บารมี อจละวิทยราช

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 21 ธันวาคม 2019.

  1. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
    ฝากเตือนไว้ สำหรับเรื่อง” ของ”ไอ้แมวกินปลา “ บุคคลที่ต้องห้ามในการบวช ที่ปัจจุบันได้หมดวาสนาต่อพระพุทธศาสน์ จากการกระทำด้วย กาย วาจา และใจในอดีตและปัจจุบันจนถึงการกระทำในอนาคตต่อไป จะเป็นบุคคลที่ทำให้พุทธศาสนาถูกดูหมิ่นและเกลียดชังเป็นที่ตลกขบขัน และถูกเหยียดหยามแก่ศาสนิกชนเหล่าอื่น กับการกล่าวถ้อยคำเบียดเบียนอันเป็นที่ลำบากใจในการอยู่อาศัยของสมณะสงฆ์ในทั่วสังฆมณฑล

    รับบทเป็นขุยไผ่ที่จะฆ่าต้นไผ่ กึ่งพุทธกาล! และจะไม่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา แม้จะอวดว่าได้สร้างมหาเปรียญฯได้นับร้อย ขึ้นชื่อว่า อหังการ แต่ผลที่แท้จริงบุคคลอัน สัทธรรมปฎิรูปเข้าถึง ไม่ใช่ฐานะที่จะนำพาพระสัทธรรมอันแท้จริงสู่ผู้อื่นได้

    และจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญล่าสุด

    อันเป็นบุคคลที่ชอบอวดอ้างต้นเป็นกูรู สอนสิ่งที่เป็นอสัทธรรม บิดเบือนพระสัทธรรม ว่าด้วยเหตุผลแห่งการตาย ไม่ได้เป็นเพราะเวรกรรม หรือ ผลของอดีตกรรม คัดค้านทั้งมหาจัตตารีสกสูตร บิดเบือน “มหา” มรณะ4 สูตรที่ขึ้นชื่อว่าด้วยเหตุแห่งความตาย ออกเผยแพร่ แก่พุทธศาสนิกชน

    และแม้ในอนาคต ผลของการปฎิบัติด้วย กาย วาจาและใจของ บุคคลอันวิปลาสผู้นี้ จะทำลายธรณีสงฆ์อีกมากมาย

    รูปธรรมะสมบัติในพระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งเดียว และได้ผลอันเป็นรสเดียว ไม่มีคำว่า จะสามารถถ่ายทอดมาได้ด้วยคุณสมบัติอื่นและนั่นย่อมเป็นรสอื่นได้

    เมื่อผู้ทำการถ่ายทอดด้วยกิเลสและตัณหา ย่อมเป็น ธรรมปลอม เป็นวลีปลอม สัตว์ที่เนื่องด้วยเห็นชอบตามอสัทธรรมอันเป็นปฏิรูปนั้นก็มีผลแห่งเศษกรรมนั่นด้วย

    ขออนุโมทนาฯ
    จงพึงระวัง!

    5 ปี ที่ยังผ่านไปไม่หมด ยังไม่ถึง 15 ปีผ่านไปหลังกึ่งพุทธกาล ยังโกลาหลเช่นนี้

    นี่พึ่งปีพุทธศักราช “2505” เองนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2022
  2. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
    DCFA58F9-DA7C-4491-A450-C5389A446364.jpeg

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2023
  3. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
  4. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
  5. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
    55D42CA0-27A4-45A6-B1A1-3BBA71D3F0C0.jpeg ถ้ายังไม่ตายก่อน ก็อีกไม่นาน!


    อัพเดทข้อมูลไว้พิจารณา ไปพบการให้ข้อมูลสภาวะ รู้แจ้ง อสัทธรรม หรือ อวิชชา นี้ เป็นคุณสมบัติหนึ่ง ของปฎิสัมภิทาญานเช่นเดียวกัน

    ฟุโดเมียวโอ (不動明王)
    .
    ฟุโดเมียวโอของญี่ปุ่นในยุคแรกๆเป็นผู้รับใช้พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ เป็นยักษ์ที่มีลักษณะป่าเถื่อน ใช้แต่พละกำลัง คล้ายๆกับอจละเลย แต่ในตอนหลังทางญี่ปุ่นได้มีการเปลี่ยนบทบาทให้ฟุโดเมียวโอใหม่ เป็นผู้ปราบมารและมีแต่ความเมตตา รูปลักษณ์ก็ดูเป็นมนุษย์มากขึ้น

    นอกจากนี้ความแตกต่างของฟุโดเมียวโอกับอจละคือ ฟุโดเมียวโอจะมีส่วนผสมของขั้วทั้งสองอย่างอยู่ในตัวครับ เช่น รูปลักษณ์ที่ดูดุร้าย มีเขี้ยว มีดวงตาที่น่ากลัว พร้อมรัศมีเปลวเพลิง แสดงออกให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ความกระด้าง หมายถึงอวิชชา แต่ในทางตรงกันข้ามนั้นฟุโดเมียวโอก็มีร่างกายที่เป็นแบบมนุษย์ และมีความอ่อนโยนมีเมตตา หมายถึงการรู้แจ้ง ซึ่งอวิชชาและการรู้แจ้งนั้นเป็นขั้วตรงกันข้ามเลยในความเชื่อศาสนาพุทธ



    . 41CF262A-8666-40F7-BCD8-A56C2DA7DD5B.png

    FBB0E213-8063-4749-9A49-7AA0439FF168.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2023
  6. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26

    เตือนไว้แล้ว ติดตามดูให้ดีๆ ในการจับคู่การประทุษร้ายสกุล อลัชชีโมฆะบุรุษ กับ คนตื้นทำ! ทำตื้นๆ สาวกสำนักสัทธรรมปฎิรูป จะทำให้บวรพระพุทธศาสนาเศร้าหมองสั่นคลอน

    ผู้คนจะถือทิฐิแตกแยกกัน!

    ผู้ปฎิบัติมิให้สงฆ์ยินดี! จะนำพาหายนะมาสู่ชาติบ้านเมือง อันเป็นอันตรายแก่โลก! และสรรพสัตว์ทั้งหลายฯ

    IMG_4681.jpeg

    #สวนไป1ดอก ออกมาโวย ว่าไม่ใช่สาวกลัทธิแต่บอกว่าหนังสือลัทธินี้ดีกว่าอ่านพระไตรปิฎกเต็มเล่ม! เพราะตนเองสวด พุทโธ ๆ ลัทธิไม่สอนพุทโธ.
    ไม่ใช่สาวกแต่เรียกร้องความเป็นธรรมให้อาจารย์ ! บอกอาจารย์สุดยอดสามารถรวมทุกๆนิกายให้เป็นหนึ่งเดียว!

    #บวชเป็นสาวกในสำนักสัทธรรมปฎิรูปมาก่อน! สึกออกมาเป็นนอมินี! รับ บทสตั้นแมนแสดงแทน!



    เฮ้อ!
    IMG_4633.jpeg
    ถือสัทธรรมปฎิรูปอยู่ก็ไม่รู้เรื่อง! คุณสมบัติ คนตามสากัจฉสูตรก็ไม่มี คุณวิเศษก็ไม่มี เดี๋ยวนี้เป็นอาจารย์ หาลูกศิษย์ง่ายจัง ปากเก่งแล้วรุ่ง! แล้วก็จะร่วง!

    ตอนมหาเถรสมาคมเคลื่อนไหวล่ะนะ!

    จับตาดูนิ่งๆไว้ ล่าสุดก็ไม่เอารอยพระพุทธบาท ฯลฯ

    มุกใหม่เที่ยวนี้ หลอกคนติดตามได้มากหน่อย!

    ไม่เลวๆ

    กรรมจัดสรร!

    มีผู้รู้ทยอยออกมาต่อต้านเหมือนกัน

    ขออนุโมทนาฯ

    IMG_4658.png

    IMG_4618.jpeg




    IMG_4614.jpeg
    IMG_4615.png
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2024 at 20:25
  7. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
    ขอกราบนมัสการ!

    IMG_4908.jpeg IMG_4912.jpeg IMG_4913.jpeg
     
  8. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
    บัดนี้ พึงทราบว่ามี ๓ มีวินัยเป็นต้น เพราะรวมเข้ากับปิฎกศัพท์นั้น พึงทราบว่ามี ๓ มีวินัยเป็นต้นเหล่านี้อย่างนี้ว่า เพราะทำสมาสกับปิฎกศัพท์ ซึ่งมีเนื้อความ ๒ อย่างนั้น อย่างนี้คือวินัยด้วย วินัยนั้นเป็นปิฎกด้วย เพราะเป็นปริยัติ และเพราะเป็นภาชนะแห่งเนื้อความนั้นๆ เพราะฉะนั้น จึงชื่อวินัยปิฎก. โดยนัยตามที่กล่าวแล้ว พระสูตรด้วย พระสูตรนั้นเป็นปิฎกด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าสุตตันตปิฎก. อภิธรรมด้วย อภิธรรมนั้นเป็นปิฎกด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าอภิธรรมปิฎก.
    ก็ครั้งทราบอย่างนี้แล้ว เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในประการต่างๆ ในปิฎกทั้ง ๓ เหล่านั้นอีกครั้ง
    พึงแสดงประเภทของเทศนา ประเภทของศาสนา
    ประเภทของกถาและสิกขาปหานะ คัมภีรภาพตาม
    สมควรในปิฎกเหล่านั้น ภิกษุย่อมถึงซึ่งประเภท
    แห่งการเล่าเรียนใด ซึ่งสมบัติใด แม้ซึ่งวิบัติใด
    ในปิฎกใด ด้วยอาการใด พึงแสดงซึ่งประเภทแห่ง
    การเล่าเรียนทั้งหมดแม้นั้นด้วยอาการนั้น.
    ในคาถาเหล่านั้นมีคำอธิบายอย่างแจ่มแจ้งและชัดเจน ดังต่อไปนี้
    จริงอยู่ ปิฎก ๓ เหล่านั้น ท่านเรียกตามลำดับว่า อาณาเทศนา โวหารเทศนา ปรมัตถเทศนา ยถาปราธศาสนา ยถานุโลมศาสนา ยถาธรรมศาสนา และสังวราสังวรกถา ทิฏฐิวินิเวฐนกถา นามรูปปริจเฉทกถา.
    ก็ในปิฎก ๓ นี้ วินัยปิฎก ท่านเรียกว่า อาณาเทศนา การเทศนาโดยอำนาจบังคับบัญชา เพราะเป็นปิฎกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ควรออกคำสั่ง ทรงแสดงแล้วโดยความเป็นเทศนาที่มากไปด้วยคำสั่ง. สุตตันตปิฎก ท่านเรียกว่า โวหารเทศนา การเทศนาโดยบัญญัติ เพราะเป็นปิฎกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงฉลาดในเชิงสอน ทรงแสดงแล้วโดยความเป็นเทศนาที่มากไปด้วยคำสอน. อภิธรรมปิฎก ท่านเรียกว่า ปรมัตถเทศนา การเทศนาโดยปรมัตถ์ เพราะเป็นปิฎกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ฉลาดในปรมัตถ์ ทรงแสดงแล้วโดยความเป็นเทศนาที่มากไปด้วยปรมัตถ์.
    อนึ่ง ปิฎกที่ ๑ (วินัยปิฎก) ท่านเรียกว่า ยถาปราธศาสนา การสั่งสอนตามความผิด เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีความผิดมากมายเหล่านั้นใด สัตว์เหล่านั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งตามความผิดในปิฎกนี้. ปิฎกที่ ๒ (สุตตันตปิฎก) ที่ท่านเรียกว่า ยถานุโลมศาสนา การสั่งสอนอนุโลมตามอัธยาศัย เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยอนุสัยและจริยาวิมุตติมิใช่น้อย อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอนแล้วในปิฎกนี้ตามอนุโลม. ปิฎกที่ ๓ (อภิธรรมปิฎก) ท่านเรียกว่า ยถาธรรมศาสนา การสั่งสอนตามปรมัตถธรรม เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีความสำคัญในสภาวะสักว่ากองแห่งปรมัตถธรรมว่า นี่เรา นั่นของเรา ดังนี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอนแล้ว ตามปรมัตถธรรมในปิฎกนี้.
    อนึ่ง ปิฎกที่ ๑ ท่านเรียกว่า สังวราสังวรกถา ด้วยอรรถว่าสังวราสังวระอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการฝ่าฝืน อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในปิฎกนี้.
    บทว่า สํวราสํวโร ได้แก่ สังวรเล็กและสังวรใหญ่เหมือนกัมมากัมมะ การงานน้อยและการงานใหญ่ และเหมือนผลาผละ ผลไม้น้อยและผลไม้ใหญ่.
    ปิฎกที่ ๒ ท่านเรียกว่า ทิฏฐิวินิเวฐนกถา คำบรรยายคลายทิฏฐิ ด้วยอรรถว่า การคลายทิฏฐิอันเป็นปฏิปักษ์ต่อทิฏฐิ ๖๒ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในปิฎกนี้. ปิฎกที่ ๓ ท่านเรียกว่า นามรูปปริจเฉทกถา คำบรรยายการกำหนดนามและรูป ด้วยอรรถว่าการกำหนดนามและรูปอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสมีราคะเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในปิฎกนี้.
    อนึ่ง พึงทราบสิกขา ๓ ปหานะ ๓ และคัมภีรภาวะ ๔ อย่างในปิฎกทั้ง ๓ เหล่านี้ ดังต่อไปนี้. จริงอย่างนั้น อธิสีลสิกขา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยเฉพาะในวินัยปิฎก อธิจิตตสิกขา ตรัสไว้โดยเฉพาะในสุตตันตปิฎก อธิปัญญาสิกขา ตรัสไว้โดยเฉพาะในอภิธรรมปิฎก.
    อนึ่ง การละกิเลสอย่างหยาบ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในวินัยปิฎก เพราะศีลเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสอย่างหยาบ. การละกิเลสอย่างกลางตรัสไว้ในสุตตันตปิฎก เพราะสมาธิเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสอย่างกลาง. การละกิเลสอย่างละเอียด ตรัสไว้ในอภิธรรมปิฎก เพราะปัญญาเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสอย่างละเอียด. อนึ่ง การละกิเลสชั่วคราว ตรัสไว้ในปิฎกที่ ๑ การละกิเลสด้วยข่มไว้ และการละกิเลสเด็ดขาด ตรัสไว้ในปิฎกทั้ง ๒ นอกนี้. การละสังกิเลสคือทุจริต ตรัสไว้ในปิฎกที่ ๑ การละสังกิเลสคือตัณหาและทิฏฐิ ตรัสไว้ในปิฎกทั้ง ๒ นอกนี้.
    ในปิฎก ๓ นี้ พึงทราบว่าแต่ละปิฎกมีคัมภีรภาวะทั้ง ๔ คือความลึกซึ้งโดยธรรม โดยอรรถ โดยเทศนาและโดยปฏิเวธ.
    ในคัมภีรภาวะทั้ง ๔ นั้น ธรรมได้แก่บาลี อรรถได้แก่เนื้อความของบาลีนั้นแหละ เทศนาได้แก่การแสดงซึ่งบาลีนั้นอันกำหนดไว้อย่างดีด้วยใจ ปฏิเวธได้แก่ความหยั่งรู้บาลี และเนื้อความของบาลีตามความเป็นจริง.
    ก็เพราะธรรม อรรถ เทศนาและปฏิเวธเหล่านี้ ในปิฎกทั้ง ๓ นี้ ผู้มีปัญญาน้อยทั้งหลายหยั่งรู้ได้ยาก และเป็นที่พึ่งไม่ได้ เหมือนมหาสมุทร สัตว์เล็กทั้งหลายมีกระต่ายเป็นต้น พึ่งไม่ได้ฉะนั้น จึงเป็นของลึกซึ้ง.


    IMG_5064.jpeg
     
  9. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
    จับตาดูให้ดีๆ. หว่านแหลงอวนตาถี่กวาดทั้งสังฆมณฑล
    โจทด้วยคำไม่จริงไม่เดือดร้อน! ผู้โจทกลับต้องเดือดร้อนเอง

    ด้วยอานุภาพแห่งการร่ำเรียนพระธรรม ทำให้บุคคลเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นนี้ได้ ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ /ป่านนี้ เหล่า อชีวกะ เดียร์ถีย์ ปริพาชก คงหัวเราะร่า



    กาฝากก็มีอยู่จริง แต่เป็นแม่กาเผือก! จบนะ



    IMG_5048.jpeg

    IMG_5049.jpeg
    IMG_5050.jpeg IMG_5051.jpeg

    IMG_5068.jpeg



    IMG_5074.jpeg

    IMG_4943.jpeg

    อุพพาหสูตร

    ****อสัตบุรุษไม่มีความสามารถในข้อนี้เพราะเหตุไร? ก็เพราะเป็นผู้ชื่นชอบการสร้างเหตุแห่งอธิกรณ์**** ไม่ใช่ผู้มีความสามารถดับอธิกรณ์

    อธิกรณ์ ในคำวัดใช้หมายถึงสาเหตุ คดีเรื่องราว ปัญหา ความยุ่งยาก กิจกรรมที่เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์
    ๑. วิวาทาธิกรณ์ คือวิวาท ได้แก่การเถียงกันปรารภพระธรรมวินัยนี้ จะต้องได้รับชี้ขาดว่าถูกว่าผิด หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการถกเถียงกันด้วยเรื่องพระธรรมวินัย
    ๒. อนุวาทาธิกรณ์ คือ ความโจทกล่าวหากันด้วยปรารภพระธรรมวินัยนี้จะต้องได้รับชี้ขาดว่าถูกว่าผิดหรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการถกเถียงกันด้วยเรื่องอาบัติ
    ๓. อาปัตตาธิกรณ์ คือ กิริยาที่ต้องอาบัติหรือถูกปรับอาบัตินี้จะต้องทำคืน คือทำให้พ้นโทษ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการถกเถียงกันด้วยเรื่องการปรับอาบัติและวิธีการออกหรือพ้นจากอาบัติ
    ๔. กิจจาธิกรณ์ คือกิจธุระที่สงฆ์จะพึงสามัคคีร่วมกันทำ เรียกว่า สังฆกรรม เช่นให้อุปสมบทนี้จะต้องทำให้สำเร็จ

    อุพพาหสูตร
    อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประกอบด้วยธรรมเท่าไรหนอแลสงฆ์พึงสมมติเพื่อให้เป็นผู้รื้อฟื้นอธิกรณ์ ฯ
    พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการแล สงฆ์พึงสมมติเพื่อให้เป็นผู้รื้อฟื้นอธิกรณ์ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษทั้งหลายอันมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ๑
    เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้สดับมาก ทรงไว้ คล่องปาก ขึ้นใจแทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุดประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ๑ปาติโมกข์ทั้ง ๒ เป็นอุเทศอันภิกษุนั้นจำดีแล้ว จำแนกดีแล้ว กล่าวดีแล้ว โดยพิสดาร วินิจฉัยดีแล้วโดยสูตรโดยอนุพยัญชนะ ๑ อนึ่ง ภิกษุนั้นเป็นผู้เคร่งครัดในวินัยไม่ง่อนแง่น ๑ เป็นผู้สามารถเพื่ออันยังคู่ความทั้ง ๒ ฝ่ายให้ยินยอม ให้ตรวจดู ให้เห็นเหตุผล ให้เลื่อมใสได้ ๑ เป็นผู้ฉลาดในการยังอธิกรณ์อันเกิดขึ้นให้ระงับ ๑ รู้อธิกรณ์ ๑ รู้เหตุเป็นที่เกิดขึ้นแห่งอธิกรณ์ ๑ รู้ความดับแห่งอธิกรณ์ ๑รู้ทางปฏิบัติเป็นเครื่องถึงความดับอธิกรณ์ ๑ ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม๑๐ ประการนี้แล สงฆ์พึงสมมติเพื่อให้เป็นผู้รื้อฟื้นอธิกรณ์ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2024 at 10:13
  10. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
    #ความเดือดร้อนไม่มีในผู้มีจิตใจสงบสำรวมระวัง! แต่ผู้โจทผิดย่อมเดือดร้อนทั้งปัจจุบันและสัมปรายภพหน้า

    อวชฺเช วชฺชมติโน
    วชฺเช อวชฺชทสฺสิโน
    มิจฺฉาทิฏฐิสมาทานา
    สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคตึ ฯ

    วชฺชญฺจ วชฺชโต ญตฺวา
    อวชฺชญฺจ อวชฺชโต
    สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา
    สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคฺคตึ ฯ

    สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความรู้ว่ามีโทษในธรรมที่หาโทษมิได้
    มีปกติเห็นว่าหาโทษมิได้ในธรรมที่มีโทษ
    เป็นผู้ถือด้วยดีซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ย่อมไปสู่ทุคติ”

    สัตว์ทั้งหลาย รู้ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมมีโทษ
    รู้ธรรมที่หาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้
    เป็นผู้ถือด้วยดีซึ่งสัมมาทิฏฐิ
    ย่อมไปสู่สุคติ.

    โจทนาสูตร
    ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุผู้โจทก์ใคร่จะโจทผู้อื่น พึงเข้าไปตั้งธรรม ๕ ประการไว้ภายในก่อนแล้วจึงโจทผู้อื่น ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ธรรมว่า เราจักกล่าวโดย
    กาลควร จักไม่กล่าวโดยกาลไม่ควร ๑
    จักกล่าวด้วยเรื่องจริง จักไม่กล่าวด้วยเรื่องไม่จริง ๑
    จักกล่าวด้วยคำอ่อนหวาน จักไม่กล่าวด้วยคำหยาบ ๑
    จักกล่าวด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่กล่าวด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
    จักเป็นผู้มีเมตตาจิตกล่าว จักไม่เป็นผู้เพ่งโทษกล่าว ๑
    ดูกรอาวุโสภิกษุผู้โจทก์ใคร่จะโจทผู้อื่น พึงเข้าไปตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ภายในก่อนแล้วจึง
    โจทผู้อื่น ฯ

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เราเห็นบุคคลบางคนในธรรมวินัยนี้ถูกผู้อื่นโจทโดยกาลไม่ควร ไม่ถูกโจทโดยกาลอันควร ก็โกรธ ถูกผู้อื่นโจทด้วยเรื่องไม่จริง
    ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องจริง ก็โกรธ ถูกผู้อื่นโจทด้วยคำหยาบ ไม่ถูกโจทด้วยคำอ่อนหวาน ก็โกรธ ถูกผู้อื่นโจทด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็โกรธ ถูกผู้อื่นโจทด้วยเพ่งโทษ ไม่ถูกโจทด้วย
    เมตตาจิต ก็โกรธ ฯ

    ดูกรอาวุโส ความไม่เดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรม โดยอาการ ๕ คือ
    ท่านถูกโจทโดยกาลไม่ควร ไม่ถูกโจทโดยกาล
    ควร ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ท่านถูกโจทด้วยเรื่องไม่จริง ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องจริง ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ท่านถูกโจทด้วยคำหยาบ ไม่ถูกโจทด้วยคำอ่อนหวาน ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ท่านถูกโจทด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
    ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน ท่านถูกโจทด้วยการเพ่งโทษ ไม่ถูกโจทด้วยเมตตาจิต ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน
    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ความไม่เดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรม โดยอาการ ๕ นี้ ฯ

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ความเดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม โดยอาการ ๕ คือ ท่านโจทโดยกาลไม่ควร ไม่โจทโดยกาลควร ท่านจึงควรเดือดร้อน

    ท่านโจทด้วยเรื่องไม่จริง ไม่โจทด้วยเรื่องจริง ท่าน
    จึงควรเดือดร้อน

    ท่านโจทด้วยคำหยาบ ไม่โจทด้วยคำอ่อนหวาน ท่านจึงควรเดือดร้อน

    ท่านโจทด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่โจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านจึงควรเดือดร้อน

    ท่านโจทด้วยเพ่งโทษ ไม่โจทด้วยเมตตาจิต ท่านจึงควรเดือดร้อน ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ความเดือดร้อน

    ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม โดยอาการ ๕ นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะว่า ภิกษุแม้รูปอื่นไม่พึงเข้าใจว่า พึงโจทด้วยเรื่องไม่จริง ฯ

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เราเห็นบุคคลบางคนในธรรมวินัยนี้ ถูกโจทโดยกาลควร ไม่ถูกโจทโดยกาลไม่ควร ก็โกรธ

    ถูกโจทด้วยเรื่องจริง ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องไม่จริง ก็โกรธ ถูกโจทด้วยคำอ่อนหวาน ไม่ถูกโจทด้วยคำหยาบก็โกรธ

    ถูกโจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็โกรธ ถูกโจทด้วยเมตตาจิต ไม่ถูกโจทด้วยเพ่งโทษก็โกรธ ฯ

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ความเดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม ด้วยอาการ ๕ คือ

    ท่านถูกโจทโดยกาลควร ไม่ถูกโจทโดยกาลไม่ควร ท่านจึงควรเดือดร้อน ท่านถูกโจทด้วยเรื่องจริง ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องไม่จริง ท่านจึงควรเดือดร้อน

    ท่านถูกโจทด้วยคำอ่อนหวาน ไม่ถูกโจทด้วยคำหยาบ
    ท่านจึงควรเดือดร้อน

    ท่านถูกโจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ถูกโจท
    ด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านจึงควรเดือดร้อน

    ท่านถูกโจทด้วยเมตตาจิต ไม่ถูกโจทด้วยการเพ่งโทษ ท่านจึงควรเดือดร้อน

    ดูกรอาวุโสทั้งหลายความเดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม ด้วยอาการ ๕ นี้ ฯ

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ความไม่เดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้โจทโดยเป็นธรรม โดยอาการ ๕ คือ

    ท่านโจทโดยกาลควร ไม่โจทโดยกาลไม่ควรท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน

    ท่านโจทด้วยเรื่องจริง ไม่โจทด้วยเรื่องไม่จริง ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน

    ท่านโจทด้วยคำอ่อนหวาน ไม่โจทด้วยคำหยาบ ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน

    ท่านโจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่โจทด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน

    ท่านโจทด้วยเมตตาจิต ไม่โจทด้วยการเพ่งโทษ ท่านจึงไม่ควรเดือดร้อน

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ความไม่เดือดร้อนภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้โจทก์เป็นธรรม โดยอาการ ๕ นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
    เพราะว่าภิกษุแม้รูปอื่นพึงเข้าใจว่า พึงโจทด้วยเรื่องจริง ฯ
    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย อันบุคคลผู้ถูกโจทพึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ คือความจริง และความไม่โกรธ ฯ

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย (ถ้า) ผู้อื่นพึงโจท (เรา) ด้วยธรรม ๕ ประการ
    คือ พึงโจทโดยกาลควรหรือโดยกาลไม่ควร ๑
    ด้วยเรื่องจริงหรือด้วยเรื่องไม่จริง ๑
    ด้วยคำอ่อนหวานหรือด้วยคำหยาบ ๑
    ด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ หรือ
    ด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
    ด้วยเมตตาจิตหรือด้วยเพ่งโทษ ๑
    แม้เราก็พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ คือ ความจริงและความไม่โกรธ ถ้าเราพึงทราบว่าธรรมนั้นมีอยู่ในเราไซร้ เราก็พึงกล่าวธรรมนั้นว่า มีอยู่ ว่าธรรมนั้นมีอยู่พร้อมในเรา ถ้าเราพึงทราบว่าธรรมนั้นไม่มีอยู่ในเราไซร้ เราก็พึงกล่าวธรรมนั้นว่า
    ไม่มีอยู่ ว่าธรรมนั้นไม่มีอยู่พร้อมในเรา ฯ

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรสารีบุตร เรื่องก็จะพึงเป็นเช่นนั้น แต่ว่า

    โมฆบุรุษบางพวกในธรรมวินัยนี้ เมื่อถูกกล่าวสอน ย่อมไม่รับโดยเคารพ ฯ

    สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลเหล่าใด ไม่มีศรัทธา ต้องการเลี้ยงชีวิต มิใช่ออกบวชด้วยศรัทธา เป็นผู้โอ้อวด
    มีมารยา เกเร ฟุ้งซ่าน เย่อหยิ่งเหลาะแหละ ปากกล้า พูดพล่าม ไม่สำรวมทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ ไม่ประกอบความเพียร ไม่เพ่งถึงความเป็นสมณะ

    ไม่มีความเคารพกล้าในสิกขา มักมาก ย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในการล่วงละเมิดทอดธุระในวิเวก เกียจคร้าน มีความเพียรทราม มีสติเลอะเลือน ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีจิตมั่นคง มีจิตฟุ้งซ่าน มีปัญญาทราม คล้ายคนบ้าน้ำลาย คนเหล่านั้น
    เมื่อถูกข้าพระองค์กล่าวสอนอย่างนี้ ย่อมไม่รับโดยเคารพ

    ส่วนกุลบุตรเหล่าใด มีศรัทธาออกบวช ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา ไม่เกเร ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เย่อหยิ่ง ไม่เหลาะแหละ
    ไม่ปากกล้า ไม่พูดพล่าม สำรวมทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
    รู้ประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียร เพ่งถึงความเป็นสมณะ

    มีความเคารพกล้าในสิกขา ไม่มักมาก ไม่ย่อหย่อน
    ทอดธุระในการล่วงละเมิดเป็นหัวหน้าในวิเวก
    ปรารภความเพียร อบรมตน มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะมีจิตมั่นคง มีจิตเป็นหนึ่ง มีปัญญา มิใช่คล้ายคนบ้าน้ำลาย กุลบุตรเหล่านั้นเมื่อถูกข้าพระองค์กล่าวสอนอย่างนี้ย่อมรับโดยเคารพ ฯ

    พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลเหล่าใด ไม่มีศรัทธา ต้องการเลี้ยงชีวิต มีปัญญาทราม คล้ายคนบ้าน้ำลาย จงยกไว้ (ยกเว้น) ส่วนกุลบุตรเหล่าใด มีศรัทธาออกบวช มีปัญญา มิใช่คล้ายคนบ้าน้ำลาย

    ดูกรสารีบุตร เธอพึงว่ากล่าวกุลบุตรเหล่านั้น จงกล่าวสอนเพื่อนพรหมจรรย์ จงพร่ำสอนเพื่อนพรหมจรรย์ ด้วยหวังว่าเราจักยกเพื่อนพรหมจรรย์จากอสัทธรรม ให้ตั้งอยู่ในสัทธรรมเธอพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้แล สารีบุตร ฯ
    จบสูตรที่ ๗

    พระอัครสาวกพาภิกษุ ๕๐๐ กลับ
    สมัยนั้น พระเทวทัตอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม แล้วนั่งแสดงธรรมอยู่ เธอได้เห็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ มาแต่ไกล จึงเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เห็นไหม ธรรมเรากล่าวดีแล้ว พระสารีบุตรโมคคัลลานะอัครสาวกของพระสมณโคดม พากันมาสู่สำนักเรา ต้องชอบใจธรรม
    ของเรา เมื่อพระเทวทัตกล่าวอย่างนี้แล้ว พระโกกาลิกะ ได้กล่าวกะพระเทวทัตว่า ท่านเทวทัต ท่านอย่าไว้วางใจพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เพราะเธอทั้งสองมีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแก่ความปรารถนาลามก พระเทวทัตกล่าวว่าอย่าเลย คุณ ท่านทั้งสองมาดี เพราะชอบใจธรรมของเรา

    ลำดับนั้น ท่านพระเทวทัตนิมนต์ท่านพระสารีบุตรด้วยอาสนะกึ่งหนึ่งว่ามาเถิด ท่านสารีบุตร นิมนต์นั่งบนอาสนะนี้ ท่านพระสารีบุตรห้ามว่า อย่าเลยท่าน
    แล้วถืออาสนะแห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ถืออาสนะแห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ลำดับนั้น พระเทวทัตแสดงธรรมกถาให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง หลายราตรี แล้วเชื้อเชิญท่านพระสารีบุตรว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถาของภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งกะท่าน เราเมื่อยหลังจักเอน ท่านพระสารีบุตรรับคำพระเทวทัตแล้ว ลำดับนั้น พระเทวทัตปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้น แล้วจำวัตรโดยข้างเบื้องขวาเธอเหน็ดเหนื่อยหมดสติสัมปชัญญะ ครู่เดียวเท่านั้น ก็หลับไป ฯ

    ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรกล่าวสอน พร่ำสอนภิกษุทั้งหลายด้วยธรรมีกถาอันเป็นอนุศาสนีเจือด้วยอาเทสนาปาฏิหาริย์ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวสอน พร่ำสอน ภิกษุทั้งหลายด้วยธรรมีกถาอันเป็นอนุศาสนีเจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ขณะเมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านพระสารีบุตรกล่าวสอนอยู่ พร่ำสอนอยู่ด้วยอนุศาสนีเจือด้วยอาเทศนาปาฏิหาริย์ และอันท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวสอนอยู่ พร่ำสอนอยู่ ด้วยอนุศาสนีเจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ดวงตาเห็นธรรมที่ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ที่นั้น ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ท่านทั้งหลาย เราจักไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ผู้ใดชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น ผู้นั้นจงมา

    ครั้งนั้น พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ พาภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้นเข้าไปทางพระเวฬุวัน
    ครั้งนั้น พระโกกาลิกะปลุกพระเทวทัตให้ลุกขึ้นด้วยคำว่าท่านเทวทัต ลุกขึ้นเถิด พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะพาภิกษุเหล่านั้นไปแล้ว เราบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าไว้วางใจพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ เพราะเธอทั้งสองมีความปรารถนาลามก ถึงอำนาจความปรารถนาลามกครั้งนั้น โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปากพระเทวทัต ในที่นั้นเอง ฯ

    ครั้งนั้น พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุทั้งหลายผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย พึงอุปสมบทใหม่

    พ. อย่าเลย สารีบุตร เธออย่าพอใจการอุปสมบทใหม่ของพวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายเลย ดูกรสารีบุตร ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้พวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายแสดงอาบัติถุลลัจจัย ก็เทวทัตปฏิบัติแก่เธออย่างไร
    ส. พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ตลอดราตรีเป็นอันมาก แล้วได้รับสั่งกะข้าพระพุทธเจ้าว่า ดูกรสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถาของภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งแก่เธอ เราเมื่อยหลัง ดังนี้ ฉันใด พระเทวทัต ก็ได้ปฏิบัติฉันนั้นเหมือนกัน พระพุทธเจ้าข้า ฯ

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีสระใหญ่อยู่ในราวป่า ช้างทั้งหลายอาศัยสระนั้นอยู่และพวกมันพากันลงสระนั้น เอางวงถอนเหง้าและรากบัวล้างให้สะอาดจนไม่มีตมแล้วเคี้ยวกลืนกินเหง้าและรากบัวนั้น เหง้าและรากบัวนั้น ย่อมบำรุงวรรณะและกำลังของช้างเหล่านั้น และช้างเหล่านั้นก็ไม่เข้าถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตายมีข้อนั้นเป็นเหตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนลูกช้างตัวเล็กๆ เอาอย่างช้างใหญ่เหล่านั้นและพากันลงสระนั้น เอางวงถอนเหง้าและรากบัวแล้วไม่ล้างให้สะอาดเคี้ยวกลืนกินทั้งที่มีตม เหง้าและรากบัวนั้น ย่อมไม่บำรุงวรรณะและกำลังของลูกช้างเหล่านั้นและพวกมันย่อมเข้าถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตาย มีข้อนั้นเป็นเหตุดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวทัตเลียนแบบเราจักตายอย่างคนกำพร้า อย่างนั้นเหมือนกัน ฯ

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสประพันธคาถา ว่าดังนี้
    เมื่อช้างใหญ่คุมฝูง ขุดดิน กินเหง้าบัวอยู่ในสระใหญ่ ลูกช้างกินเหง้าบัวทั้งที่มีตมแล้วตาย ฉันใด เทวทัตเลียนแบบเราแล้ว จักตายอย่างคนกำพร้า ฉันนั้น ฯ

    IMG_5024.jpeg
     
  11. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
    รีรันเพื่อความอุ่นใจ ระดับปฎิเวธ



    กำลังสมาธิเห็นแค่นี้! อยู่ในระดับใดครับ ของ ฌาน อภิญญาฯหรือเป็นแค่พวกขี้อวดโอ้มีแต่ราคาคุย <น้ำจิ้ม 3 เรื่อง3 เคส /จับเป้า/ชี้ทิศทาง/การณ์ล่วงหน้า> ยังไม่รวมวิฯ ,บินเดี่ยว ปะทะ 1/3,เรื่องอดีตทำนายอายุขัย ทักใคร เตือนใครตายเรียบนับ10ฯลฯ

    #พึงอยากแสดงให้เห็นว่า ผลของการปฎิบัติธรรม คุณวิเศษนั้นมีอยู่จริง ให้รีบเร่งบำเพ็ญเพียร สั่งสมบุญบารมี

    สามัญผลมีแน่นอน!

    ปล.ถ้าของปลอม เละ!

    IMG_5093.jpeg IMG_5094.jpeg IMG_5095.jpeg IMG_5096.jpeg IMG_5097.jpeg IMG_5101.jpeg IMG_5100.jpeg IMG_5099.jpeg IMG_5098.jpeg IMG_5102.jpeg

    ยังมีอีกหลายเคส !

    แต่ละเคสเป็นผู้มีส่วนร่วมและช่วยชีวิตและกู้ร่างผู้ประสบภัย

    เคส ชคต.แจ้งล่วงหน้า 1 อาทิตย์ ระบุจุด สุดท้าย ไม่รอด!

    เตือนแล้วว่า กระสุนตกผิดปกติ ลักษณะหว่าน!โดน ล่อซื้อ วิ่งไปช่วยแทบไม่ทัน! เลือดท่วมตัวเวลาหามออกมา
    ต้องคุ้มกัน คนนับ 10 คนเดียว เวลาระเบิดต่อหน้า








    IMG_5105.jpeg IMG_5104.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2024 at 11:40
  12. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
    ก่อนทำสมาธิทุกครั้ง ให้ละวิตก ๓ อย่างให้ได้ก่อน!

    หากทำสมาธิร่วมกันในหมู่มาก ควรแยกห้อง ระดับการนั่งยาวนานและสั้นออกจากกัน อย่านั่งรวมกัน อย่ารีบเร่ง ในการวางแผนนั่ง และต้องทำกิจกรรมอื่นๆต่อเนื่อง เพราะอาจรบกวนสภาวะของผู้เข้าถึงที่เดินทางข้ามกาลเวลาในสุญญตาธรรมได้ นี่กล่าวไว้เฉพาะสำหรับผู้สามารถเข้าถึงเพียงเท่านั้น!

    ไม่อย่างนั้นจะเป็นมิจฉาสมาธิ มิจฉาวิมุตติ

    ด้วยเหตุนี้เหล่าอนาคาริกผู้ไร้บ้านจึงได้ประโยชน์มากกว่า!

    แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นยังเป็นพระมหาโพธิสัตว์อยู่ก็ทรงบัญญัติ วิตก ๓ ประการที่ควรละ ก่อนการทำสมาธิ ในการตรัสรู้ธรรม

    เจริญเมตตา เจริญสติความระลึกในคุณพระรัตนตรัย ฯลฯ

    ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับ อินทรีย์ธาตุและบุญบารมีธรรมที่สั่งสมมาแต่ละบุคคล

    จิตบริสุทธิ์ต่อพระสัทธรรมจึงสามารถบรรลุได้

    จิตไม่บริสุทธิ์ต่อพระสัทธรรมไม่มีทางบรรลุ

    ได้ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีคุณสมบัติ คนตาม สากัจฉสูตร ๕ ไม่ได้เป็นพระอเสขะเจ้า ไม่ได้เป็นเหล่าปฎิสัมภิทา ไม่มีวันได้บรรลุ ตามปุคละบัญญัติ ๗ แน่นอน!

    ปริยัติงูพิษอบายภูมิเป็นที่ไปทางเดียว!

    ขอท่านทั้งหลายจงมีความเพียรเร่งสั่งสมบุญบารมีมุ่งเข้าสู่ทิพยภูมิ

    เหตุแห่งอภินิหาร (เหตุให้ได้บรรลุเป็นพระอริยสาวก)
    **************
    ...และแก่พระโพธิสัตว์ผู้เป็นสาวกผู้ตั้งปณิธานไว้ด้วยสามารถแห่งความปรารถนาอันประกอบแล้วด้วยองค์ ๒ คือ อธิการ ๑ ความเป็นผู้มีฉันทะ ๑ ก็ฉันนั้น

    เพราะเหตุใด ? เพราะญาณยังไม่สุกเต็มที่.

    อธิบายว่า ปัญญาบารมีที่ส่งเสริมเพิ่มเติมด้วยบารมีทั้งหลายมีทานบารมีเป็นต้น ของพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายแม้เหล่านี้ ย่อมตั้งท้อง ถึงความสุกงอม ยังพระพุทธญาณให้บริบูรณ์โดยลำดับฉันใด ปัญญาบารมีที่ส่งเสริมเพิ่มเติมด้วยบารมีทั้งหลายมีทานบารมีเป็นต้น (ของพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย) ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมตั้งท้อง ถึงความสุกงอม ยังพระปัจเจกโพธิญาณและสาวกโพธิญาณให้บริบูรณ์ตามสมควรโดยลำดับ.

    แท้จริง โดยการสั่งสมทานไว้ ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้มีใจไม่ข้องอยู่ในกิเลสทั้งปวง เป็นผู้มีจิตไม่เพ่งเล็ง เพราะมีอัธยาศัยไม่ละโมบในภพนั้นๆ โดยการสั่งสมศีลไว้ จึงเป็นผู้มีกายวาจาและการงานบริสุทธิ์ด้วยดี เพราะมีกายวาจาสำรวมดีแล้ว มีอาชีพบริสุทธิ์ มีทวารอันคุ้มครองแล้ว ในอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ ย่อมตั้งจิตมั่นด้วยชาคริยานุโยค การประกอบความเพียรของท่านเหล่านั้น

    นี้พึงทราบด้วยสามารถแห่งปัจจาคติกวัตรที่ทำไว้แล้ว.

    ก็สมาบัติ ๘ อภิญญา ๕ อภิญญา ๖ และบุพภาควิปัสสนาอันเป็นอธิษฐานธรรม ย่อมอยู่ในเงื้อมมือ ของท่านผู้ปฏิบัติอยู่เช่นนี้ได้โดยไม่ยากทีเดียว ส่วนคุณธรรมมีความเพียรเป็นต้น ก็หยั่งลงสู่ภายในแห่งบุพภาควิปัสสนานั้นทีเดียว.

    ก็ความอดทนอย่างยิ่ง ในการบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น เพื่อปัจเจกโพธิญาณ หรือสาวกโพธิญาณ นี้ชื่อว่าวิริยะ. ความอดทนต่อความโกรธนั้นใด นี้ชื่อว่าขันติ. การให้ทาน การสมาทานศีลเป็นต้น และการไม่กล่าวให้คลาดเคลื่อน (จากความเป็นจริง) อันใด นี้ชื่อว่าสัจจะ. การอธิษฐานใจที่ไม่หวั่นไหวแน่วแน่ อันให้สำเร็จประโยชน์ในที่ทั่วไปนั่นแหละ ชื่อว่าอธิษฐาน. การมุ่งประโยชน์ในหมู่สัตว์ อันเป็นพื้นฐานของความเป็นไปแห่งทานและศีลเป็นต้น นี้ชื่อว่าเมตตา. การวางเฉยในประการที่ไม่เหมาะสมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว ชื่อว่าอุเบกขา.

    ดังนั้น เมื่อทาน ศีล ภาวนา และศีล สมาธิ ปัญญา มีอยู่ บารมีทั้งหลายมีวิริยบารมีเป็นต้น ย่อมชื่อว่าสำเร็จแล้วทีเดียว ด้วยอาการอย่างนี้.

    ปฏิปทามีทานเป็นต้นเพื่อประโยชน์แก่ปัจเจกโพธิญาณก็ดี เพื่อประโยชน์แก่สาวกโพธิญาณก็ดี นั้นแหละชื่อว่าภาวนา เพราะอบรมคือบ่มสันดานของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น.

    ปฏิปทาอันเนื่องด้วยสมถะและวิปัสสนา ที่เป็นไปแล้วในสันดานอันทานและศีลปรุงแต่งดีแล้วโดยพิเศษ เป็นเหตุให้พระโพธิสัตว์เหล่านั้นสมบูรณ์ด้วยธรรมเป็นที่ประชุมแห่งการบำเพ็ญเพียรในเบื้องต้น.

    ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

    ดูก่อนอานนท์ อานิสงส์ ๕ ประการเหล่านี้ย่อมมี
    ในการบำเพ็ญเพียรเบื้องต้น ๕ ประการคืออะไรบ้าง?
    ดูก่อนอานนท์ คือผู้บำเพียรเบื้องต้นในพระธรรมวินัย
    นี้ ย่อมชื่นชมพระอรหัตผลในปัจจุบันนี้แหละ พลันที
    เดียว ๑ ถ้ายังไม่ได้ชื่นชมอรหัตผลในทิฏฐธรรม โดย
    พลัน ต่อมาในมรณสมัย จะได้ชื่นชมพระอรหัตผล ๑
    ต่อไปเป็นเทพบุตร จะได้ชื่นชมพระอรหัตผล ๑ ต่อไป
    จะได้เป็นผู้ตรัสรู้โดยฉับพลัน ในที่เฉพาะพระพักตร์
    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ๑ ดังนี้

    ด้วยประการดังพรรณนามานี้ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้มีอัตภาพอันอบรมแล้ว ด้วยการอบรมธรรมเป็นเครื่องถึงซึ่งฝั่ง อันเป็นข้อปฏิบัติเบื้องต้น ด้วยสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา และด้วยมรรคภาวนา กล่าวคือการตรัสรู้อันเป็นนิโรธคามินีปฏิปทา ย่อมได้ชื่อว่ามีตนอันอบรมแล้ว.
    ในวิเศษบุคคลเหล่านั้น สาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านประสงค์เอาในที่นี้.
    ............
    ข้อความบางตอนใน นิทานกถาวรรณนา อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26.0&i=137&p=2
    IMG_5106.jpeg IMG_5107.jpeg IMG_5108.jpeg
     
  13. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +26
    ปัตจัตตัง พิจารณาเอา!

    เกิดขึ้นชั่ว 24 ชั่วโมง

    บังเอิญหรือจงใจ

    มีพระสูตรที่พฤติกรรมมนุษย์ส่งผลต่อดวงดาว ก็มีอยู่ผ่านตามา

    ดีชั่ว
    IMG_4923.jpeg

    ลากไปลากมาแถวนี้ก็ซวยกันพอดี!



    IMG_5087.png
    IMG_5088.jpeg IMG_5089.jpeg IMG_5090.jpeg IMG_5091.jpeg IMG_5092.jpeg

    IMG_5114.jpeg IMG_5115.jpeg IMG_5113.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2024 at 12:01

แชร์หน้านี้

Loading...