สิ่งที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ จะทำให้พระไตรปิฎกน่าเชื่อถือ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เอกอิสโร, 30 สิงหาคม 2010.

  1. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#dddddd><TBODY><TR><TD bgColor=#204080 vAlign=top><TABLE border=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD width=50>[​IMG]</TD><TD width="95%"><!-- Begin Message Box--><TABLE border=0 width="100%" height=36><TBODY><TR><TD vAlign=top width="80%">[​IMG] <B><BIG><BIG><!--Topic-->สิ่งที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้อย่าง " พญานาค" จะทำให้พระไตรปิฎกขาดความน่าเชื่อถือ? </BIG></BIG></B></TD><TD vAlign=top width="20%" noWrap align=right>[​IMG] [​IMG] <!--InformVote=0--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><!--VoteBody--><!--MsgIDBody=0-->เมื่อหลายปีก่อน ที่ผมได้บรรยายให้นักศึกษาที่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง
    ในเรื่องงานค้นคว้า เรื่อง พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ที่ประเทศไทยไม่ใช่อินเดีย
    โดยอ้างหลักฐานอ้างอิงจาก "พระไตรปิฎกและอรรถกถา"

    ในช่วงการถาม-ตอบ ข้อสงสัย มีน้องนักศึกษาคนหนึ่ง ถามว่า

    "พญานาคในพระไตรปิฎกมีจริงหรือ ถ้ามีจริงทำไมไม่มีหลักฐานหลงเหลือ
    อยู่เลย เพราะเพิ่งผ่านมาไม่กี่พันปี ขนาดไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อหลาย
    ล้านปี ยังมี ฟอสซิล เหลือให้เห็น จนทุกวันนี้"

    ผมเอง ก็จนใจกับปัญหาที่น้องเขาถาม แต่ก็ได้แต่บอกว่า บางเรื่องแม้จะ
    ยังไม่มีหลักฐานให้เห็น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีอยู่จริง

    ตอบได้แค่นี้จริงๆ ครับ

    แล้วถ้าเป็นท่านจะตอบอย่างไร ถ้าใจของเราเชื่อว่า "พญานาคมีจริง"
    <!--MsgFile=0-->
    <CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#204080><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#204080><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    จาก...http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9630985/Y9630985.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2010
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,700
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** เรื่องสัจจะคือคำสอน ****

    ถ้า ไม่ใช่สัจจะ
    แล้ว พระพุทธเจ้าใช้อะไร มาตัดมาลดกิเลสนิสัยมานะทิฐิจนหมดไปได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  3. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ทำไมไม่ถามกลับไปว่าวิทยาศาสตร์เวลาวัดอะไรก็ตามก็ต้องแปลค่าที่วัดมาเพื่อให้อายตนะ6ของมนุษย์รับรู้และแปลความออกมาตามสัญญาคือความจำได้หมายรู้ใช่หรือไม่
    ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์เองก็ได้พิสูจน์แล้วว่าความรับรู้ของมนุษย์มีขีดจำกัด
    ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของมนุษย์ไม่อาจเทียบกับสัตว์ได้เลย
    แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น สัมผัสไม่ได้ รับรู้ด้วยใจไม่ได้ไม่มีอยู่จริง
     
  4. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    จิตกับสมอง
    คำว่าจิต ตามที่เข้าใจกันในภาษาใดก็ตาม เป็นคำที่ให้นิยามยากที่สุดคำหนึ่งและการแบ่งจิตออกเป็นประเภทขั้นหรือระนาบและระดับหรือการแบ่งจิตในระบบอื่น ๆ ล้วนไม่มีความหมายที่จะทำให้ทุกคนในโลกสามารถเข้าใจได้เช่นเดียวกัน คนพูดกับคนฟังนอกจากในวงที่จำกัดจริง ๆ แล้วแทบเป็นไปไม่ได้ว่าจะเข้าใจเป็นเอกภาพว่ากำลังพูดเรื่องเดียวกัน ทั้งหมด ดูจะมีความสับสนมากขึ้นเมื่อนักจิตวิทยาหรือผู้ค้นคว้าทางจิตทางวิชาการมากหลาย แต่ละคนก็ตั้งโรงเรียนของตนเองจำแนกแยกประเภทจิตจนไม่สามารถที่จะหาความเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าเรื่องของจิตโดยเฉพาะจิตวิญญาณนับได้เป็นเรื่องที่เร้นลับที่สุด และเป็นเรื่องที่ค้นคว้าได้ยากที่สุด ที่พอจะทำได้ก็เพียงความเข้าใจที่สอดคล้องกันในหลักการกว้าง ๆ ได้ในระดับหนึ่งโดยยึดถือสามัญสำนึกหรือประสบการณ์ที่ทุกคนมีอยู่เท่าเทียมกันเป็นพื้นฐาน และการอธิบายขยายประกอบของผู้พูดผู้เขียนที่จะต้องให้รายละเอียดพอสมควรว่าคำที่กำลังนำมาใช้ในขณะนั้นหมายถึงอะไร ถึงแม้กระนั้นทั้งหมดก็คงได้แต่ความสังเขป ซึ่งในบทนี้ความแตกต่างของทั้งสอง จิตกับสมอง จึงอยู่ที่ความแตกต่างระหว่างผลผลิตขององค์กรรวมกับผลผลิตของอวัยวะ และกระบวนการของแต่ละส่วนของมันอย่างเป็นเอกเทศระหว่างสัญลักษณ์กับวัตถุหรือระหว่างซ็อฟท์แวร์กับฮาร์ดแวร์ซึ่งจิตคือซ็อฟท์แวร์แห่งข้อมูล ดังคำเปรียบเทียบของพลาโดที่กล่าวว่า ข้อมูลและความคิดที่ไม่ใช่รูปธรรมต่างหากคือความจริงแท้และเป็นอิสระด้วยตัวของตัวเอง ที่อยู่เหนือกว่าและเบื้องหลังโลกแห่งวัตถุและรูปธรรม จิตจึงไม่น่าใช่ที่จะเป็นเรื่องของฟิสิกส์กายภาพที่คอมพิวเตอร์จะทำปัญญาเทียมขึ้นมาได้เช่นเดียวกับจิตมนุษย์ทั้งหมดไม่ว่าเมื่อไรและอย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่สำคัญที่หลายคนอาจไม่ได้คิดถึง เพราะความแตกต่างของจิตกับสมองอาจบ่งชี้วิสัยทัศน์ของเรา วิสัยทัศน์ที่อาจกำหนดความอยู่รอดของสังคมโลกเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ และมวลสรรพสิ่งเลยทีเดียว นั่นคือความแตกต่างกันระหว่างคุณค่าความหมายและจุดหมายปลายทาง กับความบังเอิญไร้ค่าไร้ทั้งที่มาที่ไป ระหว่างความหน่วงหนักเยี่ยงขุนเขากับความบางเยี่ยงขนนก
    นั่นคือความแตกต่างแต่ต้องพึ่งพากันระหว่างจิตกับสมองที่ยกขึ้นมาเป็นหัวข้อของบทนี้ จิตหรือความหมายในที่นี้คือจิตวิญญาณของมนุษย์ที่แยกบทบาทของประสาทสัมผัส (senses) และความรู้สึก (feelings) และการตอบสนองอย่างอัตโนมัติอันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของชีวิตที่มีต่อประสาทสัมผัสความรู้สึกนั้น ๆ ที่เรียกว่าสัญชาตญาณ (instincts) ออกไปแล้วทั้งหมด ที่สูงและซับซ้อนกว่านั้นล้วนเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ (consciousness) จิตวิญญาณที่นักฟิสิกส์ทุกคนเชื่อว่า เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลเป็นองค์รวมที่มีการบริหารโดยกฎของการจัดองค์กรตัวเอง ด้วยฟิสิกส์ใหม่และแควนตัมเมคานิคส์ที่รวมอนุภาคที่ว่างและเวลาเป็นมิติแห่งองค์รวมที่ต่อเนื่องกัน ทั้งหมดจึงเป็นคนละเรื่องกับสมองที่เป็นเรื่องของโลกกาย เป็นวัตถุบริหารด้วยกฎทางฟิสิกส์กายภาพ การเคลื่อนที่ของสสารที่มีเวลาและที่ว่างเป็นตัวแปรทั้งหมดเป็นเอกเทศแปลกแยกจากกัน ด้วยข้อจำกัดของขอบเขตและความจำเป็นของรูปกายและด้วยข้อจำกัดขององค์ประกอบโดยรอบของการจัดองค์กรตนเอง ในโลกที่จำกัดขององค์ประกอบโดยรอบของการจัดองค์กรตนเอง ในโลกที่จำกัดด้วยรูปกายสิ่งแวดล้อมเช่นนั้น จิตวิญญาณที่เป็นส่วนละเอียดของจักรวาลกับสมอง ที่เป็นเปลือกหยาบผลิตภัณฑ์ของโลกกายจึงต้องรวมอยู่ด้วยกันและจำเป็นจะต้องพึ่งพากันทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดทีหลังและในรูปแบบที่เหมาะสมกับกายภาพโดยรวมของโลกนี้เท่านั้น
    แน่นอนได้เลยว่า วิทยาศาสตร์โดยเฉพาะฟิสิกส์กายภาพและชีววิทยาที่ยังคงเดินทางบนหลักการของวัตถุและความแปลกแยกจะไม่สามารถเปิดเผยความหมายที่แท้จริงของจักรวาลและชีวิตได้หรือแม้แต่จะเข้าใจปัญหาของมนุษย์และของโลกส่วนมากที่สุดสืบเนื่องจากนั้น อย่างไรก็ตามด้วยศักยภาพปัญญาของมนุษย์ ด้วยกระบวนทัศน์ทางความรู้ที่ปรับหรือเปลี่ยนแปลงใหม่ยิ่งขึ้นตลอดเวลา ด้วยฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ เป็นไปได้ว่ากระบวนทัศน์ใหม่ทางความคิดจะสามารถวางรากฐาน และกำหนดทิศทางใหม่ให้แก่สังคมโลกให้ผันกลับมาสู่แนวทางที่เป็นธรรมชาติสอดคล้องกลมกลืนกับกระบวนการจัดองค์กรตัวเองและเป็นไปได้ทันกับเวลา ​
     
  5. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    2 ระดับของสมองกับจิต
    ในบทนี้ จะไม่ลงไปในรายละเอียดในเรื่องของสมองและจิตวิญญาณที่ได้เขียนเล่าไว้แล้วในหนังสือเล่มอื่น ๆ แต่เพื่อความเข้าใจการทำงานของสมองและผลผลิตที่เป็นเรื่องของฟิสิกส์กายภาพที่เรียกว่าประสาทสรีรวิทยา กับเรื่องของจิตหรือวิญญาณที่เป็นเรื่องขององค์รวมระดับจักรวาลเรื่องของการจัดองค์กรตนเองตามธรรมชาติ เราก็อาจพิจารณากระบวนการทำงานและความสัมพันธ์พึ่งพาอาศัยกันระหว่างจิตกับสมองได้เพิ่มเติมดังนี้
    ในทางประสาทสรีรวิทยาที่เป็นการทำงานของระบบประสาทวิทยาส่วนมากที่สุดที่สมอง (neural pathway) เราอาจแบ่งความเข้าใจแยกได้เป็นสองระดับคือระดับล่าง หรือระดับที่เซลล์สมอง (nerve calls or neurons) ระดับหนึ่ง และระดับสูงคือระดับของการโยงเชื่อมต่อเนื่องของเซลล์ประสาทจำนวนมากเป็นร่างแห (network) อีกระดับหนึ่ง ระดับล่างเป็นเรื่องของสสารวัตถุและพลังงานเอกเทศ ระดับหลังเป็นเรื่องของเนื้อหาและรูปแบบ ผลผลิตรวมของประสาทสรีรวิทยาที่เป็นไปส่วนหนึ่งที่สำคัญด้วยกฎทางฟิสิกส์กายภาพด้วยพลังงานไฟฟ้าและเคมีเป็นต้นว่าเรื่องของความจำและการเรียนรู้ (congnitive) เรื่องของความคิด (thought) และการสนองตอบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว (Instincts and reflexes)
    ในทางจิตวิทยาการทำงานที่ผ่านทางกระบวนการทางจิต (mental pathway) ก็อาจแบ่งเป็นสองระดับคือระดับล่างที่รู้ตัวเป็นจิตสำนึกรูปธรรม (objective awareness and conscious mind) และระดับสูงจิตสำนึกที่ไม่มีรูปธรรมและจิตไร้สำนึก (subjective awareness and unconscious mind) ผลผลิตได้แก่พฤติกรรมพื้นฐานที่สติปัญญาปรับให้ เป็นพฤติกรรมที่ซับซ้อน ความคิดที่ซับซ้อนและการวิเคราะห์ ตรรกะและเหตุผล ความฝันไปจนถึงปรากฏการณ์ทางจิตเร้นลับต่าง ๆ รวมทั้งจิตที่สูงส่งเป็นเทวจิตธรรมจิต (spirituality) ทั้งหมดเป็นเรื่องของการรับรู้ที่เรียกรวมว่าจิตวิญญาณ
    ทั้งหมดนี้สมองและระบบประสาทจะต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการทั้งสอง ทั้งกระบวนการทางประสาทวิทยาและจิตวิทยา (neural and mental pathways) กระบวนการแรกดังได้กล่าวแล้วเป็นเรื่องทางฟิสิกส์กายภาพ เอกเทศและมีตำแหน่งแหล่งที่ (individualistic and local network) เฉพาะและกำหนดได้ (deterministic) ส่วนกระบวนการหลังเป็นเรื่องของฟิสิกส์หรือวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ เรื่องขององค์รวม (holistic) ที่ไม่มีตำแหน่งแหล่งที่และกำหนดไม่ได้ (non - local and non - deter ministic)
    กายวิภาคของสมองซับซ้อนยิ่งนัก สมองมีเซลล์ประสาททั้งหมดราว ๆ หนึ่งร้อยพันล้านตัว หรือเท่ากับ 10 ยกกำลัง 11 ซึ่งไปเท่ากับจำนวนของกาแล็คซี่ทั้งหมดในจักรวาล และยังไปเท่ากับจำนวนของดาวทั้งหมดในแต่ละกาแล็คซี่ มันทำให้คิดต่อไปว่ามันต้องมีอะไรที่ทำให้เกิดความสอดคล้องต้องกันเช่นนั้น หรือหากจะเป็นความบังเอิญมันก็มากเกินไป และก็อาจคิดต่อไปได้ว่าระบบดาวแต่ละดวงก็เป็นระบบที่ทอนย่อยลงมาของระบบกาแล็คซี่แต่ละกาแล็คซี่ ที่ก็เป็นระบบที่ทอนย่อยของจักรวาลทั้งหมด เหมือนกับว่าหากทอนย่อยลงมาอีกมนุษย์ก็คือส่วนที่ย่อยลงมาของดาวหรือดวงอาทิตย์ และมนุษย์ก็คือส่วนย่อยมาก ๆ ของกาแล็คซี่ เป็นส่วนที่ย่อยละเอียดที่สุดของจักรวาล มิน่าเล่าที่ในตำนานโบราณของจีนถึงได้บอกว่ามนุษย์เป็นดาวที่จุติลงมาเกิด
    เซลล์สมองแต่ละเซลล์เชื่อมโยงต่อเนื่องกับเซลล์สมองตัวอื่น ๆ มีจำนวนเฉลี่ยประมาณหนึ่งหมื่นตัว การเชื่อมโยงส่วนใหญ่เป็นระบบและมีระเบียบที่ก็คงเป็นไปตามการกำหนดทางพันธุกรรม แต่มีอีกส่วนหนึ่งที่การเชื่อมโยงต่อเนื่องระหว่างกันที่อาจเกิดทีหลังวิวัฒนาการทีหลัง เป็นการเชื่อมต่อที่ไม่เป็นระเบียบ โรคจิตหลายโรคพบว่ามีการเชื่อมติดต่อกันอย่างไม่เป็นระเบียบแต่ก็ยังไม่รู้มากกว่านั้นว่าเกิดจากอะไรหรือเป็นเรื่องทางพันธุกรรมเช่นเดียวกันหรือไม่ การส่งออกซึ่งกระแสไฟฟ้าจากเซลล์ประสาทแต่ละตัวแต่ละครั้ง ขึ้นกับผลรวมของกระแสที่รับเข้ามาจากเซลล์ตัวอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกันเหล่านั้น และกระแสที่รับเข้ามาจากเซลล์ตัวอื่น ๆ นั้น มีทั้งกระแสที่กระตุ้นหรือยับยั้ง ดังนั้นเซลล์สมองแต่ละตัวที่ส่งกระแสของตัวออกไปแต่ละครั้ง หรือด้วยความเร็วเท่าไรนั้นขึ้นกับจำนวนและความซับซ้อนของคำสั่งที่ตนได้รับ คำสั่งที่เมื่อไล่ไปถึงที่สุดแล้วบ่งบอกถึงสภาพของเซลล์ตัวอื่น ๆ ทั่วทั้งสมองในขณะนั้น
     
  6. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    อธิบายได้แค่นี้แหละ
    ผลรวมของการทำงานที่ซับซ้อนของสมองที่ได้ออกมาก็คือปรากฏการณ์ทางจิตในรูปหนึ่งรูปใด ที่แปรเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างกันตามความซับซ้อนนั้น ๆ และเมื่อถึงตรงนี้การอธิบายทางประสาทสรีรวิทยาด้วยฟิสิกส์กายภาพก็สิ้นสุดลง ฟิสิกส์อธิบายกระบวนการที่เกิดขึ้นมาเป็นพฤติกรรมที่ซ้ำซ้อนเช่นนั้นไม่ได้ และคงไม่มีทางเป็นไปได้
    บางคนอาจจะเคยเห็นงูเลื้อยไล่ตามเหยื่อของมัน เมื่อยังเล็ก ๆ เคยประสบด้วยตนเองที่บ้านของยายที่ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาและป่าทึบ งูตัวใหญ่มากมักไล่ตามตะกวดตัวขนาดกลางที่วิ่งตามกันมาจากชายป่า มันคงตามกันมานานพอควรเพราะตะกวดไม่ได้กลัวคนที่นั่งกันอยู่บนเตียงใต้ถุนบ้าน มันวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเฉียดเท้าไปนิดเดียวโดยมีงูวิ่งชูคอสูงมาติด ๆ ผู้ใหญ่ทุกคนฮือกระโดดลุกยืนบนเตียง แต่ตัวเองยังเล็กเกินที่จะรู้จักงูเลยไม่ได้ตกใจไปกับเขาเห็นชัดว่างูมันเลื้อยผ่านเท้าทั้งสองไปไม่ห่างที่นั่งห้อยเท้าเท่าใดนักไม่น่าเชื่อว่างูใหญ่จะเลื้อยได้เร็วจนได้ยินเสียงอู้ ๆ ดังมาก แต่งูมันเหมือนกับไม่เห็นพวกเรา เลยวิ่งตามไล่กันออกไปที่ทุ่งหลังบ้านหายไปทั้งคู่ ไม่รู้ว่ามันไล่ตะกวดตัวนั้นทันหรือไม่ทัน เพิ่งมารู้ทีหลังเมื่อผู้ใหญ่บอกว่างูใหญ่ตัวนั้นคืองูบ้องหลากหรืองูจงอางนั่นเอง ในกรณีนี้งูมันทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างในตัวมันเพื่อเป้าหมายเฉพาะ เป็นการรวบรวมการทำงานของอวัยวะ และเนื้อเยื่อทั้งหมดให้สอดคล้องเป็นระบบ เพื่อเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือจับตะกวดกินให้ได้ เป้าหมายหรือเหตุปัจจัยสุดท้ายตามหลักการของอะริสโตเติลที่กล่าวมาแล้ว อะตอมทุก ๆ อะตอมในตัวของงูโดยไม่ยกเว้นเคลื่อนไหวไปตามกฎทางฟิสิกส์อย่างกลมเกลียว การเคลื่อนไหวที่ให้ผลรวมสู่เป้าหมายอย่างเดียว ตะกวด
    แต่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ก็คือ ในช่วงที่งูมันมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดเลยนอกจากตะกวดนั้น เพราะงานที่มันกำลังทำนั้นมันทำไปอย่างไม่มีสติหรือรู้ตัวรับรู้สิ่งอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากตะกวดเพียงอย่างเดียว อะตอมทุกอะตอมเขม็งเกลียวเพราะการนั้นเท่านั้นเหมือนว่ามีพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังสั่งอย่างประสานสอดคล้องถึงทุก ๆ อะตอมในร่างของมันเพื่อการนั้น จะต้องสิ้นสุดที่เป้าหมายนั้น ก็เช่นเดียวกับผึ้งงานที่ตื่นเช้าก็จะต้องบินออกไปพร้อมกัน โดยไม่มีการลังเลเสียเวลา บินไปสู่เป้าหมายเดียวกันทั้งหมด ซึ่งไม่ว่าเราจะทดลองย้ายรังผึ้งไปที่ใดที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน ป่าไม้ดอกที่ผึ้งมันไม่เคยรู้ทิศทางที่ตั้งมาก่อน แต่ก็ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวโดยไม่มีการชะลอลังเล ผึ้งทุกตัวต่างล้วนบินสู่เป้าหมายโดยไม่ผิดพลาดหรือแมงมุมที่ชักใยก็เหมือนกันทั้งผึ้งและแมงมุมมันไม่ได้วางแผนหรือรู้ตัวว่ามันกำลังทำสิ่งนั้น ๆ ในขณะนั้นทำไม ที่มันทำไปเป็นด้วยบัญชาจากสิ่งอื่นที่อยู่ข้างหลังสั่งให้ทำเช่นนั้น และไม่ว่าอย่างไรผึ้งจะต้องกลับรังพร้อมด้วยน้ำหวานทุกครั้ง และแมงมุมจะต้องชักใยที่เป็นระบบรูปแบบเดิมโดยไม่ผิดเพี้ยนจนแล้วเสร็จ ซึ่งทั้งหมดนี้สมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์เคยอธิบายว่าเป็นเรื่องของข้อมูลความจำที่บันทึกไว้เป็นพันธุกรรมในดีเอ็นเอ แต่เดี๋ยวนี้จากการทดลองซ้ำซ้อนเรารู้แล้วว่ามันไม่ใช่จะอธิบายง่าย ๆ ว่าข้อมูลทั้งหมดถูกบันทึกไว้บนโมเลกุลของดีเอ็นเอที่ในสัตว์เช่นแมงมุงหรือผึ้งไม่ได้มีจำนวนหรือความซับซ้อนมากมายได้เช่นนั้น ยกตัวอย่างของผึ้งงานที่ต้องมีข้อมูลที่จะรู้ว่าน้ำหวาน หรือดอกไม้อยู่ตำแหน่งในระยะทางห่างไกลเท่าไรและทิศไหน กระแสลมพัดไปทางไหน ความชื้นและอุณหภูมิความกดอากาศเท่าใด นอกจากยังต้องรู้รายละเอียดของเวลาที่จะต้องสอดคล้องกับระยะทางและความเร็วที่มันจะบินไปกลับได้ และจำนวนเที่ยวบินของมัน ซึ่งการวางแผนการบินนี้นักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่าเป็นข้อมูลของความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งของดาวที่ในกลางวันคนอาจมองไม่เห็นแต่ผึ้งหรือนกหรือแมลงต่าง ๆ บางชนิดรู้และใช้มันในการนำร่องการเดินทาง แต่ทั้งหมดนี้เมื่อได้ทดลองเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิหรือระยะทางความชื้น หรือตำแหน่งความสัมพันธ์ระหว่างดาวต่าง ๆ โดยการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของรังผึ้งหรือแมลงบางชนิด เช่นการย้ายข้ามเส้นศูนย์สูตรที่ดาวและความสัมพันธ์ระหว่างกันเปลี่ยนไป หรือฤดูกาลอุณหภูมิ ฝนและทิศทางลมล้วนไม่เหมือนเดิม ซึ่งหากจะต้องบันทึกเป็นข้อมูลก็หมายถึงข้อมูลของดาวทั้งหมดรายละเอียดทางภูมิศาสตร์อุตุนิยมวิทยาและบรรยากาศของโลกทั้งหมด ซึ่งไม่สามารถที่จะบันทึกได้ด้วยดีเอ็นเอของผึ้งเพียงเส้นเดียว เพราะว่าผลการสังเกตที่ออกมาก็คือว่าไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ไปอย่างไร ผึ้งหรือนกแมลงเหล่านั้นก็ไม่เคยแสดงความสับสนหรือลังเลและไม่เคยผิดพลาด ทุกตัวจะพร้อมใจกันบินตรงไปยังตำแหน่งของน้ำหวานหรือเป้าหมายที่ต้องการอย่างทันที ดีเอ็นเอเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำหน้าที่กำหนดควบคุมวางแผนพฤติกรรมที่ซับซ้อนเช่นนั้นได้
    พอลเดวีส์และนักฟิสิกส์ชีววิทยาหลายคนคิดว่า พฤติกรรมทั้หมดไม่สามารถที่จะอธิบายในด้านของข้อมูลและด้วยดีเอ็นเอได้หมดสิ้นหรือเป็นส่วนมากของทั้งหมด ผึ้งหนึ่งตัวหรือแมลงหนึ่งตัวคงจะไม่ใช่ได้รับคำสั่งที่กำหนดตายตัวจากกฎทางฟิสิกส์ และการทำงานของระบบประสาท เราต้องมองถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านของพฤติกรรมของผึ้งตัวนั้นกับสมาชิกตัวอื่น ๆ และกับผึ้งทั้งรังที่ก็สัมพันธ์และเป็นส่วนของสิ่งแวดล้อมอีกต่อหนึ่งพฤติกรรมของผึ้งจึงต้องมีความซับซ้อนกว่านั้นแน่นอน ซึ่งส่วนหนึ่งของพฤติกรรมของมันน่าจะเป็นเรื่องของการจัดองค์กรตัวเอง ที่ไล่เรียงต่ำหรือสูงขึ้นตามระนาบและระดับขององค์รวมทั้งหมด ความเป็นหนึ่งเดียวกันของชีวิตมัน เมื่องานเพิ่มทวีความซับซ้อนมากขึ้นจนถึงจุดวิกฤต ในระดับหนึ่งก็จะมีการนำกฎระบบของการจึดองค์กรตัวเองที่สูงกว่ามาช่วยหรือใช้อย่างสอดคล้องกันกับระดับอื่น ๆ พัวพันไล่สูงขึ้นไปเช่นนั้นตามลำดับ พฤติกรรมจึงสอดคล้องกับเป้าหมายสุดท้าย (final cause ของอะริสโตเติล) ที่แม้จะใช้หรืออาศัยทั้งระบบประสาทและระบบของจิตทำงานร่วมกันบ้าง แต่ก็มีระดับต่าง ๆ ที่มาร่วมกันและบริหารอย่างสอดคล้องด้วยกันทั้งหมดเป็นองค์กรรวม (holism) เป็นผู้ควบคุมอีกที
     
  7. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    เหนือกว่ากลศาสตร์
    ความยากลำบากก็คือความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิตระหว่างระบบประสาทกับระบบทางจิตวิทยา (neural and mental pathways) กับกฎของการจัดองค์กรตัวเอง มันทำงานประสานระดับต่าง ๆ ทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันเป็นองค์รวมได้อย่างไร ตรงนี้อาร์ดับบลิว สเปอร์รี่ (R.W. Sperry) นักฟิสิกส์ชีววิทยารางวัลโนเบล ได้อธิบายว่าสาเหตุน่าจะมาจากองค์กรที่ระดับล่าง (downward causation) ระดับของอะตอมของเซลล์ประสาทที่มีกฎในระดับของตนเองแยกต่างหากจากระดับโมเลกุลและอีกด้านหนึ่งกับอะตอมตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในเซลล์ทั้งหมดของสมอง ที่เสปอร์รี่เชื่อว่าเป็นการทำงานของจิตและเรียกว่าคุณสมบัติรูปแบบแห่งองค์รวม (holistic configuration properties) กฎในระดับต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ขัดแย้งกัน แต่จะเสริมกันและกันทำให้เกิดผลงานอย่างทันทีทันใดทุกระดับพร้อม ๆ กัน (emergent interactionism) เช่นความคิดหนึ่งใดทำให้เกิดความคิดอื่น ๆ ที่ซับซ้อนตามมาและพฤติกรรมก็เป็นผลมาจากทั้งหมด
    มันก็ต้องไล่เรียงกันต่อไปว่าสิ่งที่เป็นต้นตอแรกเริ่มคืออะไร และมาจากไหนที่กำหนดหรือบริหารอะตอมที่อยู่ในเซลล์ประสาทหรือกฎขององค์กรอะตอมในระดับล่างที่เป็นเหตุปัจจัยต่อระดับของโมเลกุลที่อยู่สูงขึ้นมาซึ่งก็มีองค์กรตัวเองที่ระดับโมเลกุลนั้น ๆ ในขณะเดียวกันก็เป็นเหตุปัจจัยต่อระบบองค์กรอะตอมในเซลล์อื่น ๆ ทั้งหมด และนั่นเป็นการขยายขอบเขตออกไปลึกจนถึงเรื่องของจิตวิญญาณและองค์รวมของชีวิต ที่พอลเดวีสพูดว่า เป็นเรื่องที่นอกเหนือกฎทางฟิสิกส์กายภาพและกฎทางชีวเคมีทั้งหลายทั้งปวง หรือดังที่ไมเคิล โปลานยี นักเคมีฟิสิกส์รางวัลโนเนลที่กล่าวว่า "… มันจะต้องมีหลักการเป็นองค์รวมของความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง ซึ่งคล้าย ๆ กับเรื่องของสนามแห่งรูปพรรณสัณฐาน ที่บ่งชี้ว่าชีวิตอยู่ "เหนือ" (transcend) กฎทางฟิสิกส์และเคมี ซึ่งคุณสมบัติของคำที่ว่า "เหนือ" นี้ก็คือจิตวิญญาณที่ก็ยังอยู่เหนือกระบวนการทางกลศาสตร์ทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตอีกด้วย" (Michael Polanyi)
    จึงเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อมาถึงเรื่องของชีวิตการกำเนิดและการจัดองค์กรชีวิต กระบวนการทางชีววิทยาแทบทั้งหมดไม่สามารถที่จะอธิบายได้ด้วยกฎทางฟิสิกส์กายภาพหรือเคมี แม้ในส่วนที่สำคัญของกระบวนการทางชีววิทยาประสาทวิทยาเอง กฎทางแควนตัมเมคานิคส์ก็นำมาใช้อธิบายไม่ได้ ดังที่อูยีนวิกเนอร์ได้ทดลองแล้วทดลองอีก ดังนั้นในเรื่องของชีวิตที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นเช่นกระบวนการทางจิตหรือปรากฏการณ์เหนือจิต และที่ลึกล้ำยิ่งกว่านั้นก็คือกระบวนการของจิตวิญญาณ ที่มีหลายชั้นหลายระดับเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งถึงวิวัฒนาการของมนุษยชาติ วิวัฒนาการของสังคมและความใฝ่ฝันที่เป็นผลอันสลับซับซ้อนของกระบวนการวิวัฒนาการของจิตวิญญาณยิ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุดหรือแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายได้ด้วยกฎหนึ่งกฎใดหรือนำเอากฏต่าง ๆ เข้ามารวมกันมันจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนที่เชื่อว่าในระดับขององค์รวมของชีวิต มันจะต้องมีกฎหรือระบบองค์รวมที่ใหญ่กว่าลึกกว่าและซับซ้อนกว่าเหนือแควนตัมขึ้นไปอีกตามลำดับอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อัจฉริยะทางฟิสิกส์และแควนตัมเมคานิคส์หลายคนที่เชื่อเช่นนั้น แต่ก็เพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่สามารถลงไปลึกและรอบด้านในเรื่องของวิญญาณจริง ๆ ที่อย่างน้อยเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าจริง ๆ ของโลก ผู้ที่อุทิศตนเพื่อการค้นคว้าในเรื่องของชีวิตอันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาอัจฉริยะเช่นเดวิด โบห์ม และถัดมาไม่ห่างกันนักก็มีโรเจอร์ เพ็นโรสอีกคนหนึ่ง สำหรับเรื่องทฤษฎีจิตวิญญาณแควนตัม (Quantum Conciousness) ของเพนโรสที่เคยเล่าเอาไว้อย่างละเอียดในหนังสือจักรวาลกับสัจธรรม ก็จะไม่นำมากล่าวซ้ำอีกในที่นี้ (David Bohm and roger Penrose)
     
  8. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ทฤษฎีความเป็นหนึ่งเดียวและการซ่อนเร้นตนเอง
    ทฤษฎีความเป็นหนึ่งเดียวกันและการซ่อนเร้นตัวเอง (Wholeness and The Implicate Order) ของเดวิด โบห์มเมื่อประกาศออกมาเป็นครั้งแรกกว่าสิบปีมาแล้วนั้น ได้รับการตอบรับจากมวลหมู่นักวิทยาศาสตร์อย่างเงียบเชียบและเงียบงัน ส่วนมากจะไม่เชื่อหรือไม่ยอมรับแต่ด้วยสถานภาพของนักฟิสิกส์ระดับแนวหน้าที่สุดในด้านทฤษฎีความสัมพันธ์ภาพและแควนตัมเมคานิคส์ และความเป็นอิจฉริยะในด้านความคิดที่ทุกคนยอมรับทั้งยังยกย่องให้เดวิดโบห์มอยู่ในฐานะของภาพลักษณ์ของไอน์สไตน์คนที่สอง (prot'g?) ทำให้ไม่มีผู้ใดสงสัย อย่างไรก็ตามนักฟิสิกส์ทั่วทั้งโลก ได้พยายามหาหลักฐาน หรือข้อพิสูจน์เพื่อที่จะคัดค้านทฤษฎีของโบห์มถึงกับมีการตั้งรางวัลจำนวนมหาศาลให้แก่ผู้ใดที่สามารถพิสูจน์ได้เช่นนั้นแม้เพียงบางส่วน แต่ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีมานี้ นอกจากไม่มีใครสามารถทำได้แล้ว การค้นคว้าทั้งหมดล้วนกลายเป็นการสนับสนุนทฤษฎีของโบห์มให้แน่นแฟ้นและแน่นหนาขึ้น เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ทุกขั้นตอนยิ่งขึ้นโดยไม่มีจุดหนึ่งจุดใดบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ทุกคนยอมรับว่ามันเป็นความจริงแท้ที่สุดเท่าที่ความคิดความรู้และเครื่องมือทางฟิสิกส์จะพึงมีอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามอย่างที่นักฟิสิกส์ที่ชื่อว่าเจ บ็อบฟ์สรุปเอาไว้ว่า "… แม้ว่าทฤษฎีของโบห์มจะเป็นความจริงอย่างที่สุดโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น แต่พวกเราก็ไม่เชื่อ"
    การศึกษาทฤษฎีของโบห์ม ที่อธิบายทุกสิ่งทุกสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นเรื่องขององค์รวมความเป็นทั้งหมดเท่า ๆ กับความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งนี้รวมทั้งเรื่องของชีวิต มนุษย์ สังคมและจิตวิญญาณ ทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องเข้าใจหลักการและเนื้อหาของทฤษฎีโดยทั่วไปเสียก่อน
    พื้นฐานของทฤษฎีของเดวิดโบห์มคือ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างไม่มีทางแยกออกจากกันและกันได้ของการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง ที่ล้วนเคลื่อนไหวต่อเนื่องอย่างไม่มีขอบเขตบริเวณหรือตำแหน่งแหล่งที่ เป็นทฤษฎีที่ควบคุมหรืออยู่หลังแควนตัมอีกที (beyond quantum)
    ศูนย์กลางของความเข้าใจต่อหลักการของการเคลื่อนไหวไหลเลื่อนอย่างต่อเนื่องของทั้งหมดที่แยกจากกันไม่ได้นั้น จะเป็นไปได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก็ด้วยหลักการขององค์กรที่ซ่อนเร้นตัวเอง (Implicate order) เท่านั้น ด้วยหลักการที่ว่านี้การดำรงอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง (totality) ที่เป็นทั้งหมดล้วนม้วนซ่อนตัว (enfold) ในจุดหนึ่งตำแหน่งใดของที่ว่างและเวลา เพระฉะนั้นไม่ว่าส่วนหนึ่งใดองค์ประกอบหนึ่งใด หรือรูปแบบหนึ่งใดที่ปรากฏขึ้นมาลอย ๆ ในความคิดหรือการรับรู้จะอยู่ในสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งในสามสภาพ คือสสารพลังงานและจิตหรือที่โบห์มเรียกว่าความหมาย (meaning) ดังนั้นส่วนหรือองค์ประกอบที่อยู่ในสภาพหนึ่งใดนั้น ๆ ย่อมจะม้วนเอาอีกสองสภาพรวมกันกับทั้งหมดที่มันเป็นส่วน ดังนั้นความเป็นทั้งหมดจึงม้วนอยู่ในส่วนหรือองค์นั้น ๆ ไม่มีตำแหน่งที่แน่นอน ไหลเลื่อนต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นทุกจุดและทุกเวลา เมื่อส่วนที่ซ่อนเร้นเผยตัวออกมา (unfold) ทั้งหมดก็จะเปิดเผยตัวเองออกมาเป็นองค์กรเปิดให้รับรู้ในความคิด (Explicate Order)
    ดังนั้นทฤษฎีของโบห์ม จึงเป็นทฤษฎีที่อยู่ลึกหรือเหนือกฎแห่งความสัมพันธ์อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทางแควนตัมเมคานิคส์ (beyond quantum) เป็นทฤษฎีที่เป็นเหตุปัจจัยของทั้งสองกฎนั้นอีกทีหนึ่ง ดังจะเห็นได้ว่ากฎแห่งความสัมพันธ์ภาพนั้นต้องการความต่อเนื่อง มีต้นเหตุชัดเจนทั้งยังกำหนดจุดหรือตำแหน่งที่มีความสัมพันธ์กันนั้น ๆ ในขณะเดียวกันกฎทางแควนตัมนั้นไม่ต้องการความต่อเนื่อง ไม่มีเหตุและทำนายไม่ได้ทั้งยังไม่มีตำแหน่งแหล่งที่ด้วย ทั้งสองกฎจึงขัดแย้งกันเว้นแต่ว่าในระดับที่เหนือขึ้นไป ทั้งสองต่างก็เป็นคุณสมบัติของหลักการการม้วนซ่อนเร้นตัวเองอีกทีหนึ่ง
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,700
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** พระพุทธเจ้า พยายามค้นคว้าหาตัวกระทำ ****

    ถ้าเรามองเห็นกรรม เราก็จะหาทางเดินหลบได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ม้วนเก็บไว้ในอนันตภาพ
    โบห์มได้อธิบายจิตวิญญาณในสภาพของความหมายที่เป็นเนื้อในขององค์กรซ่อนเร้นตัวเอง ที่จะเปิดคลี่ขยายให้เป็นความรับรู้จิตวิญญาณที่รวมความคิด ความรับรู้ ความอยากความต้องการไปจนถึงการวิเคราะห์และจินตนาการที่สูงส่ง และอื่น ๆ นั้นสามารถอธิบายได้ทั้งหมดด้วยองค์กรของการซ่อนเร้นตัวเองเช่นเดียวกับการเอามันไปอธิบายเรื่องของสสารวัตถุทั้งหมด สรรพสิ่งทั้งหลายไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิตที่ล้วนสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแยกจากกันไม่ได้ สสารวัตถุ (matter) หรือกายกับจิต (mind) ล้วนซ่อนเร้นด้วยกันในองค์กรเดียวกัน โบห์มบอกว่าสสารวัตถุที่รับรู้เป็นรูปธรรมเป็นสมบัติของจิตวิญญาณสนามพลังงานทั้งหลายไม่ว่าเป็นแรงเป็นแสงเป็นเสียงทำหน้าที่ม้วนข้อมูลของสสารวัตถุทั้งหมดของจักรวาลไว้ที่จุดหนึ่งจุดใดของที่ว่างในจักรวาล ด้วยกระบวนการเช่นนั้นข้อมูลที่ว่านั้นก็จะผ่านประสาทสัมผัสหูหรืออื่น ๆ สู่สมองหรือระบบประสาทส่วนกลางของเรา และลึกลงไปยิ่งกว่านั้น สสารวัตถุที่ประกอบเป็นตัวเราทั้งหมดเอง อะตอมทุกอะตอมในเซลล์และอวัยวะก็ล้วนม้วนเอาข้อมูลของจักรวาลเอาไว้ดังที่คาร์ล พิแบรม (Karl Pribram) ได้พิสูจน์ได้ในระดับที่เชื่อได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าข้อมูลทั้งหมดที่เก็บเป็นความทรงจำนั้น ไม่ได้เก็บไว้ที่กลุ่มเซลล์ส่วนหนึ่งส่วนใดของสมอง แต่ม้วนเก็บไว้ในระเบียบเก็บข้อมูลที่บันทึกไว้ในไฟล์ของแผ่นฟิล์มอนันตภาพ (hologram) ในเซลล์ทั่วทั้งสมองเมื่อระเบียบที่สมองถูกเรียกหรือกระตุ้น การสนองตอบที่เป็นการทำงานทางประสาท (neural energy) ที่จะแสดงไฟล์ของข้อมูลที่บันทึกไว้ตั้งแต่ต้น ความทรงจำของทั้งหมดก็เปิดเผยออกมาพร้อม ๆ กับการทำงานตามปกติของระบบสรีรภาพของสมอง ที่เกิดจากการกระตุ้นที่ประสาทสัมผัสภายนอกในทีแรก ทั้งสองเมื่อรวมกันก็จะแสดงออกซึ่งกระบวนการของการคิดการวิเคราะห์ หรือการตัดสินใจที่เป็นผลการบริหารความทรงจำ ตรรกะเหตุปัจจัยและการรับรู้จากประสาทสัมผัสภายนอกเข้าด้วยกันอย่างที่จะแยกว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหนไม่ได้
    ยกตัวอย่างเมื่อเราได้ยินเสียงดนตรีที่เคลื่อนไหวไปตลอดเวลา และเรารับรู้ชื่นชมกับทำนองและจังหวะที่รวมการเคลื่อนไหวของตัวโน๊ตเสียงแต่ละตัวอย่างต่อเนื่องและกลมกลืน ซึ่งจริง ๆ แล้วในช่วงหนึ่งใดก็มีเพียงเสียงจากตัวโน๊ตเพียงตัวหนึ่งเท่านั้น แต่โน๊ตเสียงอื่น ๆ ทั้งหมดก่อนหน้านั้นก็ยังก้องสะท้อนรับรู้ที่จิตของเราและการรวมกันของความก้องสะท้อนของโน๊ตเสียง ที่เคลื่อนไหวไหลติดต่อกันทำให้เรารับรู้ว่าเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะ ลองเล่นโน๊ตทีละตัวในช่วงเวลาที่ห่างกันเราย่อมไม่ได้ฟังดนตรีที่เราชื่นชมนั้นอย่างแน่นอน แต่หากพิจารณาให้ละเอียดก็จะรู้ว่าการเคลื่อนไหวของตัวโน๊ตต่อเนื่องที่ได้ผ่านไปแล้ว และก้องสะท้อนต่อเนื่องนั้นไม่ได้เป็นเรื่องของความจำโน๊ตที่แยกจากกันเป็นแต่ละตัว แต่เป็นการสังเคราะห์ความเป็นทั้งหมดขึ้นมาใหม่ ของโน๊ตที่ผ่านไปแล้วเหล่านั้น ที่นอกจากจะรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสที่หูแล้วก็ยังรวมการสนองตอบทางร่างกายทั้งหมด รวมทั้งการสนองตอบทางอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนที่รวมกันเป็นความชื่นชมต่อดนตรีทั้งหมด ความชื่นชมที่ยังมีผลหรือความหมายอย่างละเอียดต่อไปถึงเรื่องพฤติกรรมทางจิตอื่น ๆ ที่ตามมา ความชื่นชมต่อเสียงดนตรีจึงไม่ใช่เรื่องของประสาทสัมผัสการได้ยินเสียงของตัวโน๊ตเท่านั้น แต่เป็นเรื่องขององค์รวม เป็นเรื่องของการรับรู้ผลของการจัดองค์กร ที่สังเคราะห์สิ่งที่ซ่อนเร้นตัวให้จิตในระดับต่าง ๆ ที่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียว
    หรือเมื่อเราดูหนัง ภาพที่เห็นที่จริงเป็นภาพซ้อน ๆ กันจำนวนมากที่ปรากฏอกมาทีละภาพอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าหากปรากฏออกมาทีละภาพในช่วงที่ห่างกัน เราก็ไม่เห็นความต่อเนื่องของหนังเรื่องนั้น เห็นเหมือนภาพที่กระโดดหรือกระตุกออกมาทีละรูป และรูปที่ผ่านไปทั้งหมดเป็นการจัดองค์กรหรือสังเคราะห์ใหม่เช่นเมื่อเราจ้องหลอดไฟสองหลอด (เอ) กับ (บี) ที่ปิดเปิดอย่างรวดเร็วมากโดยที่หลอดไฟ (เอ) เปิดเร็วกว่าหลอด (บี) เล็กน้อย ที่สุดเราก็จะเห็นเหมือนแสงมันวิ่งไหลจาก (เอ) อย่างต่อเนื่องไปหยุดที่ (บี) จากความสัมพันธ์ระหว่างกันทำให้เราเห็นและว่าเป็นความจริงของแสงที่เคลื่อนมาจาก (เอ) เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องของการรับรู้ขั้นตอนที่ต่างกันขององค์กรที่ซ่อนเร้นตัวเองซึ่งเป็นจิตของเราต่างหาก ที่ทำให้มีการสังเคราะห์เปิดเผยมันออกมาให้รับรู้และเชื่อว่าเป็นจริง จิตที่เป็นเรื่องเบื้องหน้าทำหน้าที่เป็นองค์กรเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นตัวอยู่ที่เบื้องหลัง
     
  11. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ประสบการณ์ทางจิต
    การทำงานของจิตวิญญาณเป็นเช่นนั้น เช่นความคิดที่ไม่ใช่จำเพาะที่เนื้อหา แต่เป็นทั้งหมด เป็นทั้งโครงสร้าง หน้าที่ เนื้อหาและการดำเนินร่วมกันของทั้งหมดที่เปิดเผยออกมาจากองค์กรที่ซ่อนเร้น จิตจึงทำหน้าที่เหมือนผู้จัดอันดับของเหตุการณ์ที่ไม่สามารถกำหนดด้วยเวลา ที่จับเวลาด้วยนาฬิกาแต่สัมพันธ์เป็นส่วนขยายของช่วงเวลาหนึ่งที่ไม่ชัดเจนจากองค์กรซ่อนเร้นตัวเองที่เปิดเผยออกมาแล้วก็ซ่อนเร้นตัวเองใหม่ที่ซ้ำซ้อนตามหลังกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกันของความคิด
    ในการอธิบายจิตวิญญาณนั้น แท้ที่จริงแล้ว มีหลักฐานหรือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากมาย ที่สามารถนำมาแสดงว่าประสบการณ์ทางจิตเป็นการสร้างขึ้นมาจากพื้นฐานของความจำที่เป็นการจัดองค์กรตัวเองของความคิด ดังที่ เปียเจต์ (J - Piaget) กล่าวเอาไว้ว่า "จิตวิญญาณที่สำหรับเราทั่วไปคิดว่าเป็นองค์กรที่ประกอบด้วยที่ว่าง เวลา เหตุปัจจัย (ที่โบห์มรวมเข้าด้วยกันเป็นนามรูปที่เปิดเผยให้ปรากฏออกมาให้รับรู้ได้จากสิ่งที่เคยซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้านั้น) ที่จริงแล้วสามารถบริหารตัวเองรู้ได้เองตั้งแต่ในช่วงเวลาเริ่มแรกที่สุดของชีวิตของแต่ละคน ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เด็กทารกเริ่มรับรู้หรือเรียนรู้ ที่ก็คือเนื้อหาของจิตวิญญาณจากประสบการณ์การทำงานของระบบประสาท และการทำงานของกล้ามเนื้อร่างกายมาตั้งแต่คลอดออกมา เมื่อเด็กเจริญวัยขึ้นก็นำประสบการณ์ที่เรียนรู้ด้วยระบบประสาทตอนนั้น ๆ ไปผูกพันเชื่อมโยงกับการแสดงออกด้วยภาษาและตรรกะ การทำงานทั้งหมดจึงเป็นการรับรู้ด้วยความตื่นตัวรู้ตัวมาตั้งแต่เด็กเริ่มเกิดเลย การระลึกได้ของการทำงานดังกล่าวจึงเป็นการรับรู้ตั้งแต่เริ่มต้นจริง ๆ ณ ที่องค์กรซ่อนเร้นตัวเอง"
    ปัญหาที่เราไม่ได้สังเกตหรือคิดอย่างละเอียดในด้านของการเริ่มต้นอย่างแรกเริ่มจริง ๆ ขององค์กรการซ่อนเร้นตัวเองเป็นเพราะเหตุว่าเราเคยชินกับสิ่งที่เป็นนามเป็นรูปกับองค์กรของการเปิดเผยตัวเองและเน้นการรับรู้เช่นนั้นแนบแน่นเป็นเนื้อในของความคิดของภาษาจนทำให้เราเชื่อว่า ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เป็นอยู่อย่างเปิดเผยของมันเช่นนั้น นอกจากนี้การครุ่นคิดอย่างมากในกระบวนการรื้อฟื้นความทรงจำที่ต่างก็แปลกแยกเป็นเอกเทศ เสริมให้ความเชื่อของเราแน่นหนายิ่งขึ้นอีก ประสบการณ์ที่เป็นเอกเทศแข็งกระด้างและแน่นิ่งเช่นนั้นทำให้เราหลงลืม หรือไม่สามารถที่จะสังเกตลักษณะของการเปลี่ยนองค์กรตัวเองที่ละเอียดยิ่งดังที่กล่าวมาแล้ว ในเรื่องของเสียงดนตรี ในที่สุดจิตของเราเองจึงรับรู้แต่ภาพลวงหรือการสัมผัสที่หลอกหลอนและแปลกแยกทั้งหมด
    [​IMG]
    รูปที่หนึ่ง
    ลูกบอลที่ตั้งอยู่ในแอ่งเว้าจะคงที่ แต่เมื่อพื้นถูกหนุนสูงขึ้นมา สภาพความคงที่หรือความพอดีจะเปลี่ยนแปลงจนในที่สุดสภาพคงที่เสียดุล ลูกบอลก็จะตกลงมาในแอ่งที่เกิดใหม่ด้านใดด้านหนึ่ง ในสภาพที่คงที่ใหม่(Symmetry) (กฎการจัดองค์กรตนเอง)​
    [​IMG]
    รูปที่สอง
    เมื่อสภาพที่เป็นระเบียบคงที่เป็นระบบ เกิดไร้ระเบียบมากขึ้นห่างจากความพอดี หรือสมดุลมากขึ้นจนถึงจุดวิกฤติ มันก็จะทันทีทันใดกลายสภาพไม่คงที่ได้อย่างหนึ่งอย่างใดที่ทำนายไม่ได้ เกิดระบบที่เป็นระเบียบคงที่ขึ้นมาใหม่ (กฎการจัดองค์กรตนเอง)​
    [​IMG]
    รูปที่สาม
    อนุภาคสร้างปรากฎการณ์เมื่อคลื่นแควนตัมแสงมากระทบ (E) ดังนั้นเมื่อคลื่นแสงที่สร้าง E<SUB>1</SUB> จะมีปฏิกิริยากับ E<SUB>2</SUB> และ E<SUB>3</SUB> รับรู้กันได้แต่ไม่เกี่ยวกับ E<SUB>4</SUB>​
    [​IMG]
    ก๊าซ : เอ็นโตรปี ยิ่งมาก อนูของก๊าซจะกระจายไปทั่วเท่าๆกัน (Entropy) ตรงกันข้ามกับก้อนวัตถุที่เกิดขึ้นจากแรงโน้มถ่วง(Gravity)​
    [​IMG]
    จากโมเลกุล A และ B สร้างโมเลกุลประกอบ AB กับ BA ซึ่งทั้ง AB และ BA ก็เป็นตัวเร่งทางเคมีที่ร่วมกันช่วยให้มีการสร้าง AB และ BA ทั้งหมดช่วยกันร่วมกัน เร่งรัดกัน(Autocatalysis)​
    [​IMG]
    ห่วงโซ่ความสัมพันธ์ของปฏิกิริยาตัวเร่งทางเคมีที่ซับซ้อนขึ้นมาจากโมเลกุลง่ายๆสองตัว A และ B ที่รวมกันและเร่งกันโยงใยไปตลอดเวลา ทั้งหมดดำเนินไปทั้งในปฏิกิริยาการสร้างและการสลาย (Production reaction-reverse reaction)​
     
  12. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" height=1530><TBODY><TR><TD height=25 colSpan=3 align=middle>นำมาจากเอกภาพของชีวิตกับจักรวาล ของนายแพทย์ประสาน ต่างใจ ต้องขอขอบคุณมากครับ</TD></TR><TR><TD height=112 colSpan=3>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    กฏของจักรวาลคือกฏไตรลักษณ์
    ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต พิสูจน์ได้ตลอดเวลา
     
  14. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,774
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,020
    หากทุกคนตั้งใจปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจัง ท่านจะเข้าใจได้เองว่าทุกสิ่งทุกอย่างในพระไตรปิฏกนั้นมีจริงหรือไม่ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมกันต่อไปนะครับ เจริญในธรรมครับ
     
  15. krit59

    krit59 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +346
    เพราะสติปัญญาของพวกเรายังโง่อยู่ ยังไปไม่ถึงในพระไตรปิฎก เลยเหมาเอาว่าในพระไตรปิฎกเป็นเรืองโกหก เรื่องไม่จริง พระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกใครท่านพูดเป็นสัจจะ
    คือความจริง วิทยาศาสตร์ กับ พระพุทธศาสนา มันคนละเรื่องกัน พระพุทธศาสนาไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่ความรู้นั้นเหนือกว่าวิทยาศาสตร์อย่างเทียบไม่ติด เช่น วิทยาศาสตร์ไม่รู้วิธีถอดจิตเลย แต่พระพุทธเจ้ารู้มา 2500 กว่าปีแล้ว
     
  16. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    "สัทธา" จะเป็นเครื่องจำแนก แยกแยะ ผู้ใดจะไปทุคติ ผู้ใดจะไปสู่สุคติ
    เมื่อวันแห่งการพลัดพรากเดินทางมาถึง เราจึงเป็นผู้ไม่ประมาทในการ
    เจริญ "ศรัทธินทรีย์" ให้มาก

    ผมอ่านเจอ ใน หนังสือ "โพธิปักขิยธรรม" โดย พระคันธสาราภิวงศ์
    หน้าที่ ๘๑ ท่านกล่าวว่า "ความจริงประสาทสัมผัสของมนุษย์จัดว่ามีกำลังน้อยมาก
    ตัวอย่างเช่น ในน้ำหยดหนึ่ง ถ้าเราดูด้วยตาเปล่า ก็จะเห็นเป็นน้ำหยดเดียว แต่ถ้าใช้กล้องจุลทัศน์ส่องดู ก็จะรู้ได้ว่าในน้ำนั้นมีสิ่งที่ไม่มีชีวิตและสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่มากมาย ตาของมนุษย์ไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เล็กละเอียดในน้ำเพียงหยดเดียวได้ และในเวลากลางคืน คนทั่วไปจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดๆ ได้ ไม่เหมือนแมวหรือสุนัขซึ่งสามารถมองเห็นในที่มืดได้"

    ผมจึงคิดว่า เมื่อประสาทสัมผัสเรายังหยาบ เรายิ่งต้องเจริญศัทธินทรีย์ ให้มาก ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ ท่านกล่าวว่า "คนที่ไมมีศรัทธา เหมือนคนที่ไม่มีมือ" เพราะ ศรัทธาเหมือนมือที่ใช้หยิบฉวยรัตนะที่มีค่าได้

    "ศรัทธาในพุทธคุณ" แม้บางครั้งไม่อาจสัมผัสได้ เพราเหตุที่จิตของเรายังหยาบกระด้าง
    แต่เราก็จะต้องเจริญศรัทธา ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป พระอรรถกถาจารย์ ท่านรจนาไว้ว่า

    พุทฺโธปิ พุทฺธสฺส ภเณยฺย วณฺณํ
    กปฺปมฺปิ เจ อญฺญมภาสมาโน
    ขีเยถ กปฺโป จิรทีฆมนฺตเร
    วณฺโณ น ขีเยถ ตถาคตฺสส

    แปลว่า..

    "แม้พระพุทธเจ้าจะทรงกล่าวพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้า
    โดยมิได้กล่าวคำอื่นตลอดกัป กัปหนึ่งพึงล่วงไปในระยะกาลอันยาวนาน
    แต่คุณของพระตถาคตก็ยังไม่จบสิ้น"

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2010
  17. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    หากเราเสียเวลากับการศึกษา เปลือกนอกนานมากเกินไป
    อาจใช้เวลาอีกนานกว่าจะเข้าถึง พระพี้ และเนื้อไม้
    ไม่ต้องพูดถึงแก่นเพราะยังอีกยาวไกลนัก


    หากทางเร่งรีบปฏิบัติเถิดจะพบด้วยตนเอง ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้จำ ไม่ได้สอนให้ท่อง หรือมาถกเถียงเอาชนะกันด้วยเหตุผล

    แต่ให้ต่างคนต่างปฏิบัติ ผลจึงจะเกิดตามฐานานุรูป ตามกำลังพละห้าของแต่ละคนๆ
    ที่รูปแบบระหว่างทางอาจจะไม่เหมือนกันเลย แต่ปลายทางคือสิ่งเดียวกันคือการละตัวตน เข้าสู่วิมุตได้
     
  18. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ฉันแปลกใจค่อนข้างมาก(หัวเราะ555) ถ้าเธอพิสูตรว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในประเทศไทยได้ แล้วเธอจะทำอะไร?ต่อ แล้วถ้ามันไม่ใช่ล่ะ ถ้ามันกลายเป็นว่าที่ผ่านมาเธอเข้าใจผิดล่ะเธอแน่ใจหรือว่าเธอจะมีความสุขในตอนนั้น เธอบอกว่าเธอจะคืนความจริงให้แผ่นดินแล้วยังไง? สุดท้ายเธอได้อะไร?กัน แล้วท้ายของท้ายที่สุดเธอเหลืออะไร? บางสิ่งบางอย่างที่มันก็ควรจะหายไปก็ปล่อยให้มันหายไป นั้นต่างหากจึ่งเป็นไปในแบบที่ควรจะเป็น พระพุทธเจ้าจากไปแล้ว ก็ปล่อยให้มายาภาพของพระองค์ค่อยๆหายไปเถอะ

    เธอเคยมองมาที่ชีวิตของเธอไหม? ดูนี่สิ ข้อความบางอย่างต้องการสื่อสารถึงเธออยู่ตลอด ดูนี่สิสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกอย่างเป็นพลวัตแห่งสัจธรรม พระพุทธเจ้าก็ไม่ต่างจากเธอวันหนึ่งก็ต้องหายไป และพระองค์คงไม่ชอบใจเท่าไหร่ ที่จนถึงตอนนี้คนทั่วๆไปยังจำพระองค์ได้ พระองค์ไม่ใช่นักการเมืองนะถึงจะอยากมีชื่อในประวัติศาสตร์ไปอีกสักพันปี ปล่อยให้สิ่งต่างเป็นไปตามธรรมชาติเถอะ การฝึกฝนทางจิตวิญญาณ คือ การเรียนรู้ที่จะเข้าใจธรรมชาติ เลิกขัดขืนต่อต้าน แล้วหันมาผ่อนพักและตระหนักรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เธอไม่จำเป็นต้องสร้างเกราะมาป้องกันตัวเองอีกต่อไป ถึงเธอทำแบบนี้มันก็ไม่ได้ทำให้เธอเข้าใกล้พระพุทธเจ้าหรอก สิ่งที่เธอจะพบนั้นคงเป็นเพียงแค่เงาเท่านั้น

    ถ้าเธอเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าจริง ฉันว่าเธอน่าจะเอาเวลา มาค้นหาความจริงในตัวเธอ ดูแลรับผิดชอบชีวิตของตัวเองมากว่า มันเสียเวลาเปล่า? ที่จะมานั้นพิสูตร นั้งสร้างบ้านจากไพ่ นั้งรับเอาหลักการ ข้อเท็จจริงทางศาสนา นิยาม หรือความคาดหวังต่างๆนานา เกี่ยวกับศาสนาหรือวิถีปฏิบัติทางจิตวิญญาณมาแบกไว้ แทนที่จะได้ค้นหาคุณค่าและความหมายที่แท้จริงในแบบของเธอเอง ฉันคิดว่าพระพุทธเจ้าคงคิดเช่นนี้

    สิ่งที่เธอทำนั้นไม่ต่างอะไร?กับที่พวกพระ นักวิชาการทางศาสนาทำ เธอคงจะเห็นว่าพวกเขามักที่จะจดจำภาษาบาลีหรือสันสกฤต พยายามจดจำพระสูตรให้มากที่สุดทั้งที่สิ่งที่ควรรุ้มีแค่กำมือเดียว พยายามจะค้นหาคำตรัสที่เก่าแก่ที่สุด พยายามที่จะพิสูตรว่าคำตรัสนั้นเป็นของพระพุทธเจ้าจริงๆหรือเปล่า จนความหมายที่ลึกซึ้งของมันได้ผิดเพี้ยนไปมาก ภาษาที่สื่อสารพุทธธรรมได้กลายเป็นศัพท์สูงหรือศัพท์เทคนิคที่แสดงถึงสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พุทธธรรม เช่น สถานะทางสังคม การศึกษา หรือพิธีรีตอง มันทำให้ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจมัน

    อย่าเสียเวลากับสิ่งที่เธอทำเลยนั้นเป็นเพียงเปลือก เท่านั้น จงมองตรงไปที่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา แก่นแท้ของประสบการณ์ตรงของการเปลี่ยนแปลงด้านในของตัวเธอเองจะดีกว่า มองให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง มองให้เห็นว่าในไม่ช้าก็เร็วสัจธรรมก็จะตัดผ่านและส่งสาร ถึงเธอผ่านความทุกข์ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง มองด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องผ่านสติ จากนั้นจึงเรียนรู้ที่จะนำความเข้าใจนั้นมาปฏิบัติจริงในชีวิต แต่เธอจะต้องไม่เดินตามใครแม้แต่พระพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถสอนเธอได้ว่าควรจะทำอย่างไร? เธอแค่ต้องลองทำไปเรื่อยๆ ล้มแล้วลุกนับครั้งไม่ถ้วน

    จนในที่สุดเธอก็ทำได้ เธอนำแสงสว่างมาสู่ตัวเธอได้ เหมือนที่ท่านนาคารชุนกล่าวไว้ว่า “ฉันไม่มีหลักปรัชญาอะไรมาใช้อธิบาย เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นเช่นนั้นเอง” แต่เธอจะต้องเข้าใจนะว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการรู้แจ้งขั้นสูงสุดอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกันหรอก(หัวเราะ555) ในการเดินทางแห่งจิตวิญญาณไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “สิ่งสุดท้าย” เป้าหมายคือการเดินทาง คือปัจจุบันขณะ เป้าหมายของชีวิตก็คือชีวิต การรู้แจ้งเกิดขึ้นอยู่ตลอด แต่ถึงจุดหนึ่งที่เธอได้ศิโรราบให้กับการสูญเสียหลักเกาะเกี่ยวทั้งหลายโดยสมบูรณ์ จุดที่เธอไม่มีที่พึ่งอีกต่อไป เธอเลิกที่จะเปรียบเทียบนั่นกับนี่ (หัวเราะ555) เธอจะเลิกยึดติดกับเหตุผล เธอจะเข้าใจว่าเรื่องราวหลายๆอย่างไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลหรอก ณจุดนี้เธอจะไม่สามารถพูดถึงมันได้ และเธอจะเข้าใจว่าสิ่งต่างๆนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรที่จะพยายามหาคำมาอธิบาย เพียงแค่ปล่อยวางให้มันเป็นไปของมันเองก็เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กันยายน 2010
  19. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    มีคนถามถึง "บั้งไฟพญานาค"

    Monthon Ruamphakwaen
    อยากรู้ว่าลูกไฟที่ขึ้นจากใ<WBR></WBR>ต้น้ำมันคืออะไรกันแน่
    <ABBR title="31 สิงหาคม 2010 เวลา 12:35 น." data-date="Mon, 30 Aug 2010 22:35:15 -0700">วันวันอังคารเวลา 12:35 น.</ABBR> ·<BUTTON class="stat_elem as_link" title=ชื่นชอบความเห็นนี้ name=like_comment_id[1075075] type=submit value="1075075">ถูกใจเลิกชอบ</BUTTON> · <LABEL class="uiLinkButton async_throbber"><INPUT class=stat_elem value=ลบ type=submit name=delete[1075075]></LABEL>
    <LABEL class="uiLinkButton async_throbber"></LABEL>


    <LI class="uiUfiComment comment_1088491 ufiItem">[​IMG]
    เอกอิสโร วรุณศรี ถ้าเราเชื่อว่า "พญานาค" มีอยู่จริง ลูกไฟนั้น นั้น ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" คือการจุดประทีป ชวาลา บูชาพระพุทธเจ้า ครับ เหมือนโลกมนุษย์ก็มีปล่อยโค<WBR></WBR>ม บูชาพระพุทธเจ้าเหมือนกัน

    <LI class="uiUfiComment comment_1088491 ufiItem"><ABBR class=timestamp title="2 กันยายน 2010 เวลา 6:14 น." data-date="Wed, 01 Sep 2010 16:14:45 -0700">2 ชั่วโมงที่แล้ว</ABBR> ·<BUTTON class="stat_elem as_link" title=ชื่นชอบความเห็นนี้ name=like_comment_id[1088491] type=submit value="1088491">ถูกใจเลิกชอบ</BUTTON> · <LABEL class="uiLinkButton async_throbber"><INPUT class=stat_elem value=ลบ type=submit name=delete[1088491]></LABEL>



    <LI class="uiUfiComment comment_1088508 ufiItem">[​IMG] เอกอิสโร วรุณศรี พญานาค คงจะรู้มากกว่าคนมั้งครับ คนทั่วไปรู้ว่าจุดบั้งไฟขอฝ<WBR></WBR>น
    แต่อาจจะไม่เคยรู้ว่า บั้งไฟ มีที่มาจากเรื่อง "พญาคันคาก"
    และ "พญาคันคาก" ก็คือ อดีตชาติของพระพุทธเจ้า
    เพราะฉนั้น จะถึงบางอ้อว่า ทำไม พญานาคจึงจุดบั้งไฟ
    ไม่ใช่การขอฝนครับ แต่เป็นการระลึกนึกถึง "พระพุทธเจ้า"

    <ABBR class=timestamp title="2 กันยายน 2010 เวลา 6:17 น." data-date="Wed, 01 Sep 2010 16:17:55 -0700">2 ชั่วโมงที่แล้ว</ABBR> ·<BUTTON class="stat_elem as_link" title=ชื่นชอบความเห็นนี้ name=like_comment_id[1088508] type=submit value="1088508">ถูกใจเลิกชอบ</BUTTON> · <LABEL class="uiLinkButton async_throbber"><INPUT class=stat_elem value=ลบ type=submit name=delete[1088508]></LABEL>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2010
  20. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ในความรับรู้เดิมของผม "พญาคันคาก" คือ พญาคางคก ที่มี สี่ขา
    แต่ในเวลาต่อมา ได้อ่านเรื่องราว ที่แปลออกมาจากใบลานหนังสือธรรม
    จึงค่อยรู้ว่า พญาคันคาก ก็คือ "มนุษย์" นี่เองแหล่ะ แต่ท่านเกิดมาผิวพรรณ
    ไม่เกลี้ยงเกลาหล่อเหลาในเบื้องแรก แม้จะเกิดในวรรณะกษัตริย์
    ที่เป็นเช่นนี้ เพราะในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ท่านเคยเกิดและบวช
    เป็นสามเณรในสมัยนั้น วันหนึ่งมี ตลาดนัด พ่อค้า แม่ค้า มาขายของ มีการทิ้ง
    ขยะเศษอาหาร รวมทั้งใบตองห่อข้าวต้มมัด ในบริเวณวัด แล้วท่านก็เห็นแต่ไม่
    ยอมเก็บกวาด พอดีมีพระภิกษุมานั่งเจริญสมณธรรมมานั่ง แล้วเปรอะเปื้อน
    กรรมอันนั้น ท่าน จึงได้เกิดมา มีผิวพรรณไม่เกลี้ยงเกลา เป็นตะปุ่มตะป่ำ เหมือน
    ผิวคางคก หรือ ขี้คันคาก คนจึงเรียกว่า "พญาคันคาก"
    พอ ท่านทำความดี ช่วยเหลือชาวบ้านช่าวเมือง ในคราวเดือดร้อนเรื่องฝนแล้ว
    ด้วยการรบชนะพญาแถน ท่านจึงได้กลับอัตภาพใหม่ เป็นผู้มีผิวพรรณดีครับ

    แล้วพญานาค กับพญาคันคากเกี่ยวกันอย่างไร ก็เกี่ยวตรงที่ เมื่อพญาคันคาก
    รบชนะพญาแถน แล้ว จึงสั่ง ให้นาคเป็นผู้ให้น้ำแก่โลกมนุษย์ ไงหล่ะครับ
    เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ ปฏิทินสมัยโบราณ ก็ไม่โบราณมากหอก แค่สมัย
    ผมยังเป็นเด็ก ก็จะบอกว่า ปีนี้ นาคให้น้ำกี่ตัว ฝนตกกี่ห่า ตกที่ไหนเท่าไหร่?

    นาค กับ พญาคันคาก และบั้งไฟที่พญาคันคาก จุด เพื่อส่งสัญญาณ บอกเวลา
    ที่นาคจะต้องให้น้ำจึงเกี่ยวกันด้วยเหตุฉะนี้

    และด้วยเหตุที่ นาค กับพญาคันคาก เกี่ยวพันกันมา เมื่อพญาคันคาก ได้มา
    เกิดและได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ยิ่งจะมีความศรัทธาใน "คุณความดี" ทั้ง
    ตั้งแต่เป็น พญาคันคาก จนมาเป็น "พระพุทธเจ้า"

    ดังนั้น จึงเป็นผู้ที่ประกาศตนพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
    แล้ว "เราหล่ะ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...