ขุดสระไว้สำหรับให้ผู้คนที่สัญจรไปมาพักที่ศาลา ได้อาบน้ำชำระกาย นางสุธรรมา ได้สร้างช่อฟ้า แต่งเติมศาลาให้สวยงาม ส่วน นางสุชาดา ได้รักษาศีลโดยเคร่งครัด นางทั้งสี่ ได้ทำบุญกุศลต่างๆ ครั้นสิ้นชีพแล้ว ก็ได้บังเกิดบนสวรรค์ เสวยทิพยสมบัติร่วมกับข้าพเจ้า"

    นางสุจิตรา มีสวนจิตรลดา กว้างได้ 500 โยชน์ นางสุนันทา มีสระนันทโบกขรณี กว้างยาวได้ 500 โยชน์ นางสุธรรมา มีโรงธรรมเทวสภา กว้างยาวได้ 300 โยชน์ วัดโดยรอบได้ 900 โยชน์ สูง 500 โยชน์ พื้นโรงธรรมสภานั้น ปูด้วยแก้วผลึกและแก้วอินทนิล ด้วยบุญกุศลที่นางได้ทำไว้นั่นเอง"

    "แหม! น่าอัศจรรย์จริง มหาบพิตร เออ! แล้วบนสวรรค์นี่มีสัตว์เดรัจฉานบ้างหรือเปล่า?"

    "ไม่มีขอรับ พระคุณเจ้า"

    "เอ๊! ถ้ายังงั้นที่อาตมาเคยได้ยินเขาเล่าว่า พระองค์เวลาเสด็จออกไปชมสวน ทรงช้างเอราวัณ นี่น่ะ ในเมื่อบนสวรรค์ไม่มี พระองค์จะเอาช้างเอราวัณมาจากไหน?"

    "ช้างเอราวัณมิใช่สัตว์เดรัจฉานหรอก พระคุณเจ้า เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง มีนามว่า เอราวัณเทพบุตร เมื่อใดข้าพเจ้าจะไปเที่ยวสวน เอราวัณเทพบุตร ก็เนรมิตกาย เป็นช้างเอราวัณ เป็นพาหนะที่นั่งของข้าพเจ้า เดิมที เอราวัณเทพบุตรนี้ ได้กระทำบุญร่วมกับข้าพเจ้ามา เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเป็น มฆมาณพ พร้อมด้วยพวกเพื่อน 77 คน กับช้างอีก 1 เชือก ตอนสร้างศาลา ข้าพเจ้าได้ใช้ลากไม้ มาสร้างจนเสร็จ และเมื่อเสร็จแล้ว ศาลานั้นปูด้วยกระดาน 33 แผ่น ข้าพเจ้าได้บอกช้างว่า ถ้าเห็นใครขึ้นมาบนศาลา และนั่งลงบนแผ่นกระดานของใครแล้ว พาคนนั้นไปยังบ้านของตน ให้เจ้าของแผ่นกระดานเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ พระคุณเจ้าขอรับ ช้างตัวนี้มีจิตเลื่อมใสในการกุศล ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของข้าพเจ้าตลอดมา ครั้นตายจากชาตินั้น ได้ขึ้นมาเกิดบนสวรรค์ มีชื่อว่า เอราวัณเทพบุตร ส่วนเพื่อนของข้าพเจ้า ทั้ง 33 คนนั้น ก็ได้มาเกิดบนสวรรค์นี้ด้วยเหมือนกัน"

    "ตกลงว่า แม้แต่ช้าง หากมีจิตเลื่อมใสศรัทธาแล้ว ก็สามารถเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ได้ใช่ไหม มหาบพิตร?"

    "ถูกแล้วขอรับ พระคุณเจ้า ทุกอย่างสำคัญที่ใจ หากตั้งใจมั่นเสียอย่าง สิ่งที่ปรารถนาย่อมได้เสมอ"

    "จริงอย่างพระองค์ว่า แล้วทีนี้อาตมาอยากทราบว่า พระจุฬามณีเจดีย์นี้ พระองค์สร้างไว้เอง หรือว่าใครสร้างไว้?"

    "ข้าพเจ้าสร้างไว้เอง พระคุณเจ้า สร้างไว้ให้เป็นที่ไหว้สักการบูชา ของหมู่เทวดาทั้งหลาย"

    "ในพระเจดีย์นี้บรรจุอะไรไว้ มหาบพิตร?"

    "ในพระเจดีย์จุฬามณี บรรจุ พระเกศโมลี กับ พระเขี้ยวแก้ว ของ พระพุทธเจ้า ขอรับ"

    "มหาบพิตรได้มาจากไหน?"

    "พระเกศโมลี ข้าพเจ้าได้มาแต่ครั้งเมื่อพระพุทธองค์เสด็จออกผนวช ทรงตัดมวยพระโมลี แล้วอธิษฐานว่า ถ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอมวยพระโมลีนี้ จึงลอยอยู่เหนืออากาศ อย่าได้ตกลงพื้นดินเลย ตอนนั้น ข้าพเจ้าจึงเอาผอบทองคำ ลงไปรองรับ พระเกศโมลี ขึ้นมาบรรจุไว้ในเจดีย์นี้ขอรับ พระคุณเจ้า"

    "แล้วพระเขี้ยวแก้วล่ะ มหาบพิตร พระองค์ได้มายังไง"

    "ข้าพเจ้าได้มาจากที่แบ่งปันพระบรมธาตุ พระคุณเจ้า"

    "ใครเป็นคนถวายพระองค์?"

    "ก็ โทณพราหมณ์ นะซิ พระคุณเจ้า"

    "จริงหรือ มหาบพิตร?"

    "จริงซี พระคุณเจ้า" พระอินทร์ยืนยันเสียงแข็ง

    "เห็นจะผิดไปกระมัง มหาบพิตร" พระเถระสวนขึ้นอย่างรู้เท่าทัน "อาตมาได้ทราบว่า พระอินทร์ลักพระเขี้ยวแก้วของโทณพราหมณ์ ตะแกไม่เห็นพระเขี้ยวแก้ว เสียใจถึงกับสลบล้มพับลงมิใช่หรือ? พระองค์ไปลักของเขามาจริงแล้วรับเสียดีๆ เถอะน่า"

    เมื่อถูกเล่นงานอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นนั้น พระอินทร์ก็รีบแก้ตัวขึ้นทันควัน

    "พระคุณเจ้าขอรับ ขอถามหน่อยว่าโทณพราหมณ์ ได้พระเขี้ยวแก้วมาจากไหน?"

    "ก็ได้มาจากกองพระบรมธาตุนะซี มหาบพิตร ตะแกเห็นว่า พระเขี้ยวแก้วนี้ สมควรที่แกจะได้ จึงเก็บซ่อนไว้ในมวยผมของแก แล้วตวงพระบรมธาตุ แจกแก่กษัตริย์ทั้ง 7 นคร ครั้นแจกเสร็จแล้ว พระเขี้ยวแก้บนศีรษะหายไป แกเสียใจจนสิ้นสติ แต่หาได้ทูลให้กษัตริย์ทั้งหลายทราบไม่ ได้แต่ขอทะนานทอง ซึ่งตวงพระบรมธาตุไป แต่มาภายกลัง ก็ทราบกันไปทั่วโลกว่า พระอินทร์ลักพระเขี้ยวแก้ของแกไป"

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าขอชี้แจงให้พระคุณเจ้าทราบ ความจริง อันพระเขี้ยวแก้ว ของพระพุทธองค์นั้น เป็นแก้วอันหาค่ามิได้ คนใดคนหนึ่ง มีบุญญาธิการมาก สมควรจะได้ ก็ได้ไปด้วยเดชานุภาพของเขา ซึ่งข้าพเจ้าเอง ได้พระเขี้ยวแก้วนี้มา ก็ด้วยบุญญาธิการของข้าพเจ้าโดยแท้"

    "แต่ถึงกระนั้น ก็ยังจัดว่า พระองค์ขโมยเขามาอยู่ดี เพราะถือเอาของที่คนอื่นเขาไม่ได้ให้โดยแท้"

    "แต่ถ้าของนั้นมีอิทธิฤทธิ์สามารถที่จะเหาะ จากเจ้าของ มาอยู่ในมือข้าพเจ้าเองเล่า พระคุณเจ้า จะจัดว่าข้าพเจ้า ขโมยเขามายังงั้นหรือ?"

    "ก็พระองค์ใช้ฤทธิ์เดชเรียกร้องเอามานี่นา ทำไมจะไม่มาอยู่ในมือของพระองค์เล่า?"

    "แหม! พระคุณเจ้าจะเอาผิดกับข้าพเจ้าให้ได้ยังงั้นหรือ?" พระอินทร์ทรงพ้อ "เอายังงี้ดีกว่า ข้าพเจ้าจะขอถามพระคุณเจ้าสักข้อ สมมติว่า นกตัวหนึ่ง ทำรังอยู่บนยอดไม้ และออกไข่ไว้ในรังนั้น ต่อมามีสุนัขตัวหนึ่ง มานั่งเฝ้าอยู่ที่โคนต้นไม้ พร้อมกับภาวนา ขอให้ไข่นกตกลงมาให้มันกินสักใบ ซึ่งในที่สุด ไข่นก ก็ตกจากรังลงมาให้มันกินจริงๆ แบบนี้พระคุณเจ้าจะโทษว่าสุนัขมันขโมยหรือเปล่า ขอรับ?"

    "เปล่า มหาบพิตร จะเรียกว่ามันขโมยไม่ได้ นอกจากจะเรียกว่า เป็นโชคปากของมันมากกว่า"

    "ถ้ายังงั้น ข้าพเจ้าก็มิได้เป็นขโมย ตอนที่โทณพราหมณ์ ตวงพระบรมธาตุ แจกแก่กษัตริย์ทั้ง 7 พระนครนั้น ข้าพเจ้านำผอลทอง ลงไปยืนอยู่ข้างหลังแก พลางอธิษฐานว่า หากข้าพเจ้ามีบุญวาสนา ขอให้พระเขี้ยวแก้ว ที่ซ่อนอยู่ในมวยผมของโทณพราหมณ์ จงเสด็จมาอยู่ ในผอบทองนี้ และไม่ช้าไม่นาน พระเขี้ยวแก้ว ก็เสด็จมาปรากฏอยู่ในผอบทอง ตามคำอธิษฐานของข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าได้นำมาบรรจุไว้ ณ พระเจดีย์บนสวรรค์นี่ขอรับ พระคุณเจ้า แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า ข้าพเจ้าขโมยได้ยังไง?"

    เมื่อถูกโต้ด้วยเหตุผลอันแยบยลดังนั้น พระคุณเจ้า ก็จนปัญญาที่จะกล่าวหาพระอินทร์ ว่าเป็นขโมยอีกต่อไป แต่กระนั้น ก็ยังไม่หมดความสงสัย จึงซักไซ้เจ้าแห่งสวรรค์ต่อไป


    "อันที่จริง มหาบพิตรก็เป็นเทวดาผู้บริบูรณ์ พรั่งพร้อมด้วย ทิพย์สมบัติทุกสิ่งทุกประการแล้ว แต่เหตุไฉน จึงอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว มาบรรจุไว้ในพระจุฬามณีเจดีย์ กระทำการสักการบูชาให้เสียเวลา พระองค์จะปรารถนาสมบัติอะไรอีก ที่มีอยู่นี้ยังไม่พออีกหรือ มหาบพิตร?"

    "แล้วพระคุณเจ้าล่ะ? พระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์ หมดสิ้นอาสวะกิเลสแล้ว ยังอุตส่าห์มาสักการบูชา พระจุฬามณีเจดีย์ถึงเมืองสวรรค์ พระคุณเจ้าคงปรารถนาอะไรอีกกระมัง?"

    "อาตมามิได้ปรารถนาอะไร มหาบพิตร ที่อาตมา ขึ้นมาสักการบูชาพระจุฬามณเจดีย์ครั้งนี้ ก็เพื่อให้เป็นประเพณี เยี่ยงอย่าง พระอริยเจ้า และที่เจดีย์ 7 แห่งในโลกมนุษย์ อาตมาก็ได้ไปทำการสักการบูชามาทั่วแล้ว ถึงเจ็ดครั้ง หาได้ปรารถนาทะยานอยากสิ่งใดไม่ คงต้องการให้เป็นประเพณีของพระอริยเจ้า ตามที่กล่าวมาเท่านั้นเอง"

    "ข้าพเจ้าก็ดุจเดียวกัน การที่อัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว มาประดิษฐานในพระจุฬามณีเจดีย์นี้ ก็มิได้ปรารถนาทิพยสมบัติอันใดอีก เพราะที่มีอยู่แล้วก็เกินต้องการ ข้าพเจ้าประสงค์อยู่อย่างเดียวคือ ให้บรรดาเทวดาบนสวรรค์ชั้นฟ้าทั้งหลาย ได้มีสิ่งเคารพสักการะ สิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ ไม่หลงระเริงประมาทมัวเมาเท่านั้นเองขอรับ พระคุณเจ้า"

    "มหาบพิตรคิดถูกต้องแล้ว อาตมาขอชม"

    "อ้าว! ไหงทีเมื่อกี้แล้ว ว่าเอาๆ คราวนี้ทำไมมาชมเล่าพระคุณเจ้า?" พระอินทร์อดตัดพ้อพระเถระไม่ได้

    "คนเราก็ยังงี้แหละ มหาบพิตร เวลาที่ยังไม่เข้าใจกัน ก็ต้องว่ากันหน่อยตามธรรมเนียม แต่เมื่อเข้าใจกันดีแล้ว และเห็นถูกต้องก็จำต้องชมเป็นธรรมดา"

    "พระคุณเจ้าเข้าใจพูด เออ! ข้าพเจ้าให้พระคุณเจ้าถามมานานแล้ว คราวนี้ขอเป็นฝ่ายถามบ้าง พระคุณเจ้าจะขัดข้องไหมขอรับ?"

    "เชิญเลย มหาบพิตร อาตมายินดีตอบให้พระองค์ทราบทุกอย่างตามความเป็นจริง"

    พระอินทร์ทำเป็นนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรับสั่งต่อไป "ข้าพเจ้าได้ทราบว่า ครั้งเมื่อ พระเจ้าอภัยทุฏฐคามินี ผู้เป็นพระราชนัดดา พระเจ้าเทวานัมปิยติสะ ได้ทรงอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา กระทำสงครามกับพวกทมิฬ จนสำเร็จ แล้วได้ครองกรุงอนุราชบุรี แล้วได้ทรงสร้าง มหาเหมมาลิกเจดีย์ ด้วยอิฐทองคำ พระเจ้าอภัยทุฎฐคามินี ได้พระบรมธาตุมาบรรจุไว้ในพระเจดีย์ ได้มาจากไหน ขอรับพระคุณเจ้า?"

    "ก็ตอนนั้น พระอรหันต์มาประชุมกัน หลายพระองค์ และได้อนุญาตให้สามเณรองค์หนึ่ง ไปเชิญ พระบรมธาตุ มาจากเมืองนาค มหาบพิตร"

    "พระบรมธาตุ ทำไมจึงตกไปถึงเมืองนาคเล่า พระคุณเจ้า?"

    "ตอนนั้นพระบรมธาตุส่วนแบ่งของกษัตริย์ ในเมืองปราจีน ได้ไปสร้างมหาเจดีย์ บรรจุไว้ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา ครั้นนานมา พระเจดีย์พังทลายลง พญานาค จึงอัญเชิญพระบรมธาตุนั้น ไปไว้ในนาคพิภพ สามเณรก็ไปขอพญานาค มาบรรจุไว้ในมหาเจดีย์ มหาบพิตร"

    "แต่ข้าพเจ้าได้ทราบว่า สามเณรได้ไปล้วงคอพญานาค กระทำอิทธิฤทธิ เอื้อมมือไปควักผอบ พระบรมธาตุในท้องพญานาค ผู้เป็นหลานพญานาคใหญ่ จึงได้พระบรมธาตุมา พวกนาคทั้งหลาย ได้ติดตามสามเณรไปเสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั่วจักรวาล ซึ่งครั้งนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยิน พระคุณเจ้าลองคิดดูซิ สามเณรเป็นถึงพระอรหันต์ ยังเอาพระบรมธาตุไปด้วยวิธีการช่วงชิงเช่นนี้ จะสมควรละหรือ? หากจะพูดไป จะมิยิ่งกว่าข้าพเจ้าชิงเอาพระเขี้ยวแก้ว จากโทณพราหมณ์เชียวหรือ พระคุณเจ้า?"

    พระมาลัยเมื่อถูกยอกย้อนเช่นนั้น ก็ตอบเลี่ยงไปว่า

    "มหาบพิตร ที่อาตมาพูดถึงเรื่องของพระองค์ขึ้น ก็เพื่อ ชำระสะสางความสงสัยของชาวโลก ให้เข้าใจพระองค์ได้ถูกต้อง ครั้งนี้ก็ได้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่า พระบรมธาตุก็ดี พระเขี้ยวแก้วก็ดี เป็นสิ่งที่หาค่ามิได้ ใครมีฤทธิ์เดชมาก หรือมีบุญญาธิการมาก ย่อมได้มาไว้กราบไหว้สักการบูชาเสมอ"

    "แหม! พระคุณเจ้าเพิ่งพูดถูกใจข้าพเจ้าตอนนี้เอง" พระอินทร์หัวเราะ "เอาละ สำหรับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ถามต่อ แต่อยากจะถามว่า ที่พระคุณเจ้าขึ้นมาถึงสวรรค์นี้ได้นั้น พระคุณเจ้าทำยังไง ได้โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าหายข้องใจหน่อยเถอะขอรับ"

    "ก็อาตมาบอกแล้วว่าเหาะมายังไงล่ะ มหาบพิตร"

    "ข้อนั้น ข้าพเจ้าก็ทราบดี แต่อยากทราบว่าก่อนจะเหาะได้นั้น พระคุณเจ้าทำยังไงบ้างขอรับ?"

    "แหม! ช่างซักละเอียดจริง เอาล่ะเมื่อต้องการทราบ อาตมาก็จะบอก คืองี้ มหาบพิตร อาตมาใช้วิธีอธิษฐาน ให้สำเร็จสมประสงค์ แล้วทรงสมาธิจิต เจริญเข้าสู่จตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌาน กระทำอธิษฐาน แล้วเข้าอีกจนกระทั่งอภิญญาชวนะ บังเกิด ก็เป็นอิทธิฤทธิ์ พาสรีระร่างกายเหาะลอยขึ้นฟ้าได้"

    "ยิ่งฟังพระคุณเจ้าพูดแล้วยิ่งงง อภิญญาชวนะ ที่พระคุณเจ้าว่านั้น คืออะไรขอรับ?"

    "คือ กำลังความรู้แจ้ง มหาบพิตร รู้แจ้งว่าจะไปที่ไหน เช่นรู้ว่าจะไปสวรรค์ ก็ส่งร่างกายเหาะลอยขึ้นมา ทันทีทันใด พูดๆไป ก็เหมือนเทวดานั่นแหละ มหาบพิตร ถึงแม้เทวดา จะเป็นพวกที่มีฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศได้โดยปกติตั้งแต่เกิดมา ก็เป็นอานุภาพของบุญกรรมที่ทำไว้ บุญกรรมนั่นเองช่วยส่งร่างกายให้เหาะได้ มิใช่อะไรอื่นใช่ไหม มหาบพิตร?"

    "ใช่ขอรับ แต่ยังไง ก็ต้องใช้จิตส่งเหมือนกันนะพระคุณเจ้า"

    "ถูกแล้ว มหาบพิตร จิตเป็นประธาน เป็นหัวหน้าของร่างกาย ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ก็จำเป็นต้องใช้จิตส่งทั้งนั้น หากไม่ใช้จิตส่งแล้ว อย่าว่าแต่เรื่องเหาะเหินเดินอากาศเลย แม้แต่จะให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปถูกทาง ก็ย่อมจะทำไม่ได้"

    พระอินทร์ได้สดับดังนั้น ก็เห็นพ้องด้วยพระเถระทุกประการ และขณะที่พระองค์กำลังนิ่งคิดหาเรื่องหาพระเถระตต่อไปนั่นเอง พระเถระก็เอ่ยถามขึ้นก่อน

    "มหาบพิตร อาตมายังสงสัยอีกข้อหนึ่ง พวกเทวดาที่มากับพระองค์ครั้งนี้ มาเพื่อทำการสักการบูชาพระจุฬามณีเจดีย์ด้วยสมัครใจ หรือว่าพระองค์ไปเที่ยวเกณฑ์มา?"

    "ทุกคนมาด้วยสมัครใจขอรับ พระคุณเจ้า เพราะทุกคนต่างคนต่างก็ต้องการทำบุญทั้งนั้น"

    "เอ๊! ทำไมถึงต้องการทำบุญอีกเล่า มหาบพิตร ในเมื่อเทวดาพวกนี้ แต่ก่อนอยู่ในเมืองมนุษย์ ได้กระทำไว้มากแล้ว จึงได้มาเกิดในสวรรค์ ครั้นมาอยู่เมืองสวรรค์สุขสบายแล้ว จะต้องทำบุญให้วุ่นวายทำไม?"

    "เขาทำบุญเพื่อให้ได้ไปเกิดในเทวโลกชั้นสูงๆ ขึ้นไปอีก พระคุณเจ้า"

    "ยังมีสูงกว่านี้อีกหรือ มหาบพิตร?"

    "มีซี พระคุณเจ้า ยังมีสวรรค์อีกหลายชั้น เช่น ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตตสวัสดี และนอกไปกว่านั้น ยังมีชั้น พรหมอีกสองพวก คือ รูปพรหม และ อรูปพรหม ขอรับ พระคุณเจ้า"

    "แล้ว พระศรีอาริยเมตไตย อยู่ชั้นไหน มหาบพิตร?"

    "อยู่ชั้น ดุสิต ขอรับ พระคุณเจ้า"

    "ทำยังไงจะได้พบท่านเล่า มหาบพิตร?"

    "ตามปกติแล้ว พระศรีอาริย์ เสด็จมาลานพระจุฬามณีเจดีย์นี้เดือนละสามครั้ง พระคุณเจ้า วันแปดค่ำ ครั้งหนึ่ง วันสิบสี่ค่ำครั้งหนึ่ง แล้ววันสิบห้าค่ำครั้งหนึ่ง"

    "เอ! วันนี้เป็นวันแปดค่ำนี่นะ มหาบพิตร ทำไมพระศรีอาริย์จังไม่เสด็จมาเล่า?"

    "ข้าพเจ้าคิดว่า อีกสักประเดี๋ยวก็คงมาหรอก พระคุณเจ้า ถ้าพระคุณเจ้าอยากพบ ก็นั่งคอยสักหน่อยเถอะ ยังไงก็มาแน่ขอรับ" พระอินทร์ยืนยันในที่สุด

    และชั่วขณะเสียงของพระอินทร์ขาดห้วงลงนั่นเอง ยังมีเทพบุตรองค์หนึ่ง พร้อมด้วยนางเทพอัปสรประมาณพันหนึ่ง เหาะเลื่อนลอยลงมาจากนภากาศ เพื่อจะนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์

    ฝ่ายพระเถระเมื่อแลเห็น ก็หันไปถามพระอินทร์ขึ้นว่า

    "เทพบุตรองค์นี้หรือมหาบพิตร คือพระศรีอาริย์?"

    "ไม่ใช่ขอรับ พระคุณเจ้า" พระอินทร์ส่ายหน้าปฏิเสธ "เทพบุตรองค์นี้ เป็นเพียงเทพบุตรสามัญธรรมดาองค์หนึ่ง เท่านั้นขอรับ"

    "แล้วเขาทำบุญอะไรไว้ จึงได้มีฤทธิ์เดช และนางอัปสรหน้าแฉล้มมากมายนัก มหาบพิตร?"

    "แต่ก่อนนี้เขาเป็นคนยากไร้เข็ญใจ เที่ยวเกี่ยวหญ้าเลี้ยงชีวิต พระคุณเจ้า อยู่มาวันหนึ่งเวลาจะกินข้าวกลางวัน เขาแก้ห่อข้าวออก ยังไม่ทันจะเปิบเข้าปาก ก็แลเห็นกาตัวหนึ่ง บินมาจับอยู่ที่ต้นไม้ข้างๆเขา ทำท่าบอกให้รู้ว่ากำลังหิวข้าวเต็มแก่ เขาเกิดความสงสาร ด้วยคิดว่า กาตัวนี้คงแสบท้องหิวข้าวเหมือนเขา จึงปั้นข้าว วางให้กาตัวนั้นก้อนหนึ่ง ครั้นต่อมาวันใกล้จะตาย เขาระลึกถึงทานที่เขาให้ข้าวแก่กาครั้งนั้นขึ้นมาได้ พอสิ้นชีวิต ก็มาบังเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์นี้ขอรับ"

    "เทพบุตรองค์นี้ มิได้ทำบุญกุศลอย่างอื่นอีกเลยหรือ มหาบพิตร?"

    "ไม่เลย พระคุณเจ้า เรื่องของเรื่อง ข้าพเจ้าเดาเอาว่า เป็นด้วยกุศลเจตนาของเขา เขาให้ทานแล้วไม่เกิดเสียดาย หรือแหนงแคลงในโดยแท้ มิใช่อะไรอื่น จริงไหม พระคุณเจ้า?"

    "ก็อาจจะจริง มหาบพิตร เพราะคนเรานั้น จะทำบุญมากหรือน้อย ไม่สำคัญ สำคัญอยู่แต่ว่า จิต หรือเจตนาของเขาต่างหาก ถ้าจิตของเขาผ่องใส เจตนาของเขาเป็นกุศล ผลที่ได้รับ ย่อมเต็มเม็ดเต็มหน่วย เออ! แล้วนางฟ้านางสวรรค์ที่เป็นบริวารของเทพบุตรองค์นี้เล่า มหาบพิตร เกิดพร้อมกันเลย หรือว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์ของเทพองค์ใดองค์หนึ่งมาก่อน?"

    "แหม! พระคุณเจ้านี่ถามซอกแซกจริง ข้าพเจ้าไม่อยากตอบเรื่องอย่างนี้หรอก"

    "โธ่! มหาบพิตร เรื่องแบบนี้ปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสส่วนมากเขาสงสัยกันนัก มหาบพิตรมีปัญญามาก ช่วยตอบแก้ข้อข้องใจสงสัยของเขาด้วยเถอะ อย่าให้เสียที ที่อาตมาอุตส่าห์ขึ้นมาพบพระองค์เลย"

    เมื่อถูกรุกเร้าเช่นนั้น พระอินทร์ก็นิ่งคิดหาคำตอบอยู่เป็นครู่ ครั้นแล้วจึงกล่าวต่อไป

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า ทุกวันนี้ในโลกมนุษย์ พระราชาและมหาเศรษฐี คหบดีท่านผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ และท่านผู้มียศบริวารต่ำลงมาก็ดี ท่านเหล่านั้น ได้ข้าทาสบริวาร และเมียสาวๆ น่าเอ็นดูมาจากไหน ใครจัดหามาให้ พระคุณเจ้าทราบไหม?"

    "มหาบพิตร ส่วนมากที่อาตมาทราบ ท่านเหล่านั้นก็ได้มาจากการแสวงหามา หรือมีคนมามอบให้ สำหรับสวรรค์จะเหมือนกันกระนั้นหรือ?"

    "ไม่เหมือนกันหรอก พระคุณเจ้า ในสวรรค์บังเกิดขึ้นจากบุญกรรมที่ทำไว้ ไม่จำต้องเสียเวลาไปแสวงหา และไม่มีใครจัดมาให้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเองขอรับ"

    "ถ้ายังงั้นก็เป็นเรื่องไม่ควรคิดนะซี มหาบพิตร?"

    "ถูกแล้วขอรับ เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิดให้ปวดสมองเลย ดุจเดียวกับเรื่องที่ว่า พระพุทธเจ้า เสด็จทรงจงกรมในเมล็ดพันธุ์ผักกาดได้ หรือเรื่องภูเขา มหาสมุทร ดินฟ้า เกิดมาแต่ไหน และทิศทั้งสี่มีมาอย่างไรนั่นแหล่ะ พระคุณเจ้า"

    พอพระอินทร์พูดจบ เทพบุตรองค์นั้น ก็พาบริวารมาถึงบริเวณลานพระจุฬามณีเจดย์ พลางกระทำประทักษิณนมัสการ จุดธูปเทียนเครื่องสักการบูชา เสร็จแล้วถอยออกไปนั่งอยู่ทางทิศตะวันออก

    และขณะเดียวกันนั้นเอง มีเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง แวดล้อมด้วยนางอัปสรจำนวนพัน ทรงอาภรณ์เครื่องประดับสวยงาม ส่งรัศมีรุ่งเรือง เป็นที่น่าทัศนายิ่งนัก เทพบุตรองค์นั้นเหาะลอยมาบนอากาศ และตรงมายังพระจุฬามณีเจดีย์นั่นเหมือนกัน

    ฝ่ายพระมาลัยพอแลเห็นเทพบุตรองค์นั้น ก็เข้าใจว่าเป็นพระศรีอาริย์ จึงหันไปถามพระอินทร์ว่า "เทพบุตรองค์นี้หรือคือพระศรีอาริย์ มหาบพิตร?"

    "ไม่ใช่พระคุณเจ้า" พระอินทร์ตอบ "เทพบุตรธรรมดาองค์หนึ่ง เหมือนกับองค์เมื่อกี้แหละขอรับ"

    "เขาทำบุญอะไรไว้ มหาบพิตร จึงมีบริวารมากหลาย และมีร่างกายงดงามกว่าองค์ก่อนนี้มานักเช่นนี้?"

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า เทพบุตรองค์นี้ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เป็นเด็กเลี้ยงวัวตามท้องนา วันหนึ่งถึงเวลาจะกินข้าวกลางวัน เขาได้แบ่งข้าวออกแจกให้เพื่อนของเขากิน ตามประสาเด็ก ครั้นตายจากชาตินั้น ได้บังเกิดเป็นเทพบุตร มีนางอัปสรบริวารจำนวนพัน และมีร่างกายงดงามอย่างที่พระคุณเจ้าเห็นนี่แหละขอรับ?"

    "เอ๊ะ! อาตมาชักสงสัยมหาบพิตร เด็กเลี้ยงวัว แบ่งข้าวให้เพื่อนกินอย่างนี้จัดเป็นทานได้เหมือนกันหรือ?"

    "ก็คำว่า ทาน แปลว่า ให้ นี่นะ พระคุณเจ้า ถึงแม้เขาจะแบ่งข้าวให้เพื่อนกิน ก็จัดว่าเขาได้ทำทานเหมือนกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะที่ให้ เขานั้น เขามีจิตใจเลื่อมใส เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาในเพื่อนอย่างแรงกล้า ดังนั้น เขาจึงได้รับผลอันน่าชื่นใจอย่างนี้"

    "แหม! น่าอัศจรรย์ทีเดียว สรุปแล้ว เด็กเลี้ยงวัว ได้ขึ้นสวรรค์ เพราะจิตเมตตาใช่ไหม มหาบพิตร?"

    "ถูกแล้ว พระคุณเจ้า ผู้ที่มีเมตตานั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ย่อมมีสุขทุกสถาน และครั้นตายไป ย่อมบังเกิดในสวรรค์ มีบริวารพันหนึ่ง เช่นเดียวกับเทพบุตรองค์นี้ขอรับ"

    ขณะที่พระอินทร์รับสั่งจบ เทพบุตรนั้นก็เหาะมาถึงลานพระจุฬามณีเจดีย์ และจัดแจงทำการสักการบูชากราบไหว้ เสร็จแล้วถอยไปนั่ง ณ ทิศด้านตะวันตก

    ในช่วงเวลานั้นเอง มีเทพบุตรองค์หนึ่ง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อันสวยงาม และประดับด้วยสร้อยสังวาลย์ ส่องแสงประกายอร่ามงดงามยิ่งนัก เทพบุตรองค์นั้น เหาะตรงมายังจุฬามณีเจดีย์ พร้อมด้วยนางฟ้าบริวารจำนวนนับหมื่น

    "องค์นี้ใช่ไหม พระศรีอาริย์ มหาบพิตร?"

    "ไม่ใช่ พระคุณเจ้า องค์นี้เป็นเทพบุตรธรรมดาองค์หนึ่งเท่านั้น"

    "มหาบพิตร เทพบุตรองค์นี้ เมื่อก่อนคงทำบุญไว้มากซีนะ ถึงได้มีร่างกายเปล่งปลั่งงดงาม และมีนางฟ้าบริวารมากกว่าองค์ก่อน?"

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า เทพบุตรองค์นี้ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ได้ถวายบิณฑบาตแก่สามเณร เพียงครั้งเดียวเท่านั้น พอตายไป ก็ได้บังเกิดเป็นเทพบุตร มีนางฟ้าบริวารหมื่นนาง ด้วยเดชะบุญกุศลนั้นขอรับ"

    "อะไรกัน มหาบพิตร เพียงถวายบิณฑบาตแก่สามเณรครั้งเดียวเท่านั้นหรือ แล้วสามเณรองค์นั้น มีศีลสมบูรณ์หรือเปล่าล่ะ มหาบพิตร?"

    "ข้อนั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถจะทราบได้ เห็นแต่นุ่งผ้ากาสาวพัตร ก็เรียกว่าสามเณร เข้าใจว่าคงรักษาศีลสิบ แต่อย่างไรก็ตามเถอะ ถึงสามเณรจะมีศีลสิบบริบูรณ์หรือไม่ หากผู้ให้ทาน มีศีลศรัทธา ก็ย่อมได้อานิสงส์เหมือนกันมิใช่หรือ พระคุณเจ้า?"

    "ใช่ มหาบพิตร แต่ทว่ามีมากหรือน้อยกว่ากัน ถ้าถวายทาน แก่สามเณรผู้ทรงศีลสิบบริบูรณ์ ย่อมได้อานิสงส์เป็นจำนวนมาก นับไม่ถ้วน และสำหรับรายนี้ อาตมาคิดว่า คงจะให้ทานโดยไม่ได้พินิจพิจารณา เห็นสามเณรถือบาตรเดินผ่านมา ก็ถือขันข้าวไปใส่บาตร จึงได้บริวารเพียงหมื่นเดียว"

    "ข้าพเจ้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน พระคุณเจ้า แต่ยังไงก็ตามเถอะ แม้ว่าจะได้รับผลเพียงแค่นี้ ก็น่าชื่นใจแล้ว สำหับผู้ทำบุญให้ทานทั้งหลาย"

    พอพระอินทร์พูดจบ เทพบุตรองค์นั้น ก็พานางฟ้าบริวาร มาถึงพระจุฬามณีเจดีย์ และเมื่อกระทำการสักการบูชากราบไหว้แล้ว ก็ถอยออกไปนั่น ณ ทิศใต้

    ขณะเดียวกันนั้นเอง มีเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง พร้อมด้วยนางฟ้าบริวาร จำนวนสองหมื่น เหาะลอยมาทางอากาศ รัศมีพวยพุ่งออกจากกาย งามประหลาดกว่าเทพบุตรองค์ก่อน

    "เทพบุตรองค์นี้หรือมหาบพิตร คือพระศรีอาริย์?"

    "ไม่ใช่ พระคุณเจ้า เทพบุตรองค์นี้เป็นเทพบุตรธรรมดานี่เอง เมื่อชาติก่อนได้ถวายอาหารบิณฑบาต แด่พระภิกษุ ซึ่งเที่ยวภิกขาจารตามถนนหนทาง ครั้นแล้วตาย จึงได้มาบังเกิดเป็นเทพบุตร มีนางฟ้าสองหมื่นเป็นบริวารขอรับ"

    และขณะที่พระอินทร์ กำลังบรรยาย ถึงบุญกุศล ของเทพบุตรองค์นั้นอยู่ ก็มีเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง เหาะลอยมาในอากาศ พร้อมด้วยนางฟ้าบริวารมากถึงสามหมื่น

    "องค์นี้ใช่ไหม มหาบพิตร พระศรีอาริย์?"

    "ไม่ใช่ พระคุณเจ้า เทพบุตรองค์นี้เป็นเทพบุตรธรรมดานั่นเอง เมื่อชาติก่อนนั้น เป็นช่างหูก และช่างชุน อยู่ใน เมืองอนุราชบุรี เขาได้ให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา และเผาศพไม่มีญาติเสมอ ครั้นตายลง ก็มาบังเกิดบนสวรรค์ มีนางฟ้าเป็นบริวารสามหมื่นขอรับ"

    เมื่อเทพบุตรทั้งสอง พาบริวารลงมาทำการสักการบูชากราบไหว้ พระจุฬามณีเจดีย์ และถอยไปนั่งตามลำดับต่อไปแล้ว ก็มีเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง แวดล้อมด้วยนางฟ้าถึงสี่หมื่น เหาะลอยตามกันมาในอากาศ

    "ไม่ใช่พระศรีอาริย์ขอรับพระคุณเจ้า" พระอินทร์คงส่ายหน้าปฏิเสธดุจเดิม "เทพบุตรองค์นี้คือ มหาเศรษฐี บ้านหริตาลคม มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา ถวายจตุปัจจัยไทยทาน และรักษาศีลแปดตลอดมา ครั้นตายลงมา บังเกิดเป็นเทพบุตร มีนางฟ้าหน้าแฉล้ม ถึงสี่หมื่นขอรับ"

    "แล้วองค์นั้นเล่า มหาบพิตร?" พระมาลัยถามต่อ พร้อมกับชี้ไปที่เทพบุตรอีกองค์หนึ่ง ซึ่งกำลังเหาะเลื่อนลอยมาพร้อมด้วยนางฟ้าแสนสวยมากหลาย "ใช่พระศรีอาริย์หรือเปล่า?"

    "ไม่ใช่หรอก พระคุณเจ้า เทพบุตรองค์นี้ คือ กษัตริย์สัทธาดิส ซึ่งเป็นอนุชาของ พระเจ้าอภัยทุฎฐคามินี ขณะที่พระองค์เสวยราชสมบัติใน กรุงอนุราชธานี นั้น ทรงพระราชศรัทธากระทำการกุศลต่างๆ ไว้มาก ครั้นสวรรคต จึงมาบังเกิดเป็นเทพบุตร บนสวรรค์ มีนางฟ้าบริวารถึงห้าหมื่นขอรับ"

    ครั้นเทพบุตรทั้งสอง พาบริวารลงมาทำการสักการบูชาพระเจดีย์แล้ว ถอยไปนั่น ณ ที่ข้างหนึ่ง ต่อมา ก็มีเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง พาบริวาร หกหมื่น เหาะลอยตามมายังลานพระเจดีย์

    เทพบุตรองค์นี้ ไม่ใช่พระศรีอาริย์ตามเคย พระอินทร์ได้แนะนำว่า คือ พระเจ้าอภัยทุฎฐคามินี ผู้ครอง กรุงอนุราชธานี ซึ่งมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย โดยสร้าง พระเหมมาลิกเจดีย์ ขึ้น และทรงอุปถัมภ์บำรุง พระภิกษุสงฆ์ อีกทั้งพระราชบิดา มารดา อย่างดีตลอดมา ครั้นเสด็จสวรรคต ก็มาบังเกิดบนสวรรค์ มีนางฟ้าเป็นบริวารถึงหกหมื่น

    ต่อมามีเทพบุตรอีกสี่องค์ พาบริวารจำนวนมาก เหาะตรงมายังลานพระเจดีย์อีก และแต่ละองค์เฉิดฉายด้วยรัศมีส่องลงมาสว่างไสว ไปทั่วบริเวณลานพระเจดีย์ทีเดียว

    เทพบุตรทั้งสี่องค์นี้ ก็มิใช่พระศรีอาริย์อีกตามเคย เป็นเพียงเทพบุตรธรรมดาสามัญเท่านั้นเอง

    องค์แรก ก่อนนี้บวชเป็นสามาเณร ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ รักษาศีลสิบสำรวมเป็นอย่างดี ปรนนิบัติพระภิกษุสงฆ์ด้วยน้ำร้อนน้ำเย็น ปัดกวาดวิหารลานพระเจดีย์มิได้ขาด ครั้นตายลง ก็บังเกิดเป็นเทพบุตร มีบริวาร เจ็ดหมื่นด้วยผลบุญอันนั้น

    องค์ที่สอง ก่อนนั้นอยู่ในกรุงอนุราชบุรี ได้เป็นไวยาวัจกร แก่ภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ตอนภิกษุเที่ยวบิณฑบาต เจ้าของเรือนไม่รู้ว่าภิกษุมายืนอยู่หน้าบ้าน ก็ร้องบอกว่า พ่อแม่ทั้งหลาย พระมายืนอยู่นานแล้ว อย่าช้ามาก มาทำบุญทำทานเร็วเข้าเถิด เขาทำเช่นนี้เป็นนิตยกาล ครั้นตายลงมา ก็บังเกิดเป็นเทพบุตร มีบริวารถึงแปดหมื่น

    องค์ที่สาม ก่อนนี้เป็นมาณพผู้หนึ่ง อยู่ในกรุงอนุราชบุรี วันหนึ่ง เขานำดอกกรรณิการ์กำหนึ่ง ไปยังพระเจดีย์ อันเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุ ครั้นไปถึงบริเวณลานพระเจดีย์ จึงถวายดอกกรรณิการ์บูชาพระเจดีย์ ด้วยความเลื่อมใส มีดวงใจเต็มเปี่ยม ด้วยความปิติปราโมทย์ เป็นอย่างยิ่ง ครั้นตายลงมา ได้บังเกิดเป็นเทพบุตร มีนางฟ้าเป็นบริวาร ถึงเก้าหมื่น

    องค์ที่สี่ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เป็นคนยากจนมาก เที่ยวเกี่ยวหญ้าขายเลี้ยงชีวิตเสมอมา ครั้นวันหนึ่ง เขาไปยังหาดทราย เห็นทรายสีขาวสะอาด จึงกวาดทราย รวมเข้าทำเป็นพระเจดีย์ แล้วตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้สีต่างๆ เสร็จแล้วยกมือทั้งสอง ขึ้นกราบไหว้ รำลึกถึงพระพุทธคุณ ครั้นตายลง ก็มาบังเกิดเป็นเทพบุตร มีบริวารแสนสวยถึง สิบหมื่น

    "มหาบพิตร อันการกุศลที่เทพบุตรทุกองค์ที่ทำไว้นี้ พระองค์รู้มาจากไหน หรือว่าได้ยินใครมาเล่าไว้ให้ฟัง แล้วก็นำมาฝอยกับอาตมาต่อเล่นๆ อย่างนั้นเอง?"

    "โถ! พระคุณเจ้าพูดเล่นไปได้" พระอินทร์พ้อ "ข้าพเจ้ามี ปัญจสิขเทพบุตร เป็นผู้คอยเขียนรายงาน ลงไว้ในแผ่นทองอยู่แล้ว และถึงวันอุโบสถ เขาจะนำมาบอกกล่าวให้ข้าพเจ้าทราบเสมอ"

    "แล้วปัญจสิขเทพบุตร ไปจดมาจากไหน มหาบพิตร?"

    "จดต่อจาก ท้าวโลกบาลทั้งสี่ ขอรับ พระคุณเจ้า ท้าวโลกบาลทั้งสี่ มีหน้าที่จัดแต่งเสมียน เที่ยวไปใน นานาประเทศ จดเอารายการทำบุญของมนุษย์ มาส่งพระภูมิเจ้าที่ เพื่อส่งต่อท้าวโลกบาลอีกทีหนึ่ง ฝ่ายท้าวโลกบาลทั้งสี่ เมื่อได้รับรายงาน ก็ส่งต่อปัญจสิขเทพบุตร เพื่อรายงานให้ข้าพเจ้าทราบ เป็นขั้นสุดท้ายขอรับ"

    "แหม! พระองค์ช่างมีความกรุณาเอ็นดูต่อพวกมนุษย์เหลือเกิน เช่นนี้เมื่อพวกเขามาเกิดบนสวรรค์ คงจะนึกถึงบุญคุณของพระองค์มากซีนะ"

    "นั่นแล้วแต่เขา พระคุณเจ้า ที่ข้าพเจ้าทำไป ก็โดยหน้าที่ มิได้ถือเป็นบุญเป็นคุณอะไรมากนัก เรื่องของหน้าที่ กับบุญคุณ เป็นคนละอย่าง ผู้มีหน้าที่ให้ ก็ต้องให้ไปเรื่อย ส่วนผู้รับจะนึกถึงบุญคุณหรือไม่ ไม่ต้องนึกถึง"

    พระอินทร์สาธยายยังไม่ทันจบ ก็พอดี............

    --------------------------------
    บทที่ 4
    พระมาลัยพบพระศรีอาริย์
    ขณะนั้น ปรากฏร่างเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง ทรงเครื่องสรรพอาภรณ์อันวิจิตร มีนางฟ้าแวดล้อมจำนวนมากเหลือคณานับ เหาะมาทางอากาศ ส่งรัศมีสว่างไสวเจิดจ้า ไม่ต่างอะไรกับพระจันทร์หมื่นดวง ตรงมายังพระจุฬามณีเจดีย์สถานแห่งนั้น
    ฝ่ายพระเถระครั้นเหลือบเห็น ก็นึกได้ทันทีว่า องค์นี้คงจะเป็นพระศรีอาริย์แน่ แต่เพื่อความแน่ใจ จึงหันมาถามพระอินทร์

    "เทพบุตรองค์ในใช่ไหม คือพระศรีอาริย์ มหาบพิตร?"

    "ถูกแล้ว พระคุณเจ้า"

    "แหม! นางฟ้าบริวารของพระองค์มากเหลือเกิน" พระมาลัยกล่าวชม "เออ! พวกนางฟ้าที่เหาะมาข้างหน้าพระศรีอาริย์นั้น นุ่งผ้าอาภรณ์ขาวสะอาด และหนำซ้ำรัศมีที่พวยพุ่งออกมา ยังเป็นสีขาวเสียด้วย มหาบพิตรทราบไหมว่า เมื่อก่อนนางพวกนี้ ทำบุญอะไรไว้"


    "นางพวกนี้เมื่อชาติก่อน ถึงวันอุโบสถนุ่งผ้าขาว ห่มผ้าขาว สมาทานศีลแปด และทำบุญด้วยข้าวของสะอาด อีกทั้งจิตใจยังใสสะอาดาด้วยขอรับ"

    "แล้วพวกนางฟ้าที่เหาะมาทางขาว มีรัศมีและเครื่องประดับสีเหลือง ก็คงจะทำบุญด้วยของสีเหลืองละซี มหาบพิตร"


    "ถูกแล้ว พระคุณเจ้า พวกนี้ส่วนมาก มักจะถวายผ้าสบงจีวร หรือข้าวของสีเหลืองอื่นๆ ส่วนพวกที่มีรัศมีและเครื่องประดับสีแดง สีม่วง สีอื่นๆ อีก ก็ดุจเดียวกัน ล้วนแต่เป็นผู้รักษาศีล และถวายของที่มีสีนั้นๆ ทั้งนั้น ครั้นตาย ก็มาบังเกิดเป็นบริวารของพระศรีอาริย์ ณ สวรรค์ชั้นดุสิตขอรับ"

    ขณะที่พระมาลัย จะไต่ถามพระอินทร์ต่อไปนั้นเอง พระศรีอาริย์พร้อมด้วยนางฟ้าบริวาร ก็เสด็จมาถึงที่ลานพระเจดีย์ และเมื่อจัดแจงกระทำการสักการบูชา กราบไหว้ถวายเครื่องของหอมเสร็จแล้ว พอดีเหลือบมาเห็นพระมาลัยเถระ จึงเข้านมัสการ แล้วตรัสถามว่า

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า พระคุณเจ้ามาจากที่ไหนขอรับ?"


    "อาตมา มาจากชมพูทวีป" พระมาลัยตอบ

    เมื่อทราบว่า พระเถระมาจากชมพูทวีป ดังนั้นพระศรีอาริย์ ก็ดีพระทัย รับสั่งถามข่าวคราวของมวลมนุษย์ต่อไปว่า

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า ชมพูทวีปขณะนี้ พวกมนุษย์พากันทำมาหากินยังไงบ้างขอรับ?"


    "บางพวกก็ค้าขายตามความรู้ความสามารถของตน บางพวกก็ออกเงินให้กู้กินดอกเบี้ย บางพวกก็เข็ญใจ ไร้ทรัพย์ บางพวกก็สุขสบาย บางพวกก็เดือดร้อนทุกข์ยากปากแห้งขนาดหนัก มหาบพิตร"

    "แล้วส่วนมากพวกเขาทำบุญกันบ้างหรือเปล่า พระคุณเจ้า หรือว่าทำแต่บาปหยาบช้า?"

    "พวกที่ทำบุญนั้น รู้สึกจะน้อยมาก มหาบพิตร ส่วนคนที่ทำบาปหยาบช้านั้น นับไม่ถ้วนเลย"

    "คนที่เขาทำบุญ เขาทำกันอย่างไร พระคุณเจ้า?"

    "บางพวกก็ให้ทาน รักษาศีล บางพวก ก็จัดให้มีพระธรรมเทศนา พร้อมทั้งป่าวประกาศ ให้เพื่อนๆ บ้านใกล้เรือนเคียง มาร่วมด้วย บางพวกสร้างวัดวาอาราม พระพุทธรุป พระสถูปเจดีย์ ถวายจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ ยารักษาโรคแก่พระภิกษุสงฆ์ บางพวกก็เลี้ยงพ่อแม่ บางพวกก็สร้างพระไตรปิฎก ทั้งนี้สุดแล้วแต่กำลังทรัพย์ กำลังปัญญาของพวกเขา มหาบพิตร"

    "แล้วพวกเขาปรารถนาสิ่งใดบ้าง พระคุณเจ้า มนุษย์สมบติ สวรรค์สมบัติ หรือว่านิพพานสมบัติ?"

    "เห็นจะไม่ตรงความจริงนัก มหาบพิตร เพราะส่วนมาก เมื่อทำบุญแล้ว ล้วนแต่ตั้งความปรารถนาว่า ขอให้เกิดทันศาสนา ของพระองค์ทั้งนั้น"

    พระศรีอาริย์ทรงสดับเช่นนั้น ก็ทรงพระสรวล พลางรับสั่งต่อไป

    "ถ้าหากเขาอยากเกิดทันศาสนาของข้าพเจ้า ก็จงอุตส่าห์ฟังธรรมมหาเวสสันดรชาดก ให้จบในวันเดียว แล้วบูชาด้วยธูปเทียน ดอกไม้อย่างละพันฉัตร ดอกบัวหลวง บัวเขียว บังขาว ดอกสามหาวอย่างละพัน ถ้าทำได้ดังนี้ ก็จะพบศาสนาของข้าพเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้ ผู้นั้นก็จะได้บรรลุพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ส่วนที่ทำบาปหนัก เช่น ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้า พระภิกษุสงฆ์ ทำลายหมู่คณะให้แตกแยกกัน ทำลายเจดีย์สถาน และคนที่ตระหนี่ขี้เหนียว ไม่รู้จักทำบุญให้ทาน ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เป็นคนโง่ มีความประมาทอยู่เสมอ คนพวกนี้ จะไม่มีโอกาสได้พบศาสนาของข้าพเจ้า"

    "แล้วพระองค์จะลงไปตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไรเล่า มหาบพิตร?"

    "อีกไม่นานหรอก พระคุณเจ้า เมื่อครบถ้วนห้าพันปี สิ้นศาสนาของพระพุทธโคดมแล้ว ตอนนั้น พวกสัตว์ทั้งหลายจะมืดมัว ไม่รู้จักทำบุญกุศลจริต มีแต่จะกระทำกรรมอันบาปหนา หยาบช้า ไม่รู้จักละอายต่อบาป แม่กับลูกจะอยู่กินด้วยกันเป็นสามีภรรยา พี่สาวกับน้องชาย พี่ชายกับน้องสาว ทั้งพี่ป้าน้าอา ลุงหลาน จะสมสู่อยู่กินกันเป็นสามีภรรยากัน ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จะหนาขึ้นมาก อายุของสัตว์ก็จะน้อยลง ตราบจนเหลือ 10 ปี เด็กเกิดได้ 5 ปี ก็จะแต่งงานกันแล้ว และตอนนั้น มนุษย์ทั้งหลายเห็นเข้า ก็จะเข้าใจว่าเป็นเนื้อปลา จับอะไรได้เป็นต้นว่าท่อนไม้ผุ ก็จะกลับกลายเป็นอาวุธหอกดาบไป แล้วจะไล่ทิ่มแทงกันล้มตายเป็นอันมาก พ้นที่จะประมาณได้ ฝ่ายพวกคนที่มีสติปัญญานั้น รู้ว่าถึงวันนั้นคืนนั้น จะเกิดมิคสัญญี ฆ่าปันกันและวุ่นวายหนักหนา คนที่ดีมีวิชา ก็จะไปซ่อนเร้นอยู่ตามซอยห้วยซอกเขา ครั้นมนุษย์พวกบ้าดีเดือดทั้งหลาย ฆ่าฟันกันตายหมดแล้ว คนพวกนั้น ก็จะพากันออกจากที่ซ่อน ครั้นมาพบปะกันเข้า ก็จะพากันสวมกอดซึ่งกันและกัน ต่างหันหน้าเข้าปรึกษากันว่า ความฉิบหายที่เกิดแก่พวกเราในครั้งนี้ ก็เพราะผู้คนประมาท ก่อแต่บาปกรรมอันหยาบช้า แต่นี้ไปเบื้องหน้า เราจงอุตส่าห์กระทำความดี เว้นเสียจากฆ่าสัตว์ ประหัตประหารกันและกัน ลักขโมยของกัน ผิดผัวผิดเมียกัน พูดเท็จ และดื่มสุราเมรัย งดเว้นเสียจากการพูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เว้นจากความโลภ ความโกรธ ความเห็นผิด จากทำนองคลองธรรม เมื่อคนมีสติปัญญาปรึกษากันดังนั้นแล้ว ก็ตั้งหน้าบำเพ็ญบุญกุศล มีให้ทานรักษาศีลเป็นต้น คนพวกนั้น ครั้นมีลูก ลูกมีอายุได้ 3 ปี ต่อมามีหลาน ก็จจะมีอายุมากขึ้นไป 5 ปี และเจริญขึ้นโดยลำดับ ตราบเท่าอายุของมนุษย์ เจริญขึ้นได้อสงไขยหนึ่งแล้ว ความแก่และความตาย ก็มิได้บังเกิดมี คราวนั้น คนทั้งหลายก็กลับประมาทอีก เมื่อเกิดความประมาทขึ้น อายุของพวกเขา ก็เสื่อมถอยลงมา เหลือเพียงแปดหมื่นปี ตอนนั้น ฝนจะตกทุกๆ 15 วัน และส่วนมาก มักจะตกตอนใกล้รุ่ง ทำให้มนุษย์มีความชุ่มชื่นเจริญใน และพื้นดินอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำลำคลองมีกระแสน้ำไหลขึ้นข้างหนึ่ง ไหลลงข้างหนึ่ง เต็มเปี่ยมเพียบฝั่งไม่พร่อง ไม่ล้น อยู่อย่างนั้นเสมอ ดอกไม้ต่างชนิด ผลิดอกบานสะพรั่งตลอดกาล บ้านเรือนจะปลูกอยู่ใกล้ๆ กัน พอไก่บินถึง ปราศจากโจรผู้ร้าย บริบูรณ์ด้วยน้ำ และข้าวปลาอาหาร ผัวเมียจะไม่รู้จักทะเลาะวิวาทกัน ผู้ชายไม่ต้องทำไร่นาค้าขาย ผู้หญิงก็ไม่ต้องทอหูกปั่นฝ้าย ผ้าที่จะนุ่งห่ม ก็ล้วนแต่เป็นของทิพย์ อำมาตย์ข้าราชการ จะตั้งอยู่สุจริตธรรม ไม่เบียดเบียนอาณาประชาราษฎรให้เดือดร้อน พระมหากษัตริย์ ก็จะไม่มีกริ้วโกรธ ถือลงโทษพระราชอาญา มีพระทัยรักใคร่กรุณาแก่ประชาชน พวกสัตว์ที่เป็นศัตรูกันทั้งหลาย เช่น กากับนกเค้า แมวกับหนู งูกับพังพอน หมีกับไม้สาค้อ ก็จะแผ่เผื่อเมตตาจิตต่อกัน เลิกเป็นคู่เวรคู่กรรมกันต่อไป เครื่องใช้ไม้สอย มีสมบูรณ์ทุกอย่าง แผ่นดินก็จะราบเรียบเป็นหน้ากลอง ไม่มีหลักตอเสี้ยนหนาม คนทั้งหลายมีรูปร่างสวยงามเหมือนกันหมด ไม่มีคนใบ้ คนบ้า หูหนวก ตาบอด ง่อย เปลี้ย เสียขา เลย ทุกคนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน เห็นกันเข้าก็มีไมตรีรักใคร่กัน ในครั้นนั้น ชายจะมีภรรยารักคนเดียว สตรีก็จะมีสามีคนเดียว ไม่มีการล่วงประเวณีกัน และคนในยุคนั้น จะมีความผาสุกสมบูรณ์มาก ไม่ต้องทำมาหากิน ใช้สอยแต่เครื่องทิพย์ มีกิจอยู่แต่นั่งนอนฟังเสียงอันเป็นทิพย์ ไพเราะยิ่งหนักหนา ทุกคนล้วนมีสมบัติเหมือนกันหมด ไม่มีคนกำพร้าอนาถา ไม่มีคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ จะได้วิวาทแก่งแย่งชิงเอาบ้านเรือนไร่นาของกันและกันนั้น ไม่มีเลย และยุคนั้น พืชข้าวกล้าเพียงเม็ดเดียว ถ้าตกลงพื้นดิน แล้วก็งอกขึ้นเป็นต้นเป็นลำปล้อง หน่อ และเป็นกอใหญ่ๆ ออกไปได้ร้อยเท่าพันทวี ทั้งหมดที่เป็นดังนี้ ก็เพราะข้าพเจ้า ได้สั่งสมบารมีไว้มาก

    ในศาสนาของข้าพเจ้า ไม่มีคนบ้าใบ้ เพราะข้าพเจ้าไม่เคยพูดเท็จล่อลวงคนอื่น
    ไม่มีคนตาบอด เพราะข้าพเจ้ามองสมณะผู้มีศีลและยาจกทั้งหลาย ด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่สงสาร
    ไม่มีคนง่อยเปลี้ย เพราะในเวลาทำบุญให้ทาน ข้าพเจ้าจะยืดตัวตรงเสมอ
    ไม่มีคนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะข้าพเจ้าเคยถวายยาเป็นทาน
    ไม่มีมารผจญ เพราะข้าพเจ้า ไม่เคยทำให้สัตว์ตกใจ
    ในศาสนาของข้าพเจ้าจะมีแต่คนรูปร่างงดงาม เพราะข้าพเจ้าให้สิ่งของที่รัก เป็นทานแก่สมณพราหมณ์ และยาจกวณิพกเสมอ
    คนในศาสนาของข้าพเจ้า ได้ไปสวรรค์ทุกคน เพราะข้าพเจ้าเคยให้ช้างม้า ราชรถ ยวดยานพาหนะเป็นทาน
    ในศาสนาของข้าพเจ้า แผ่นดินราบเรียบเสมอ เพราะข้าพเจ้าแผ่เมตตาจิต ไปยังสัตว์ทั้งหลายเสมอ
    คนในศาสนาของข้าพเจ้ามั่นคงสมบูรณ์ด้วยความสุข เพราะข้าพเจ้าให้ทานแก่ขอทาน ด้วยทรัพย์สิ่งของเงินทอง ตามที่เขาปรารถนาโดยทั่วถึง

    ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าบำเพ็ญบารมีมาช้านนานถึง 16 อสงไขยแสนกัปป์ บารมี 30 ทัส นั้น ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาอย่างพร้อมมูลแล้ว ข้าพเจ้าจะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อโปรดสัตว์ทั้งหลาย โดยจะเกิดในตระกูลพราหมณ์ มหาศาลบริบูรณ์ด้วยสมบัติ



    พระบิดานั้น ทรงพระนามว่า สุพรหมพราหมณ์ เป็นปุโรหิต ของ พระเจ้าสังขจักรพัตราธิราช
    พระชนนี นามว่า นางพราหมณ์วดีพราหมณี
    อัครสาวกเบื้องขวา นามว่า พระอโสกเถระ
    อัครสาวกเบื้องซ้าย นามว่า พระสุพรหมเถระ
    อัครสาวิกาเบื้องขวา นามว่า ปทุมาเถรี
    อัครสาวิกาเบื้องซ้าย นามว่า สุมนาเถรี
    อุบาสกพุทธอุปัฎฐาก 2 คน นามว่า สุทัตตคหบดี และ สังฆหบดี
    อุบาสิกาพุทธอุปัฏฐาก 2 คน นามว่า ยสปวดี และ สังฆอุบาสิกา
    ไม้ที่ตรัสรู้ คือ ไม้กากะทิง ขนาดลำต้น จากพื้นไปถึงคาคบ 120 ศอก จากคาคบ ขึ้นไปถึงยอด 120 ศอก มีกิ่งใหญ่ 4 กิ่ง ทอดออกไปในทิศทั้ง 4 ทอดออกไปในทิศทั้ง 4 ยาวได้กิ่งละ 120 ศอก รวม 480 ศอก มีดอกเท่ากงจักรถ แต่ละดอกนั้น มีเกสรได้ทะนานหนึ่ง มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไปไกลถึง 500 โยชน์
    ตอนที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะมี พระกายสูงได้ 88 ศอก จากพื้นพระบาท ถึง พระชานุ 22 ศอก จากพระชานุ ถึง พระนาภี 22 ศอก จากพระนาภี ถึง รากขวัญ 22 ศอก จากพระรากขวัญ ถึง พระอุณหิส 22 ศอก พระชนมายุได้ 8 หมื่นปี
    ศาสนาของข้าพเจ้ายืนยาวถึง 8 พันปี"
    ฝ่ายพระมาลัยเมื่อได้ฟังพระศรีอาริย์ บรรยาย ก็ถามต่อไปอีกว่า
    "มหาบพิตร เท่าที่พระองค์ทรงเล่ามา อาตมายังกำหนดไม่ได้เลยว่า พระองค์จะลงไปโปรดมนุษย์ เมื่อใด?"

    "ก็ตอนที่ข้าวสาลีเมล็ดเดียว บังเกิดเป็นข้าวสารร้อยเจ็ดสิบเมล็ด จุเต็มสองเล่มเกวียนกับสิบหกสัดใหญ่ๆ เท่าสองกระบุงเมื่อใดนั่นแหล่ะ พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าจะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ โดย ครั้งแรกจะเป็นมนุษย์ธรรมดาก่อน กระทำ สัตตสตกมหาทาน บริจาคลูกเมียเหมือนพระเวสสันดร แล้วจะกลับขึ้นมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตอีกระยะหนึ่ง จนถึงตอนที่สัตว์ทั้งหลาย มีอายุน้อยลงจากอสงไขย มาเป็น แปดหมื่นปี ชมพูทวีปบริบูรณ์ มีเมล็ดข้าวสาลีเพียงเมล็ดเดียวแต่ให้ผลมากมายดังก่อน ตอนนี้แหละ ข้าพเจ้าจะได้ไปจุติ ไปบังเกิดในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ขอรับ"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเสด็จไปเอง หรือมีผู้มาเชิญเสด็จไป?"

    "เข้าใจว่าคงมีผู้มาเชิญขอรับ และผู้ที่จะเชิญก็คือ เทวดาในหมื่นจักรวาล มี ท้าวมหาพรหม เป็นประธาน สำหรับข้าพเจ้า เมื่อได้ฟังคำเชิญของเทวดาทั้งหลาย ก็จะแลเห็นโลก ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ กาล ประเทศ ทวีป ตระกูลมารดา และ สัตว์ทั้งหลาย ตามเยี่ยงอย่าง พระบรมโพธิสัตว์แต่ก่อน มาพิจารณาดู

    กาล อายุสัตว์ ครั้งนั้น ไม่มากกว่าแสนปีขึ้นไป ไม่น้อยกว่าร้อยปีลงมา เพราะถ้าสัตว์มีอายุมากกว่าแสนปี ความแก่ความตาย ไม่ค่อยจะบังเกิดปรากฏให้เห็น บรรดาสรรพสัตว์ ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ไม่เห็นสังขาร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะไม่เชื่อถือพระธรรม มรรคผลก็จะไม่บังเกิดขึ้น และพระธรรมเทศนา ก็จะไร้ประโยชน์ อีกประการหนึ่ง ถ้าสัตว์อายุน้อยกว่าร้อยปีลงมา ก็หาเป็นการสมควรที่พระพุทธเจ้า จะลงไปตรัสรู้ไม่ เพราะสรรพสัตว์พวกนี้ จะมีกิเลสหนากล้านัก จะรับโอวาท หรือเชื่อถือแต่เพียงต่อหน้าเท่านั้น พอลับหลัง ก็ลืมโอวาทสั่งสอนเสีย รับศีลไปประเดี๋ยวก็ทิ้งศีลเสีย ไม่ผิดอะไรกับรอยขีดในน้ำ ดังนั้น เวลที่เหมาะสำหรับการลงไปตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือในระหว่างแสนปีลงมา และตั้งแต่ร้อยปีขึ้นไป
    ทวีป ดูทวีปใหญ่ทั้งสี่ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารนั้น โดยลงความเห็นว่า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ผู้บังเกิดในชมพูทวีป อันเป็นมัชฌิมประเทศ ที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอสีติมหาสาวก พระเจ้าจักรพรรดิ์ และชนผู้มีบุญญาธิการมาก มักบังเกิดเป็นส่วนมาก
    ประเทศ ครั้งนั้น กรุงพาราณสี มีชื่อว่า มัณฑารนคร กว้างใหญ่ สิบสองโยชน์ พวกมนุษย์ถอนอายุลงมา จากอสงไขย ด้วยความประมาท มีอายุแปดหมื่นปีเป็นอายุขัย กรุงมัณฑารนครนั้น เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เกตุมบดีนคร บริบูรณ์ด้วยวัตถุสิ่งของทั้งปวง สมควรที่จะบังเกิดในกรุงเกตุมบดีนครนี้
    ตระกูล พิจารณาถึงตระกูลอันสมควรว่า ประเพณีสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมบังเกิดในตระกูล ซึ่งโลกนับถือ คือ ตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ ตอนนั้นโลก นับถือตระกูลพราหมณ์ ว่าประเสริฐ สมควรที่จะลงไปบังเกิดในตระกูลพราหมณื ซึ่งเป็นปุโรหิตผู้ใหญ่ ของพระเจ้าสังขจักร
    บิดามารดา พิจารณาดูว่า สุพรหมพราหมณ์ สมควรจะเป็นบิดา นางพราหมณี ชื่อ วดี สมควรจะเป็นมารดา
    รวมเป็นห้าประการด้วยกัน ขอรับ พระคุณเจ้า"
    "แล้วนางผู้เป็นคู่บุญบารมีของมหาบพิตร ชื่ออะไร และพระกุมารองค์ไหน จะได้เป็นพระโอรสของพระองค์?"

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า นางอนุลาเทวี เป็นคู่สร้างบารมีของข้าพเจ้า ซึ่งจะได้เป็นอัครมเหสี นามว่า นางจันทมุขีเจ้าสาลี ราชโอรสของพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินี จะได้เป็นโอรส มีนามว่า พรหมวดีกุมาร ขอรับ"

    "ตอนที่พระองค์จะเสด็จออกผนวช พระองค์เห็นบุพพนิมิตประการใดหรือไม่ และกระทำบำเพ็ญเพียรมากน้อยเท่าใด มหาบพิตร?"

    "ข้าพเจ้า จะเห็น บุพพนิมิต สี่ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ นักบวช ขอรับ พระคุณเจ้า และวันนั้น ปราสาทที่อยู่ของข้าพเจ้า จะลอยไปกลางอากาศ เมื่อข้าพเจ้าผนวชแล้ว จะบำเพ็ญเพียรประมาณเจ็ดวัน ตกเย็นวันที่เจ็ด จะไปนั่งที่ควงไม้กากะทิง แล้วได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

    เมื่อพระศรีอาริย์บรมโพธิสัตว์ ได้ตรัสกับพระมาลัยมามากมาย ถึงตอนนี้แล้ว ก่อนจะจากลา จึงสั่งพระเถระว่า

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า พระคุณเจ้ากลับไปโลกมนุษย์แล้ว จงบอกแก่ชาวชมพูทวีปด้วยว่า อย่าได้สร้างเวรทั้งห้า คือ

    อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    อย่าลักขโมยเข้าของเงินทองผู้อื่น
    อย่าล่วงละเมิดลูกเมียผู้อื่น
    อย่าเจรจาโกหกหลอกลวง
    อย่าเสพสุราเมรัย
    ให้สมาทานอุโบสถศีล และเว้นจากอนันตริยกรรม ทั้ง 5 ประการ มี ฆ่าพ่อแม่ เป็นต้น แล้วก็จะได้พบศาสนาของข้าพเจ้ดั่งประสงค์ ขอพระคุณเจ้าจงบอกเล่าให้พวกเขาทราบ ตามที่ข้าพเจ้าสั่งนี้ด้วยเถิดขอรับ"
    ครั้นสั่งเสร็จ พระศรีอาริย์ ก็ถวายนมัสการลาพระเถระ ลุกขึ้น กระทำอภิวาท ประทักษิณพระจุฬามณีเจดีย์ แล้วเสด็จกลับ พร้อมด้วยบริวาร เหาะลอยขึ้นสู่นภาอากาศ ตรงไปยังดุสิตพิภพ อันเป็นที่อยู่ของพระองค์ โดยไม่รอช้า

    ฝ่ายพระมาลัยมองตามพระศรีอาริย์ไปด้วยความชื่นชม ในบุญบารมีจนลับตา แล้วก็หันมาถวายพระพรลา พระอินทร์ แล้วถวายอภิวาทนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์ 3 ครั้ง จึงกลับลงสู่โลกมนุษย์ดังเดิม

    ครั้นวันรุ่งขึ้น พระเถระได้เข้าบิณฑบาตในบ้านกัมโพชคาม พร้อมทั้งบอกชาวบ้านทั้งมวลว่า พระศรีอาริย์สั่งมาว่าดังนี้ หากท่านปรารถนาจะพบศาสนาพระศรีอาริย์ จงตั้งใจทำบุญกุศล เพิ่มพูนบารมีให้มากๆ เข้าเถิด แล้วจะได้เกิดในศาสนาของพระองค์สมประสงค์

    ฝ่ายมหาชนชาวบ้าน ครั้นได้ฟังคำบอกเล่าของพระเถระแล้ว ต่างก็มีกำลังใจมุ่งมั่นในการทำบุญกุศลมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ และครั้นสิ้นชีพแล้ว ก็ไปบังเกิดบนสวรรค์โดยทั่วกัน แล

    สิ่งที่พวกเขาหวังกันมากที่สุด คือ การได้พบศาสนาพระศรีอาริย์นั้น คงจะอยู่ใกล้เขาเพียงแค่เอื้อมเท่านั้นเอง ยังไงๆ พวกเขาต้องได้พบแน่ ขณะนี้เพียงแต่เสวยสุขบนสวรรค์ รอการมาตรัสรู้ของพระองค์เท่านั้นเอง

    ----------------
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • GoodNight.jpg
      GoodNight.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.6 KB
      เปิดดู:
      416
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2005
  2. Sittirat

    Sittirat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +821
    รีบทำบุญกันมากๆนะครับ จะได้ไปเกิดในยุค พระศรีอริยเมตไตรย์
     
  3. yut2u

    yut2u เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +464
    ยอดเยี่ยม
    [​IMG]
     
  4. jairlinethai

    jairlinethai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,634
    อนุโมทนาด้วยครับ

    ผมซื้อหนังสือ พระมาลัยท่องสวรรค์-นรก มาอ่านแล้ว

    ทำให้เห็นภาพชัดเจนเลยครับ
     
  5. Sittirat

    Sittirat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +821
    ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลาเข้ามาอ่านนะครับ....ขอผลบุญรักษาและขอเจริญในธรรมครับ...สาธุ สาธุ สาธุ
     
  6. Peacefulness

    Peacefulness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +246
    ขออนุญาต ท่าน Sittirat แนะนำหนังสือนะครับ

    :cool: ต้องค่อยอ่านกันนะครับ อ่านครบหมดแล้ว คงได้รู้ อะไรอีกเยอะเลย
    (verygood) ​

    To download the book
    CLick Here
    [​IMG]
    [​IMG]

    ข้าพเจ้าขอ อนุโมทนาบุญ กับ ทุกๆท่าน ด้วยครับ
    สาธุ...สาธุ...สาธุ...ครับ [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  7. สะใภ้เพชรบูรณ์

    สะใภ้เพชรบูรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +424
    สุดยอดเลยค่ะ เหมือนหนังหรือนิยายแนวแฟนตาซีเลยอะ แต่ยังไงก้ออยากไปเกิดเป็นนาฟ้าหน้าแฉล้มอยู่ดีอ่ะนะ อนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ...
     
  8. เวฬุวัล

    เวฬุวัล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,843
    ค่าพลัง:
    +505
    อนุโมทนา สาธุด้วยค่ะ
    จะตั้งใจทำความดีเพื่อให้เกิดในยุคของพระศรีอาริยเมตรัย
     
  9. suan555

    suan555 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +11
    สาธุครับ ขออนุโมทนาด้วยคนครับ อุตส่าห์พิมพ์พระมาลัยท่องนรกมาให้ได้ศึกษากันครับ ขอบคุณมากๆเลยครับ
     
  10. suan555

    suan555 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +11
    สาธุครับ ขออนุโมทนาด้วยคนครับ อุตส่าห์พิมพ์พระมาลัยท่องนรกมาให้ได้ศึกษากันครับ ขอบคุณมากๆเลยครับ
     
  11. jameskungz

    jameskungz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +26
    อนุโมธนาครับ

    อ่านดูแล้ว บทแรกๆ น่ากลัวนะ บรรยายซะเห็นภาพเลย = =
     
  12. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +3,381
    อนุโมทนาบุญค่ะ

    เคยอ่านเรื่องของพระมาลัยจากในหนังสือ ชอบมากค่ะ
     
  13. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ผมอ่านไม่จบครับ แต่รู้ว่าอ่านแล้วดีมาก

    รีบๆทำบุญนะครับ ผมอนุโมทนาด้วยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...