เพื่อการกุศล มอบพระเครื่อง หลวงปู่บุดดาฯ ในงานกฐินสามัคคี สร้างพระประธาน หน้าตัก 20 ศอก

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย มหาหินทร์, 17 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    บุญทอดผ้ากฐินสามัคคี
    เพื่อร่วมสร้างพระพุทธรูป หน้าตัก 20 ศอก ในครั้งนี้
    เป็นการจัดสร้าง เพื่อ....

    1. สร้างเพื่อ เป็นองค์แทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเครื่องระลึกถึง เป็นพุทธานุสสติ
    2. สร้างเพื่อ เป็นเครื่องเครื่องสักการะ เป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นที่ชื่นชูใจ ให้แก่พุทธศาสนิกชน
    3. สร้างเพื่อ เป็นการ สืบทอด อายุ พระพุทธศาสนา ให้นานนับเนื่องไปตราบเท่า 5,000 วสา<O:p</O:p
    4. สร้างเพื่อ เป็นอานิสงส์พิเศษ คือ อานิสงส์สร้างพระพุทธรูป และ อานิสงส์เนื่องด้วยกฐินทา<O:p</O:p
    5. สร้างเพื่อ เป็นเครื่องแสดงความกตัญญู เป็นอริยสังฆานุสสติ ต่อ หลวงปู่บุดดา ถาวโร<O:p</O:p
    หลวงปู่ฯ เคยมาจำพรรษาที่วัดฯ นี้ และได้พัฒนา ก่อร่าง สร้างพุทธสถาน แห่งนี้<O:p</O:p

    .....................................................................................................................................................................

    สานสืบ ต่อเนื่อง จาก กระทู้บุญเดิม คือ....
    http://palungjit.org/threads/พระสมเด็จ-พระลีลามหาเศรษฐี-นางพญาอู่เงิน-หลวงปู่บุดดา-ถาวโร-มอบให้ในงานบุญกฐินทาน.298608/

    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้ากฐินสามัคคี
    โดยสามารถร่วมบุญสืบต่อเนื่องได้ทั้งปี <O:p</O:p

    กำหนดทอดผ้ากฐิน
    ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555

    หากสิ่งอันเป็นมงคลรายการไหนหมด
    จะได้ประสานกับทางวัดฯ ให้จัดรายการอื่น มามอบให้ ต่อไป

    สมทบทุนสร้าง พระพุทธรูป
    พระประธาน หน้าตัก 20 ศอก<O:p</O:p

    ณ วัดวังกระชอน อ.วังทอง พิษณุโลก <O:p</O:p

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรี สิงห์บุรี
    ท่านเคยมาจำพรรษา และพัฒนา สร้างวัดนี้ไว้

    ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการที่ได้เพียรสานสร้าง
    ขอกราบอาราธนาคุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>พระไตรรัตน์
    <st1:personName w:st="on" ProductID="พระไตรรัตน์ โปรดอำนวยพร">พรหม เทพเทวา นานาสิ่งศักดิ์สิทธิ์</st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="พระไตรรัตน์ โปรดอำนวยพร">องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงปู่บุดดา เป็นที่สุด</st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="พระไตรรัตน์ โปรดอำนวยพร"></st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="พระไตรรัตน์ โปรดอำนวยพร">โปรดอำนวยพร</st1:personName> ให้พวกเรา ทุกท่าน
    มีความสุขกาย สุขใจ
    คิดหวังสิ่งใดในสิ่งที่ดี ๆ ล้วนประสบกับความสำเร็จ สัมฤทธิ์ผล เป็นอันดี ทุกประการ
    มีมรรค มีผล พระนิพพาน เป็นที่สุด<O:p</O:p
    ด้วยเทอญ.


    ................................................................................................................................................................................................

    [​IMG]

    ทำบุญสร้างพระพุทธรูป
    อานิสงส์แผ่ไพศาล พุทธอัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้า ค่าค่าประมาณมิได้
    ยิ่งสร้างองค์ใหญ่ อานิสงส์ยิ่ง ยอดใหญ่ ยอดยิ่ง
    สร้างเป็น พระประธาน อานิสงส์ การเป็นผู้มีอำนาจย่อมเหนือกว่าผู้ที่ไม่ได้คิด ไม่ได้สร้างไว้
    มีอำนาจล้น เป็นมหาอำนาจในทางโลก
    และอำนาจอันยิ่งที่จะชนะกำลังใจตนเอง เพื่อชนะกิเลสทั้งปวง

    และ ที่สำคัญ..

    องค์หลวงพ่อฯ กล่าวไว้ในทำนองว่า สร้างพระพุทธรูป
    หรือ บำเพ็ญภาวนาใน พุทธานุสสติกรรมฐาน

    เป็นหนทางที่ใกล้ ที่ง่าย ต่อ พระนิพพาน อย่างยิ่ง
    (ท่านฯ บอกว่า พระพุทธเจ้า อยู่ที่ พระนิพพาน
    เรามีอนุสสติถึงท่านเสมอ ๆ แล้วเราจะไปที่ไหนได้)

    ขอน้อมโมทนาอย่างยอดยิ่ง

    สาธุ..
    สาธุ..
    สาธุ....

    ...............................................................................................................................................................................................​

    การร่วมงานสร้างพระพุทธรูป

    1. โอนเงินเข้าบัญชี<O:p</O:p

    ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดยิ่งเจริญ
    ชื่อบัญชี มหาหินทร์ มีเนตร์ขำ บั
    ญชีออมทรัพย์ 181-225239-4<O:p</O:p

    บัญชีบุญ นี้ ได้รับอนุญาต จาก ทางวัดฯ แล้ว

    บัญชีบุญ นี้ จะไม่มีการ ถอนออก จะมีการ Update แสดงผลตลอดเวลา
    และ สุดท้าย จะโอนเข้าไปที่วัดฯ แสดงให้เห็น
    เพื่อเป็น ค่าใช้จ่าย ต้นทุนสร้าง พระพุทธรูป ต่อไป

    2. แจ้งรายการ จำนวน สิ่งอันเป็นยอดมงคล ที่ควรจะได้รับ ให้สอดคล้อง ตรงกับ ยอดเงินบุญ

    3. ส่ง หรือแจ้ง สำเนา ในรายการ ลำดับที่ 1
    และแจ้ง รายละเอียดในลำดับที่ 2 พร้อมด้วย "ที่อยู่" ของท่าน
    มาให้กระผมได้ทราบ ในช่องทาง ดังนี้

    3.1 โพส ลงในกระทู้แห่งนี้ หรือ PM<O:p</O:p
    3.2 ไปรษณีย์ มหาหิน มีเนตร์ขำ ตู้ ป.ณ.8 ปณฝ.สะพานใหม่ กทม. 10221
    3.3 ทางเมล์ meenetrkam@gmil.com
    3.4 FAX : 02-5520979 (ส่งให้ : มหาหินทร์ฯ)
    3.5 สอบถามเพิ่มเติม.. มหาหินทร์ฯ โทร. 081-1700 567<O:p</O:p

    หมายเหตุ
    หากยอดเงินบุญ ไม่เกิน 500 บาท โปรดช่วยค่าจัดส่ง 50 บาท
    โดยโอนเงินรวมในบัญชีได้เลย (เกิน 500 บาท จัดส่งให้ฟรี)

    ...............................................................................................................................................................................................​

    รายการ สิ่งอันเป็นยอดมงคล
    ที่มีให้ร่วมงานบุญ สร้างพระประธาน หน้าตัก 20 ศอก

    1. พระสมเด็จสายรุ้ง รุ่น โภคทรัพย์ ชุด 14 องค์ เนื้อผง ชุดละ 2,000 บาท + รายการที่ 6 จำนวน 1 องค์
    2. ชุดมหาเศรษฐี 100 ปี (ชุด 3 องค์) เนื้อโลหะ ชุดละ 1,000 บาท + รายการที่ 6 จำนวน 1 องค์
    3. พระสมเด็จ 3 กษัตริย์ เนื้อโลหะ องค์ละ 500 บาท + รายการที่ 6 จำนวน 1 องค์
    4. นางพญา 3 กษัตริย์ เนื้อโลหะ องค์ละ 500 บาท + รายการที่ 6 จำนวน 1 องค์
    5. พระลีลา มหาเศรษฐี เนื้อผง องค์ละ 100 บาท
    6. พระพิมพ์หลวงปู่บุดดา พิมพ์ใบโพธิ์ (คล้ายพิมพ์ปืนแตก) องค์ละ 100 บาท
    (หากรายการที่ 6 นี้ หมดไปแล้ว จะจัดรายการที่ 5 ทดแทน)
    7. หลวงพ่อพระพุทธชินราช พระผง ปิดทอง 1 ด้าน องค์ละ 100 บาท
    8. พระสมเด็จร่มโพธิ์ พระผง องค์ละ 100 บาท
    9. พระพุทธเจ้า กายเนื้อ พระผง องค์ละ 100 บาท
    10. พระนางพญา เนื้อดิน ด้านหลัง บุดดา 100 ปี องค์ละ 100 บาท
    11. หลวงปู่บุดดา พิมพ์ นั่งซุ้ม เนื้อผง องค์ละ 100 บาท
    12. พระกริ่งถาวโร เนื้อผง แดง องค์ละ 200 บาท
    13. พระกริ่งถาวโร เนื้อผง เหลืององค์ละ 200 บาท
    14. เหรียญ ร.5 - หลวงปู่บุดดา ชุบทอง องค์ละ 200 บาท
    15. พระผงพระเจ้า 5 พระองค์ พิมพ์เตารีด องค์ละ 200 บาท
    16. หลวงปู่บุดดา รุ่น 9 เหลี่ยม ก้าวหน้า เนื้อนวดำ องค์ละ 200 บาท
    17. หลวงปู่บุดดา รุ่น มหามงคลทองเนื้อโลหะ (พิมพ์เตารีด) องค์ละ 300 บาท

    ................................................................................................................................................​

    ขณะนี้ พระเครื่องอันเป็นยอดมงคล ของหลวงปู่ฯ
    ได้ถูกจัดส่ง มาถึงกระผมฯ แล้ว

    หากพวกเราที่ประสงค์จะขอรับ
    สามารถจัดส่งให้ได้ โดยทันที
    และมีโอกาสทำบุญได้ทั้งปี
    โดยที่ เงินบุญ ทั้งหมดจะร่วมถวายเข้าในกองกฐินทาน

    ขอน้อมโมทนา อย่างยอดยิ่ง

    สาธุ..
    สาธุ..
    สาธุ....

    ...............................................................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->​

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]<!-- google_ad_section_end --> ​

    ได้รับ ฎีกา ทอดผ้าป่าสร้างพระพุทธรูป พระประธาน หน้าตัก 20 ศอก จากทางวัดฯ
    ที่จะมีพิธี ถวายผ้าป่า ในวันที่ 11 - 13 เมษายน 2555

    และ จะมีงานบุญทอดผ้ากฐินสามัคคี
    ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555

    และ ภาพความคืบหน้า งานก่อสร้างฐานราก
    ทางวัดฯ จะพยายามสานความก้าวหน้า เพื่อว่า....

    ในวันทอดผ้าป่า จะสามารถดำเนินงาน ถึงขั้นตอน เริ่มปั้นองค์พระ ให้ได้

    จึงขอเรียนมา เพื่อการโมทนา มุทิตา ยินดี โดยทั่วกัน

    สาธุ..
    สาธุ..
    สาธุ....

    .............................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- sig -->​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  2. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    บัญชีบุญ นี้ ได้รับอนุญาต จาก ทางวัดฯ แล้ว
    บัญชีบุญ นี้ จะไม่มีการ ถอนออก จะมีการ Update แสดงผลตลอดเวลา
    และ สุดท้าย จะโอนเข้าไปที่วัดฯ แสดงให้เห็น เพื่อเป็น ค่าใช้จ่าย ต้นทุนสร้าง พระพุทธรูป ต่อไป

    ......................................................................................................................................................

    จาก Link
    http://palungjit.org/threads/พระสมเด็จ-พระลีลามหาเศรษฐี-นางพญาอู่เงิน-หลวงปู่บุดดา-ถาวโร-มอบให้ในงานบุญกฐินทาน.298608/page-14

    [​IMG]

    [​IMG]

    ยอดเงินบุญกฐินทาน สร้างพระพุทธรูป 20 ศอก
    ถึง ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2554

    ยอดเงินบุญ ทั้งสิ้น 105,482.16 บาท

    ขอน้อมโมทนา ในบุญ ในอานิสงส์ กับพวกเราทุกท่าน ในครั้งนี้
    เป็นอย่างยอดยิ่ง

    สาธุ..
    สาธุ..
    สาธุ....

    ......................................................................................................................................................

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มหาหิน [​IMG]
    วันนี้ อยู่ต่างจังหวัด

    ได้โอนเงินบุญ เข้าไปที่วัดแล้ว
    โอน ATM ครั้งละ 20,000 บาท จำนวน 6 ครั้ง
    รวมโอนเงินบุญ ทั้งสิ้น 120,000 บาท

    รายละเอียดจะโพสตามมาอีกครั้ง

    ผมฯ ไม่ได้ร่วมเดินทางไปทอดกฐินด้วยตนเอง
    แต่ก็แจ้งไปทางวัดฯ แล้ว ว่า ขอภาพบรรยากาสแห่งบุญ
    จะได้นำเสนอให้ทราบต่อไป

    ปล.ทางวัดจะมีการ ตอกเสาเข็ม เพื่อสร้างฐานพระพุทธรูป
    ในวันงานพิธีการทอดกฐิน ด้วยครับ

    ขอน้อมโมทนา อย่างยอดยิ่ง

    สาธุ..
    สาธุ..
    สาธุ....

    .....................................................................................................................

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วันนี้ หลวงพ่อบุญชูฯ จากวัด วังกระชอน
    ได้โทร.มาแจ้ง ยืนยันว่า เงินบุญ 120,000 บาท
    เข้าบัญชีวัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    เนื่องจาก..
    วันที่โอนเงินบุญ เป็นวันเสาร์ ธนาคาร ไม่ทำงาน
    แล้วเมื่อจะโอน ชื่อบัญชี ไม่แสดงที่จอ และ สลิป
    ก็กังวลใจเล็กน้อย

    แต่ก็มั่นใจว่า เลขบัญชีไม่ผิด

    (เลขบัญชีของวัดฯ เป็นธนาคารออมสิน มีถึง 15 ตัว)
    ก็เลยตัดสินใจโอน แล้วโทร.แจ้งไปที่วัดฯ

    กว่าที่ทางวัดฯ จะตรวจสอบได้ ก็ วันนี้ นี่เอง
    เพราะว่า เมื่อวันวาน(วันจันทร์) เป็นวันหยุดอีก

    ขอน้อมโมทนา กับพวกเราทุกท่าน ที่ได้ร่วมกัน สานสร้างบุญ ก่ออานิสงส์ใหญ่กันไว้

    สาธุ..
    สาธุ..
    สาธุ....

    .................................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2012
  3. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพกฐินสามัคคี<O:p</O:p


    สบทบทุนสร้างพระพุทธรูป หน้าตัก 20 ศอก<O:p</O:p


    ณ วัดวังกระชอน อำเภอวังทอง พิษณุโลก<O:p</O:p
    (หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรี สิงห์บุรี เคยมาจำพรรษา และพัฒนา สร้างวัด นี้)

    ใน วันลอยกระทง อาทิตย์ ที่ 28 พฤศจิกายน 2555 เวลา 09.00 น.

    การจอง และ และการโอนเงินบุญ
    <O:p</O:p1. บอกข่าวงานบุญ ไปยังกรรมการต่าง ๆ

    2. แจงรายละเอียดให้คณะกรรมการได้ทราบ เกี่ยวกับ ยอดเงินบุญ ที่จะร่วมงานบุญ <O:p</O:p
    และ สิ่งอันเป็นยอดมงคล ทันสมัยหลวงปู่บุดดาฯ ที่จะมอบให้เป็นจาคานุนุสสติ และเครื่องกันภัยพาล

    3. รวบรวมเงินบุญ โอนเข้าบัญชี (แจ้งยอดเงินบุญสุดท้ายของบุญนี้ ภายในวันที่ 27 พ.ย. 2555

    ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดยิ่งเจริญ
    ชื่อบัญชี มหาหินทร์ มีเนตร์ขำ บัญชีออมทรัพย์ 181-225239-4
    <O:p</O:p
    บัญชีบุญ นี้ ได้รับอนุญาต จาก ทางวัดฯ แล้ว จะมีการ Update แสดงผลตลอดเวลา

    และ สุดท้าย จะโอนเข้าไปที่วัดฯ แสดงให้เห็น เพื่อเป็น ค่าใช้จ่าย ต้นทุนสร้าง พระพุทธรูป ต่อไป

    4. แจ้งรายการ จำนวน สิ่งอันเป็นยอดมงคล ที่ควรจะได้รับ ให้สอดคล้อง ตรงกับ ยอดเงินบุญ

    5. ส่ง หรือแจ้ง สำเนา ในรายการ ลำดับที่ 3
    และแจ้ง รายละเอียดในลำดับที่ 4 พร้อมด้วย "ที่อยู่" ของท่าน
    มาให้กระผมได้ทราบ ในช่องทาง ดังนี้
    5.1 โพส ลงในกระทู้แห่งนี้ หรือ PM<O:p</O:p
    5.2 ไปรษณีย์ มหาหิน มีเนตร์ขำ ตู้ ป.ณ.8 ปณฝ.สะพานใหม่ กทม. 10221
    5.3 ทางเมล์ meenetrkam@gmil.com
    5.4 FAX : 02-5520979 (Attn : ส่งให้ มหาหินทร์ฯ) / มหาหินทร์ฯ โทร. 081-1700 567<O:p</O:p

    การก่อสร้าง
    ขณะนี้งานก่อสร้าง ฐานพระพุทธรูป เป็นไปด้วยดีแล้ว ในวันงานบุญกฐินทาน จะมีการปั้นพระพุทธรูป<O:p</O:p
    หรับท่านที่ไปร่วมบุญในวันนั้น สามารถร่วมบุญปั้นพระพุทธรูปโดยตรง ท่านที่ไม่ได้ไป ได้แต่ร่วมงานบุญไว้ ก็ขอให้ยกจิต ร่วมน้อมจิต อธิษฐานบารมี ว่า ขอร่วมปั้นพระพุทธรูปในครั้งนี้ ด้วยเถิด<O:p</O:p
    อานิสงส์ในที่สุด ย่อมก่อให้เกิด ความมั่นคงในฐานะในทางโลก และความมั่นคงอัน ไม่เคลื่อน ไม่เกิด ไม่ตาย.. ณ ดินแดนอนันตบรมสุขสถาน คือ พระนิพพาน ในที่สุด

    เนื่องด้วยบุญตั้งแต่ต้น ถึง ณ บัดนี้<O:p</O:p
    ขอกราบอาราธนา คุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>พระไตรรัตน์ โปรดอำนวยพร ให้ทุกท่านที่ได้ร่วมบุญไว้ดีแล้ว <O:p</O:p
    มีความสุขกาย สุขใจ คิดหวังสิ่งใดในสิ่งที่ดี ๆ ล้วนประสบกับความสำเร็จ สัมฤทธิ์ผล เป็นอันดี จงทุกประการ และมีมรรค มีผล พระนิพพาน เป็นที่สุด ด้วยเทอญ.

    การบอกข่าวงานบุญ และ และการโอนเงินบุญ<O:p</O:p

    1. แจ้งรายละเอียด บอกข่าวงานบุญ ไปยังกรรมการต่าง ๆ ของพวกเรา
    2. รวบรวมรายชื่อกรรมการ ถึงกระผมฯ ภายในวันที่ 9 กันยายน 2555 เพื่อพิมพ์ฎีกากฐิน<O:p</O:p
    3. รวบรวมเงินบุญ โอนเข้าบัญชี (เพื่อให้ทันงานบุญกฐินทาน ภายใน 27 พฤศจิกายน 2555

    หลังจากวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 จะต้องโอนไปที่วัดฯ โดยตรง เท่านั้น

    สิ่งอันเป็นยอดมงคล
    ที่ทางวัดฯ จัดมอบให้ แด่ ท่านผู้มีจิตศรัทธาปสาทะ ต่อ พระรัตนตรัย

    <O:p</O:p1. พระสมเด็จสายรุ้ง โภคทรัพย์ ชุด 14 องค์ เนื้อผง ร่วมบุญ 2,000 บาท + รายการที่ 6 (1 องค์)
    2. ชุดมหาเศรษฐี 100 ปี (ชุด 3 องค์) เนื้อโลหะ ร่วมบุญ 1,000 บาท + รายการที่ 6 (1 องค์)
    3. พระสมเด็จ 3 กษัตริย์ เนื้อโลหะ ร่วมบุญ 500 บาท + รายการที่ 6 (1 องค์)
    4. นางพญา 3 กษัตริย์ เนื้อโลหะ ร่วมบุญ 500 บาท + รายการที่ 6 (1 องค์)
    5. พระลีลา มหาเศรษฐี เนื้อผง ร่วมบุญ 100 บาท
    6. พระพิมพ์หลวงปู่บุดดา พิมพ์ใบโพธิ์ (คล้ายพิมพ์ปืนแตก) ร่วมบุญ 100 บาท
    (หาก รายการที่ 6 นี้ หมดไปแล้ว จะจัดรายการที่ 5 หรือรายการอื่น ๆ ทดแทน)
    7. หลวงพ่อพระพุทธชินราช พระผง ปิดทอง 1 ด้าน ร่วมบุญ 100 บาท
    8. พระสมเด็จร่มโพธิ์ พระผง ร่วมบุญ 100 บาท
    9. พระพุทธเจ้า กายเนื้อ พระผง ร่วมบุญ 100 บาท
    10. พระนางพญา เนื้อดิน ด้านหลัง บุดดา 100 ปี ร่วมบุญ 100 บาท
    11. หลวงปู่บุดดา พิมพ์ นั่งซุ้ม เนื้อผง ร่วมบุญ 100 บาท
    12. พระกริ่งถาวโร เนื้อผง แดง ร่วมบุญ 200 บาท
    13. พระกริ่งถาวโร เนื้อผง เหลือง ร่วมบุญ 200 บาท
    14. เหรียญ ร.5 - หลวงปู่บุดดา ชุบทอง ร่วมบุญ 200 บาท
    15. พระผงพระเจ้า 5 พระองค์ พิมพ์เตารีด ร่วมบุญ 200 บาท
    16. หลวงปู่บุดดา รุ่น 9 เหลี่ยม ก้าวหน้า เนื้อนวดำ ร่วมบุญ 200 บาท
    17. หลวงปู่บุดดา รุ่น มหามงคลทองเนื้อโลหะ (พิมพ์เตารีด) ร่วมบุญ 300 บาท

    <O:p</O:p
    ......................................................................................................................................................

    รายชื่อ คณะกรรมการ โปรดระบุในใบแจ้งรายชื่อคณะกรรมการ ในตำแหน่งต่าง ๆ<O:p</O:p
    โดยจัดส่ง แผ่นนี้ ให้กระผมฯได้ทราบ ภายใน วันที่ 9 กันยายน 2555

    ผู้ส่ง <O:p</O:p
    ...............................
    ...............................
    ............................... กรุณานำส่ง....<O:p</O:p
    ............................... คุณ<st1:personName ProductID="มหาหินทร์ มีเนตร์ขำ" w:st="on">มหาหินทร์ มีเนตร์ขำ</st1:personName><O:p</O:p
    ............................... ตู้ ปณ.8 ปณฝ. สะพานใหม่<O:p</O:p
    กทม. <O:p</O:p
    10221<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    รายชื่อ คณะกรรมการบุญ ด้วยความศรัทธา<O:p</O:p
    สายของ คุณ.......................................................................... โทร. ..................................
    ที่อยู่ ที่ติดต่อได้ บ้านเลขที่.............. หมู่ที่.... ซอย............................. ถนน...............................<O:p</O:p
    ตำบล / แขวง …………………… อำเภอ / เขต ...................... จังหวัด................... รหัส.................
    โทร. ................................. (โปรด แจ้งที่อยู่ให้ชัดเจน เพื่อจัดส่ง ฎีกาบุญ มาให้ ในลำดับต่อไป..)<O:p</O:p

    ประธานอุปถัมภ์ (10,000 บาท)<O:p</O:p
    1. ............................................................... 2. ...............................................................

    รองประธานอุปถัมภ์ (5,000 บาท)<O:p</O:p
    1. ............................................................... 2. ...............................................................

    <O:p</O:pประธานกรรมการ (2,000 บาท) <O:p</O:p
    1. ............................................................... 2. ...............................................................<O:p</O:p
    3. ............................................................... 4. ...............................................................

    รองประธานกรรมการ (1,000 บาท) <O:p</O:p
    1. ............................................................... 2. ...............................................................<O:p</O:p
    3. ............................................................... 4. ...............................................................<O:p</O:p
    5. ............................................................... 6. ...............................................................

    <O:p</O:pกรรมการดำเนินงาน (500 บาท)<O:p</O:p
    1. ............................................................... 2. ...............................................................<O:p</O:p
    3. ............................................................... 4. ...............................................................<O:p</O:p
    5. ............................................................... 6. ...............................................................<O:p</O:p
    7. ............................................................... 8. ...............................................................

    รองกรรมการดำเนินงาน (300 บาท)<O:p</O:p
    1. ............................................................... 2. ...............................................................<O:p</O:p
    3. ............................................................... 4. ...............................................................<O:p</O:p
    5. ............................................................... 6. ...............................................................<O:p</O:p
    7. ............................................................... 8. ...............................................................

    ผู้ช่วยกรรมการดำเนินงาน (200 บาท)<O:p</O:p
    1. ............................................................... 2. ...............................................................<O:p</O:p
    3. ............................................................... 4. ...............................................................<O:p</O:p
    5. ............................................................... 6. ...............................................................<O:p</O:p
    7. ............................................................... 8. ...............................................................<O:p</O:p
    9. ............................................................... 10. .............................................................<O:p</O:p

    กรรมการร่วมงานบุญ (100 บาท)
    1. ............................................................... 2. ...............................................................<O:p</O:p
    3. ............................................................... 4. ...............................................................<O:p</O:p
    5. ............................................................... 6. ...............................................................<O:p</O:p
    7. ............................................................... 8. ...............................................................<O:p</O:p
    9. ............................................................... 10. .............................................................<O:p</O:p
    11. ............................................................. 12. .............................................................<O:p</O:p
    13. ............................................................. 14. .............................................................<O:p</O:p
    15. .............................................................. 16. .............................................................<O:p</O:p
    17. .............................................................. 18. .............................................................<O:p</O:p
    19. ............................................................. 20. .............................................................<O:p</O:p
    21. ............................................................. 22. .............................................................<O:p</O:p
    23. ............................................................. 24. .............................................................<O:p</O:p
    25. .............................................................. 26. .............................................................<O:p</O:p
    27. .............................................................. 28. .............................................................<O:p</O:p
    29. ............................................................. 30. .............................................................<O:p</O:p
    31. ............................................................. 32. .............................................................<O:p</O:p
    33. ............................................................. 34. .............................................................<O:p</O:p
    35. .............................................................. 36. .............................................................<O:p</O:p
    37. .............................................................. 38. .............................................................<O:p</O:p
    39. ............................................................. 40. .............................................................<O:p</O:p
    41. .............................................................. 42. ...............................................................<O:p</O:p
    43. ............................................................. 44. ...............................................................<O:p</O:p
    45. ............................................................. 46. ...............................................................<O:p</O:p
    47. ............................................................. 48. ...............................................................<O:p</O:p
    49. ............................................................. 50. .............................................................<O:p</O:p
    51. ............................................................. 52. .............................................................<O:p</O:p
    53. ............................................................. 54. .............................................................<O:p</O:p
    55. .............................................................. 66. .............................................................<O:p</O:p
    57. .............................................................. 58. .............................................................<O:p</O:p
    59. ............................................................. 60. .............................................................<O:p</O:p
    61. ............................................................. 62. .............................................................<O:p</O:p
    63. ............................................................. 64. .............................................................<O:p</O:p
    65. .............................................................. 66. .............................................................<O:p</O:p
    67. .............................................................. 68. .............................................................<O:p</O:p
    69. ............................................................. 60. .............................................................<O:p</O:p
    61. ............................................................. 62. .............................................................<O:p</O:p
    63. ............................................................. 64. .............................................................<O:p</O:p
    65. .............................................................. 66. .............................................................<O:p</O:p

    มี ชุดพิเศษ จำนวน 7 ชุด

    ดูได้ที่ หน้า 3 ครับ

    ........................................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  4. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    และมีความคืบหน้า ในการสร้างฐานราก เป็นระยะ ๆ
    สำหรับสร้างพระพุทธรูป หน้าตัก 20 ศอก

    ......................................................................................................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  5. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ......................................................................................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  6. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    การสร้างพระ หน้าตัก 20 ศอก ในครั้งนี้
    ก็คงจะยังไม่สามารถ ลุล่วง ได้ในครั้งเดียว

    ก็ต้องมีงานบุญ ผ้าป่า กฐิน กันต่อไปอีก
    แต่พวกเราได้เริ่มวาง ฐานราก กันไว้แล้ว

    และคงจะได้ร่วมบุญสืบสาน สร้างต่อ
    เพื่อมองให้เห็นความสำเร็จ ความสมบูรณ์
    ในลำดับต่อ ๆ ไป

    สาธุ..
    สาธุ..
    สาธุ....

    ......................................................................................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2012
  7. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]
    <!-- google_ad_section_end -->

    เกศา
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.สิงห์บุรี

    ภาพแสดงให้เห็นว่า เกศา หลวงปู่ฯ เกาะ รวมตัวกัน ครับ


    ปกิณกะ วัตถุมงคล และธรรมะ
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร<O:p</O:p

    http://palungjit.org/threads/ปกิณกะ-วัตถุมงคลและธรรมะ-หลวงปู่บุดดา-ถาวโร.185527/

    ขอขอบพระคุณ
    คุณ Specialized
    ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    <O:p</O:p......................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  8. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]


    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    วัดกลางชูศรีเจริญสุข
    อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี




    ชาติกำเนิด – ภูมิลำเนา
    เกิดเมื่อวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ ที่ตำบลพุคา อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ท่านเคยชี้ตำบลเกิดของท่านขณะขึ้นรถไฟผ่าน อยู่เหนือสถานีโคกกระเทียมเล็กน้อย เป็นหมู่บ้านเล็กห่างจากทางรถไฟไปทางทิศตะวันตกราว ๒ กม. ท่านบอกว่า หมู่บ้านหนองเต่า คงเป็นชื่อหมู่บ้านเดิม บิดาของท่านชื่อ น้อย มงคลทอง มารดาของท่านชื่อ อึ่ง มงคลทอง มีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน ยังเหลือน้องชายคนเล็กชื่อ เหลือ มงคลทอง นอกนั้นถึง แก่กรรมไปหมดแล้ว

    อุปสมบท
    วันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๖๕ ที่วัดเนินยาว ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มี พระครูธรรมขันธสุนทร (ม.ร.ว. เอี่ยม บ้านเดิมท่านอยู่ กทม.) เป็นอุปัชฌาย์ และมีคณะสงฆ์ ๒๕ รูป เป็นพระอันดับ ซึ่ง หลวงปู่บุดดา ถาวโร นับถือว่าเป็นอาจารย์ท่าน

    ประวัติทั่ว ๆ ไป
    ชีวิตตอนเยาว์ ชีวิตตอนต้นของหลวงปู่ก็เหมือนกับชีวิตเด็กลูกชาวนาบ้านนอกทั่วไป ในสมัยนั้นที่ไม่มีโรงเรียนใกล้เคียง จึงไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ มีแต่ทุนเดิมที่ได้ฝึกฝนอบรมมาดีในอดีตชาติ จึงเป็นผู้ระลึกชาติได้แต่เด็ก ท่าได้ไปพบเห็นสิ่งที่ปรากฏตามภาพนิมิต ของอดีตได้ถูกต้อง และได้มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง จนท่านต้องขุดกระดูกของท่านที่ถูกฝังไว้ในอดีต

    การเห็นภาพในอดีตนั้นท่านเห็นได้หลายภพ ในกรณี หลวงปู่บุดดา อดีตชาติท่านเกิดเป็นชายทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตัวหนังสือที่ใช้เป็นตัวหนังสือแบบเดียวกับสมัยพ่อขุนรามคำแหง มิใช่ตัวหนังสือเดียวกับเมื่อหลวงปู่เป็นเด็ก ท่านจึงอ่านหนังสือไม่ออก แต่พอเป็นทหารท่านได้เรียนหนังสือ ท่านก็สามารถเรียนได้เป็นอย่างดี ทั้งที่หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในการรับราชการเป็นทหารเกณฑ์นั้นหนักมาก ทั้งนี้น่าจะเนื่องมากจากสาเหตุสองประการ ที่ทำให้สามารถรู้หนังสือได้ดีเพราะท่านรู้หลักของหนังสือเดิมดีอยู่แล้ว พอเทียบตัวถูกท่านก็อ่านได้ และสมาธิจิตของท่านเข้าอันดับญาณจึงสามารถทำอะไรได้ง่าย

    อดีตสัญญา
    ถ้าสอบถามถึงอดีตชาติแล้ว ท่านมักปรารภเสมอว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านรู้สึกเบื่อหน่าย เช่น เล่าว่านับถอยหลังปัจจุบันไป ๗ ชาติ ท่านได้เกิดเป็นบุรุษทุกชาติ และเสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่มากรวมทั้งไม่มีครอบครัวเลย ตลอด ๗ ชาติ ที่ผ่านมาส่วนมากท่านเกิดฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงมากกว่าฝั่งขวา มีชาตินี้เท่านั้นที่ท่านมีอายุยืน พี่ชายของท่านในอดีตชาติทั้งรักและตามใจทุกอย่าง ตั้งแต่เด็กจะไปไหน ก็พาท่านไปด้วย ได้สัญญากับท่านไว้ว่าจะไม่ทิ้งเป็นอันขาด ท่านจึงเกิดเป็นบุตรในชาติปัจจุบัน

    ฉะนั้นเมื่อบิดาของท่านตีท่านในสมัยเด็ก ท่านเล่าว่า ท่านวิ่งออกไปนอกบ้านแล้วตะโกนว่า “พ่อโกหก ๆ ๆๆ” ไม่ยอมหยุดจนมารดาของหลวงปู่เห็นผิดสังเกต จึงไปปลอบถามว่า “พ่อโกหกเรื่องอะไร” ท่านจึงได้เล่าเรื่องอดีตสัญญาให้มารดาของท่านฟังว่า “พ่อไม่รักษาคำพูด” ผู้ใดสามารถเฉลยอดีตสัญญาแบบนี้ให้เป็นธรรมและยอมรับกันได้ทั่วไปบ้าง ?

    เรื่องอายหมา
    หลวงปู่เล่าว่า ตั้งแต่เด็กท่านมักจะบอกกับมารดาของท่านเสมอว่า โตขึ้นท่านจะไม่มีครอบครัว เพราะท่านละอายใจดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

    อดีตชาติหนึ่งในหนหลังเมื่อท่านเป็นหนุ่มเกิดพอใจหญิงสาวชาวบ้านใกล้เคียงกันผู้หนึ่งจึงไปอู้สาวผู้นั้น แทนที่ฝ่ายหญิงจะพูดดีกับลำเลิกอดีตชาติว่า

    “หลวงปู่ที่เป็นชายหนุ่มในชาตินั้นเป็นผู้ทำให้เขาถูกทุบตี และถูกจับผูกทรมานอดอาหารจนท้องกิ่วตาย พอมาชาตินี้มารักเขาทำไม”

    หลวงปู่ในชาตินั้นก็มองเห็นอดีตตนเองได้ว่าตอนนั้นท่านเป็นสมภารเจ้าวัดอยู่ประเทศลาว ขณะนอนป่วยอยู่มีหมาตัวเมียขึ้นมาลักลอบอาหารที่เด็กเก็บไว้ ท่านจึงร้องบอกเด็ก พวกเด็กจึงไล่ตีหมา และพวกเด็กไม่เพียงแต่ไล่ตี คงได้ไล่จับหมาตัวนั้นไปผูกกับรั้ว และกว่าจะถูกจับได้คงต้องไกลกว่าที่สมภารนอนเจ็บประการหนึ่ง และทุกคนก็คงสนใจแต่ความป่วย และการตายของสมภาร ในเวลาต่อมาจึงลืมนึกถึงการจับหมาตัวนั้นไปผูกไว้จนต้องอดถึงตายไป

    เมื่อชายหนุ่มระลึกอดีตชาติได้ก็เกิดความสลดและละอายใจว่า

    “นี่เรากำลังจะเอาหมามาเป็นเมียแล้วหรือ ? ”

    และเป็นการประทับฝังอยู่ในจิตใจต่อมาทุกชาติ การป่วยและการตายในคราวนั้น หมาตายภายหลัง จึงจองเวรและติดตามถูก

    ส่วนการที่เด็กไปตีหมาที่ถูกจับไว้จนหมาตาย ต้องมิใช่คำสั่งของสมภาร หมาจึงจองเวรได้เพียงหมาถูกตีเพราะเสียงร้องบอกของสมภารเป็นเหตุ หมาจึงทำให้สมภารในอดีตชาติเดือดร้อนเพราะลำเลิกของหญิงนั้นตามอดีตเหตุที่สมภารได้ทำไว้เท่านั้น เรื่องความผูกพันหรือการจองเวรในอดีตชาติทำนองนี้หลวงปู่ปรารภเสมอว่าเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้ว ท่านมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดมาตั้งแต่เด็ก


    รับราชการทหาร ๒๔๕๘ ท.บ.๓ ล.๑๐
    หลวงปู่รับราชการทหาร ๒ ปี โดยมีหลักฐานการเป็นทหารปรากฏบนท้องแขนขวาดังนี้ ๒๔๕๘ ท.บ.๓ ล.๑๐ การเกณฑ์ทหารสมัยนั้น เมื่อผู้มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ถึงแม้ถูกเกณฑ์แล้วจับ ใบดำได้ไม่ต้องรับราชการทหารในปีนั้นแล้วก็ต้องถูกเกณฑ์ไปทุกปีจนกว่าจะอายุ ๓๐ ปี หลวงปู่เป็นทหารในกองทัพ ๓ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี

    ในสมัยนั้น เรื่องการเป็นทหารเกณฑ์ของหลวงปู่นั้น ท่านถูกเกณฑ์ทุกปีและในปีที่มีการคัดเลือกทหารอาสา ไปราชการสงคราม ณ ทวีปยุโรปในสงครามครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๐ หลวงปู่ก็เคยเล่าว่า ท่านได้อาสาสมัครกับเขาเหมือนกันแต่ท่านกินเหล้าไม่เป็น เขาจึงไม่รับท่าน เนื่องจากผู้บังคับบัญชาบอกท่านว่า ในทวีปยุโรปอากาศหนาวจัดต้องดื่มเหล้า เพื่อช่วยให้คลายหนาวท่านจึงไม่ได้ไปราชการสงคราม ณ ทวีปยุโรป<!-- google_ad_section_end -->

    ....................................................................................................................................................​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  9. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    พรรษาแรก ความมุ่งมั่นอดทนของพระใหม่
    เมื่อหลวงปู่อุปสมบทแล้ว ท่านจำพรรษาอยู่ ณ วัดเนินขาว จังหวัดลพบุรี ปฏิบัติอุปัชฌาย์ตามแบบแผนของภิกษุสมัยนั้น ไม่มีการศึกษาเล่าเรียนทั้งทางปริยัติหรือปฏิบัติ คงทำวัตรท่องหนังสือสวดมนต์และปาฏิโมกข์ แต่ท่านอ้างเสมอว่าอุปัชฌาย์ทุกองค์ท่านสอน ปัญจกรรมฐานให้แล้วในวันอุปสมบท (นั่นก็คือ อุปัชฌาย์ท่านสอนให้ว่า เกศา – ผม โลมา – ขน นักขา – เล็บ ทันตา – ฟัน และ ตโจ – หนัง และทวนกลับ) ว่าให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ในร่างกายของตนและคนอื่น ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนเป็นบ่อเกิดของทุกข์ทั้งกายและจิตใจ เป็นของหาที่ยึดถือเป็นตัวตนไม่ได้มานานแล้วทุกคน

    และในพรรษาที่หลวงปู่บวชนั้น ได้มีการสร้างศาลามุงสังกะสีขึ้น ซึ่งในการมุงหลังคาคราวนั้นมีเรื่องเล่าความมหัศจรรย์ทางอำนาจจิตของหลวงปู่ตั้งแต่สมัยบวชเดือนแรกทีเดียว เพราะในการมุงหลังคาและตามปกติในฤดูร้อน แดดก็ร้อนจัดในตอนบ่ายอยู่แล้วและเมื่อเครื่องมุงเป็นสังกะสีด้วยก็ยิ่งทวีความร้อนมากยิ่งขึ้น พอตกตอนบ่ายทั้งพระและชาวบ้านต่างทนความร้อนไม่ไหวต้องลงมาพักกันหมด คงเหลือแต่หลวงปู่ ซึ่งเป็นพระบวชใหม่ยังไม่ครบเดือน มุงหลังคาอยู่ข้างบนองค์เดียวจนสำเร็จ

    เมื่อรับกฐินแล้วแต่พรรษาแรก หลวงปู่ท่านออกจาริกแสวงหาสถานที่วิเวกเจริญสมรธรรมตามอัธยาศัยองค์เดียวโดยไม่มีกลดมีมุ้งแบบอุทิศชีวิต และเลือดเนื้อเป็นทานอยู่นานจนเลือดแดงฉานติดจีวรและบินไปไม่ไหว


    พรรษาที่ ๒ ธุดงค์เดี่ยว
    เมื่อกลับจากธุดงค์พอใกล้เข้าพรรษาท่านเข้ามาจำพรรษาที่วัดผดุงธรรม จังหวัดลพบุรี พอออกพรรษาท่านก็ธุดงค์ไปองค์เดียวอีกเหตุอัศจรรย์ผจญวัวป่า

    หลวงปู่ท่านเดินธุดงค์ไปหนองคายโดยออกจากจังหวัดลพบุรีไปทางจังหวัดเพชรบูรณ์ ผจญเข้ากับวัวป่าฝูงหนึ่ง มันคงแปลกใจว่า เอ๊ะ ? อะไรนะ เป็นอันตรายกับพวกเขาหรือเปล่า หัวหน้าฝูงนั้นเข้ามาดม ๆ ดู แล้วก็ร้องมอ ๆ คล้ายกับจะบอกพรรคพวกว่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีอันตราย เข้ามาได้แล้ว ตัวอื่นก็เข้ามาดมจนครบทุกตัวแล้วก็เลยไป

    คุณธรรมของท่านนั้นแม้แต่เดรัจฉานก็ส่งภาษาใจให้ผู้รู้เรื่องกันได้ หลวงปู่พูดเสมอว่าภาษาธรรมนั้น ก็คือภาษาใจ อยู่ที่ไหนก็รู้กันได้ มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตรธรรม

    พบซากศพตนเองในอดีต
    คราวนี้ท่านได้สอบดูนิมิตสมัยเด็ก ๆ ของท่านว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่นอกนครเวียงจันทร์ไม่ไกลนัก ซึ่งเมื่อถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็นำเอาศพในอดีตชาติของท่านไปฝังไว้ และไม่ได้เผา ในนิมิตนั้นท่านเห็นกะโหลกศีรษะขาวโพลน โผล่ดินขึ้นมาตรงตอพุดซา ท่านจึงไปสอบดูตามนิมิต และได้พบกะโหลกศีรษะมนุษย์ ในภูมิประเทศคล้ายคลึงกัน แต่กะโหลกที่พบจริงไม่ขาวเท่าในนิมิต และตอพุดซาไม่มีแล้วท่านจึงได้เผากระดูกนั้นด้วยตนเอง

    พรรษาที่ 3 จาระพระไตรปิฎก
    ขณะที่ไปสอบดูตามนิมิตก็ใกล้เข้าพรรษาแล้ว ท่านได้จำพรรษา ณ วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย และในขณะที่ข้ามไปเวียงจันทร์ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์และวัดพระแก้วที่เวียงจันทร์ ท่านระลึกถึงอดีตชาติเมื่อเห็นตู้พระไตรปิฎกและจารด้วยตนเอง แต่สมัยเป็นสามเณรต่อมาเป็นภิกษุและเป็นสมภารเจ้าวัดในที่สุด ได้จารพระไตรปิฎก บรรจุไว้จนเต็ม 3 ตู้ ท่านว่าได้เป็นสมภารเจ้าวัดในฝั่งลาว 3 สมัย ตายตั้งแต่ยังไม่พ้นวัยกลางคน ที่ท่านไปพบตู้ที่สร้างไว้นั้นไม่มีพระไตรปิฎกแล้ว

    ขณะที่ท่านพักอยู่ ณ วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย คราวหนึ่งท่านต้องไปกิจนิมนต์ร่วมกับภิกษุหลายรูปด้วยกัน ไปทางเรือตามลำน้ำโขงปรากฏว่าเรือเกิดจมลง พระรูปอื่นต่างว่ายน้ำหนีจากเรือหมด เหลือแต่ท่านองค์เดียวในเรือ และน้ำท่วมเกือบถึงคอแล้วพอดีชาวบ้านเอาเรือไปรับนิมนต์ท่านขึ้นเรือแล้วเรือก็จมหายไป

    พบบิดาในอดีตชาติ
    พอออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ออกเดินทาง และในระหว่างทางนั้น ท่านได้พบกับ หลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร ซึ่งออกจาริกไปตามป่าเขาทำนองเดียวกับท่าน

    หลวงพ่อสงฆ์ ผ่านพรรษา ๔ แก่กว่าหลวงปู่บุดดาหนึ่งพรรษา แต่อายุหลวงพ่อสงฆ์แก่กว่าท่านหลายปี เพราะท่านบวชภายหลังมีครอบครัวแล้ว และเมื่อท่านพบหลวงพ่อสงฆ์ ท่านก็ระลึกได้ว่า เคยเป็นบิดาของท่านในอดีตชาติ ท่านก็เรียกคุณพ่อสงฆ์ตั้งแต่แรกพบจนถึงที่สุดแห่งวาระของท่านเอง


    ถ้ำนี้มีคุณ
    ท่านทั้งสองได้ร่วมจาริกแสวงหาที่วิเวกอันเหมาะแก่การเจริญภาวนาเรื่อยมา จนมาพบ ถ้ำภูคา ตำบลหัวหวาย อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นถ้ำกว้างมีปล่องทะลุกลางเขาลูกย่อม ๆ อยู่ในดงยาง เป็นชัยภูมิร่มรื่น มีหนองน้ำใหญ่อยู่ห่างจากหน้าถ้ำไปทิศตะวันออกของทางรถไฟสายเหนือห่างประมาณ ๑ กิโลเมตร อยู่ระหว่างสถานีดงมะกุและสถานีหัวหวายห่างจากหมู่บ้านทั้ง 2 ตำบล ข้างละประมาณ ๒ กม. เศษ ปากถ้ำอยู่ทางตีนเขา ภายในถ้ำลมถ่ายเทได้ดี

    ท่านได้อาศัยภายในถ้ำนี้และแยกกันอยู่คนละฟาก ได้อาหารบิณฑบาตจากหมู่บ้านดังกล่าว ถ้ำภายในเขาภูคานี้เป็นที่สงบและวิเวกปากถ้ำเรียบเป็นดิน เชิงเขาลาดขึ้นพอบรรจบถึงเขาก็เป็นปากถ้ำพอดี กว้างราว ๖-๗ เมตร สูง 3 เมตรเศษ เป็นดินราบขึ้นไปจนถึงยอดมีแท่นราบตรงกลางปล่องตรงกับยอดเขาพอดี ปล่องถ้ำเหมือนรูปงอบใบใหญ่สูงกว่าปากถ้ำเล็กน้อย ขอบล่างลาดลงโดยรอบเป็นช่องและชอกมากบ้าง น้อยบ้าง

    สถานที่ท่านใช้พักผ่อนและจำวัด ปรากฏว่าตรงที่ท่านใช้ภาวนานั้น มีปล่องลมหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่จำวัดก็หลบเข้าไปในช่องไม่ถูกลมเลย ก่อนที่ท่านจะมาอยู่ในถ้ำนี้ มีแคร่ร้างแสดงว่ามีบุคคลอื่นมาใช้สถานที่นี้ก่อนแล้ว

    สถานที่ท่านใช้เป็นที่เดินจงกรมในตอนบ่ายและพักผ่อนสนทนาธรรมกันตอนเย็นนั้นเป็นบริเวณสันเขาตอนใต้ เป็นทางลาดขึ้นปากถ้ำได้สะดวก ใช้ด้านตะวันออกเป็นที่ลาดเดินจงกรม มีต้นไม้และสันเขาช่วยกำบังแดดในตอนบ่าย


    ตะขาบเจ้ากรรม
    ตอนอยู่ถ้ำภูคานี้แม้จะสนทนาก็ต่างองค์ต่างอยู่ในที่ของตน คราวหนึ่งเสียงของหลวงปู่บุดดาเงียบหายไป หลวงพ่อสงฆ์ผิดสังเกตจึงเดินไปดูก็เห็นหลวงปู่บุดดานั่งหลับตา มีตะขาบตัวใหญ่มากขึ้นไปขดอยู่กลางศีรษะของท่าน หลวงพ่อสงฆ์ต้องเอาผ้าอาบของท่านหย่อนลงให้ตะขาบไต่ขึ้นผ้าแล้วจึงเอาไปปล่อยนอกถ้ำ

    หลวงปู่บุดดาท่านเล่าว่า มันไต่ขึ้นภายในสบงผ่านเอวแล้วผ่านหลังท่านขึ้นไป ท่านจึงต้องกลั้นลมหายใจ ปิดหู ปิดตา จมูก ปากหมด เจ้าตะขาบจึงเข้าไม่ได้ เมื่อหลวงพ่อสงฆ์เอาไปปล่อยปรากฏว่ามันกัดตัวเองจนขาดเป็นท่อน ๆ กองอยู่ที่ปล่อยนั่นเอง<!-- google_ad_section_end -->

    .....................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  10. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]


    พรรษาที่ ๔ ตัดกิเลสบรรลุธรรม
    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๘ พอใกล้เข้าพรรษา ท่านทั้งสองได้ไปจำพรรษา ณ วัดป่าหนองคู จ.นครสวรรค์ และพอออกพรรษาก็กลับมาร่วมปฏิบัติธรรม ณ ถ้ำภูคา จ.นครสวรรค์ โดยต่างเร่งความเพียรเจริญสมณธรรม อย่างเต็มที่เกือบจะไม่ได้พักผ่อน และในคืนวันหนึ่งเวลาประมาณระหว่าง ๒๐.๐๐ น. ถึง ๒๓.๐๐ น. ซึ่งเป็นเวลาสนทนาธรรมของทั้งสองท่าน หลวงพ่อสงฆ์ ได้ถามหลวงปู่บุดดา ว่า

    “...ยังถือ วินัย อยู่หรือ”
    หลวงปู่ตอบว่า
    “...ไม่ถือวินัยได้ไง ถ้าเราจะเดินผ่านต้นไม้-ของเขียวก็ต้องระวัง...มันจึงเป็นอุปาทานทำความเนิ่นนานต้องช้ามาถึง ๔ พรรษา”

    หลวงพ่อสงฆ์ว่า “วินัยมันมีสัตว์-มีคนรึ”
    หลวงปู่บุดดาว่า มีตัวซี ถ้าไม่มีตัวจะถือวินัยได้ยังไง...วินัยก็ผู้ถือนั่นเอง ...เสขิยวัตร ๗๕ เป็นตัวไม่ได้หรอก ...เนื้อหนัง กระดูก ตับไต ไสพุง มันไม่ใช่ตัวถือวินัย...ตัวถือวินัยเป็นธรรมนี่”

    ....เถียงกันไป เถียงกันมาชั่วระยะหนึ่ง... พอปัญญา-บารมีเกิดขึ้นตกลงกันได้ว่า

    “เอ๊ะ ! ไม่มีจริง ๆ เน้อ ...ผู้ถือไม่มี มีแต่ระเบียบของธรรมเท่านั้น ไปถือมั่น-ยึดมั่นไม่ได้นี่”

    พอหยุดความลง ทันใดนั้นเองหลวงพ่อสงฆ์เพ่งมองดูเห็นหลวงปู่บุดดา จู่ ๆ ก็นิ่งเงียบนัยน์ตาลืมค้างอยู่ ไม่กระพริบตา – เบิกตาโพลงอยู่อย่างนั้น – เนิ่นนานอยู่ประมาณสองชั่วโมงกว่าถึง กลับมาพูดได้-ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลวงปู่บุดดาได้ใช้ปัญญาตัดกิเลสได้แล้วในขณะที่นั่งลืมตา ซึ่งหลวงปู่บอกว่าถ้าเกิดปัญญาขึ้นในอิริยาบถทั้ง ๔ ซึ่งขณะนั้นถ้าลืมตาตัดก็ต้องลืมตาตัด ถ้านั่งตัดก็ต้องนั่งตัด ถ้ายืนตัด – เดินตัดหรือนอนตัดก็ต้องยืนตัด-เดินตัด หรือนอนตัด ขึ้นอยู่ว่าใครจะตัดกิเลสได้ขณะไหน... อย่างพระอานนท์ตัดได้ตอนเอนกายขณะกำลังจะนอนนั่นเอง...

    สำหรับหลวงปู่บุดดา ขณะมีอายุได้ ๓๒ ปี-พรรษาที่ ๔ ซึ่งถ้ายังใช้กรรมไม่หมดก็ไม่ถึง โลกกุตระ แต่พอใช้หนี้กรรมหมดแล้วก็เป็นอโหสิกรรม ขณะนั่งลืมตาอยู่ก็บรรลุธรรมได้

    หลวงปู่บุดดา บอกว่า

    “ขณะนั้นอวิชาดับหมด รู้สึกสว่างแจ้งขึ้นมาเอง ความไม่มีตัวตนเห็นได้ชัดเจนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัว เป็นปรมัตถธรรม ธรรมทุกอย่างเป็นธรรมชาติส่วนกลาง คงอยู่ในจิตของตนเอง กิเลสหลุดไปเอง แต่ชีวิตยังคงอยู่มีความเป็นปรกติทุกอย่าง ทั้งกายสังขาร-จิตสังขารก็หยุด รูปก็หยุดหมด ไม่มีสัตว์เกิดสัตว์ตาย กิเลสไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ขันธ์ของกิเลสก็ไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ...สุดชาติของอาสวะของสังโยชน์ ๑๐ อนุสัย ๗ ออกวันเดียวกันและเวลาเดียวกันนั่นแหละ...”

    หลวงพ่อสงฆ์ ท่านนั่งเฝ้าหลวงปู่บุดดา อยู่นานกว่าสามชั่วโมง แล้วจึงบอก

    “นิมนต์เถอะครับ...แน่นอนแล้ว”

    พอรุ่งเช้าถึงเวลาออกบิณฑบาต หลวงพ่อสงฆ์บอกว่า
    “โลกกุตระธรรมแล้ว ขอนิมนต์ให้หลวงปู่บุดดา เดินหน้า”

    แต่ หลวงปู่บุดดา ว่า

    “หน้าก็หน้าคุณธรรม แต่พรรษาอ่อนกว่าต้องเดินหลังซี !”

    ตกลงหลวงปู่บุดดา คงเดินตามหลังหลวงพ่อสงฆ์ เหมือนเดิม

    ต่อมาอีกไม่กี่วันหลวงพ่อสงฆ์ ซึ่งเร่งปรารภความเพียรมาอย่างหนักก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ณ ถ้ำภูคาเช่นเดียวกัน ท่านไม่ถือทั้งนามและรูป เพราะการหลงนาม หลงรูป มันก็หลงเกิด หลงตาย ไม่มีสิ้นสุด (ในช่วงบั้นปลายของชีวิตท่านได้มาพักจำพรรษาที่วัดอาวุธวิกสิตาธรรม เขตบางพลัด กทม. ตลอดมา จนถึงแก่มรณภาพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙)

    พระพุทธเกศแก้วจุฬามณี
    เมื่อหลวงปู่บุดดาและหลวงพ่อสงฆ์ได้รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจธรรมแล้ว ต่างองค์ต่างก็แยกกันไปประกาศพระสัทธรรม ตามสำนักและหัวเมืองต่าง ๆ เป็นเวลามากกว่า ๔๐ ปี แต่เมื่อจวนเข้าพรรษาของทุกปี ท่านทั้งสองก็จะกลับมาจำพรรษาร่วมกัน ที่วัดบ้านป่าหนองคู

    ครั้นออกพรรษาก็ต่างแยกทางกันไป ซึ่งบางครั้งก็จะมาอยู่ร่วมกัน ณ ถ้ำของเขาภูคาเป็นครั้งคราวจนล่วงย่างเข้าสู่วัยชราภาพประมาณเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ทั้งสองท่านพบกันก็ได้ปรารภถึงสถานที่ที่มีบุญคุณมากที่สุดคือ ถ้ำภูคา จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่ท่านทั้งสองได้อาศัยบำเพ็ญเพียรจนบรรลุถึงอริยสัจธรรม สมควรจะได้จัดสร้างพระพุทธปฏิมากรจำลองพระพุทธลักษณะมาจากพระเกศแก้วจุฬามณี ณ แดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้ตกลงให้ขนาดบ่ากว้าง ๖ วา ๒ ศอก สูง ๙ วา สร้างแบบเครื่ององค์ประดิษฐาน ณ ยอดเขาภูคา เพื่อเป็นอนุสาวรย์ทัศนา นุตริยะปูชนียสถานของพระพุทธศาสนิกชนทั่วไปและเป็นอนุสรณ์ที่ทั้งสององค์ได้พำนักอาศัยบำเพ็ญบุญบารมี จนบรรลุถึงอริยสัจธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดาเองของโลก ดังนั้นท่านทั้งสองพร้อมคณะศิษย์ผู้ศรัทธาจึงได้เริ่มจัดสร้าง “พระพุทธเกศแก้วจุฬามณี” ขึ้นประจำยอดภูเขาภูคา ต.หัวหวาย อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ จนเสร็จเรียบร้อยโดยใช้ช่วงเวลาสร้างไม่นาน (พระครูพลอย แม่ชีผวน พระเงิน เป็นผู้จัดดำเนินการหาทุนสร้างเป็นอนุสรณ์ให้กับหลวงพ่อสงฆ์ พรหมเถระ – หลวงปู่บุดดา ถาวโร)

    ต้องอธิกรณ์
    เมื่อหลวงพ่อสงฆ์กับหลวงปู่บุดดาแยกทางกันตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ แต่พอออกพรรษาแล้วท่านมักจะพบกันเสมอ บางครั้งก็ร่วมทางกันต่อไป แต่ตอนปลายปี ๒๔๗๔ ต่อต้นปี ๒๔๗๕ ท่านร่วมเดินทางมาด้วยกันพอถึงจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ญาณวโร เจ้าอาวาสวัดเทพศรินทราวาส ท่านทั้งสองก็ถูกอธิกรณ์เขาพาท่านทั้งสองมาหาสมเด็จวัดเทพศิรินทร์ฯ สมเด็จท่านจึงตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวน หลวงพ่อทั้งสองท่านไม่มีประโยคประธานใด ๆ แต่ท่านอ้างธรรมปฏิบัติตามปฏิปาที่ท่านรู้เห็นของท่านขึ้นโต้แย้ง ปริยัติเป็นเสมือนแบบแผนเท่านั้น แต่การปฏิบัตินั้นเป็นการทำจนปรากฏของจริงขึ้นประจักษ์แก่ใจ

    สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ท่านจึงตั้งกรรมการทั้งฝ่ายปริยัติและฝ่ายปฏิบัติขึ้นสมทบของท่านร่วมกันผลปรากฏไม่พบความผิดจึงเป็นที่เล่าลือกันในตอนต้นปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ว่าพระสุปฏิปันโนจากป่า เข้ากรุง

    จากผลของการสอบสวนในครั้งนั้นทำให้หลวงปู่ได้พบปะและสบอัธยาศัยกับพระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุตหลายองค์ ต่อมาท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรี (กิมไล้ สุจริตกุล) มารดาพระสุจริตสุดา และสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี ในพระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า (รัชการที่ ๖) ได้นิมนต์ไปจำพรรษา ณ วัดสัมพันธวงศ์ หลวงปู่จึงไปพำนักที่วัดสัมพันธวงศ์ในเดือนเมษายนปีนั้น

    หลวงปู่ไปเมืองเพชร
    ท่านอาจารย์เหล็งฯ เป็นภิกษุชาวเพชรที่อยู่ ณ วัดสัมพันธวงศ์ เลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวงปู่และขออาราธนาหลวงปู่ให้ไปโปรดญาติโยมของท่านทางเมืองเพชรก่อน ต่อใกล้พรรษา จึงค่อยกลับมาวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องอัธยาศัยของหลวงปู่อยู่แล้ว การเดินทางคราวนั้น มีท่านอาจารย์สันติฯ ชาวนครสวรรค์ ร่วมติดตามไปด้วย หลวงปู่จึงไปจำพรรษา ณ วัดเนรัญชรา วัดธรรมยุติของจังหวัดเพชรบุรีตั้งแต่ก่อน ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ (การเปลี่ยนแปลงการปกครอง) ในพรรษาต่อมาก็ จำพรรษา ณ วัดสนามพราหมณ์ และวัดเหนือวน จังหวัดราชบุรี ในพรรษาต่อไปและต่อจากนั้นจึงได้เข้ามาจำพรรษา ณ วัดราชาธิวาส ในกรุงเทพฯ เป็นพรรษาแรกในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ หรือ ๗๙ แต่แน่นอนก็คือเป็นปีที่ท่านครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์ถูกส่งมาสอบสวนและพักที่วัดเบญจมบพิตร

    วัดบุญทวี ถ้ำแกลบ
    วัดนี้สร้างด้วยความร่วมมือสมานฉันท์ของชาวเพชรบุรี ทั้งสองนิกายคือ ธรรมยุติและมหานิกาย (เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อสงฆ์และหลวงปู่บุดดาเป็นสื่อจูงใจ) ดังปรากฏกุฏิหลวงพ่อสงฆ์เดิม ภายหลังต่อมากลับกลายเป็นห้องสมุดของสำนักปฏิบัติ อุโบสถก็เป็นอุโบสถที่มีการผูกพัทธสีมา ทั้งแบบธรรมยุติและมหานิกาย ฝ่ายปริยัตินั้นอยู่พื้นที่ส่วนราบฝ่ายปฏิบัติอยู่บนภูเขา

    เนื่องจากวัดเพชรบุรีเป็นที่ ๆ หลวงปู่จำพรรษามากกว่าที่อื่น ๆ ยกเว้นจังหวัดสิงห์บุรี ประกอบกับท่านเป็นพระของทั้งสองนิกาย ชาวเพชรบุรีจึงศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่านมาก ขนาดสามล้อแย่งกันนิมนต์ขึ้นรถของตัวเอง เขามีความเชื่อว่าถ้าหลวงปู่ได้นั่งรถของเขาแล้ววันนั้นเขาจะได้ลาภมากกว่าปกติไม่ว่าจะเป็นสามล้อหรือรถโดยสารธรรมดาในจังหวัดเพชรบุรีแล้ว เขาต้องนิมนต์ให้ท่านขึ้นรถของเขาถ้าพบท่านตามทาง<!-- google_ad_section_end -->

    ......................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  11. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]


    พระพุทธเกศแก้วจุฬามณี
    พระพุทธรูปองค์สำคัญที่ หลวงปู่บุดดา และ หลวงพ่อสงฆ์
    ร่วมใจกันสร้างเป็นที่ระลึกถึงการตรัสรู้ธรรม ณ ถ้ำภูคา


    [​IMG]

    หลวงพ่อสงฆ์ พรหมสระเถระ
    วัดอาวุธฯ กรุงเทพมหานคร
    สหธรรมมิกองค์สำคัญ ของ หลวงปู่บุดดาฯ

    .....................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]


    งานเดียวถูกนิมนต์ ๓ วาระ
    ในงานฌาปนกิจศพของคหบดีคนหนึ่งของวัดเจ้าคณะตำบลใกล้วัดถ้ำแกลบนี้เอง ซึ่งบุตร ทั้ง 3 คน เป็นเจ้าภาพร่วมกันพอวันงานปรากฏว่าพระขาดไปรูปหนึ่ง น้องคนเล็กจึงไปนิมนต์หลวงปู่บุดดาจากวัดถ้ำแกลบ พอมาถึงท่านก็นั่งยังอาสนะที่เขาจัดไว้ เจ้าภาพได้เถียงกัน พี่ชายคนกลางว่าไปนิมนต์พระมาเช่นกัน ท่านได้ฟังก็ลุกอาจสนะลงมาข้างล่างและพระที่พี่ชายคนกลางนิมนต์มาก็เข้านั่งประจำที่แต่แล้วเจ้าภาพทั้งสองคนก็ตกลงจัดที่เพิ่มและนิมนต์หลวงปู่ขึ้นไปใหม่ ต่อพอพี่ชายคนโตมาถึงก็เอ็ดใหญ่ไม่ยอมฟังคำชี้แจงของน้องทั้งสองคน เขาเล่าว่าไม่เห็นท่านแสดงอาการอย่างไร ท่านก็ลุกจากอาสนะอีกครั้งหนึ่ง แล้วเดินผ่านมาทางซ้ายสุด เพราะมีผู้คนมามากแล้ว คราวนี้ท่านไม่หยุดดังคราวก่อนได้เดินผ่านประตูทางออกไปเลย ตอนหลังเจ้าภาพตกลงกันได้จึงวิ่งไปนิมนต์ท่านกลับมาใหม่ หลวงปู่ก็เลยกลับมานั่งยังอาสนะเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    วัววิ่งชนหลวงปู่
    หลวงปู่ได้รับนิมนต์จากชาวบ้าน จ.เพชรบุรี พร้อมด้วยอาจารย์เหล็ง พอถึงหน้าบ้านท่านก็ร้องให้เจ้าภาพของวัวผูกวัว เจ้าของบ้านออกมายืนนอกชาน ร้องนิมนต์ให้เข้ามาเถิดไม่เป็นไรหรอกท่านก็เดินเข้าบ้าน เจ้าวัวไม่ยอมรับรู้วิ่งก้มหัวเข้าใส่ทันที พอมันเข้ามาใกล้ท่าน อาจารย์เหล็งเห็นดังนั้นคิดอุทิศชีวิตถวายหลวงปู่ถลันขึ้นไปเสมอกับท่านไม่ทันล้ำไปข้างหน้า ทันใดขาทั้ง ๔ ของเจ้าวัวตัวนั้นเหมือนถูกตรึงอยู่ห่างจากหลวงปู่ประมาณ ๒ วา เจ้าของวัวจึงได้นำวัวมันไปผูก เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่ชาวเมืองเพชรบุรีเล่าลือกันทั่วไป

    แชะ แชะ
    อีกคราวหนึ่งมีนายทหารถือปืนเข้าวัดมาเพื่อจะยิงนก เข้ามาในวัดจนถึงหน้ากุฏิท่าน ท่านเลยชี้บอกนายทหารคนนั้นว่าโน่นไงนก นกกำลังเกาะกินลูกไม้บนต้นไม้ใหญ่ใกล้กุฏิท่าน ท่านบอกให้ยิงเพียง ๒ ครั้งเท่านั้น นายทหารคนนั้นเอาปืนยิงทันที ครั้งแรกดังแชะไม่ออก ครั้งที่ ๒ ดังแชะอีก ไม่ออก ท่านอาจารย์เหล็กจึงบอกว่า ไม่ได้ อย่ายิงอีกนะปืนจะแตก นายทหารคนนั้นก็เชื่อ และไม่เข้ามาในวัด อีกเลย ส่วนอาจารย์เหล็งนั้นเมื่อติดตามหลวงปู่บุดดามาเพชรบุรีแล้วก็ไม่ได้กลับกรุงเทพฯ ครั้งสุดท้ายท่านอยู่วัดบุญทวี ถ้ำแกลบและมรณะภายที่วัดนี้เอง

    พบครูบาศรีวิชัย
    หลวงปู่จำพรรษา ณ วัดราชานิวาส สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้นคือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ วัดราชบพิตร ครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์ หลวงปู่ได้ไปเยี่ยมท่านครูบาศรีวิชัยที่วัดเบญจมบพิตร ท่านเล่าว่าครูบาศรีวิชัยเห็นหลวงปู่ไม่พาดสังฆาฏิ จึงทักท้วงว่า “เราเป็นนายฮ้อยก็ต้องให้เขารู้ว่าเป็นนายฮ้อยไม่ใช่นายสิบ” นี่คือสาเหตุที่หลวงปู่ท่านไปไหนก็ตามท่านจะพาดสังฆาฏิเสมอ ครูบาศรีวิชัยได้ถวายคนโทน้ำที่ท่านใช้ให้หลวงปู่ลูกหนึ่ง คนโทลูกนั้นคงยังอยู่ที่วัดราชาธิวาสนั่นเอง พอออกพรรษาท่านจากไปก็เพียงบาตร ห่อผ้าอาบน้ำและร่มเท่านั้น ถ้าออกป่าก็มีกาน้ำอีกลูกหนึ่ง

    ท่านพุทธทาสนิมนต์ไปสวนโมกข์
    ระหว่างที่ท่านจำพรรษาที่วัดราชาธิวาสนั้น ท่านพุทธทาสได้พบและสนทนาวิสาสะเป็นที่ถูกใจ จึงได้ออกปากนิมนต์ไปจำพรรษาที่สวนโมกข์พลาราม ท่านบอกท่านพุทธทาสว่า อย่าให้ท่านเป็นผู้ทำลายแบบแผนที่วางไว้เลย จากเหตุคราวนั้น ทำให้ท่านพุทธทาสแก้ไขระเบียบที่ว่าผู้ที่จะเข้าพำนักในสำนักของท่านได้ ต้องเป็นเปรียญหรือนักธรรมเอก มาเป็นข้อยกเว้นว่า หากไม่มีประโยคประธานใด ๆ ท่านต้องทดสอบก่อน
    เกี่ยวกับท่านพุทธทาสนั้น เมื่อคราว หลวงปู่ได้เดินธุดงค์ไปยังเพชรบุรีได้พบกับท่านพุทธทาสอีก ซึ่งต่อมาหลวงปู่บุดดาได้ไปเยี่ยมท่านพุทธทาสที่สวนโมกข์อีกหลายครั้ง บางครั้งก็พักค้างคืน ครั้งหลังสุดเป็นช่วงก่อนเข้าพรรษาปี ๒๕๓๓ ท่านก็ยังไปเยี่ยมท่านพุทธทาสจวบจนท่านปรารภว่าจะไม่ไปไหนอีกแล้ว

    ไม่ข้ามหมา
    หลวงปู่ท่านได้ไปจำพรรษาที่จังหวัดระยอง วันหนึ่งท่านมีธุระที่จะต้องเดินไปกุฏิอีกหลังหนึ่งทาง ที่จะไปนั้น ต้องข้ามสะพานไม้ที่ทอดไป แต่บนสะพานนั้นมีสุนัขตัวหนึ่งนอนขวางทางอยู่ ท่านก็ไม่ข้ามกลับเดินลงไปลุยโคลนแทนที่จะข้ามสุนัขตัวนั้น ท่านว่า ไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับความ ขุ่นเคือง และเป็นการเบียดเบียน โดยเห็นแก่ความสะดวกของตนเองแม้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็ยังไม่ข้าม แสดงถึงคุณธรรมอันสูงส่งในจิตใจของท่าน

    เจ้าคุณ ๘ ประโยค
    หลวงปู่ถูกนิมนต์ให้ไปเทศน์คู่กับท่านเจ้าคุณองค์หนึ่ง ท่านก็คงเห็นหลวงปู่เป็นพระบ้านนอกรุ่มร่ามทำนองนั้น และไม่มีประโยคประธานใดๆ เพียงพระบุดดาธรรมดาๆ เท่านั้นท่านเจ้าคุณได้ถามหลวงปู่ว่า “ท่านจะเทศน์เรื่องอะไร” หลวงปู่ก็ตอบว่า “เรื่องตัวโกรธ กิเลสตัณหา” ท่านเจ้าคุณก็ถามว่า “ตัวโกรธเป็นอย่างไร” หลวงปู่ก็พูดว่า “ส้นตีน ไงละ” เจ้าคุณโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง และไม่ยอมเทศน์ร่วมกับหลวงปู่ หลวงปู่ท่านต้องเทศน์องค์เดียวเมื่อเทศน์จบแล้วท่านไปขอขมาเจ้าคุณเข้าใจว่าตัวโกรธเป็นอย่างนี้<!-- google_ad_section_end -->

    ......................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]


    หลวงปู่กับสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรรมหลวงวชิรญาณวงศ์
    หลวงปู่ท่านเรียกสรรพนามสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นี้ว่า “สมเด็จไส้ออก” เวลาท่านผ่านมาทางวัดบวรนิเวศ ถ้าพระองค์เห็นเข้าก็จะจูงมือหลวงปู่ขึ้นบนกุฎิปิดประตูสนทนากัน และจัดให้หลวงปู่จำวัดในพระตำหนักด้วย ท่านบอกว่า “ท่านบุดดามีพร้อมแล้วไม่ติดที่อยู่ พอออกพรรษาก็ออกไปเหมือนนกกระจอก อ้ายเรามันติดที่อยู่ที่นี่จนออกพรรษาแล้วก็ยังอยู่กับที่”

    พระฝ่ายปฏิบัติอื่น ๆ กับหลวงปู่
    พระฝ่ายปฏิบัติอันเป็นที่เคารพสักการะมีอยู่ทุกภาคและแทบทุกท่านมักจะได้เคยพบวิสาสะกันตอนจาริกธุดงค์เพราะต่างก็แสวงหาสถานที่วิเวก และมีสิ่งเกื้อกูลอื่นๆ เหมือนๆ กัน สถานที่เช่นนั้นจึงเหมือนเป็นจุดนัดพบของพระฝ่ายปฏิบัติ และจุดสำคัญต่างๆนี้ท่านออกธุดงค์จะต้องผ่าน เช่น ภาคกลาง มีพระพุทธบาท พระพุทธฉายและเขาวงพระจันทร์ ภาคเหนือก็พระแท่นศิลาอาสน์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็พระธาตุพนมและพระปฐมเจดีย์ของภาคกลางด้วย พระสายปฏิบัติฝ่ายธรรมยุต สายท่านเจ้าคุณอุบาลี และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สายนี้พูดได้ว่าหลวงปู่รู้จักเป็นส่วนมาก ที่พรรษาสูงกว่าหลวงปู่เรียกหลวงพ่อ เช่นเรียกหลวงพ่อมั่น หลวงพ่อเสาร์และอาจารย์สิงห์ ฯลฯ รุ่นเรียกอาจารย์ ก็คือรุ่นราวคราวเดียวกันหรืออ่อนกว่า กล่าวได้ว่าสายปฏิบัติฝ่ายธรรมยุตกับฝ่ายปฏิบัติธรรมของมหานิกาย สายหลวงปู่เภา พุทธสโร และหลวงปู่บุดดาท่านไม่มีความรังเกียจซึ่งกันและกันเลย จะเห็นได้จากประวัติของท่านสุภัทโท (เจ้าคุณโพธิญาณเถระ) นอกจากนั้น วัดมหานิกายที่ถือข้อวัตรปฏิบัติแบบหลวงพ่อเภากับวัดธรรมยุตของจังหวัดลพบุรีท่านก็มีการติดต่อกันอยู่เสมอ

    คราวหนึ่งหลวงปู่ได้พบ หลวงพ่อสด จันทสโร จากวัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ โดยบังเอิญ ณ วัดพระแท่นศิลาอาสน์ อุตรดิตถ์ เมื่อได้สนทนาธรรมและร่วมทำวัตรสวดมนต์โดยมี หลวงพ่อเกรียง กิตติธรรมโม จากวัดหินหักใหญ่ ลพบุรีร่วมธุดงค์มาด้วย ได้ชวนกันจาริกไปพระธาตุดอยสุเทพโดยธุดงค์ไปเรื่อย ๆ ใช้เวลาแรมเดือนจึงถึงจุดหมายแล้วเมื่อร่วมพักปฏิบัติธรรมอยู่ ๗๕ วัน ต่างก็แยกทางกันตามอัธยาศัย ซึ่งหลวงปู่ชอบธุดงค์องค์เดียว

    หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา หลวงปู่ เรียกหลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า “หลวงพ่อปาน ท่านปรารถนาพุทธภูมิ” ท่านออกธุดงค์แต่ละครามีพระ เณร อุบาสิกา ติดตามเป็นขบวนยาวมาก ที่ที่ท่านพบกันเสมอก็คือบริเวณเขาวงพระจันทร์ที่ซึ่งในเวลาต่อมาหลวงปู่ปานได้มาสร้างเป็นวัดสะพานนาค

    สายครูบาศรีวิชัย นอกจากครูบาเองท่านยังสั่งมอบหมายไว้ ก็คือ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ซึ่งหลวงปู่มีความเคารพเป็นอย่างยิ่ง และนับถือพระสุพรหมยานเถรเป็นพี่ชายของท่าน หลวงปู่สิม พุทธจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่อยู่บ่อย ๆ ด้วยความปิติและเบิกบานในอมตธรรมเป็นอย่างยิ่ง


    เจ้าคุณพระสิทธิสารโสภณ และแม่ชีบุญเรือนพบหลวงปู่

    ท่านเจ้าคุณพระสิทธิสารโสภณ อดีตเจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม ก่อนจะมาอยู่วัดอาวุธฯ นั้นท่านเคยอยู่วัดสัมพันธวงศ์และได้พบกับหลวงปู่ ณ ที่นั้นเอง หลวงปู่แนะนำท่านเจ้าคุณให้รักษาศีลเท่าชีวิต ท่านก็นำมาปฏิบัติจนกระทั่งปรากฏแสงสว่างเกิดขึ้นเป็นที่น่าอัศจรรย์ ท่านจึงเลื่อมใสศรัทธาและฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ท่านเจ้าคุณได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม ท่านก็นิมนต์หลวงปู่มาจำพรรษาที่วัดอาวุธฯ หลวงปู่ก็มาพักเป็นครั้งคราวและในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงได้มาจำพรรษาที่วัดอาวุธฯ ๒ ปี ท่านมาครั้งนี้ท่านเจ้าคุณได้มรณภาพแล้ว โบสถ์ วิหารที่ท่านสร้างไว้ก็ยังไม่เสร็จหลวงปู่ท่านมาอยู่ก็ช่วยสร้างศาลาและที่เก็บน้ำไว้ให้และทอดกฐินร่วมสร้างโบสถ์ที่ยังค้างอยู่

    ขณะที่ท่านเจ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ได้เคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ตอนหลวงปู่อยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ เวลาหลวงปู่แสดงธรรมมีคนมาฟังธรรมกันแน่นมาก รวมถึง คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็ได้มีโอกาสฟังธรรมและมอบตัวเป็นศิษย์ได้นำคำสอนของหลวงปู่มาปฏิบัติและบำเพ็ญความเพียรด้วยตนเองจนได้บรรลุธรรม (ปัจจุบันกระดูกกลับกลายเป็นอรหันตธาตุอยู่ ณ วัดอาวุธฯ) ท่านเจ้าคุณเคารพในปฏิปทาของแม่ชีบุญเรือนมาก ดังนั้นเมื่อท่านเจ้าคุณมาเป็นเจ้าอาวาสวัดอาวุธฯ และเมื่อคุณแม่ชีบุญเรือนมา สิ้นชีวิตลงแล้วท่านเจ้าคุณได้อนุญาตให้สร้างศาลาคุณแม่บุญเรือนไว้ที่วัดอาวุธฯ เพื่อเป็นอนุสรณ์<!-- google_ad_section_end -->


    ......................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  14. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    กับ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
    ที่ หลวงปู่บุดดา ท่านนับถือเป็น 'พี่ชาย' ของท่าน
    .....................................................................................................................................................

    [​IMG]

    ช่วงปลายชีวิต
    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ขณะหลวงปู่บุดดา อายุ ๘๔ ปี ได้มาจำพรรษา ณ วัดอาวุธสิตาราม เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ตามที่ท่านเจ้าคุณพระสิทธิสารโสภณ เจ้าอาวาสนิมนต์ไว้ และในปีนั้นท่าน เจ้าคุณก็ได้มรณภาพลงโดยขณะนั้นทั้งโบสถ์และวิหารที่สร้างขึ้นยังไม่แล้วเสร็จ

    และในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ นั้นเอง หลวงปู่บุดดาได้ช่วยสร้างศาลาและที่เก็บน้ำสำหรับพระสงฆ์ สามเณรและคณะศิษย์ได้ใช้ และเป็นประธานจัดพิธีทอดผ้ากฐินสมทบสร้างพระอุโบสถที่ยังค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ พร้อมได้สร้างศาลาธรรมสารขึ้นเพื่อเป็นศาลาปฏิบัติกรรมฐาน

    ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงปู่บุดดาต้องเข้ารักษาตัว ณ โรงพยาบาลตำรวจเมื่อหายแล้ว ท่านได้กลับไปเยี่ยมและพักผ่อน ณ วัดบุญทวี ถ้ำแกลบ จ.เพชรบุรี ช่วงระยะหนึ่งเมื่อจวนเข้าพรรษา หลวงปู่เย็น ทานรโต เจ้าอาวาสวัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.พักทัน จ.สิงห์บุรี ในสมัยนั้นได้นิมนต์ขอให้หลวงปู่ไปจำพรรษากับท่าน หลวงปู่จึงได้จำพรรษาอยู่กับ หลวงปู่เย็น โดยมี พระมหาทอง กาญจโน ศิษย์และอุปัฏฐากผู้ใกล้ชิดติดตามมาอยู่ด้วย สำหรับวัดกลางชูศรีเจริญสุขนั้น ได้สร้างมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงศรีอยุธยา ต่อมาเป็นวัดร้าง หลวงปู่เย็นได้เริ่มดำเนินการบูรณะและก่อสร้างโบสถ์ขึ้นก่อน ต่อเมื่อหลวงปู่บุดดามาอยู่ ด้วยบารมีของท่านและหลวงปู่เย็นและด้วยการบริหารของพระมหาทองจึงทำให้วัดกลางชูศรีเจริญสุขพัฒนาขึ้นจนเป็นวัดที่มีความสมบูรณ์สวยงามสง่านับเป็นวัดที่ทันสมัยวัดหนึ่ง

    เนื่องจากคณะศิษย์จำนวนมากในช่วงหนึ่ง ทราบว่าหลวงปู่เป็นผื่นคันตามตัว ต่างคนต่าง ก็นำแป้งหอมชนิดต่าง ๆ มาน้อมถวายคราวละมาก ๆ เมื่อลากลับหลวงปู่ได้เมตตานำแป้งที่ได้รับไว้กลับเอามา แล้วให้แบมือขึ้นเทแป้งใส่ให้พร้อมกับบอกให้ทาแป้งมงคลเสีย กันขี้กราก ขี้เกลื้อน กันหลง กันลืม ให้หายโรคหายภัย จนกระทั่งเป็นเอกลักษณ์ของหลวงปู่ ที่แจกแป้งมงคลให้คณะศิษย์ธรรมได้หน้าขาว สวยสง่าขึ้นทุก ๆ คน ซึ่งท่านจะแจกให้หมดทั้งพระสงฆ์ สามเณร และโยม พร้อมบอกว่า

    “ตั้งแต่ศีลแปดขึ้นไป ก็ทาเป็นยาได้.... เอาแป้งไปทาแล้ว มันหายโรคหายภัยได้จะว่าอย่างไรเล่า !”

    หลังจากจบกิจ พรรษาที่ ๔ แล้วท่านได้ออกจาริกทั่วทั้งประเทศไทยตลอดจนถึงพม่า ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย และได้ออกเทศนาสั่งสอนทั้งภิกษุ สามเณร ตลอดจนพุทธศาสนิกชน ด้วยการสั่งสอน โปรดสัตว์ ช่วยการก่อสร้างถาวรวัตถุระดับคุณธรรมให้สูงขึ้นทุกเพศชั้นวรรณะโดยหลวงปู่ได้ออกเยี่ยมเยียนจนถึงที่อยู่ เช่นเดียวกับสมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้า ซึ่งได้กล่าวแก่สาวกทั้งหลายว่า จงจาริกไปเพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    ในช่วงระหว่างปี ๒๕๒๒ จนถึง ๖ ก.พ. ๒๕๓๖ หลวงปู่คงจาริกไปโปรดศิษย์และญาติโยม โดยอาศัยรถพาหนะของรถวัดกลางชูศรีฯ และศิษย์ผู้ติดตามทั้งพระภิกษุ สามเณรและฆราวาส โดยเฉพาะพระครูโสภณจารุวัฒน์ (พระมหาทอง กาญจโน) รองเจ้าคณะอำเภอบางระจัน เจ้าอาวาสวัดกลางชูศรีเจริญสุข และพระสมบุญ ญาณวิเวโกได้เฝ้าดูแลใกล้ชิดติดตามท่านออกโปรดญาติโยมที่นิมนต์ท่าน แม้ว่าท่านเองจะไปด้วยตนเองไม่ไหวต้องอาศัยศิษย์ช่วยพยุงท่านเดินถึง ๒ ท่าน มีพยาบาลจาก รพ.สิงห์บุรีคอยดูแล หลวงปู่ก็ยังรับนิมนต์จากศิษย์และญาติโยมออกโปรดด้วยการแสดงธรรม หรือพุทธาภิเษก ฉัน รับสังฆทานร่วมพิธีต่าง ๆ อาจารย์มหาทอง กาญจโน เป็นเจ้าอาวาสและติดตามอุปัฏฐากหลวงปู่มาแต่ปี ๒๕๒๐ จนถึงที่สุดแห่งวาระชีวิตของหลวงปู่

    หลวงปู่ได้ปฏิบัติของพระศาสนาดังกล่าวมานี้ไม่สามารถจะหาที่เปรียบพระคุณหลวงปู่ได้แม้กระทั่งว่า ศิษย์ได้สอบถามท่านว่าเวลาพักผ่อนของหลวงปู่เวลาจะหลับตั้งใจให้หลับ หรือว่าหลับไปเอง ท่านกล่าวให้ฟังว่า หลับไปเอง กลางวันทำงาน ๑๐ ชม. พักผ่อน ๒ ชม. และกลางคืนทำงาน ๑๐ ชม. พักผ่อน ๒ ชม. เว้นแต่หลวงปู่เจ็บป่วย จากการสอบถามและได้รับเมตตาจากหลวงปู่เล่าให้ฟังปะติดปะต่อมา

    หลวงปู่ได้เคยไปสนทนาธรรมพบปะ และเยี่ยมเยียนกันกับพระเถระที่มรณภาพไปแล้วหลาย ๆ ท่าน ได้แก่ ครูบาศรีวิชัย หลวงปู่มั่น หลวงพ่อเติม หลวงพ่อจาด หลวงพ่อจง หลวงพ่อรุ่ง หลวงพ่อเงิน หลวงพ่ออี๋ หลวงพ่อปาน มีทั้ง ๓ ปาน ครูบาพรหมจักร ท่านเจ้าคุณนรฯ เจ้าคุณอุบาลี สมเด็จพุฒาจารย์ (อาสภเถระ) หลวงปู่ดู่ หลวงปู่ชา ท่านพุทธทาส หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่สิม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่วัย หลวงพ่อสังวาลย์ หลวงพ่อพุธ ครูบาชัยวงษา หลวงพ่อแพ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่แว่น หลวงพ่อคง จันตตามโร ครูบาธรรมชัย หลวงพ่อมหาอำพัน หลวงปู่สาม หลวงปู่โง่น ครั้งป่วยอยู่ รพ.ศิริราชฯ และพระเถระที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่ สมเด็จสังฆราชญาณสังวรฯ หลวงพ่อเพ็งฯ, หลวงพ่อ บุญเพ็ง, หลวงปู่เหรียญ, อาจารย์วิชัย, อาจารย์จำเนียร, อาจารย์จรัล, หลวงพ่อเหรียญ, หลวงพ่ออุตตมะ ฯลฯ

    ส่วนฆราวาส อุบาสก อุบาสิกา ที่นิมนต์หลวงปู่ ไม่ว่าจะยากดีมีจน ไม่เลือกชั้นวรรณะได้โปรดอย่างทั่วถึง ผู้ที่ได้เคยใกล้ชิดท่านบ้างจะทราบได้ทันทีว่า บารมีหลวงปู่เมื่อไปอยู่ใกล้ท่านจะได้รับความสงบเยือกเย็นอย่างประหลาด แต่ก็ยังมีบางท่านไม่เข้าใจในปฏิปทาในช่วงที่ท่านอายุมากแล้ว เช่นหลวงปู่แจกแป้ง หลวงปู่จับเงินทอง หลวงปู่จับหัวสตรี หลวงปู่ห่มผ้าไม่เหมือนพระองค์อื่น หลวงปู่ไม่ค่อยจะสอนวิธีปฏิบัติ หลวงปู่นอนห้องแอร์ และอื่น ๆ เนื่องจากท่านเหล่านั้นไม่ได้ติดตามหลวงปู่เป็นเวลานาน ๆ เท่าที่ควร และเพิ่งจะได้พบหลวงปู่ช่วงที่อายุมากแล้ว ขอให้ท่านได้ติดตามศึกษาชีวประวัติท่านให้ตลอดก่อน และหลักธรรมคำสอนที่ท่านได้แนะนำให้มาตลอด

    ซึ่งหลวงปู่ได้เคยเตือนว่าในสมัยพุทธกาลเศรษฐีได้ถ่มน้ำลายไล่พระอรหันต์ขี้เรื้อน ที่บิณฑบาตผ่านหน้าบ้านเศรษฐี ตายไปต้องตกนรกถึง ๕๐๐ ชาติ และชาติที่ได้สำเร็จเป็นพระโสดา ก็ยังต้องถูกโจรฆ่าตาย เนื่องจากบุคคลเหล่านั้นได้พบหลวงปู่เวลาสั้น ๆ จึงขอให้ท่านขอขมากรรมและ ขออโหสิกรรมต่อท่านเสีย

    หลวงปู่เล่าว่า แม้ท่านจะจำพรรษาที่แห่งเดียวติดต่อกันบ้างบางแห่ง แต่ท่านว่าท่านไม่เคยอยู่ที่ใดติดต่อกันตลอดทั้งปี เพราะพอออกพรรษาหลวงปู่ก็ออกจาริกธุดงค์ไปตามป่าตามเขาจนอายุใกล้ ๗๘ ปี ร่างกายของท่านทรุดโทรมแล้วจึงหยุดเข้าป่าขึ้นเขา แต่ท่านก็ยังจาริกไปตามอัธยาศัยท่านบิณฑบาตโดยไม่กลับย้อนหลัง บิณฑบาตที่เชียงใหม่ไปฉันที่เชียงราย คือวันหนึ่งท่านฉันมื้อหนึ่งและเว้นไปอีกวันท่านจึงฉัน จนกระทั่งท่านอายุมากแล้ว อายุ ๘๐ ปี ท่านจึงหยุดการปฏิบัติตนเองแบบเคร่งครัดเพื่อพักผ่อน กายสังขารตามคำนิมนต์ของบรรดาศิษย์

    อาจารย์มหาทอง กาญจโน เจ้าอาวาส วัดกลางชูศรีฯ เป็นผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาได้ติดตามอุปัฏฐากหลวงปู่บุดดามาแต่ปี ๒๕๒๐ เริ่มแต่วัดอาวุธวิกสิตาราม กทม. ได้กล่าวว่า “หลวงปู่เป็นพระพอดี ไม่ได้เกินดี ไม่ได้ขาดดี” เช่นถามเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ หนาวไหม หนาวพอดี ร้อนไหม ร้อนพอดี เกี่ยวกับการขบฉัน การเจ็บป่วย จะไม่เคยเรียกหาอะไรเพิ่มเติมเลย เวลาท่านฉัน ไม่เคยบอกก่อนเลยว่าท่านเจ็บป่วย ต้องสังเกตเอาเองและคอยสอบถามท่านว่าไม่สบายมีอาการเป็นอย่างไร

    ไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะท่านเคยเล่าให้ฟัง ว่าท่านเคยอธิฐานไม่นอนเลยระหว่างเข้าพรรษาก็ทำมาแล้ว ธุดงค์โดยไม่ต้องมีกลดมีมุ้ง ทางแถบชายทะเลตะวันออกยุงกัดเลือดท่านบินไม่ไหวท่านกล่าวว่าไม่เกิน ๗ วัน เดี๋ยวมันก็ตายไปเองอยู่แล้วสงสารมัน แต่ข้าพเจ้าก็เกิดอัศจรรย์ใจราวปี ๒๕๒๙ ที่ได้ไปพบท่านจำวัด ณ วัดกลางชูศรีฯ โดยที่ท่านไม่ต้องกางมุ้งแต่ไม่เห็นมียุงกัดกินเลือดท่านเลย
    <!-- google_ad_section_end -->

    ......................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  15. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]


    ละสังขาร
    สำหรับพระอรหันต์ถึงแม้ว่ามีคุณวิเศษสามารถแยกจิตกับกายออกจากกันได้แล้วก็ตาม แต่ย่อมไม่สามารถที่จะบังคับให้กายสังขารทรงความมีชีวิตให้ยิ่งยืนนานตลอดไปได้ฉันใดกายสังขารของ หลวงปู่บุดดา ถาวโร ก็เช่นเดียวกัน

    เมื่อวันที่ ๖ ก.พ. ๒๕๓๖ หลวงปู่บุดดาได้ไปร่วมพิธีทำบุญ ๑๐๐ วัน หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถร (หลวงพ่อฤาษี) ณ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี หลังท่านกลับถึงวัดกลางชูศรีเจริญสุขแล้วเวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น. หลวงปู่มีอาการป่วยกะทันหัน พระครูโสภณจารุวัฒน์ (พระอาจารย์ มหาทอง) จึงได้นำส่งโรงพยาบาลสิงห์บุรี นายแพทย์วิศิษฐ์ ถนัดสร้าง ได้นำหลวงปู่เข้าเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ที่โรงพยาบาล หมอประเจิดพบว่าสมองด้านซ้ายฝ่อเส้นโลหิตอุดตัน และปอดอักเสบ หลวงปู่หอบเพราะเสมหะตกค้างในปอดมาก แพทย์ตัดสินใจใส่ท่อช่วยหายใจทางปาก


    - ๙ ก.พ. ๒๕๓๖ สมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับหลวงปู่เข้าเป็นคนไข้พระราชูปถัมภ์ คณะแพทย์สิงห์บุรีจึงได้นำหลวงปู่ส่งโรงพยาบาล ศิริราช ณ ห้องไอซียู โดยมี ศ.พ.ญ. นันทา มาระเนตร์ เป็นแพทย์เจ้าของไข้

    - ๑๑ ก.พ. ๒๕๓๖ หลวงปู่ได้รับการรักษาที่ห้องอภิบาลการหายใจ (อาร์ซียู) ตึกอัษฏางค์ ชั้น ๒ หลวงปู่อาการดีขึ้นตามลำดับ หายใจได้เอง

    - ๑๔ ก.ค. ๒๕๓๖ หลวงปู่ได้ย้ายไปที่ห้องพิเศษ ตึก ๘๔ ปี ห้อง ๘๐๘ โดยอยู่ในความ ดูแลของแพทย์และพยาบาลประจำตึก มีพระอุปัฏฐากอยู่ประจำ ๒ รูป

    - ๒๖ พ.ย. ๒๕๓๖ หลวงปู่มีอาการทรุดลงทั้งหอบและไอ แพทย์ได้นำเสมหะไปเพาะ เชื้อปรากฏว่าหลวงปู่ติดเชื้ออย่างแรง

    - ๒ ธ.ค. ๒๕๓๖ แพทย์ได้ย้ายหลวงปู่กลับไปที่ห้องอาร์ซียูอีกครั้ง แต่อาการไม่ดีขึ้น

    - ๑๑ ม.ค. ๒๕๓๗ ช่วงกลางคืนอาการหลวงปู่สุดวิสัยที่คณะแพทย์จะเยียวยารักษาได้


    วันดับขันธ์แห่งดวงประทีปพุทธศาสนา

    เช้าของวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๗ อาการของหลวงปู่ได้ทรุดหนักลง พระมหาทอง (พระครูโสภณจารุวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดกลางชูศรีเจริญสุข ซึ่งคอยเฝ้าสังเกตอาการของหลวงปู่เห็นดังนั้น จึงได้แจ้งให้คณะแพทย์ทราบโดยคณะแพทย์ได้เรียกระดมแพทย์ที่ให้การรักษามาทำการเยียวยาอย่างสุดความสามารถ

    พระมหาทองได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ท่านได้เฝ้าดูอาการหลวงปู่มาอย่างใกล้ชิด จึงคาดว่าไม่ช้านี้หลวงปู่คงมรณภาพเพราะอาการขณะนี้มีเปอร์เซ็นต์ให้หวังได้เพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ระบบการหายใจแย่ลงทุกที

    พระครูโสภณจารุวัฒน์ หรือมหาทองได้ กล่าวอีกว่า หลวงปู่บุดดาเคยสั่งเอาไว้ว่าหากท่านมรณภาพไม่ให้จัดพิธีงานศพใดๆ ทั้งสิ้นด้วยเกรงว่าจะเป็นการสิ้นเปลือง

    แต่แล้วเมื่อเวลา ๑๙.๓๐ น. ทางคณะแพทย์ได้แจ้งให้บรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายได้ที่เฝ้ารอดูอาการของหลวงปู่ที่หน้าห้องไอซียู ว่าหลวงปู่ได้ละสังขารไปอย่างสงบแล้ว

    เหมือนสายฟ้าฟาดลงมายังบรรดาสานุศิษย์ที่มารอฟังข่าวของหลวงปู่ และยังเป็นข่าวร้ายอีกด้วย

    เป็นเวลา ๓๔๐ วัน ที่หลวงปู่ต้องทนต่อสู้กับโรคปอดบวม สมองซีกซ้ายฝ่อและเส้นโลหิตอุดตัน ท่ามกลางความเศร้าสลดของบรรดาคณะแพทย์ที่ให้รับการรักษาและสานุศิษย์ทั้งหลายที่มารอเฝ้าดูอาการจนวาระสุดท้ายก่อนจะสิ้นลม สิริรวมอายุ ๑๐๑ ปี ๗ วัน ๗๓ พรรษา


    ดวงประทีปแห่งพุทธศาสนาได้ดับสูญไปอีกดวงหนึ่งแล้ว
    แต่สิ่งที่หลวงปู่บุดดาได้สอนไว้ยังคงอยู่

    "คนเราจะเป็นสุขเมื่อรู้จักพอดี ไม่มีใครได้อะไรตลอดไป หรือเสียอะไรตลอดไป ไม่มีใครหรือสิ่งไหนคงอยู่ตลอดไปโดยไม่สูญสิ้น ขอเพียงแค่รู้จักพอดีทุกคนจะเป็นสุข"

    (คราวที่หลวงปู่ได้รับการรักษาที่ โรงพยาบาลตำรวจก็ได้รับการสงเคราะห์จากศิษย์ผู้อำนวยการ รพ. ตำรวจเป็นอย่างดีและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้เสด็จเยี่ยมด้วย)

    กราบ หลวงปู่บุดดา ถาวรโร พระใจทองคำ <!-- google_ad_section_end -->
    ......................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  16. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    พระเครื่อง "หลวงปู่บุดดา"
    พระดี ที่หลายคนมองข้าม

    เอ่ยถึง พระหลวงปู่บุดดา
    คนเล่นพระอาจมองข้ามไปอย่างรวดเร็ว
    เนื่องด้วยเหตุผล พระท่านไม่ดัง พระท่านไม่แพง หรือห้อยแล้วไม่เท่ โชว์ไม่ได้
    หรือไม่มีข่าวปาฏิหาริย์อะไร อย่างฟันไม่เข้า หรือยิงไม่เข้า ตามหน้าหนังสือพิมพ์
    อันนี้ ขอท่านได้พิจารณาให้รอบคอบและถ้วนถี่ในมายาโลก
    ที่แม้แต่แวดวงพระเครื่องก็ยังมี หากใครจำได้ถึงอมตะของ ท่านเจ้าคุณนรฯ ที่ว่า

    "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้นั้นไม่จริง"

    ผมยินดีที่จะเสนอ ของจริง ให้พี่ ๆ ในเว็บนี้ครับ

    อันศักดิ์ศรีของหลวงปู่บุดดานั้น
    แม้จะดู ธรรมดา ในสายตาชาวโลก
    แต่สายของเหล่ากองทัพธรรม นั้น สูงสุดจะบรรยาย

    ครั้งหนึ่งท่านได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก
    หลวงปู่บุดดา ได้เทแป้งเสกลงในมือหลวงปู่ดู่ และ ทันทีทันใดเหมือนกัน หลวงปู่ดู่รีบเทแป้งเหล่านั้นลงบนศรีษะท่านจนขาวโพลนไปหมด ท่ามกลางความ ตกตะลึง ของเหล่าลูกศิษย์ท่านมากๆ เพราะปกติหลวงปู่ดู่ท่านมีกิริยาที่เรียบร้อยเอามากๆ จนเมื่อหลวงปู่บุดดากลับไป ลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ถามหลวงปู่ทันที
    "หลวงปู่ ทำไมเทแป้งอย่างนั้นล่ะครับ"

    ท่านตอบว่า
    "ก็ผง พระอรหันต์ ท่านให้ จะให้เอาไว้ตรงไหนนอกจากบนศรีษะของเรา ไม่งั้นจะเป็นการไม่เคารพ"

    และที่สำคัญใน พิธีเปิดโลก ที่แสนสะโด่งดัง นั้น
    หลวงปู่ดู่ ท่านยังเชิญบารมีขององค์หลวงปุ่บุดดามาร่วมเสกด้วย (ทางญาณนะครับ)

    แม้แต่องค์ หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง

    พระเถระที่ปกติไม่สรรเสริฐพระองค์ไหนง่ายๆ
    ในวันหนึ่ง เมื่อท่านทราบว่าหลวงปุ่บุดดา นั่งอยุ่บนรถบัส
    ท่านถึงพูดกับลูกศิษย์ ว่า

    "ไม่ให้ท่านลงมานะ เราจะขึ้นไปกราบหลวงปุ่บุดดา บนรถ เอง"
    แล้วท่านก็ขึ้นไปทั้ง กราบ ทั้ง ไหว้ อย่างเคารพและเรียบร้อยที่สุด

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
    ท่านเคยบอกให้ลูกศิษย์ไปกราบ หลวงปู่บุดดา
    ตั้งแต่ที่ท่านยังอยุ่ที่วัดอาวุธ ฝั่งธน กทม. โดยให้เหตุผลว่า

    "รีบไปกราบท่านนะ หลวงปู่องค์นี้ ท่านเป็นพระทองคำ
    ท่านจะไม่มาเกิดอีกแล้วนะ"

    และยกย่องหลวงปุ่บุดดาอีกหลายครั้ง และหากท่านสงสัยในกัปกริยาที่ค่อนข้างจะแหวกแนว และ ล่อแหลมขององค์หลวงปู่ ที่มักทำอะไรที่คนทั่วไปมองว่าผิดปกติ ขอให้คิดเอาเสียใหม่ นี่คือ เนื้อนาบุญของแท้

    ซึ่งแม้แต่ หลวงปู่สิม แห่งสำนักสงฆ์วัดถ้ำผาปล่อง

    ยังขอถวายสังฆทาน และจีวร เป็นการเฉพาะ และบอกว่า

    "หลวงปู่บุดดา ยอดเยี่ยมที่หนึ่ง แก่ทั้งอายุ แก่ทั้งพรรษา และแก่ทั้งมรรคผลนิพพาน"

    หากท่านสงสัยในพุทธคุณที่หลวงปู่บรรจุไว้ในองค์พระแล้ว โปรดอ่าน...

    ครั้งหนึ่ง มีคนนำพระไปให้ท่านเสก
    ส่งไปแล้วท่านก้อส่งกลับ ทำอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง โดยไม่แสดงอาการ เสก แต่อย่างใด
    ท่ามกลางความงุนงงของผุ้นั้นมาก จนหลวงพ่อองค์หนึ่งที่นั่งอยุ่ที่นั้นบอก

    "พระองค์นี้ ออกรบได้แล้วล่ะโยม"

    เต็ม ตั้งแต่ที่ส่งมาให้แล้ว
    ......ตกใจไหม......

    และเมื่อมีคนนำพระไปให้ ครูบาสร้อย วัดมงคงคีรีเขต จ.ตาก
    พระอาคมขลัง ที่ผู้อ่านศักดิ์สิทธิ์คงรุ้จักกันดี ช่วยเสกซ้ำอีกที
    ท่านได้ปฏิเสธ และให้เหตุผลว่า

    "เต็มแล้ว เสกไม่ได้แล้ว"

    แม้แต่องค์ หลวงพ่อพุธ ยังปฏิเสธเหมือนกัน และบอก

    "จะให้เสกทับไปได้อย่างไร
    หลวงปู่บุดดาก็เป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของเราเหมือนกัน"

    สุดยอดจริงๆ

    ทุกวันนี้เราหาพระที่จะมาห้อยคอนั้น ง่ายเหลือเกิน แต่จะหาพระแท้ มาห้อยนั้น ยากครับ หากท่านบูชาพระที่พุทธคุณ ไม่ใช่ค่านิยม อันเป็นเรื่องของทางโลกแล้ว
    พระเครื่องหลวงปู่บุดดา เป็นอีกองค์หนึ่งซึ่งผม ขอฝากไว้ในใจท่านทั้งหลายครับ

    ที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.สิงห์บุรี ยังมีพระท่านตกค้างอยุ่เป็นจำนวนมากครับ
    ท่านใดสนใจก็ไปบูชากันได้ ซึ่งนอกจากจะได้พระ "แท้" แล้ว
    ท่านจะได้มีโอกาสกราบศพหลวงปู่ ที่ไม่เน่าเปื่อย ที่ประดิษฐานในโลงแก้วด้วยครับ และยังมีโอกาสได้รับแจก จีวรที่ห่มร่างหลวงปุ่ที่ทางวัดจะเปลี่ยนในทุกๆปี ด้วยครับ

    และแฟนพันธ์แท้ศักดิ์สิทธิ์คงจำกันได้ถึง

    พระปิดตา 100 ปีหลวงปู่บุดดา ที่แจกพร้อมหนังสือ เมื่อหลายปีมาแล้ว
    ซึ่งผมขอบอกว่าเป็นของดีจริง ๆ ครับ
    เพราะนอกจากทำจากแป้งเสกหลวงปู่ฯแล้ว ยังเข้าพิธีที่วัดบวรในสมัยนั้นด้วยครับ

    กราบขอบคุณที่ท่านกรุณาอ่านจนจบ

    ขอให้เจอพระ "แท้" โดยถ้วนหน้ากัน<!-- google_ad_section_end -->


    ......................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  17. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]


    เรื่องที่จะนำมาถ่ายทอดต่อไปนี้ คัดลอกมาจากหนังสือ "เสียงจากถ้ำ (นารายณ์) ฉบับพิเศษ : บนเส้นทางพระโยคาวจร" เขียนโดย "สายฟ้า" [หลวงตาวัชรชัย เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)] ผู้ถ่ายทอดกราบขออนุญาตต่อหลวงตาวัชรชัย ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ และจะขอตัดตอนนำเฉพาะบางตอนที่กล่าวถึง หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ กับ หลวงปู่บุดดา ถาวโร โดยตรงมาถ่ายทอด ดังนี้

    "ถ้าจะมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่งที่สามารถนั่งสนทนาโต้ตอบกับพ่อ (หลวงพ่อของพวกเรา) ได้แบบทันปากพ่อ ทันใจพวกเราแล้ว ผู้เขียนนึกออกมาได้เพียงองค์เดียวจริงๆ นั่นคือ พระคุณหลวงปู่บุดดา ถาวโร หนึ่งในจำนวนพระสุปฏิปันโนที่พ่อนิมนต์มาในงานฉลองวัดเมื่อเกือบ 24 ปี มาแล้ว"

    พระคุณหลวงปู่บุดดา ท่านพรมน้ำมนต์ที่ศาลา 4 พระองค์ วันนั้นดูเหมือนไม่เหนื่อย แต่พอกลับมาพักที่กุฏิก็จับไข้ตามเดิม ผู้เขียนจำได้ไม่มีลืม กลับมาท่านก็ยังไม่ยอมนอนพัก นั่งอยู่ชั้น 2 กุฏิเบอร์ 2 กับผู้เขียนตัวต่อตัว ท่านมองฟ้า มองหลังคาพระอุโบสถวัดท่าซุง ผ่านหน้าต่างกุฏิ ตายังงี้ใสแจ๋วเหมือนแก้ว ไร้อารมณ์ไร้เดียงสา บริสุทธิ์เหมือนดวงตาเด็ก (เด็กดีๆ นะ) ปากก็พูดลอยๆ แต่ชัดเจนว่า

    "เออ..งานนี้ (หมายถึงงานวัดเราที่มีพระสุปฏิปันโนมารวมกันถึง 10 องค์) จัดยากนักหนา ใครๆ จะไปนิมนต์พระดีหลายๆ องค์มารวมกันยังงี้ทำไม่ได้หร็อก พระเจ้าแผ่นดินทั่วโลก พระสังฆราช พระสันตะปาปารวมกัน ไปนิมนต์ท่าน ท่านไม่มาให้หร็อก..! แต่พระมหาวีระ (ตอนนั้นพ่อยังไม่ได้สมณศักดิ์) องค์เดียวทำได้ ท่านทำให้ลูกหลานได้ดีกัน แต่หลวงปู่ยังสงสัยว่า ลูกหลานทั้งหลายจะเข้าใจเจตนาครูบาอาจารย์ และฉวยความดีนั้นเอาไว้ได้ไหม ?.."

    ท่านพูดแค่นั้นแหละ...นิ่งเงียบไปเลย ผู้เขียนธรรมดาโง่อยู่แล้ว หลังจากนั้นอีก 3 ปี จึงได้เข้าใจจุดหมายอันลึกซึ้งยิ่งใหญ่ไพศาลที่หลวงปู่บุดดาพูดถึง จะเล่าให้ฟังในตอนสรุปท้ายเรื่อง "พระผู้เป็นเนื้อนาบุญ" ตามลำดับระยะเส้นทางพระโยคาวจร

    หลวงปู่บุดดา มีจริยาวาจาตรงๆ ง่ายๆ ใครก็ทราบกันอยู่แล้ว ที่สำคัญก็คือ เป็นพระสงฆ์ที่รักผ้าครอง 3 ผืน ยิ่งนัก จะเห็นว่า ท่านจะพาดสังฆาฏิติดตัวอยู่เสมอไม่เคยขาด อีกอย่างก็คือไม่จับเงินทอง ไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้ตัวเลย เรื่องสนุกมากๆ ก็เกิดตรงจุดนี้ คือ เมื่อเสร็จจากงานวัดแล้ว พ่อก็จัดรถนำลูกหลานไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ที่ อ.สรรคบุรี ไปกันหลายคันรถ ศาลารับแขกของหลวงปู่ที่สำนักนั้นแน่นไปหมด พ่อก็บอกว่า

    "ลูกหลานเอ๊ย...ช่วยหลวงปู่สร้างศาลาใหม่นะลูก ช่วยกันคนละเล็กละน้อย"

    โธ่เอ๋ย...ถ้าหลวงพ่อออกปากอย่างนี้ ซ้ำยังบอกว่า

    "หลวงปู่บุดดา เป็นพระทองคำทั้งองค์นะลูกนะ ทำบุญกับท่าน ก็คือ ทำบุญกับพระอรหันต์ นะ"

    จากคนละเล็กละน้อยก็รวมเป็นก้อนใหญ่มากๆ จำไม่ได้ว่าเท่าไร หลวงพ่อสั่งให้นับจำนวนเงินมัดรวมเข้าเป็นปึกสวยเชียว

    "ถวายหลวงปู่เข้าไป เอ๊า...โมทนาพร้อมๆ กันลูกเอ๊ย..."

    คนถือเงินน้อมถวายปุ๊บ หลวงปู่ก็คว้าย่ามมาแหวกปั๊บ แหวกกว้างเลยกะให้เงินหล่นใส่ย่ามไม่ถูกมือท่าน เท่านั้นแหละท่านผู้อ่าน พ่อเราก็คว้าเงินทั้งปึกมาถือไว้... แย่งเอาเสียเองเลย

    "หลวงปู๊....." พ่อทำเสียงยาวเลย

    "นี่...ถ้าจับเงินไม่ได้ก็ไม่ต้องเอานะ... นี่ถ้าพระใจเป็นแก้วทั้งใจอย่างหลวงปู่ยังคิดว่าไอ้แบงก์กับธาตุดินมันยังมีค่าต่างกัน...ถ้าธาตุดินนี้มันทำให้ใจหลวงปู่เสียหายได้ ก็ไม่ต้องเอาน๊ะ...."

    เท่านั้นแหละหลวงปู่ผู้ไม่จับเงินมาตลอดชีวิต

    ก็มีอันเปลี่ยนไป ท่านคว้าเงินมาจากมือ พ่อ

    "เอาของเขาคืนมานะ..." จับ 2 มือแน่นชูขึ้นตรงหน้าเลย

    "นี่..นี่..นี่ บุดดาจับเงินแล้วนะ จับเงินแล้วนะ"

    จับยัดใส่ย่ามวางบนตัก ชนิดใครก็มาแย่งไปอีกไม่ได้ พวกเราหัวเราะกันลั่นเลย หัวเราะไปใจเป็นสุขที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นสุขเพราะอะไร... พ่อบอกอยู่เสมอว่า

    "ใจพระทองคำแท้ (พระอรหันต์) ท่านไม่ติดอะไรทั้งโลก แม้ร่างกายตัวท่านเอง แต่ท่านอยู่กับร่างกายและโลก เกี่ยวพันบริหารงานโลกโดยใจไม่มีทุกข์โทษเวรภัยใดๆ มาทำให้มัวหมองแปดเปื้อนได้ เมื่อใจไม่ติดแน่นอนแล้ว จริยาทางกาย วาจา ก็ลดลงมาหากระแสโลกเพียงเพื่อสงเคราะห์ จะได้พูดกันแนะนำกันรู้เรื่องแบบธรรมดาโลกเขา แต่จริยาท่านอยู่ในสมณมารยาท ในวินัยประเพณี ไม่มีบกพร่องด่างพร้อย เมื่อพ่อกล้าทำอย่างนั้น พ่อก็กล้าชักชวนให้หลวงปู่องค์อื่นออกมาทำงานแทนคุณพระพุทธเจ้าก่อนที่ร่างกายจะสลายหายประโยชน์ไป พระคุณหลวงปู่บุดดาท่านเข้าใจ เต็มใจทำอยู่แล้ว เมื่อมีเพื่อนผู้รู้ใจมารับรองประคองเชิญ ท่านก็ก้าวออกมา..."

    นับแต่นั้น ! หลวงปู่บุดดา ก็จับเงินทองได้ ให้ญาติโยมผู้หญิงผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้าใกล้ตัวท่านได้ ด้วยประการ ฉะนี้ (เอาเข้าให้..)<!-- google_ad_section_end -->


    ......................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  18. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]


    เอาละ...ทีนี้มาต่อความ หลังจากพ่อชวน หลวงปู่บุดดา เป็น "พระเปิด" เรียบร้อยแล้ว เรื่องมันก็ยิ่งตรงแน่ไม่ต้องแปลกันแล้ว ขอออกตัวคือบอกความจริงกันเสียก่อนว่า ผู้เขียนไม่มีวาสนาได้ตามพ่อไปทุกที่ หรือได้ฟังได้เห็นไปเสียทุกเรื่องราวที่พ่อทำ... นานๆ จะได้พบเห็นปรากฏการณ์บริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนาจากจริยาที่พ่อประพฤติเป็นธรรมดาๆ สักครั้ง จึงจดจำสลักเข้าไปในใจตัวเอง... แต่ไม่หวงแหนที่จะเล่าให้ท่านฟัง

    เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที "บ้านซอยสายลม" ของพวกเรานี่แหละ ตั้งแต่สมัย พี่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา เจ้าของบ้าน) ยังมีชีวิตอยู่นั้น หลวงปู่บุดดาก็มักจะมาเยี่ยมพ่อที่บ้านนี้บ่อยครั้ง พี่อ๋อยจะยิ้มเต็มปากเต็มหน้าเต็มใจต้อนรับหลวงปู่ ชี้ถวายที่นั่ง..... ประเคนถวายน้ำฉัน แล้วก็จะนั่งยิ้มคุยกับหลวงปู่คอยเวลาที่พ่อจะลงมาพบ พี่อ๋อยกับหลวงปู่บุดดาคงจะเป็นคนประเภทเดียวกันคือ พูดตรงไปตรงมา เสียงดังฟังชัด สมัยก่อนโน้นหลวงปู่บุดดาพูดเสียงดังมาก โดยเฉพาะเวลาคุยกับพ่อนี่ไม่ต้องใช้ไมโครโฟนหรอก ถ้าพระคุณ 2 องค์นี่คุยกันทีไร พวกเราคอยหัวเราะได้เลย ท่านทันกันจริงๆ พ่อบอกว่า

    "ก็ไอ้คน "ถาวโร" เหมือนกันนี่ มันก็อย่างนี้แหละ...."

    ครั้งหนึ่งพ่อคุยเรื่อง 'อารมณ์พระนิพพาน' กับหลวงปู่... พวกเราก็นั่งเชียร์กันเต็มที่ ท่านปรารภเรื่องร่างกายว่าเป็นของไม่ดี แล้วถามหลวงปู่ว่า

    "หลวงปู่...ร่างกายนี่มันทุกข์ไหมครับ ?.."

    "มันทุกข์น่ะเช้..."
    หลวงปู่มักจะทำเสียงยาว ทำหน้าจริงจัง จ้องตายืนยันคำพูดทุกครั้ง ซึ่งมักจะตกหลุมพ่อทุกครั้งเหมือนกัน

    "อ้าว...ถ้ามันทุกข์แล้วหลวงปู่ "เสือก" เกิดมาทำไมล่ะ...."

    " ก้อ ก้อ มันโง่น่ะเช้...."
    แล้วท่านก็ไปกันได้ทุกครั้ง...ไม่เคยอับจนซักที

    เกี่ยวกับเรื่องที่พ่อมักจะใช้คำพูดที่ "ดูเหมือนจะไม่เคารพ" ต่อพระที่มีพรรษามาก ซ้ำยังเป็นพระสุปฏิปันโนเสียอีกด้วยนั้น พวกเราใช้หูคนฟังใช้ใจมนุษย์คิด ก็มักจะมีข้อข้องใจกันบ่อยๆ แต่ถ้าฟังให้ตลอดเรื่องถึงตอนจบ ก็จะพบเห็นว่า พ่อจะยกมือไหว้เป็นเชิงขอขมาพร้อมกับเอ่ยเสียงอ่อนโยนตบท้ายเสมอ

    "อ้อ..ครับ...ครับ.. แล้วหลวงปู่จะเกิดอีกไหมครับ..."

    "จาไปเกิดให้มันโง่อีกเร้อ..."
    หลวงปู่ก็พูดไปชี้ๆ จิ้มๆ ไปเหมือนเดิมอีก

    ครั้งหนึ่งที่หลวงปู่มาคอยอยู่ แต่ว่าพ่อออกไปกิจนิมนต์นอกบ้านสายลมเป็นกรณีพิเศษ พ่อกลับมาก็พบหลวงปู่นั่งอยู่บนเก้าอี้เชิงประตูทางขึ้นที่พ่อพัก...

    พ่อ หยุดยืน เอามือชี้หลวงปู่

    " เอ้า...พระที่ไหนเล่านี่.."

    หลวงปู่ก็เอามือชี้ไปที่พ่อ
    "ก้อ ก้อ พระที่วัดท่าซุงนะเช้..."

    พ่อมักจะหัวเราะเสียงดังชอบอกชอบใจ พวกเราก็ชอบมากๆ ด้วย มาถึงครั้งสำคัญของบ้านซอยสายลม คือ คราวที่พี่อ๋อยเสียชีวิตด้วยโรคประจำวิบากกรรมของท่าน คือโรคมะเร็งที่หน้าอก....... ศพของพี่อ๋อยตั้งอยู่ตรงห้องพรมเขียว (ตอนนี้เปลี่ยนสีหรือยังไม่ทราบเพราะผู้เขียนไม่มีโอกาสได้ไปบ้านซอยสายลมมาหลายปีแล้ว) คือ ห้องที่ใช้ฝึกญาณ 8 ในปัจจุบัน (พ.ศ.2542) ตั้งโลงชิดผนังห้อง ด้านท้ายห้องมีม่านกั้นห้องน้ำไว้สวดพระอภิธรรมกันที่นี่ ต้อนรับแขกที่ห้องนี้แหละ

    พวกเรารุ่นโน้น คือที่ไปซอยสายลมทันช่วงเวลาปี 2516 - 2522 คงจะจำความรู้สึกร่วมสมัยได้ว่า เราก็มั่นใจในพ่อ... พอใจพระนิพพาน ทำตามพ่อสอนเต็มใจอิ่มใจ แต่ไม่วายสงสัยว่า

    "แล้วจะไป พระนิพพาน ได้จริงๆ หรือนี่.."
    พี่อ๋อยก็เคยคุยกันถึงเรื่องนี้ พอพี่อ๋อยตาย พ่อ ก็บอกว่า

    "ท่านอ๋อยสบายแล้ว ไปนิพพานเสียแล้ว..."

    พวกเรา (ก็ขออนุญาตเชิญท่านเจ้ากรมเสริม..พี่หนุ่ย..คุณหน่อย..คุณโหน่ง คุณหน่าและคุณหน่อง..ครอบครัวพี่อ๋อยเป็นต้นแถว ไม่รู้ว่าจะอนุญาตไหม) ทุกคนเชื่อพ่อ ยิ้มแย้มแจ่มใสที่พี่อ๋อยชนะแล้ว คงจะเป็นสุขกันแบบคนไม่สนใจในโลกไปชั่วขณะ จนญาติมิตรที่มากันในงานศพพากันบ่นว่า

    "คุณเสริมนี่จะยังไงเสียแล้ว เมียตายไม่ทันเผาก็ยิ้มย่อง คงอยากมีเมียใหม่ซีนะ..."

    แต่ทั้งๆ ที่เชื่ออย่างนี้แล้วก็แหม... อยากจะให้มัน... ให้มันยังไงก็นึกไม่ออก ก็พอดีหลวงปู่บุดดามาเยี่ยมศพพี่อ๋อย พ่อก็นั่งอยู่ด้วย "หลวงปู่พระมหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์" ก็นั่งอยู่พร้อม คนอื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่ผู้เขียนน่ะตาลุกหูผึ่งเชียวละ อยากให้หลวงปู่บุดดายืนยัน นี่...สารภาพกันตรงๆ ไม่กลัวใครด่าแล้ว พ่อคงจะทราบถึงไข้ประจำสันดานของผู้เขียนและของใครๆ ด้วย ท่านเลยถาม หลวงปู่บุดดา ตรงๆ

    "นี่หลวงปู่... คุณอ๋อยนี่ตอนมีชีวิตอยู่ท่านมีคุณต่อพระศาสนามาก ใจท่านก็รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตอนตายแล้วนี่อ๋อยอยู่ที่ไหน..."

    หลวงปู่ หันขวับมาทาง หลวงพ่อ ตาก็อย่างเดิมนั่นแหละ

    จ้องเป๋งใสแป๋วเลย... แล้วชี้ไปบนอากาศพูดเสียงดังฟังชัด

    "จาไปไหน... ก็เป็นพระอรหันต์ไปอยู่ในนิพพานนะเช้

    ตัวใสแจ๋วเป็นแก้วอยู่นั่นน่ะไม่เห็นเร้อ..."

    เฮกันเลย... ฮากันในงานศพต่อหน้าแขกเหรื่อนั่นแหละ

    หน้ายังงี้ยิ้มระรื่นกันไปหมด
    ลืมดูไปว่าตอนนั้นแขกเหรื่อที่ไม่ใช่ศิษย์พ่อเขาทำหน้าตากันยังไง<!-- google_ad_section_end -->

    ......................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  19. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    ครั้งหนึ่งท่านได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก
    <O:p</O:p
    หลวงปู่บุดดา ได้เทแป้งเสกลงในมือหลวงปู่ดู่ <O:p</O:p
    และ ทันทีทันใดเหมือนกัน หลวงปู่ดู่รีบเทแป้งเหล่านั้นลงบนศรีษะท่านจนขาวโพลนไปหมด ท่ามกลางความ ตกตะลึง ของเหล่าลูกศิษย์ท่านมากๆ เพราะปกติหลวงปู่ดู่ท่านมีกิริยาที่เรียบร้อยเอามาก ๆ จนเมื่อหลวงปู่บุดดากลับไป ลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ถามหลวงปู่ทันที
    <O:p</O:p
    "หลวงปู่ทำไมเทแป้งอย่างนั้นล่ะครับ" ท่านตอบทันที<O:p</O:p
    "ก็ผง พระอรหันต์ ท่านให้ จะให้เอาไว้ตรงไหนนอกจากบนศรีษะของเรา ไม่งั้นจะเป็นการไม่เคารพ"
    <O:p</O:p
    และ ที่สำคัญในพิธีเปิดโลกที่แสนสะโด่งดัง นั้น <O:p</O:p
    หลวงปู่ดู่ ท่านยังเชิญบารมีขององค์หลวงปุ่บุดดามาร่วมเสกด้วย (ทางญาณนะครับ)
    <O:p</O:p
    แม้แต่องค์ หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง พระเถระที่ปกติไม่สรรเสริฐพระองค์ไหนง่าย ๆ <O:p</O:p
    ในวันหนึ่ง เมื่อท่านทราบว่า หลวงปุ่บุดดาฯ นั่งอยุ่บนรถบัส ท่านถึงพูดกับลูกศิษย์ ว่า<O:p</O:p

    "ไม่ให้ท่านลงมานะ เราจะขึ้นไปกราบหลวงปุ่บุดดาฯ บนรถเอง"<O:p</O:p
    แล้วท่านก็ขึ้นไปทั้ง กราบ ทั้ง ไหว้ อย่างเคารพ และเรียบร้อยที่สุด
    <O:p</O:p
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ท่านเคยบอกให้ลูกศิษย์ไปกราบ หลวงปู่บุดดา ตั้งแต่ที่ท่านยังอยุ่ที่วัดอาวุธ ฝั่งธน กทม. โดยให้เหตุผลว่า
    <O:p</O:p
    "รีบไปกราบท่านนะ หลวงปู่องค์นี้ ท่านเป็นพระทองคำ ท่านจะไม่มาเกิดอีกแล้วนะ"
    และยกย่องหลวงปุ่บุดดา อีกหลายครั้ง และหากท่านสงสัยในกัปกริยาที่ค่อนข้างจะแหวกแนว และ ล่อแหลมขององค์หลวงปู่ ที่มักทำอะไรที่คนทั่วไปมองว่าผิดปกติ ขอให้คิดเอาเสียใหม่ นี่คือ เนื้อนาบุญของแท้
    <O:p</O:p
    ซึ่งแม้แต่ หลวงปู่สิม แห่งสำนักสงฆ์วัดถ้ำผาปล่อง <O:p</O:p
    ยังขอถวายสังฆทานและจีวร เป็นการเฉพาะ และบอกว่า<O:p</O:p
    "หลวงปู่บุดดา ยอดเยี่ยมที่หนึ่ง แก่ทั้งอายุ แก่ทั้งพรรษา และแก่ทั้งมรรคผลนิพพาน"
    <O:p</O:p
    หากท่านสงสัยในพุทธคุณที่หลวงปู่บรรจุไว้ในองค์พระแล้ว โปรดอ่าน...

    ครั้งหนึ่ง มีคนนำพระไปให้ท่านเสก
    <O:p</O:pส่งไปแล้ว ท่านก้อส่งกลับ ทำอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง โดยไม่แสดงอาการ เสก แต่อย่างใด

    <O:p</O:pท่ามกลางความงุนงงของผุ้นั้นมาก จนหลวงพ่อองค์หนึ่งที่นั่งอยุ่ที่นั้นบอก
    "พระองค์นี้ ออกรบได้แล้วล่ะโยม" เต็ม ตั้งแต่ที่ส่งมาให้แล้ว ...ตกใจไหม....
    <O:p</O:p
    และ เมื่อมีคนนำพระไปให้ ครูบาสร้อย วัดมงคงคีรีเขต จ.ตาก พระอาคมขลัง <O:p</O:p
    ที่ผู้อ่านศักดิ์สิทธิ์คงรุ้จักกันดี ช่วยเสกซ้ำอีกที ท่านได้ปฏิเสธและให้เหตุผลว่า
    "เต็มแล้ว เสกไม่ได้แล้ว"
    <O:p</O:p
    แม้แต่องค์ หลวงพ่อพุธ ยังปฏิเสธเหมือนกัน และบอก
    "จะให้เสกทับไปได้อย่างไร หลวงปู่บุดดาก็เป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของเราเหมือนกัน" <O:p</O:p
    สุดยอดจริง ๆ<O:p</O:p

    ทุกวันนี้ เราหาพระที่จะมาห้อยคอนั้น ง่ายเหลือเกิน <O:p</O:p
    แต่จะหาพระแท้ มาห้อยนั้น ยากครับ หากท่านบูชาพระที่พุทธคุณ ไม่ใช่ที่ค่านิยม <O:p</O:p
    อันเป็นเรื่องของทางโลกแล้ว พระเครื่องหลวงปู่บุดดา เป็นอีกองค์หนึ่งซึ่งผม
    <O:p</O:p
    ขอฝากไว้ในใจท่านทั้งหลายครับ
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    http://fws.cc/wt83/index.php?topic=103<O:p</O:p

    ......................................................................................................................................................
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  20. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    [​IMG]

    ปุจฉา วิสัชนา : หลวงปู่บุดดา ถาวโร

    วิสัชนา : กราบพระพุทธรูปนั้นแหละ ตื่นขึ้นมากราบ ๓ ครั้ง แล้วห่มผ้า แล้วไปอุ้มบาตร กลับมาก็กราบซะก่อน เวลาฉันก็กราบอีก ทำวัตรเช้าวัตรเย็นแล้วก็กราบ ทีนี้จิตก็เชื่องซี่ มันก็ไม่ไปอื่นซี มีงานให้มันทำก็ทำได้ ไม่มีงานทำก็ไม่ต้องทำซี่ มันก็พากันเที่ยวซี่

    ปุจฉา : หลวงปู่ครับ สุนัขนี่มันรู้ภาษาคนไหมครับ ?

    วิสัชนา : มันรู้ แต่มันพูดไม่ได้เท่านั้นแหละ แต่พูดในใจ มันพูดรู้น่ะ ถ้ามองตามัน จิตใครมีธรรมมันก็เข้ามาหา มานอนด้วย ถ้าจิตใครไม่มีเมตตามันไม่เข้ามาหาหรอก มันกลัว มันมองตามันรู้น่ะ มันรู้สายตาน่ะ

    ปุจฉา : อยากให้หลวงปู่บอกหลักสูตรการทำจิตขณะบริจาคทานครับ
    วิสัชนา : ก็นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ซี่ เข้าหลักสูตรนะ ถ้าลืมหลักสูตรแล้วอุทิศไปไม่ถูกหลัก มันเฉยๆ มันเป็นโมหะแล้ว ถ้าอุทิศถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันพร้อมด้วยศีล ด้วยปัญญา ด้วยทานศีลภาวนา มันไม่พร้อมก็ไม่มีปัญญาน่ะซี่

    ปุจฉา : หลวงปู่ครับ ฟังเทศน์กับฟังเทเป็นยังไงครับ ?
    วิสัชนา : ฟังเทมันฟังไม่รู้เรื่องซี่! ฟังธรรมมันต้องทำไปด้วยซี่! เป็นพระโสดา สกิทาคา อรหันต์ได้ ฟังเท...พระเทศน์เสร็จ สาธุ...ไม่รู้เรื่อง เขาฟังเทศน์จะเอาแต่บุญ ไม่เอามรรคผลนี่

    ปุจฉา : ทำกรรมฐานอย่างไรจะถูกครับ ?
    วิสัชนา : ทำอย่างไหนก็ได้ ทำแล้วกิเลสระงับดับลงไปไม่กำเริบนั่นแหละถูก ทำแล้วข่มกิเลสได้ ฆ่ากิเลสตาย คายกิเลสหลุด ถูกทั้งนั้นแหล

    ......................................................................................................................................................

    วิสัชนา : ยังไม่ถึงก็ยากซี่! ถึงแล้วมันจะยากอะไรล่ะ ไม่ได้ก้าวขาสักก้าว

    ปุจฉา : หลวงปู่ ไปเที่ยวอินเดียไหมค่ะ ?

    วิสัชนา : ไปดมขี้แขกทำไมล่ะ! แขกสะอาดเมื่อไหร่ล่ะ! เที่ยวเสียค่าเครื่องบินเขา เสียเวลาเที่ยวทำไม สู้ไปเที่ยวในมนุษย์ธรรม เทวธรรม พรหมธรรม ไปโลกตตรธรรม ไปพบพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ดีกว่านะ

    ปุจฉา : ถ้าถือศีล ๕ หมดประเทศ คนไทยจะทำมาหากินไม่ได้นะครับ
    วิสัชนา : นั่นแหละ! ตัวทำมาหากินมั่งคั่งมั่นคงบริบูรณ์เป็นเศรษฐีกันหมดทั้งเมืองไทยนั้นแหละ เศรษฐีศีล ถ้าเข้าถึงขีดพระโสดา มีศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ ตรัสรู้ถึงนิพพานได้ ทำเอาเอง

    ปุจฉา : ทำไมผมเรียนธรรมไม่จบซักทีครับหลวงปู่
    วิสัชนา : เรียนยังไงก็ไม่จบเพราะออกไปเรียนทางอื่นหมด ปุริสธรรมไม่เรียนเสียก่อน เทวธรรม พรหมธรรมไม่เรียนเสียก่อน ยังงี้จะไปโลกุตตระถูกที่ไหนล่ะ? ก็ไม่เอาทางต้นไปก่อน จะไปเอายอดปลายได้หรือ? อริยสัจก็เลยฟังไม่ออก

    ปุจฉา : หลวงปู่ครับ พระสมเด็จองค์นี้ของจริงหรือของปลอมครับ ?
    วิสัชนา : จริงหรือปลอมก็ใช้ไปเถอะ! เพราะเป็นของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใช้ได้หมดแหล่ะ!

    ......................................................................................................................................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012

แชร์หน้านี้

Loading...