**พระกรรมฐานสาย ลป.ชอบ ลป.คำดี ลป.หลุย และครูบาอาจารย์สายต่างๆ**//

ตะกรุด พระนารายณ์คลายจักร
(ของดีในพิธีไหว้ครู ที่ใช้ป้องกันสิ่งไม่ดี ไม่ให้เข้ามาในพิธี)


​

...ดังที่ได้นำเรียนไปครับว่า วันนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสไปที่สำนักท่านอาจารย์บุญเลิศ เพราะเข้าใจว่างานไหว้ครูจะทำกันวันนี้(แต่ถูกเลือนไป) ด้วยจะไปติดตามความคืบหน้าในการจัดสร้างเหรียญที่ระลึกไหว้ครูนี้ด้วยครับ

...แต่เมื่อวันงานถูกเลือนผู้เขียนก็จะได้กลับไปก่อนวันงานค่อยมาใหม่ แต่บังเอิญในขณะที่เดินบ้านหน้าสำนักงานของท่าน เห็นเหล่าลูกศิษย์ท่านกลุ่มหนึ่ง 4-5 คนกำลังช่วยกัน "ถักเชือกม้วนตะกรุดดอกเล็กๆยาวประมาณ 2.5 นิ้วอยู่" เลยสอบถามว่าตะกรุดอะไร จึงทราบว่าเป็นตะกรุด "พระนารายณ์คลายจักร"

...ลูกศิษย์ใกล้ชิดอาจารย์บุญเลิศท่านหนึ่งชื่อคุณระพีที่กำลังถักเชื่อตะกรุดอยู่ ได้กรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า "ตะกรุดชุดนี้อาจารย์บุญเลิศท่านจารและม้วนเองทุกดอก เพื่อนำไปร้อยใส่สายสิญจน์ และยอดฉัตรบริเวณโดยรอบมณฑลพิธี โดยเชื่อว่าในระหว่างพิธีใครเจอของคุณไสย หรือโดนของมา ตะกรุดนี้จะเหมือนจักรพยนต์ หมุนทำลายของไม่ดีนั้นให้สูญสลายไป และป้อมกันสิ่งชัวร้ายที่จะเข้ามาทำลายในมณฑลพิธีอีกด้วย ตะกรุดนี้จึงถือเป็นเครื่องป้องกันที่มีฤทธิ์คล้ายๆกับ เฉลว(ตอกไม้ดาวห้าแฉกที่มักใช้ในพิธีมงคลของกลุ่มคนทางเหนือ) ซึ่งจริงๆแล้วเฉลวนี้ก็เข้าใจว่าจะทำเป็นรูปจักรเช่นกัน แต่คนสมัยปัจจุบันมองเป็นรูปดาวห้าแฉก"

​

...ผู้เขียนเลยสอบถามลูกศิษย์ท่านว่าแล้วถ้าเสร็จพิธีท่านจะมีให้บูชาไหม? ลูกศิษย์ท่านบอกว่า "ไม่มีให้บูชาครับ ท่านจะเอาไว้แจกของท่านเอง ท่านจะไม่แจกคนทั่วไปเพราะตะกรุดนี้ "มีฤทธิ์แรงมาก" โดยเฉพาะเรื่องสะท้อนกลับ กับผู้คิดร้ายฉะนั้นผู้นำไปใช้ติดตัวเหมือนมีจักรพระนารายณ์ติดตัว เมื่อเวลาขว้างจักรออกไปแล้วผู้ที่ ถูกมุงหมายจากจักรต้องถูกทำลายเท่านั้นจักรนั้นจึงจะหยุดหมุน"

ข้อมูลเพิ่มเติม
...พระนารายณ์คลายจักรนี้ผู้เขียนเคยได้ยินอาจารย์บุญเลิศพูดถึงมานานแล้ว แต่ไม่เคยเห็นท่านลงเสียที ท่านเคยกรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า

"พระนารายณ์คลายจักร เป็นเคล็ดวิชาจากการที่โบราณจารย์ ท่านศึกษาพลังงานของบทสวด "อิติปิโส" โดยบทอิติปิโส นี้ว่ากันว่าเป็นบทสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าแต่ในทางเป็น"บุญฤทธิ์"คือกล่าวถึงคุณแห่งพระพุทธเจ้าล้วนๆ แต่ตัวองค์พระพุทธเจ้าเองนอกจากท่านจะมีบุญฤทธิ์มากมายแล้ว ท่านยังทรงอิทธิฤทธิ์มากมายเช่นกัน (ฤทธิ์เสมอพระเจ้าจักพรรดิ) โบราณจารย์ท่านจึง ปรับบทสวดให้พลังงานของบทสวดจากบุญฤทธิ์ เป็น"อิทธิฤทธิ์" ซึ่งเป็นฤทธิ์อีกฝั่งหนึ่งของพระพุทธเจ้า โดยนำบทสวดอิติปิโส มารจนาแบบ ปฏิโลม หรือถอยหลัง ก็คือการท่องพระคาถาพุทธคุณเหล่านั้น แบบถอยหลัง หรือจากหลังมาหน้า บางครั้งจะเรียกว่า "ขว้างจักร" หรือชื่อเต็มคือ "พระนารายณ์ขว้างจักร(หรือคลายจักร)"

เพราะมีความเชื่อกันว่า กลวิธีการใช้พระคาถาในรูปแบบนี้ จะทำให้เกิดฤทธิ์ในการขับไล่สิ่งไม่ดี หรือกระทำการบีฑาต่อสิ่งที่มาทำร้ายเรา หรือเป็นการแสดงฤทธิ์ของพระคาถานั้นในลักษณะรุนแรงหรือโดดเด่น โดยเฉพาะพระคาถาอิติปิโส ฯ ถอยหลังนี้ ทางสายหลวงปู่มั่นมักจะกล่าวว่าเป็นพระคาถาที่หลวงปู่มั่นภูริทัตโตใช้ต่อสู้กับภูตผีปีศาจเวลาธุดงค์ ภูติผีปีศาจอสูรกายใดที่มีบาปเป็นสะระณะของตน กอปรด้วยจิตอกุศล และมักจะกระทำอกุศลกรรม มักจะอยู่ไม่ได้ในที่แห่งนั้น

นอกจากนี้ท่านว่าฤทธิ์ของพระอิติปิโส ฯ ถอยหลัง คือการขับไล่สิ่งไม่ดีทั้งมวลให้กระเด็นไป ทุกคุณไสยที่วิ่งเข้ามา เมื่อได้ยินพระคาถานี้ นอกจากจะเข้ามากล้ำกรายไม่ได้แล้ว ยังกระเด็นออกไปด้วยความทรมาณอีกด้วย
​

***********


​

...ตะกรุดนารายณ์คลายจักร(หรือขว้างจักร) ที่ถักเสร็จแล้วบางส่วน ที่ท่านอาจารย์บุญเลิศจะนำไปห้อยในมุมต่างๆในพิธีไหว้ครูปีนี้ เดียวหลังเสร็จพิธีผู้เขียนจะลองขอท่านดูนะครับ ถ้าได้จำนวนก็จะนำมาแจกให้สมาชิกที่ร่วมบุญทุกท่าน แต่ถ้าได้มาแค่นิดหน่อย ไม่พอกันผู้เขียนจะสุ่มหยิบลงซองพัสดุของท่านสมาชิกแทนนะครับ(สุ่มหยิบนะครับโดยไม่ทราบรายชื่อ) ถือว่ามอบของดีสุดๆไว้ให้ได้บูชากันนานๆท่านทำทีครับ งานนี้ท่านทำแค่ 108 ดอก ติดตัวก็คุ้มตัว ไว้บ้านก็คุ้มครองทั้งบ้าน ไว้รถก็คุ้มครองทั้งรถครับ

 

ท่านอาจารย์ครับขอร่วมบุญตะกรุดด้วย1ดอกครับ

 

อาจารย์ครับผมขอร่วมบุญตะกรุดด้วย3ดอกได้ไหมครับท่าน

 

ต้องขออภัยครับ ตะกรุดไม่มีให้บูชานะครับผู้เขียนเพียงจะขอจากงานพิธีมาแจกให้สมาชิกร่วมบุญเท่านั้นครับ ถ้าได้จำนวนมากก็จะแจกทุกท่าน แต่ถ้าได้มาจำกัดก็จะสุ่มแจกครับ

ต้องขออภัยด้วยครับ

 

ต้องขออภัยครับ ตะกรุดไม่มีให้บูชานะครับผู้เขียนเพียงจะขอจากงานพิธีมาแจกให้สมาชิกร่วมบุญเท่านั้นครับ ถ้าได้จำนวนมากก็จะแจกทุกท่าน แต่ถ้าได้มาจำกัดก็จะสุ่มแจกครับ

ต้องขออภัยด้วยครับ

 

....เมื่อวันที่ 22 พฤษจิกายน 2567 ที่ผ่านมาครับ "ทางสำนักอาจารย์บุญเลิศ" ได้จัดพิธีไหว้ครูบูชาพระ 2 รอบ คือเช้ากับบ่าย(เนื่องจากคนมาในพิธีอาบน้ำมนต์จำนวนมากเลยต้องแบ่งเวลามาเพื่อจะได้เพียงพอต่อผู้คนที่มากับสถานที่) แต่เนื่องจากว่างานของสำนักอาจารย์บุญเลิศ ติดกับช่วงงาน "ถวายเพลิงหลวงพ่อขันตี" ทางผู้เขียนเลยไม่ได้ไปร่วมงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ของอาจารย์บุญเลิศครับ เพราะว่าท่านเจ้าอาวาส(พระอาจารย์ทวี) ท่านขอให้ไปช่วยงานเกี่ยวกับงานธุรการ ในวันงานถวายเพลิงหลวงพ่อขันตีท่าน เพราะผู้เขียนเองก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ท่านที่เคยถวายงานหลวงพ่อมาก่อน ในช่วงวันที่ 22-23-24 พฤศจิการยนที่ผ่านมา เลยต้องช่วยงานที่วัดห่วยเดื่อตลอดจนแล้วเสร็จงาน

​

....และในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2567 ทางคณะผู้จัดสร้าง "เหรียญพุทธไชยพรหม" รุ่นบูชาครูนี้ นำไปกราบขอเมตตา พระอาจารย์วงรคต วิริยธโร(หลวงตาม้า) อธิษฐานจิตเหรียญ ที่จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องในงานมุทิตาจิต 23 พย 67 อายุวัฒนมงคล 80ปี ที่ผ่านมา

​

....เนื่องจากอาจารย์บุญเลิศ ท่านสั่งให้นำไปขอเมตตาหลวงตาม้า เพราะท่านบอกว่า "พระพุทธไชยพรหมแต่เดิมมาจากหลวงปู่ดู่ตอนนี้หลวงปู่ท่านละสังขารไปแล้ว หลวงตาม้าลูกศิษย์สายธรรมของหลวงปู่ดู่ท่านสามารถน้อมพลังงานหลวงปู่ดู่ มาประสิทธิได้เหมือนกันจึงให้ไปขอท่านเสกให้ "​

.....แล้ววันพฤหัสบดีนี้ "ท่านอาจารย์บุญเลิศจะทำพิธีพรหมประสิทธิ" เพราะท่านบอกว่า "มีรูปลักษณ์ของพระพรหม" จึงต้องอธิษฐานจิตน้อมแก้วสารพัดนึกของพระพรหมให้เป็นกระแสเดียวกันกับเหรียญรุ่นนี้(เพราะผ่านพิธีไหว้ครูบูชาพระมาแล้ว คือพิธีน้อมพลังงานพระมาประสิทธิ) หลังจากนั้นเห็นว่าทางสำนักท่านก็จะแจกจ่ายวัตถุมงคลให้ผู้ที่จองไว้ได้เลยครับ ดังนั้นผู้เขียนจะได้ไปติดต่อขอรับ และส่งให้ท่านสมาชิกต่อไปนะครับ

จึงนำเรียนแจ้งมาเพื่อทราบครับ
ต้องขออภัยในความล่าช้าด้วยนะครับเพราะว่าท่านทำหลายพิธีตามตำรา
กว่าจะแล้วเสร็จก็ต้องใช้เวลาตามฤกษ์ตามยามที่วางไว้ครบ
(ถ้าไม่ได้ฤกษ์ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่ทำครับ)​

 

เหรียญตอกโค๊ตยันต์ เฑาะทุกองค์ครับ
​

...เมื่อเช้าวันที่ 1 ธันวาคม 2567 เวลา ตี 4.30 น ผู้เขียนทราบว่าอาจารย์บุญเลิศท่านได้ฤกษ์ทำพิธี "พรหมสิทธิ" แต่ตอนผู้เขียนไปถึงท่านได้ทำพิธีบวงสรวงไปแล้วที่หน้าชานบ้านท่านครับ และท่านก็เริ่มให้คนตั้งพิธีอธิษฐานจิตแล้วในห้องพระท่าน

...ท่านได้ตั้งพิธีในห้องพระประจำสำนักท่านที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ตอนผู้เขียนไปถึงท่านกำลังหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ลงในภาชนะที่มีเหรียญพุทธไชยพรหมทั้งหมด พอดีผู้เขียนจึงขออนุญาตท่านบันทึกภาพไว้ก่อนได้หรือไม่ ? ท่านก็กรุณาอนุญาตและบอกว่าระหว่างพิธีให้ทุกคนออกไปจากห้องนะ ท่านจะได้เริ่มทำพิธี "และท่านห้ามส่งเสียงดังกัน" แล้วท่านก็จุดเทียนทำพิธี ก่อนที่ผู้เขียนจะออกจากห้องพระครับ

​

....ท่านใช้เวลาทำพิธีนานพอสมควรครับ ผู้เขียนดูเวลาท่านเริ่มเข้าห้องพระ เวลาประมาณ ตี 5.15 น. แล้วเสร็จพิธีก็ 6.30 น. ครับก่อนท่านจะเดินออกมาจากห้องพระสำนักของท่านมานั่งพักหน้าห้องสักพัก ก่อนท่านจะชวนผู้ที่มาในเช้าวันนี้ มาดื่มกาแฟ กินน้ำชากันในรหว่างพูดคุย คุณนพ(ร.อ.มานพ โสกันทัต) ผู้มาร่วมพิธีและลูกศิษย์ท่านได้สอบถามอาจารย์บุญเลิศครับว่า พิธีนี้เป็นอย่างไรครับ

....ท่านอาจารย์บุญเลิศ กรุณาเล่าครับว่า "พิธีพรหมสิทธิ เป็นพิธิเสริมจากพิธีบูชาพระจริงๆก็พิธีเดียวกัน แค่เสริมเรื่องคุณวิเศษของพระพรหมขึ้นมาเสริม เสริมเรื่องทางโลกนั้นแหละ เรื่องการเงิน การงาน ปัดอุปสรรคต่างๆนาๆ อะไรประมาณนี้ และเสริมพลังธาตุ อย่างเช่นเนี่ยเห็นเทียนนั้นไมละ(ท่านชี้ไปที่เทียนที่ท่านจุด ก็คือภาพที่ผู้เขียนขออนุญาตท่านถ่ายมา) เทียนนี้จุดเพื่อเป็นสื่อพลังงานของความร้อน ความวุ้นวาย ปกติธรรมชาติมันมีแค่สองขั้วนะ "เขาเรียกว่าทวิภาวะ" เช่นมีขั้วบวกก็มีขั้วลบ มีเย็นก็มีร้อน มีอ่อนก็มีแข็ง จริงๆมันอยู่ด้วยกันนั้นแหละอะไรจะเด่นกว่ากันเท่านั้นเองขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย แล้วเวลาอธิษฐานพลังงานให้เทียนไฟนี้เป็นสื่อถึงความร้อนแรง ความวุ้นวาย ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความทุกข์ร้อน ส่วนน้ำพระพุทธมนต์ที่แช่พระนี้เปรียบดังความเย็นกาย สบายใจ ว่างันเถอะ"

...."ส่วนการอธิษฐานในพิธี น้ำพระพุทธมนต์ที่นำมาแช่พระก็ให้เป็นน้ำ "พระธรรมที่อธิษฐานสวดเสกด้วยบทพระพุทธคุณ" เคล็ดตรงนี้ในตำราท่านให้อุปเทห์ไว้ว่า ..ไฟจากเทียนที่อยู่ตรงกลางน้ำนี้เหมือนความทุกข์ร้อนวุ้นวาย ความทุกข์ ความจนยาก ความลำบาก อุปสรรคต่างๆนานา พอเข้าพิธีอธิษฐานจิตให้ตั้งนิมิตรเป็นองค์พระกำลังดับไฟ ก็คือน้ำพระพุทธมนต์นั้นเอง โดยในระหว่างเจริญพระพุทธมนต์(ตามตำรา) เทียนที่จุดก็จะค่อยๆไหม้ใส้เทียนลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสร็จพิธีไฟที่เทียนนี้ก็กินตัวลงไปจนถึงน้ำพระพุทธมนต์แล้วดับลงเอง นั้นแหละ!! ไฟที่เทียนที่เปรียบกับความทุกข์ร้อน ความยากจนได้ดับลงไปแล้ว ความเย็นกายเย็นใจ สบายกายสบายใจ ก็จะขึ้นมาแทน

....หรือจะอุปมาว่า บัดนี้ความยากจนเข็นใจได้ดับลงไปแล้วเพราะน้ำพระธรรมนี้ บัดนี้ความร่ำรวย ความมั่งมี(ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกับความจนความลำบาก) จะบังเกิดขึ้นมาแทนที่ อย่างนี้เป็นต้น ท่านเรียกว่า "เอาเคล็ดมหาระงับดับความทุกข์ร้อนมาใช้" หรือจะให้ไปสูงกว่านั้นคือบัดนี้ไฟ 3 กองคือไฟโทษะ ไฟโมหะ ไฟโลภะ ได้ดับลงไปด้วยน้ำพระธรรมอันเปรียบดังปัญญา เมื่อได้มีปัญญาแล้วอวิชชาดับลงกิเลสต่างๆก็ดับลงไปด้วย นิพพานที่เป็นอมตะธรรมจึงบังเกิดขึ้นมาแทนที่ เป็นดังนี้แล

...ครูบาอาจารย์ท่านให้อธิษฐานทำไว้ตามตำรา พระรุ่นบูชาครูนี้ก็ถือเอาพลังงานนี้เป็นสื่ออธิษฐานให้มาสถิตลงองค์พระ ให้ระงับความจน ระงับความยาก ระงับความลำบาก ระงับอุปสรรคต่างๆ ให้ความมั่งมี ความร่ำรวย ความราบรื่น ความสำเร็จบังเกิดขึ้นมาแทน นั้นละอุปเทห์ของพิธีนี้ "

...และแปลกมาๆครับ หลังจากท่านให้เอาพระที่แช่น้ำพระพุทธมนต์หลังเสร็จพิธีออกจากน้ำแล้ว "เนื้อพระที่ถูกขัดมาจากโรงงานที่เป็นสีทองอร่ามทั้งหมด กลับเปลี่ยนเป็นสีทองนาค กล่าวคือมีสีออกผิวไฟขุ่นๆยังงัยไม่ทราบ(จากปกติผ่านโรงงานมาสีทองอร่ามเพราะถูกสารเคมีต่างๆล้างจนเหรียญออกใหม่) ท่านอาจารย์บุญเลิศบอกว่า ผ่านพิธีพระถูกชะล้างแล้วด้วยพุทธมนต์ สีผิวพระจะกลับมาเหมือนพระชัยวัฒน์สุริยประภาของหลวงปู่นาค โสภโณที่เป็นชนวนมวลสารหลักเหมือนเดิม ซึ่งก็เป็นเช่นกันจริงๆครับ"

หลังจากทางสำนักอาจารย์บุญเลิศแยกยอดต่างๆแล้ว และทางผู้เขียนได้รับยอดแล้วจะจัดส่งให้สมาชิกทุกท่านที่ร่วมบุญต่อไปนะครับ


ยันต์พุทธบรมครู​