เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ บรรดานาคทั้งหลายก็กำลังขัดเกลาตนเอง เพื่อให้มีความคล่องตัวที่สุด ในการจะเข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทในวันวิสาขบูชานี้

    สิ่งที่วัดท่าขนุนของเราทำนั้นก็คือ เพื่อให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย เนื่องเพราะว่าการบรรพชา หรือว่าอุปสมบท เป็นเรื่องของกุลบุตร ที่จะต้องนำผ้ากาสาวพัสตร์ เข้าไปร้องขอในท่ามกลางสงฆ์ ขอให้ยกตนเองขึ้นเป็นอุปสัมบันด้วย

    ในเมื่อเราเป็นผู้ร้องขอก็ต้องว่าเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นสอน แล้วก็ไม่ใช่ว่าอย่างชนิดที่กระซิบกันแค่สองคน เพราะว่าเราร้องขอต่อคณะสงฆ์ แปลว่าพระทุกรูปในสังฆกรรมนั้นต้องได้ยินทั่วถึงกันหมด
    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้เราจึงจำเป็นที่จะต้องซักซ้อมให้คล่องตัวเอาไว้ ขั้นตอนต่าง ๆ พอที่จะบอกกันได้ ว่าต่อไปทำอะไร แต่การกล่าวคำขอบรรพชาอุปสมบทในแต่ละขั้นตอนนั้น พวกเราต้องว่ากันเอง..!

    ส่วนใหญ่แล้วในสมัยนี้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็มักจะบอก เพื่อให้เรา "ว่าตามเป็นนกแก้วนกขุนทอง" โดยที่ไม่ได้รู้เสียด้วยซ้ำไป ว่าสิ่งที่ว่าไปนั้นแปลว่าอะไร อย่างที่พวกเราว่า สัพพะทุกขะนิสสะระณะ นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา เป็นต้น แปลว่า เรานำเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อความพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เพื่อกระทำแจ้งซึ่งพระนิพพาน แปลว่าเมื่ออุปสมบทเข้ามาแล้ว ทุกอย่างที่เราทำ ก็คือเพื่อการหลุดพ้น สิ่งที่เราจะหลุดพ้นได้ ก็คือเดินไปตามมรรค ๘ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ ซึ่งย่อลงมาแล้วเหลือไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    เรื่องพวกนี้ไม่มีใครช่วยเราได้ ต้องพากเพียรด้วยตนเอง ครูบาอาจารย์ ตลอดจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเพียงผู้บอกกล่าว เป็นเพียงผู้ชี้ทาง ถ้าบอกแล้วเราไม่ทำตาม ชี้แล้วเราไม่เดินไป ก็ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยพวกเราได้

    อย่าลืมพุทธภาษิตที่ว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เมื่อตัดสินใจบวชเข้ามาแล้ว ถ้าหากว่าอยู่ต่อ ขอให้สามารถเป็นหลักชัยในพระพุทธศาสนาได้ ถ้าสึกหาลาเพศออกไป ก็ขอให้เราแบกเอาบุญเอากุศลไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    บุญกุศลส่วนนั้น จะช่วยให้ทางชีวิตของเรามีความสะดวกสบายกว่าคนอื่น เนื่องเพราะว่าเรากอปรกองบุญการกุศลในขณะที่เป็นพระ ซึ่งจะมีผลมากกว่าฆราวาสนับแสนเท่า เพราะว่าเราลงทุนด้วยศีล ๒๒๗ ข้อ ซึ่งมากกว่าฆราวาสเขาหลายเท่านัก

    ดังนั้น..
    สิ่งหนึ่งประการใดก็ตาม ที่เป็นไปโดยระเบียบวัด หรือว่าเป็นไปโดยพระธรรมวินัย ก็เป็นไปเพื่อให้เราทั้งหลายได้เดินไปในทางที่ถูกต้อง เพราะว่าปัจจุบันนี้ทางคณะสงฆ์ของเรานั้น ส่วนหนึ่งพระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่าน "เข้าเกียร์ว่าง" ก็คือบวชแล้วทิ้ง ไม่มีการสั่งสอนกัน ทำให้พระใหม่ไปกระทำสิ่งที่ผิดพลาด สร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนากันมาก

    อย่างวันนี้ก็มีข่าวทางด้านจังหวัดอุดรธานี เขาบอกว่ามีพระบิณฑบาตผ่านร้านขายทุเรียน แล้วก็บอกกับพ่อค้าว่าอยากจะฉันทุเรียน แต่เงินไม่พอ พ่อค้าเขาก็อุตส่าห์แกะถวายให้ แต่พอตั้งใจจะถ่ายรูปไปให้คนอนุโมทนา กลับโดนพระดุว่า "ใครอนุญาตให้ถ่าย ?"

    เรื่องพวกนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น อย่าลืมว่าศีลของพระก็คือ ห้ามขอสิ่งของจากผู้ที่ไม่ใช่ญาติและไม่ใช่ปวารณา ญาติเขานับขึ้นสาม ลงสาม ก็คือรุ่นของทวด ปู่ แล้วก็พ่อ ลงไปก็ลูก หลาน เหลน ข้างเขยหรือสะใภ้นั้นไม่นับ ถ้านอกเหนือจากนี้ ต้องให้เขาปวารณา คือเอ่ยปากว่าให้ขอได้ แต่ถึงเอ่ยปากปวารณาก็ขอได้ไม่เกิน ๔ เดือน นอกจากเขาปวารณาใหม่ ก็แปลว่าท่านเองก็ทำผิดพระวินัย ที่ไปขอทุเรียนจากชาวบ้าน..!

    ประการต่อไปก็คือตามใจกิเลส อยากฉันทุเรียน เรื่องไม่เป็นเรื่องก็เป็นเรื่องขึ้นมา เพราะว่า
    ทำให้คนจำนวนมาก ตำหนิติเตียนพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาของเรา ถึงขนาดตั้งข้อสังเกตว่าเป็นพระปลอมหรือเปล่า ?

    ปัจจุบันนี้สื่อสังคมมักจะเป็นตัวตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ โดยที่บางทีก็มองข้ามข้อเท็จจริงไป
    อย่างเช่นเมื่อไม่นานมานี้ มีสามเณรไปบวชเสียนาน พอโยมแม่มาเยี่ยม ท่านก็ "ขอกอดแม่หน่อย" แล้วแม่ลูกก็กอดกันร้องไห้ ทางโซเชียลทุกคนบอกว่าไม่ผิด เพราะว่าสามเณรเป็นเด็ก แต่คราวนี้การตัดสินว่าไม่ผิดนั้น หาความชัดเจนไม่ได้ นอกจากบอกว่าไม่ผิด เพราะว่าทั้งสองฝ่ายเป็นแม่ลูกกัน เป็นการกระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    พวกท่านต้องเข้าใจว่าสามเณรก็มีศีลข้ออพฺรหฺมจริยา เวรมณี ซึ่งอพฺรหฺมจริยาฯ นั้น แม้กระทั่งสัมผัสเพศตรงข้าม เขาก็ยังห้ามไว้ เพียงแต่ว่าในส่วนของสามเณรนั้น ไม่มีอาบัติปาราชิก ก็คือไม่ขาดจากความเป็นสามเณรแบบพระ ของภิกษุหรือว่าภิกษุณีถ้าต้องอาบัติปาราชิก จะขาดจากความเป็นภิกษุ หรือว่าภิกษุณีไปเลย โดยที่ไม่สามารถจะบวชใหม่ได้อีก

    แต่ของสามเณรนั้น สามารถที่จะรับศีลเพื่อความเป็นเณรใหม่ได้ ดังนั้น..ถ้าเราไม่ชัดเจนในจุดนี้ แล้วไปตัดสินว่าไม่ผิด แปลว่าท่านกำลังบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ กำลังเพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม

    เนื่องเพราะว่าพระภิกษุนั้น ถ้า
    มีจิตกำหนัด จับต้องกายหญิงแม้เด็กแรกเกิดในวันนั้น ก็ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถ้าหากว่าเป็นภิกษุณีหนักกว่านั้นอีก จับต้องร่างกายแม้เด็กชายแรกเกิดในวันนั้น ต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปเลย ศีลของภิกษุณีจึงมีมากกว่า ถึง ๓๑๑ ข้อ..!

    เพียงแต่ว่าในส่วนของสามเณรนั้นเป็นเชื้อสายของสมณะ เป็นบุคคลที่ถ้าอายุครบบวชเมื่อไร สามารถอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้ ก็แปลว่าสามเณรนั้น ควรที่จะระมัดระวังในสิกขาบทของตนเองให้มากไว้ เมื่อเคยชินแล้ว ถึงเวลาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จะได้ไม่พลั้งเผลออีก

    แบบเดียวกับพระสายวัดป่า ซึ่งก่อนหน้านี้ถ้าใครจะไปบวช ต้องอยู่เป็นนาคก่อนสองปี แต่เป็นนาคที่ต้องถือศีล ๒๒๗ และอภิสมาจารต่าง ๆ เหมือนพระทุกประการ เพียงแต่จะมีโอกาสตรงที่ว่า ถ้าพลาดแล้วไม่เป็นอาบัติ เพราะว่าคุณเป็นฆราวาส เมื่อปฏิบัติจนมั่นใจว่าไม่ผิดไม่พลาดแล้ว พระอุปัชฌาย์อาจารย์จึงจะบวชให้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    สามเณรจึงควรที่จะระมัดระวัง ถ้าหากว่าผิดพลาดไป ก็ไปหาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ขอท่านต่อศีลให้ใหม่ อย่างที่หลายวัดใช้วิธีเหมารวม ก็คือทุกวันพระใหญ่ ให้สามเณรมาขอศีลใหม่ ตรงจุดนี้ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบของสามเณร เพราะว่าไม่ได้มีอาบัติในลักษณะของพระ หากแต่ว่าศีลนั้น โดนทำลายลงด้วยการกระทำของตนเอง แล้วต้องไปหาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เพื่อขอศีลใหม่

    แต่คราวนี้ก็
    มีแบบอย่างอยู่ว่า ถ้าสามเณรตั้งใจทำให้ศีลขาดเสมอ ๆ ท่านให้ "นาสนะ" คือ จับสึกเสีย แล้วไม่ให้บวชใหม่ เนื่องเพราะว่าสามเณรนั้นไม่ได้มีแค่ศีล ๑๐ หากแต่ต้องเคารพพระพุทธ เคารพพระธรรม เคารพพระสงฆ์ ไม่กล่าวให้ร้ายภิกษุ ไม่ทำร้ายภิกษุณี ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น ในสามเณรสิกขา ถ้าหากว่าคุณทำศีลขาดเป็นประจำ แปลว่าขาดความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงไม่ควรที่จะให้อยู่ต่อไป คำว่า "นาสนะ" ถ้าใช้เป็นภาษาไทย ก็คือขับไล่ออกไป โดยให้สึกเสียจากหมู่

    ดังนั้น..การที่สามเณรกอดแม่ไม่ใช่ไม่ผิด หากแต่ว่าผิด เพราะว่าละเมิดศีลข้อ อพฺรหฺมจริยา เวรมณี แต่ว่ามีโอกาสแก้ไข ก็คือขอศีลจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ใหม่ได้ เราจึงต้องศึกษาเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ให้ชัดเจน เมื่อถึงเวลา จะได้แยกแยะประเด็นให้ถูก ไม่ใช่กระแสสังคมนำไปทางไหน เราก็ตามไปทางนั้น

    ปัจจุบันนี้มีมากต่อมากด้วยกัน ที่เป็นบุคคลหน้าด้าน กระทำความผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ต้องให้ศาลตัดสินเสียก่อน ซึ่งความจริง เรื่องของพระภิกษุสามเณรของเรา ศีลขาดทันทีตอนที่ทำ ไม่ใช่ไปขาดตอนที่ศาลตัดสิน แล้วก็ยังมีการที่ว่า ศาลชั้นต้นตัดสินก็อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินก็ฎีกา ศาลฏีกาตัดสิน หาทางไปไม่ได้ ก็ฟ้องศาลปกครองต่อ ถ้าเจอบุคคลประเภทนี้เข้า ก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของพระอุปัชฌาย์รูปนั้นก็แล้วกัน ที่ไม่รู้จักพิจารณาไตร่ตรองให้ดีก่อนบวชให้ท่าน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...