เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ mead [​IMG]
    ตอนนี้ฟังได้ที่เวปไซท์ที่เดียว..เดี๋ยวต้องถามคุณเลขาฯครับ
    บรรเลงดนตรีได้เพราะมากเลยนะครับ เป็นบทเพลงแห่งความฝัน+B-Flat
    คุณไชยา ท่าทางชอบเล่นดนตรี--
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอสนับสนุนครับ เพลงบรรเลงเพราะมาก
    ผมบันทึกไว้ใน mp4 แล้ว เอาไว้เวลาทำสมาธิใส่หูฟัง
    น่าจะช่วยกระตุ้นสองซีกขวาได้ดี

    ขอบคุณ คุณmead สหายต่างดาว เป็นอย่างยิ่งครับ(ping)

    ขอชี้แจงนิดนะครับ

    หลายท่าน pm มาให้เกียรติผมมาก เรื่องการบันทึกเสียงลง
    mp4 แหะๆ ผมก็แค่เอาไปจ่อลำโพง แล้วกด REC. เท่านั้นเองครับ
    ไม่ได้มีความสามารถทางเทคโนโลยีชั้นสูงแต่ประการใด
    อาศัยอยู่ในห้องปิดทึบ เสียงรบกวนเข้าแทรกได้น้อยมาก

    ต้องขออภัยที่ทำให้หลงเข้าใจผิดนะครับ อิอิ[Embarrass
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. ประสงค์.

    ประสงค์. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +793
    ขอบคุณท่านเลขาของท่านอาจารย์อนาลัย ขอบคุณครับ
     
  3. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,915
    เมื่อคืนลองทำตาม ผลคือ

    รู้สึกจะหลับลึกกว่าเดิม(หรือฝันแล้ว ผมจำไม่ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกัน) และไม่สะดุ้งตื่นกลางดึก ผมก็งงๆ ปกติผมจะเป็นคนนอนแล้วสะดุ้งตื่นกลางดึก จากนั้นก็จะหลับไม่ค่อยลง

    ตอนตื่นมา ตัวเองอยู่ในท่าเดิมเหมือนกับตอนเอนตัวลงนอน คือนอนหงาย ผมเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน เป็นไปได้ไงที่เราตื่นมาก็ท่าเดิม เหมือนจะนอนท่าเดิมตลอดทั้งคืน! เพราะผมจะเป็นคนนอนหมุนซ้ายขวา ไม่นิ่ง ก่อนจะลืมตาเหมือนเราจะตื่นแล้ว แต่รู้สึกเหมือนจะสะลึมสะลือ ครึ่งๆกลางๆบอกไม่ถูก แต่พอลืมตาปุ๊บ ก็ตื่น ดูนาฬิกา 6.00 น. พอดีเลย ไม่ก็เข็มจะคลาดจากนี้นิดหน่อย ก่อนจะนอนตั้งจิตไว้ว่าจะตื่นตี 5 ครึ่ง เหรดตั้งครึ่งชัวโมงแน่ะ แต่ตอนนอนขอย้ำว่าไม่รู้สึกตัวเลยนะครับ

    เอามาเล่ากันเล็กน้อย ปั่นกระทู้เล่นๆ อิอิ
     
  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
  5. ต้นTKenji

    ต้นTKenji เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +683
    ขอขอบคุณพี่เลขาของท่านอาจารย์ "โนวา อนาลัย" ที่ช่วยชี้แนะให้ผมเข้าใจ
    และผมก็จะพยายามฝึกต่อไปครับ
     
  6. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,915
    เหมือนท่านจะรู้ใจผมเลย เมื่อกี้ผมพึ่งนำข้อมูลบางส่วน ไปพิมพ์ไว้ที่กระทู้นึงในเว็บพันธุ์ทิพย์

    ไม่ได้ๆเดี๋ยวต้องศึกษาให้เข้าใจถี่ถ้วนจนแจ้งก่อน

    ขออนุโมทนากับท่านเลขา อาจารย์อนาลัยด้วยนะครับ
     
  7. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ประสบการณ์ล่าสุด-จากนักเขียน

    เมื่อมาร่วมสนทนากับกลุ่มพลังจิตตามคำชวนของคุณ Mead ตั้งใจว่า "มาคนเดียว" ในฐานะนักเขียน และได้สมัครสมาชิกเข้ามาด้วย username: writer และก็ได้รับ confirm จาก webmaster เรียบร้อยไปแล้ว แต่ปรากฏว่า log in ไม่ได้กว่า 3 ชั่วโมง ขอ confirm password จาก webmaster ก็ได้ตอบ confirm มาอีก แต่ก็ log-in ไม่ได้อยู่ดี ทำให้เพื่อนๆต้องปูเสื่อคอยกันจนหลับเงก ต้องขอโทษอีกหลายหนค่ะ แต่ในที่สุดก็มีแรงดลใจให้สมัครสมาชิกเข้ามาใหม่โดยใช้ username: nova_analai ก็ log-in ได้ทันทีทันใด ใจก็คิดว่า ความบังเอิญนั้น-ไม่มี

    แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความคิดด้วยเหตุผลอยู่ดีนะคะว่า จะมาร่วมสนทนากับเพื่อนๆกลุ่มพลังจิตในฐานะนักเขียน-นักเรียน จะได้สนุกกัน เพราะชอบ energy ของทุกคนมากๆ แค่ log-in เข้ามาก็รู้สึกขำขัน ร่าเริงและสุขไปด้วยทันที เหมือนอยู่ถูกที่ถูกกลุ่ม ถูกใจ ฟังเพลงที่นักร้องหมู่ร้องกันคนละบรรทัดแล้ว สุขมากๆ อยากร้องด้วยคน

    จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการเขียนหนังสือ ผู้เขียนได้ใช้วิธีการทำงานแบบแยกส่วน คือ ยามฝัน-ใช้สติสัมปชัญญะของตัวตนภายในทำงานด้วยการไป download และจดจำข้อมูลความรู้มาจากท่านอาจารย์อนาลัย ยามตื่น-ใช้สติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอกอ่านทบทวนข้อความและภาพที่จดบันทึกไว้ แล้วก็ถอดความหรือรหัส โดยได้ยินเสียงท่านอาจารย์จากภายในเป็น guide ให้ เปรียบได้กับการทีเลขาจดชวเลขไว้ แล้ว boss ก็มาสั่งทวนให้ถอดความออกมาให้เต็มภาพโดยกำกับการถอดชวเลข แต่ที่กลับกันกับการจดชวเลขก็คือ สมุดจดความฝันของผู้เขียนตั้งเบ้อเร่อ แต่เมื่อถอดความแล้วกลับบีบอัดลงมีแต่เนื้อ น้ำหายหมด ที่จดไว้แล้วมาถอดความเป็นหนังสือ 10 เล่ม ได้จดมายาวนานกว่า 7 ปีกว่าจะมาเริ่มถอดความ ซึ่งได้เล่าเรื่องให้ฟังไว้ในบันทึกของนักเขียน (http://www.novaanalai.com/novaanalai/07Journal.html)

    ตัวเองพิมพ์สัมผัสไม่เป็น และ keyboard ไม่มีอักษรไทย คลำผิดคลำถูก และมักหาตัวอักษรไม่เจอบ่อยๆ ต้องจิ้มหาทีละตัวจนอ่อนใจบ่อยๆ เมื่อเริ่มต้นพิมพ์คิดว่า จดมา 7 ปี แค่จะแปลงที่จดมาเป็นตัวพิมพ์ คงปาไป 10 ปี เพราะเมื่อทำงานเขียนหนังสือส่วนตัวอื่นๆที่ทำมาในอดีตสมัยอยู่เมืองไทย แป้นพิมพ์มีภาษาไทยด้วยซ้ำไป speed การพิมพ์คือ 1 หน้า A4 ใช้เวลา 6-8 ชั่วโมง (เลขาสอบตก) เพราะต้องคิดไป-เขียนไป ตัดต่อข้อความและ จิ้มผิดจิ้มถูก ต้องอาศัยคนอื่นพิมพ์ให้บ่อยๆ

    แต่เมื่อมาพิมพ์หนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย speed การพิมพ์คือ 25-30 หน้า A4 ใช้เวลา 6-8 ชั่วโมง ไม่เคยต้องตัดต่อ พิมพ์รวดเดียว ไม่มีการแก้ไข หรือ edit อย่างมากก็แก้้ typo บ้างนิดหน่อย แต่การเว้นวรรคที่ปรากฏคลาดเคลื่อนไปบ้างในหนังสือ เกิดจากการ transfer file ผ่าน internet ผ่านเครื่อง PC ของทางโรงพิมพ์หลายต่อกว่าจะไป print

    สรุปคือ ใช้เวลาจดบันทึกมา 7 ปี ใช้เวลาถอดความและพิมพ์ต้นฉบับ (3,125 หน้า) 4 เดือนด้วยแป้นพิมพ์ที่ไม่มีอักษรไทย ใช้เวลาจัดเรียงตัวอักษร วาดภาพหน้าปกด้วยกาแฟ espresso บวกกับ paint ด้วยสี acrylic จากนั้น scan artwork แล้วนำมาใช้ออกแบบปกอีก 3 เดือน รวมเป็น 7 ปี 7 เดือน

    ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่เคยเผชิญกับภาวะที่ต้อง "เขียนสด" มาก่อน เพราะคุ้นเคยกับการที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ download มาจากความฝันแล้วก็จดไว้ก่อน แล้วค่อยมาเรียบเรียงโดยมีเสียงภายใน guide หรือกำกับให้ทำ แต่เมื่อวานนี้ ได้เผชิญกับภาวะที่แปลกมากๆ คือเริ่มต้นด้วยการตอบกระทู้เพื่อนๆ ด้วยการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกฝัน ซึ่งก็เป็นการถ่ายทอดจากประสบการณ์ส่วนคัวอย่างตรงไปตรงมา แต่พอมาถึงช่วงที่จะตอบคำถาม สติสัมปชัญญะปรับเปลี่ยนไปอยู่ในภาวะเดียวกันกับที่เคยเขียนหนังสือ ต่างกันก็ตรงที่ไม่มีโพย หรือ ชวเลข ที่จดไว้จากความฝันอย่างที่เคย รู้แต่ว่าคืนก่อนหน้านั้น ในความฝันได้ยินคำถามมากมาย และก็ได้คำตอบมามากมาย แต่ตื่นขึ้นจำคำถามได้บ้างแต่จำคำตอบไม่ได้ เพียงแต่ประคองอารมณ์และความรู้สึกที่ได้จากการรับคำตอบไว้ จนกระทั่งมานั่งหน้าจอ และเผชิญกับคำถาม ความรู้สึิกที่เกิดขึ้นในขณะที่พิมพ์คำตอบ คือเหมือนน้ำที่ไหลรินจากเบื่องบนลงมาสู่จิตจนเติมเต็มเปี่ยมแล้วก็เอ่อล้นอย่างเอื่อยๆ ทำให้คำตอบหลั่งไหลออกมากอย่างง่ายดาย

    อยากจะแชร์ว่าประสบการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิตหลังจากมาทำหน้าที่ล่ามและเลขาของท่านอาจารย์อนาลัย โดยที่ตระหนักว่าสติสัมปชัญญะของตัวตนภายในกับสติสัมปชัญญะของตนตนภายนอกทำงานแบบไม่แยกส่วน แม้สติสัมปชัญญะยามตื่นของตัวตนภายนอกจะอยากเขียนเล่นๆสนุกๆคุยกับเพื่อนๆในฐานะนักเขียน-นักเรียน แต่สติสัมปชัญญะยามฝันของตัวตนภายในก็ทำงานซ้อน และแทบจะเข้าแทนที่ในทึ่สุด เป็นความรู้สึกที่ว่าน้ำมันไหลล้นไปตามภาวะ ต่อต้านไม่ได้ แม้สติสัมปชัญญะยามตื่นจะรู้เห็น อยากจะคุยเล่น แต่สติสัมปชัญญะภายในที่จริงจังกว่ากลับทำงานแทน สติสัมปชัญญะของตัวตนภายนอกก็กลายเป็นเฝ้าดู และยอมให้สติสัมปชัญญะของตัวตนภายในเข้าทำหน้าที่

    จึงคิดว่าต่อนี้ไป หากเป็นข้อความที่เป็นความคิดเห็นของนักเขียนเอง จะใช้ตัวหนังสือสีดำ
    ส่วนข้อความที่มาจากการ download จากท่านอาจารย์อนาลัย จะใช้ต้วหนังสือสีแดง เพื่อนๆจะได้ไม่งง ดีไหม?

    หวังว่าประสบการณ์เหล่านี้อาจคล้องจองกับประสบการณ์ของเพื่อนๆบางคนที่สัมผัสได้ถึงการทำงานของสติสัมปชัญญะอย่างน้อยก็สองส่วนด้วยกัน ช่วยเขียนมาแชร์กันบ้าง อย่าปล่อยให้นักเขียนเป็นประหลาดอยู่คนเดียว ...แต่อย่างน้อยนักเขียนก็ยังใจชื่นอยู่ว่ามีคุณ Mead เป็นมนุษย์ต่างดาวอยู่อีกคน...

    ในจุดนี้ขอคัดลอกบทความจากหนังสือของท่านอาจารย์ โนวา อนาลัยมาให้ศึกษากันนะคะ.......(แล้วอย่าลืมไปหาเล่มจริงอ่านกันต่อนะคะจะได้ไม่ผิดเพื่้ยน)
    - - - - - - - - - - - - - - - -
    ตามความเป็นจริงแล้วจิตวิญญาณซึ่งมาถือกำเนิดในร่างกายตัวตนทางกายภาพของเธอพร้อมด้วยบุคลิกภาพไม่มีการแบ่งแยก แต่เพื่อทำให้เธอเข้าใจได้ง่ายขึ้น ฉันจะแบ่งแยกสติสัมปชัญญะของเธอออกเป็นสามส่วนตามหน้าที่ของมัน:
    ๑.
     
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    copy & paste ค้นฉบับ

    น่ารักจัง เบรคดังเอี๊ยดเลย....นักเขียนจะ copy จากต้นฉบับมา paste ให้ศึกษากันบ้างเป็นครั้งคราวบน web board นี้นะคะ หากจะคัดลอกต่อเพื่อไปเผยแพร่ web อื่นๆ ก็ยินดีให้ copy ไป paste ได้เลยค่ะ อย่าพิมพ์ใหม่เลยนะคะเพราะจะผิดเพี้ยนได้ง่าย กรุณา copy สารจากท่านอาจารย์ไว้ข้างบนก่อน ต่อด้วยบทความ แล้วอย่าลืม copy บรรทัดสุดท้ายว่า quote มาจากหนังสือเล่มใด บทใด ด้วยจะขอบคุณมากๆเลยค่ะ
    นักเขียน
     
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถาม:

    สังคม วัฒนธรรมและศาสนา สอนให้เธอทั้งหลายเชื่อในการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ ซึ่งเป็นภาวะอันเป็นที่สุด เป็นภาวะอันเป็นจุดสูงสุดหรือเป็นจุดหมายปลายทาง ซึ่งเมื่อถึงภาวะดังกล่าวมันหมายถึงการสำเร็จ เสร็จสิ้น ครบถ้วน ปราศจากความจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหวหรือมีการพัฒนาต่อไปอีก เรียกได้ว่า เป็นจุดจบอันสมบูรณ์-เป็นเลิศ แม้แต่วิทยาศาสตร์ที่เธอรูัจักว่าก้าวหน้ากว้างไกลมากแล้วเมื่อเปรียบกับวิทยาการที่เธอเรียกว่าล้าหลังโลก ก็ยังจะพัฒนาต่อไปอีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้นการพัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศจึงเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า ไม่มีที่สิ้นสุด

    ความเชื่อเป็นจินตภาพ เป็นภาวะจิต ส่วนความรู้คือจิตวิญญาณและจิตวิญญาณคือความรู้
    เมื่อความเชื่อเปลี่ยนเป็นความรู้ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ความเชื่อได้แปลงสภาพเป็นจิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง ไม่ได้พัฒนาในลักษณะหนึ่งหน่วยต่อหนึ่งร่าง จิตวิญญาณไม่มีหน่วย นับไม่ได้ ส่วนย่อยของจิตวิญญาณสถิตย์อยู่ในทุกอนูของสรรพสิ่ง และไม่ได้มีขอบเขตหยุดอยู่เพียงแค่ผิวหนังของเธอ แม้ในขณะที่เธอดำเนินชีวิตเป็นร่างกายเนื้อหนังอยู่นี้ จิตวิญญาณของเธอก็มีขอบเขตที่ไร้ขอบเขต และเชื่อมต่อกับสรรพสิ่งทั้งหลาย หรือเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลอยู่ตลอดเวลาอย่างเป็นระบบเครือข่าย

    การพัฒนาของจิตวิญญาณจึงไม่ได้เป็นการพัฒนาของจิตวิญญาณหนึ่งหน่วย-ในร่างกายของใครคนใดคนหนึ่ง-จนถึงแก่ความตายของร่างกายของตัวตนอันโดดเดี่ยว-แล้วจากร่างไปอย่างเป็นกลุ่มก้อน หากแต่ว่าส่วนของจิตวิญญาณที่ได้รับการพัฒนาแล้ว หรือส่วนของความเชื่อที่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นความรู้แล้ว จะกลับไปรวมตัวกับจิตวิญญาณอันเป็นต้นกำเนิด เสมือนแหล่งน้ำบริสุทธิ์ที่เกิดจากการหลั่งไหลของน้ำเสียผ่านชั้นหิน และกลั่นกรองเป็นน้ำบาดาลที่บริสุทธิ์ แต่มันก็ไม่ได้เป็นแหล่งน้ำที่ปิดตาย มันเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำอื่นๆเป็นระบบเครือข่ายโดยหลั่งไหลไปจุนเจือน้ำเสียให้แปลงสภาพเป็นน้ำที่ดีขึ้น การขยายตัวของจิตวิญญาณคือการเพิ่มคุณค่าของความรู้ให้กับต้นกำเนิด อันเป็นแหล่งความรู้ที่เป็นของกลาง ซึ่งมีการถ่ายทอดทุกทิศทาง เช่นเดียวกับการถ่ายทอดและประสานกันระหว่างน้ำดีและน้ำเสีย มีการไหลเวียนถ่ายเท เพื่อก่อเกิดความสมดุลย์อยู่เสมอ แต่แหล่งน้ำนี้ก็ไม่ได้มีปริมาณหรือปริมาตรตายตัว มันแตกแขนงและขยายตัวออกไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้นจิตวิญญาณส่วนที่ได้แปลงสภาพความเชื่อให้กลายเป็นความรู้ จึงส่งผลให้จักรวาลขยายตัว

    ในที่นี้ ฉันต้องเตือนใจเธอด้วยว่า น้ำดี-น้ำเสีย จากมมุมมองของจิตวิญญาณ ก็เป็นเพียงน้ำที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันเท่านั้น แม้จิตวิญญาณจะมีทิศทางที่จะเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ ซึ่งเปรียบได้กับการเปลี่ยนน้ำเสียเป็นน้ำดี แต่จิตวิญญาณก็ไม่ได้มองเห็นน้ำเสียเป็นสิ่งเลวร้าย หรือต่ำต้อยกว่าน้ำดี มันเป็นเพียงความแตกต่างที่อยู่ในระบบเท่านั้น และความแตกต่างดังกล่าวก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเคลือนไหวในระบบ ในภาวะจิตของมนุษย์และจิตวิญญาณในโลกอื่นๆทุกโลก ความแตกต่างเหล่านี้้เป็นคุณสมบัติที่ก่อให้เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูล ความรักและความเมตตาต่อกัน ทำให้จักรวาลมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    การพัฒนาของจิตวิญญาณ คือ การพัฒนาด้วยการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ปราศจากจุดเริ่มต้นและจุดจบ เพราะจิตวิญญาณมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปก่อนการถือกำเนิดของจักรวาล จิตวิญญาณมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในอดีต-ปัจจุบัน-และอนาคต พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน จักรวาลขยายตัวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งจากการเรียนรู้ของจิตวิญญาณ การพัฒนาสู่ความเป็นเลิศอันเป็นกระบวนการที่มีจุดเริ่มต้น-จุดจบ จึงเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นตามเส้นทางแห่งกาลเวลาในโลกมนุษย์ ภายใต้เครื่องพรางและกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาเท่านั้น เธอจะนำกฎเกณฑ์อันจำกัดนี้ไปใช้กับจิตวิญญาณซึ่งอยู่นอกเหนือเครื่องพรางและกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาไม่ได้ แม้แต่โลกทางกายภาพโลกอื่นๆ ก็มีกฏเกณฑ์และเครื่องพรางที่แตกต่างไปจากโลกของเธอ

    กฏของจักรวาลเป็นกฏแห่งการดึงดูด ภาวะและประสบการณ์ต่างๆมาสู่ชีวิตของเธอได้ด้วยการดึงดูด การดึงดูดเกิดจากการจดจ่อด้วยอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด เมื่อเธอคิดว่า เธอจะได้รับโทษจากผลของการกระทำที่เธอก่อ ผลกรรมมาสู่ประสบการณ์ชีวิตของเธอได้ด้วยการดึงดูดอันเกิดจากความเชื่อและการจดจ่อด้วยอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ว่า - เธอสมควรได้รับโทษ

    จิตวิญญาณมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังเพื่อเรียนรู้ เพื่อเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้จากทุกมุมมอง จากทุกชาติภพ จากทุกมิติ พร้อมกันหมด เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์อันหลากหลาย-ไม่มีที่สิ้นสุด-เป็นอนันต์ การเรียนรู้พร้อมกันหมดทุกทิศทาง ทุกช่องว่าง และทุกกาลเวลา ทำให้จิตวิญญาณเติมเต็มได้อย่างแท้จริง เพราะจิตวิญญาณสถิตย์อยู่ทุกอนูของสรรพสิ่งทั้งหลาย หากการเรียนรู้เป็นไปที่ละร่างเดียว ชาติเดียว ภพเดียว มิติเดียว ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เธอรู้จัก จิตวิญญาณจะไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์อันหลากหลายได้

    ฉันได้กล่าวมาแล้วและจะกล่าวต่อไปอีกว่า แต่ละชึีวิตแต่ละชาติภพของเธอ เป็นศิลปะแห่งการดำเนินชีึวิตของจิตวิญญาณเป็นร่างกายเนื้อหนัง เธอมีความปรารถนาที่ผลักดันให้เธอมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง เพื่อเผชิญกับความทัาทาย ใฝ่รู้ และการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าของชีวิตอย่างดีที่สุดที่เธอจะทำได้ ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ที่เธอเลือกก่อนหน้าที่จะมาถือกำเนิด จิตวิญญาณของเธอมาถือกำเนิดพร้อมกับพลังอำนาจที่จะมีได้-ทำได้-เป็นได้อย่างดีที่สุดในแต่ละชาติภพ เธอจะตกเป็นทาสของความปรารถนาก็ต่อเมื่อเธอไม่รู้จักนำความสามารถอันซ่อนเร้นออกมาใช้ให้บรรลุผลสำเร็จในปัจจุบัน ความสามารถอันซ่อนเร้นเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เธอพัฒนาขึ้นได้ด้วยการนำเอาแรงบันดาลใจทั้งหลาย อันเกิดจากการรู้เห็นอย่างเป็นระบบเครื่อข่ายของตัวตนอื่นๆของเธอ ในชาติภพอื่น มิติอื่นและเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่น มาลงมือทำให้เป็นจริง เธออาจจะมีแรงบันดาลใจที่อยากจะเป็นศิลปิน แต่ถ้าหากเธอไม่นำเอาแรงบันดาลใจดังกล่าวมาใช้เพื่อพัฒนาความสามารถของตนเองให้บรรลุผลสำเร็จ เธอก็จะตกเป็นทาสของความปรารถนาต่อไป เพราะในส่วนลึกเเธอยังคงปรารถนาต่อไป เพราะมันยังไม่อาจเติมเต็มได้

    การเป็นทาสของความปรารถนา จะกลายเป็นสิ่งที่เธอเรียกว่า ทุกข์ ก็ต่อเมื่อเธอไม่ได้ใช้ความสามารถของตนเองอย่างดีที่สุดที่จะทำให้สำเร็จ-เพื่อบรรลุเป้าหมาย เธอไม่อาจดับความปรารถนาหรือที่พวกเธอมักเรียกกันไปในแง่ลบว่ากิเลสได้ ตราบใดที่เธอยังเป็นร่างกายเนื้อหนัง เพราะความปรารถนาเป็นกลไกที่ทำให้จิตวิญญาณเป็นอมตะ เมื่อเธอได้ใช้ความรู้ความสามารถของเธอทุกวิถีทางในทิศทางอันเป็นเอกลักษณ์ที่จะได้มี-ได้ทำ-ได้เป็น สมความปรารถนาแล้ว ก็จะมีความปรารถนาใหม่ๆผุดขึ้นมาต่อไปอีก เพราะจิตวิญญาณใฝ่รู้ และจะแสวงหาการเรียนรู้และการเติมเต็มต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

    แม้ฉันจะปราศจากร่างกายเนื้อหนัง ฉันก็ยังคงเต็มไปด้วยความปรารถนาต่อไป หากแต่ว่าความปรารถนาของฉัน เป็นความปรารถนในความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณในโลกอื่นๆ มิติอื่นๆที่จักรวาลขยายตัวต่อไปให้ต้องเรียนรู้ต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น และความปรารถนาของฉันก็เป็นสิ่งที่เติมเต็มได้อย่างเป็นธรรมชาติ เธอทั้งหลายก็เช่นกัน หากเธอรู้จักใช้ความปรารถนาของเธอไปในทิศทางที่มุ่งหาความรู้ เธอจะไม่ต้องพบกับความผิดหวังเพราะเมื่อเธอได้ความรู้แล้วมันจะไม่มีวันสูญสลาย แต่ความสุขที่ได้รับจากวัตถุธาตุและสิ่งอื่นๆที่เธอรับผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าของเธอคงสภาพอยู่ไม่ได้นาน

    กรรมเป็นภาวะของจิตวิญญาณที่ยังไม่อาจเปลี่ยนความเชื่อบางส่วนเป็นความรู้ได้ ยังผลให้จิตวิญญาณต้องดำเนินชีวิตเป็นร่างกายเนื้อหนังเพื่อเรียนรู้และเปลี่ยนความเชื่อให้เป็นความรู้ต่อไป สวรรค์และนรกเป็น"ภาวะของจิตวิญญาณ" ไม่ใช่เป็นสถานที่ ชีวิตในแต่ละชาติภพของเธอเป็นศิลปะในการดำเนินชีวิตเพื่อการเรียนรู้ ไม่ใช่การรับโทษหรือรอชดใช้โทษ ไม่ว่าประสบการณ์ชีวิตของเธอจะกำลังเป็นไปเช่นไร เธอกำลังเผชิญกับประสบการณ์ที่ก่อเกิดมาจากความเชื่อและการจดจ่อของตนเอง

    เมื่อกล่าวถึงความเชื่อ เธอมักจะคิดว่า มันเป็นการยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เธอมองไม่เห็น-รับรู้หรือจับต้องด้วยประสาทสัมผัสไม่ได้ เพราะเธอเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า เป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่เธอก็ไม่เคยตั้งคำถามสิ่งที่เธอเรียกว่า "ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาแล้ว" ว่ามันเป็นความเป็นจริง หรือเป็นเพียงความเชื่อที่สืบทอดกันมายาวนาน เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับการใช้สารสังเคราะห์บางชนิด ความเชื่อเกี่ยวกับวัคซีน ความเชื่อเกี่ยวกับยารักษาโรค ต่อเมื่อสิ่งเหล่านี้ส่งผลลบในวงกว้างขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์ของเธอก็หันมาเปลี่ยนทฤษฎีและทำการศึกษาวิจัยในทิศทางใหม่ ความเชื่อที่เคยเรียกว่าเป็นความรู้เหล่านั้นก็ถูกล้มล้างไป หรือถูกทดแทนด้วยความเชื่อใหม่ต่อไปอีก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันจบสิ้น

    ความฝันเกิดขึ้นและดำเนินไปคู่กันกับชีวิตยามตื่นของมนุษย์มายาวนานเท่ากับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่เธอบางคนก็ยังเชื่อว่าเธอไม่ฝัน เพียงเพราะสติสัมปชัญญะของเธอไม่อาจติดตามหรือรู้เห็นโลกแห่งความฝันได้คมชัดเท่าโลกยามตื่นของเธอ เธอก็สรุปโดยปริยายว่า โลกแห่งความฝันปราศจากความเป็นจริง หรือ "มันไม่ได้เกิดขึ้น" โลกแห่งความฝันยังคงดำเนินต่อไปแม้ในขณะที่เธอกำลังตื่นอยู่นี้ และสรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งบุคลิกภาพตัวตนของเธอในชาติภพอื่น มิติอื่น บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆในโลกแห่งความฝันหลายโลก ก็คิดคำนึงถึงโลกของเธอ และบุคลิกภาพตัวตนของเธอ-เป็นเพียงโลกแห่งความฝันและตัวตนในความฝันของเขาเท่านั้น

    จิตวิญญาณของเธอทั้งหลายฉลาดล้ำลึก แม้เธอจะเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายตามที่ศาสนา สังคมและวัฒนธรรมป้อนให้เธอ แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็เป็นสิ่งที่จิตวิญญาณของเธอไม่อาจจะรับเป็นความเป็นจริงได้โดยปริยาย และจะพยายามค้นหาความเป็นจริงต่อไปจนกว่าจะพบ

    ฉันได้กล่าวมาแล้วว่า ฉันไม่ได้มาเพื่อให้อะไรใหม่กับพวกเธอ แต่ฉันมาเพื่อเตือนความจำให้เธอระลึกได้ว่า เธอคืิอจิตวิญญาณอันเป็นอมตะ เธอมาแสวงหาประสบการณ์ในร่างที่เป็นกายภาพ ความเชื่อของเธอสร้างโลกแห่งความเป็นจริงและประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเธอ


    - - - - - - - - - -
    คำถาม:

    อาจารย์โนวา อนาลัย
    สอนว่าที่สุดของมนุษย์แล้วคืออะไรคะ
    ใช่นิพพานหรือเปล่าคะ?
    แล้วนรก สวรรค์
    มีจริงหรือไม่ในทรรศนะของอาจารย์คะ?

    เรื่องของเรื่องคือเคยอ่านเรื่องกฏแห่งกรรมมาก่อน
    แล้วเห็นว่าคนเราบางทีก็เป็นทาสของความอยากของตัวเอง
    จนทำให้ต้องลำบากมากมายภายหลัง
    โดยเฉพาะที่ต้องชดใช้กรรมในนรก
    ซึ่งพลาดนิดเดียวก็อาจจะตกกันได้ง่ายๆเลย
    เคยอ่านในหนังสือท่าน
    ถ้าจำไม่ผิด อ.
    กล่าวไว้เกี่ยวกับการเรียนรู้
    หากทำไม่ดีกะใคร
    ก็จะได้เรียนรู้ในสิ่งนั้น..น่าจะหมายถึงกฏแห่งกรรมอย่างของพุทธใช่มั้ยคะ?
    แล้วยังงี้
    จะมีกรรมที่ต้องชดใช้ในนรก
    หรือเสวยกรรมกันบนสวรรค์บ้างมั้ยคะ?
    - - - - - - - - -
    สวัสดีค่ะ อาจารย์..... ยากที่สุดคือการสร้างความเชื่อมั่นที่จะเชื่อ เชื่อในสิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้สัมผัส ไม่มีรูปธรรมใดๆ ให้มองเห็น รับรู้ แต่ก้อต้องสร้างความเชื่อมั่นกันต่อใช่ไหมคะ แล้ว ..ฝัน อยากจะฝันแต่ว่าไม่ฝันนี่จะทำงัยดี ไม่ได้พูดเล่นนะคะ นาน ๆ ถึงจะฝันสักที ก่อนนอนก้อตั้งสมาธิ ก้อดีค่ะ หลับสนิทมาถึงเช้า ตื่นตามเวลาที่คิดไว้โดยไม่ต้องอาศัยนาฬิกาปลุก หรือการตั้งสมาธิแบบไม่คิดอะไรก่อนนอนจะทำให้เราไม่ฝัน ประสาทสัมผัสที่หกก้อไม่เปิด แต่สนใจในเรื่อการใช้จิต-วิญญาณ ค่ะ
    .....อยากขอคำแนะนำค่ะ..ขอบพระคุณค่ะ
    - - - - - - - - -
    สวัสดีค่ะ...คุณ Writer
    หนูไม่เคยอ่านหนังสือของคุณมาก่อน แต่เมื่อได้อ่านก็สนใจ และกำลังติดตามศึกษา เรียนรู้และเข้าใจกับสิ่งที่คุณเขียน....ขอขอบคุณสำหรับความรู้และความเมตตาที่มอบให้ค่ะ
    - - - - - - - - - - -
    ขอคำชี้แนะ วิธีการเปิด/กระตุ้นตาที่สามด้วยครับ
    และหนังสือ 10 เล่ม มีการลงเป็นE Book หรือเปล่าครับ หาอ่านได้ที่ไหน และควรอ่านเล่มไหนก่อน ขอคำแนะนำด้วยครับ เอกณัฐยศ
    - - - - - - - - - - -
    สวัสดีครับอาจารย์ ผมมีอะไรจะถาม ถือว่าถามเล่นๆละกันนะครับ แค่อยากรู้เฉยๆ จริงๆก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร

    คือว่า การถือกำเนิดของ "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" แต่ละองค์นั้นมีผลต่อจักรวาลมากน้อยเพียงใดครับ แล้วจักรวาลอื่นๆ มีพระพุทธเจ้าอย่างโลกเรารึเปล่าครับ?

    ขอรบกวนด้วยนะครับ ออกจะไร้สาระไปนิดนึง
    ขอบคุณครับ
    - - - - - - - - - - -
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • dreamscene.jpg
      dreamscene.jpg
      ขนาดไฟล์:
      347 KB
      เปิดดู:
      155
  10. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,915
    ขอบคุณอาจารย์อนาลัย และพี่เลขาฯ มากๆครับ
     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    เคล็ดในการอ่านหนังสือ (ที่อ่านยาก) ให้เอาหนังสือวางไว้ข้างหัวเตียง เอาจิตจดจ่อกับหนังสือก่อนนอนแล้วขอให้จิตวิญญาณไปอ่านหนังสือล่วงหน้า (อย่าหัวเราะนะคะ) ตื่นมาอ่านหนังสือจะประหลาดใจว่า เหมือนได้อ่านข้อความที่อ่านมาแล้ว จะรู้เรื่องล่วงหน้าหมด เทคนิคนี้คุณลูกชอบมากๆ โดยเฉพาะเวลาสอบ อ่านหนังสือตอนตื่นไม่ทัน ก็อ่านตอนนอนหลับก็ได้ บอกเคล็ดให้แล้ว จะหัวเราะก็ไม่ว่า แต่หากนำไปฝึกแล้วได้ผล ขอส้มตำจานเด็ดก็แล้วกัน :)



    [​IMG]


    ผมเตรียมส้มตำจานเด็ด ไว้ให้คุณนักเขียนแล้วครับ
    ถ้าไม่อิ่ม เบิ้ลได้นะครับ

    สูตรนี้ของคุณ ฟอกแมน ครับ
     
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    พูดถึงสติสัมปชัญญะ ของท่านอาจารย์อนาลัย
    ช่างสอดคล้องกับ เรื่องสติสัมปชัญญะ ในทางพุทธศาสนามาก

    การฝึกสติสัมปชัญญะ ทางพุทธศาสนา ถือเป็นทางสายเอก
    เป็นการกำหนดรู้ตัวทั่วพร้อม จนสามารถกำหนดได้ถึงการรู้..สักแต่ว่ารู้
    เห็น...สักแต่ว่าเห็น...เมื่อถึงขั้นมหาสติ แล้ว คล้ายๆกับการเชื่อม
    สติสัมปชัญญะของตัวตนภายใน, ตัวตนในกาย และสิ่งแวดล้อมภายนอก
    เกิดความรู้ ความเข้าใจ เป็นญาณปัญญา คือความรู้ที่จะนำพาไปถึงซึ่งหนทางแห่งการหลุดพ้น..........น่าจะเป็นทำนองนี้นะครับ

    ถ้ายังไม่ตรงประเด็น ต้องขอรบกวนกราบเรียนท่านอาจารย์อนาลัย ช่วยแนะนำ หรือคุณนักเขียนก็ได้นะครับ

    เรื่องของประสบการณ์ ที่คุณนักเขียนเล่าให้ฟังข้างต้น
    เกี่ยวกับความสามารถในการสื่อถึงท่านอาจารย์อนาลัย
    เพื่อ ตอบคำถาม โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการที่เคยเป็นมา
    เหมือนกับการสื่อทางจิตวิญญาณโดยตรง

    คนที่ไม่เข้าใจในระบบของสถาวะดังกล่าว มักจะเรียกว่า ผ่านทรง
    หรือเข้าทรง......จุดนี้ช่วยไข ความรู้ที่ยังเคลือบแคลงสงสัย ไปได้มากทีเดียวครับ

    ขอบคุณครับ
     
  13. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบปัญหา-การทำสมาธิ

    เรียกพี่สั้นๆว่านักเขียนก็แล้วกันค่ะตามหน้าที่ ขออนุโมทนาด้วยที่น้องเจได้ฝึกทำสมาธิ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นวิธีการที่จำเป็นต้องฝึกปฏิบัติต่อไปอย่างสม่ำเสมอซึ่งจะทำให้ได้ความรู้จากภายในด้วยสติสัมปชัญญะที่จดจ่อได้อย่างคมชัด

    อาการที่รู้สึกเสมือนว่า ร่างกายพองโตก็ดี หรือบางคนกลับรู้สึกว่าตัวหดเล็กลงจนเหลือเท่าแมลงหวี่ก็ดีึ หรือเบาเหมือนปุยเมฆก็ดี ใหญ่เหมือนขุนเขาก็ดี ล้วนเป็นความรู้สึกที่บ่งบอกถึงความแตกต่างจากภาวะตามปกติที่เราเคยรู้เห็นตัวตนของเรา ซึ่งเกิดจากการที่จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปจากปกติ และประสาทสัมผัสทั้งห้าก็ละไปจากการรับรู้ตามปกติ อาการตากระพริบถี่ๆเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเป็นปกติสำหรับช่วงที่ก้าวล่วงไปสู่ความฝัน ซึ่งฝรั่งเรียกว่า Rapid Eye Movement (REM) หรือการกลอกไปมาของลูกตาอย่างรวดเร็ว คืนหนึ่งๆคนเราจะมีอาการเช่นนี้ได้ 4-5 ครั้งในขณะที่เผชิญกับประสบการณ์ในความฝัน และอาจเป็นช่วงยาวนานได้กว่าชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง

    เด็กเกิดใหม่จะอยู่ในภาวะนี้กว่า 80% ของการหลับแต่ละช่วง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ร่างกายของเขาเติบโตได้อย่างรวดเร็วกว่าเวลาตื่นเสียอีก ส่วนผู้ใหญ่จะอยู่ในภาวะนี้ยามหลับประมาณ 20-25% ของการหลับแต่ละคืน และเป็นช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง หรือรักษาโรคได้ตามธรรมชาติ

    การหายใจของเราอาจเปลี่ยนไปเมื่อสติสัมปชัญญะของเราเผชิญกับการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อที่เราไม่คุ้นเคย ตามธรรมชาติแล้ว สติสัมปชัญญะของเราจะทำหน้าที่ 3 ส่วนพร้อมกันหมดอย่างแยกไม่ได้ แต่ท่านอาจารย์อนาลัยท่านแยกให้เราเข้าใจได้ง่ายลงว่า เรามีสติสัมปชัญญะสามส่วนที่ทำหน้าที่จดจ่อแตกต่างกันคือ:
    1.สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับโลกภายใน และตัวตนภายใน
    2.สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับรูปกายหรือร่างกาย ในระดับอะตอม-เซลล์-โมเลกุล-อวัยวะ-ระบบอวัยวะทั้งหมด ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะที่เรารู้จักอันได้แก่ส่วนที่ 3
    3. สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับโลกภายนอก และตัวตนภายนอก
    (จากหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ บทที่ 2 - สติสัมปชัญญะของนักฝัน)

    ตามปกติที่เราคุ้นเคย สติสัมปชัญญะของเรารู้เห็นคมชัดแต่การจดจ่อกับโลกภายนอกและตัวตนภายนอกเท่านั้น การหายใจเป็นไปได้ด้วยสติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับรูปกายหรือร่างกาย น้องเจจะรู้ถึงความเป็นจริงนี้ได้จากการที่เราไม่รู้ตัวว่าเราหายใจเข้าออกได้อย่างไร นาทีละกี่หน โดยที่เราไม่ต้องควบคุมทุกวินาทีให้ตัวเราหายใจ แต่เราก็หายใจราวกับว่ามีสติสัมปชัญญะส่วนอื่่นมาหายใจให้เรา แม้แต่การเดินจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง เราก็ทำได้ด้วยสติสัมปชัญญะส่วนที่ 2 นี้ เพราะเราไม่ต้องรู้เห็นการทำหน้าที่ของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อแต่ละส่วนที่ทำให้ขาของเราย่างก้าวไปได้ เราลงเอยด้วยการเดินจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งได้โดยไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเราเดินกี่ก้าว หากเราไม่ได้นำสติสัมปชัญญะส่วนที่ 3 ที่เราคุ้นเคยมาช่วยติดตาม

    ในขณะที่สติสัมปชัญญะตามปกติคือส่วนที่ 3 ที่จดจ่อกับโลกภายนอกและตัวตนภายนอกที่เรารู้จักเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไป มันทำให้เรารู้สึกเสมือนว่าเสียการควบคุมบางอย่างที่เราคุ้นเคยไป เราจึงเกิดอาการหายใจไม่เป็นส่ำขึ้นมา

    การเห็นแสงสีขาวสว่างไปหมด เป็นสิ่งที่น้องเจเห็นด้วยสติสัมปชัญญะส่วนที่ 1 ที่เราไม่ค่อยจะคุ้นเคยหรือรู้เห็น ได้แก่สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับโลกภายใน และตัวตนภายใน ซึ่งรู้เห็นโลกหลากมิติในความฝัน

    แม้ว่าน้องเจจะรู้สึกว่าตัวเองมีสติสัมปชัญญะ แต่มันก็ไม่ใช่สติสัมปชัญญะส่วนที่เคยทำงานตามปกติที่เคยจดจ่อกับโลกภายนอกหรือตัวตนภายนอกอย่างที่เราคุ้นเคย นับว่าการฝึกฝนของน้องเจเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ และก้าวหน้าดีหากว่ายังไม่ได้เคยฝึกปฏิบัติมาก่อน เมื่อเราตกใจ-สติสัมปชัญญะส่วนที่ 1 และ 2 ซึ่งเราไม่ค่อยจะรู้เห็นการทำงานของมันเท่าไรก็มักจะดับวูบไป และถูกสติสัมปชัญญะส่วนที่ 3 ซึ่งจดจ่อกับโลกภายนอกและตัวตนภายนอกตามปกติเข้ามาควบคุมแทน มันจึงทำให้สิ่งที่รู้เห็นได้ด้วยสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับโลกภายใน ได้แก่แสงสว่างภายในดับวูบไป เหลือแต่ความมืด เพราะสติสัมปชัญญะตามปกติของเราจะรู้เห็นได้ก็ต้องอาศัยประสาทสัมผัสทั้งห้า มันจึงมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดเมื่อเราหลับตาหรือนอนหลับ

    ฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆอย่างสม่ำเสมอนะคะ อย่ากลัว อย่าตกใจ เพราะเราไม่ได้กำลังทำการทดลองกับสิ่งที่ผิดธรรมชาติหรือเป็นพิษเป็นภัย หากแต่ว่าเรากำลังฝึกฝนที่จะทำให้สติสัมปชัญญะของเรากลับคืนไปสู่ภาวะที่เป็นธรรมชาติที่สุด คือสามารถจดจ่อและรู้เห็นได้เต็มที่ทั้งสามส่วนและควบคุมได้ตามปรารถนา

    ต่อไปหากเผชิญกับอาการกระพริบตาถี่หรือหายใจแรงจนเหนื่อยอีก ให้ตั้งสติโดยไม่ต้องขยับเขยื้อนร่างกาย บอกกับตนเองว่า เราสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามปรารถนา เพราะทุกส่วนเป็นของเราพิจารณาดูอาการที่เกิดขึ้นและให้เชื่อถือว่า ธรรมชาติของจิตวิญญาณและร่างกายมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ประสบการณ์ที่เราเผชิญเป็นไปเพื่อให้เราเรียนรู้ผ่านสติสัมปชัญญะในภาวะต่างๆ สติสัมปชัญญะจำเป็นต้องได้รู้เห็นภาวะต่างๆเพื่อที่มันจะได้ขยายตัว และขยายการรู้เห็นต่อไป ให้ศรัทธาและมั่นใจในความฉลาดล้ำลึกและความใฝ่รู้ของจิตวิญญาณของตนเองค่ะ ความสงสัยและการตั้งคำถามเพื่อแสวงหาคำตอบเป็นปัจจัยก่อเกิดปัญญาค่ะ ไม่ว่าจะเผชิญกับสิ่งที่เรากลัวหรือไม่คุ้นเคยเพียงใด ให้ตั้งสติให้ดีและเผชิญกับมัน เราจะพบว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลย มีแต่สิ่งที่น่ารู้ น่าสนเท่ห์ และงดงามมากมายในโลกภายในหลากมิติ
    ขอบคุณค่ะสำหรับดอกไม้และทีื่ส่งใจมาแรงๆตั้งสองยก
     
  14. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ขอบคุณสำหรับสัมตำจานเด็ด อร่อยมากๆค่ะ ทานเท่าไรก็ไม่ยักกะหมด สูตรคุณ falkman ถ้าจะเป็นส้มตำทิพย์ และยิ่งต้องขอบคุณใหญ่ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับมหาสติทางพุทธศาสนา เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ (แม้อายุเก่าไปหน่อย) เชื่อว่าเมื่อเราพบความรู้ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นหลักการของศาสนาใดก็คงจะเห็นพ้องต้องกันหมดโดยปราศจากข้อขัดแย้งอย่างที่อาจารย์อนาลัยท่านว่านะคะ
     
  15. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ต่อไปนี้พวกเรามาเรียกพี่เลขาฯว่า"พี่นักเขียน"กันดีกว่านะครับ..เป็นกันเองดี อ่านไปแล้วก็อมยิ้มไปครับในความไม่บังเอิญหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันนี้..รู้สึกยินดีที่สุดที่มีเรื่องดีๆอีกเรื่องหนึ่งกำลังเกิดขึ้นบนโลกไซเบอร์แห่งนี้.. ก่อให้เกิดเป็นมิตรภาพฉันท์พี่-น้องได้อย่างถูกที่ถูกเวลาจริงๆครับ ถือว่าเข้ามาพักผ่อนแบบสบายๆนะครับ..ทานส้มตำอร่อยๆ ถ้าไม่อิ่มบอกครับ ผมขอเสริฟน้ำส้มเย็นๆให้พี่นักเขียนอีกสักแก้วครับ:-

    [​IMG] +++=ชื่นใจมั๊ยครับ? (b-smile)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2007
  16. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    สุขจริงๆ แม้จะอยู่ถึง Kansas ยังได้ทานน้ำส้มคั้นของคุณ Mead กับส้มตำของคุณ Mountain กระทู้นี้อิ่มหนำสำราญดีจริงๆทั้งกายทั้งจิต เพิ่งจะมาตามคำชวนของคุณ Mead ได้แค่ 4 วัน รู้สึกปลื้มมากๆที่มีน้องๆเพิ่มเข้ามาในชีวิตอีกมากมาย วันหลังจะอบขนมเค้กมาฝาก
     
  17. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ขอเน้นจากท่านอาจารย์ โนวา อนาลัย...

    ก่อนอื่นต้องขอย้ำว่า เราไม่ต้องฝึกหรือหัดว่าจะ "ถอดจิต" อย่างไร หรือจะให้จิตวิญญาณเดินทางออกไปสู่ร่างอื่นๆได้อย่างไร เพราะมันเป็นไปอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติทุกเมื่อเชื่อวันและคืน และมันก็ไม่ใช่การ "ถอดจิต" หรือการทำให้จิตวิญญาณออกจากร่างไปแต่อย่างใด จิตวิญญาณเพียงบางส่วนเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปเท่านั้น

    .................................................................................
    โอววว อาจารย์พูดเหมือนพระอรหันต์ที่เตือนลูกศิษย์เลยว่าเวลาฝึกสติปัฏฐาน
    อย่าส่งจิตออกนอกตัว (สงสัยจิตมันไม่ได้อยู่กะที่ มันเข้าออกนอก-ในตัวอยู่
    ตลอดเวลาอยู่แล้ว โดยธรรมชาติ เพียงแต่เราไม่มีสติรู้เอง)

    จึงไม่ต้องไปฝึกถอดจิตอะไรให้ยุ่งยาก

    เพราะจิตมันเข้าออกนอก-ในตัวตลอดอยู่แล้ว ฝึกว่าจะคอนโทรลจิตที่ออกนอก
    เข้าใน และฝึกจิตรู้ ให้มีสติรู้ทันเวลาที่จิตออกนอก-ในตัวดีกว่าใช่ไหมครับ?


    ดังนั้น ฝึกสติให้จิตรู้ทันทุกเวลาที่จิตออกนอกในตัวทั้งหลับและตื่นดีกว่า


    ส่วนการถอดกายทิพย์เหมือนถอดหญ้าปล้องนั้น คงใช้กรณีถอดออกมาเนรมิต
    กายให้คนอื่นเห็นเป็นมากกว่า 1 กาย เหมือนที่บันทึกไว้ในไตรปิฎก ที่มีพระ
    อรหันต์รูปหนึ่งถอดกายทิพย์เนรมิตร่างเป็นพระเต็มวัด อันนั้น คง "มโนมยิทธิ"


    กระมังครับ?
     
  18. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    มีความสุขมากครับที่ได้สนทนากับคุณนักเขียน ยากที่จะบรรยายอารมณ์
    ออกมาเป็นตัวหนังสือ...ขอเป็นตัวการ์ตูน ละกันครับ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ขอถามท่านอาจารย์โนวา อนาลัยครับ
    (อยากทราบจริงๆ เพื่อมั่นใจก่อนไปพูดกับคนอื่นต่อ ไม่ได้ลองภูมินะครับ)


    ภาวะ Non-REM (นอนหลับลึกไม่มีฝัน)
    เทียบเท่ากับภาวะ "ฌานสี่" โดยธรรมชาติ


    กล่าวแบบนี้ถือว่าใช้ได้หรือไม่?
     
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>mead, Nakamura, nova_analai, ประสงค์. </TD></TR></TBODY></TABLE>

    หวัดดีครับพี่นักเขียน...ยังไม่เข้านอนเหร๋อคับ:-
    เมื่อคืนผมเข้านอนดึกมาก เพราะต้องทำงานส่งเค้าวันนี้
    คิดว่าคงไม่ฝันแน่แล้ว..
    ก่อนนอนลองทำตามที่พี่นักเขียนแนะนำแบบสบายๆ
    ไม่ได้นั่งทำสมาธิเลย แต่ตั้งจิตบริเวณตาที่สาม..แล้วใส่ Key_word
    สั้นๆว่า "ผจญภัย" กับ"อาจารย์อนาลัย" สักพักนึงแล้วเข้านอนครับ

    ปรากฎว่าฝันแต่เรื่องผจญภัย ก้บกลุ่มเพื่อนๆและหน่วยกู้ภัยกลุ่มนึง
    เหมือนอยู่ในป่าชายเลน ต้องนั่งเรือยาง..ในฝันต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญเรื่องนึงเพื่อหาออกจากบริเวณนี้
    คิดว่าเป็นเหตุการณ์อนาคตใกล้ๆปัจุบันนี้ครับ เพราะเห็นเป้ที่ใส่ของเตรียมอพยบเป็นแบบสมัยนี้..แต่เหลือบไปเห็นนาฬิกา เป็นเลข 2009

    ในฝันจำได้ว่าฝันประมาณ 2-3 เรื่อง..อันอื่นๆจำได้ลางๆ แต่จำเรื่องนี้ได้ชัดมาก
    ทำให้เชื่อเลยครับว่าเราสามารถเลือกฝันเรื่องที่เราต้องการได้จริงๆ
    ที่ผ่านมาไม่เคยใส่ใจขนาดนี้..ตั้งใจว่าจะลองเลือกฝันเรื่องที่ยากขึ้นกว่านี้อีก
    คืนนี้เอาใหม่..




    <!-- currently active users -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...