เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 พฤศจิกายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,544
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,376
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,544
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,376
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ เป็นวันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งระยะนี้เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ก็คือเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ยังคงระบาดอยู่ แต่ว่าบ้านเราเปิดประเทศแล้ว และขณะเดียวกันก็เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ซึ่งเชื้อไวรัสพวกนี้ ถ้าหากว่าอากาศหนาว ก็จะทำให้การแพร่ระบาดรุนแรงขึ้น จึงได้แต่เตือนทุกท่านอีกครั้งหนึ่งว่า อย่างไรก็ต้องระมัดระวัง ดูแลตัวเองตามวิธีการที่เคยทำกันมา

    คราวนี้ในส่วนหนึ่งก็คือว่า บุคคลบางคนก็กลัวจนขาดสติ ซึ่งตรงจุดนี้ต้องบอกว่าเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะว่าบุคคลที่กลัวมาก ๆ เมื่อถึงเวลาแล้ว เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา จากประสบการณ์ของตนเองก็คือ มีโยมอยู่ท่านหนึ่ง ถ้าหากว่ารับธนบัตรเก่ามา จะเอาไปล้างด้วยผงซักฟอกจนสะอาด ตากแห้ง แล้วรีดเรียบใหม่ ปรากฏว่าโยมคนนี้ตายด้วยไข้รากสาด บางทีก็เรียกกันว่าโรคไทฟอยด์ คือทั้ง ๆ ที่เป็นคนระมัดระวังตัวเองอย่างที่สุด แต่ก็ตายด้วยโรคภัยที่ตัวเองระวังอยู่นั่นเอง

    คนที่กลัวมากจนเกินไปก็ไม่ดี ไม่กลัวเสียเลยก็ไม่ดี เรื่องพวกนี้เท่าที่พบมา ก็คือเวลาที่เราปฏิบัติธรรม ถ้าเป็นคนขี้กลัวนี่ ชีวิตจะหาความสุขไม่ได้เลย เพราะว่าไม่สามารถที่จะปลีกตัวออกไปอยู่ในที่เงียบสงัด เพื่อส่งเสริมให้การปฏิบัติธรรมของตนเองมีความก้าวหน้า ไม่ต้องไปพูดถึงว่าให้ไปอยู่ในป่าช้า แค่อยู่ห่างจากคนอื่นก็ทำไม่ได้แล้ว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,544
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,376
    ตรงจุดนี้ ถ้าหากว่าเราพินิจพิจารณาให้เห็นว่า ธรรมดาของการเกิดมาแล้ว ต้องมีความตายมาถึงเป็นปกติ ถ้าสามารถเห็นอย่างชัดเจนได้ บางทีความกลัวตรงนี้ก็จะหายไป ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็บอกไม่ถูก

    เนื่องเพราะว่าตนเองนั้น สมัยเด็ก ๆ กลัวผีมาก กลัวชนิดที่ว่ากลางคืนไม่กล้าออกไปปัสสาวะนอกบ้าน ห้องส้วมสมัยเก่านั้นเป็นส้วมหลุม ซึ่งจะส่งกลิ่นเหม็นไปไกล จึงต้องไปทำไว้ไกล ๆ บ้าน กลางคืนไม่มีใครกล้าไป นอกจากกลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอและสัตว์อื่น ๆ แล้ว ยังกลัวผีอีกต่างหาก..! แล้ววันดีคืนดีก็ยังมีลูกไฟดวงโต ๆ วนเวียนอยู่แถวนั้น ผู้ใหญ่เขาบอกว่าผีกระสือออกมาหากิน ขนาดปฏิบัติธรรมแล้วก็ยังคงกลัวอยู่

    จนกระทั่งมาเข้าใจความเป็นจริงว่า ที่เรากลัวผีนั้น เพราะกลัวว่าผีจะมาหักคอ จะมาบีบคอ จะมาทำร้ายเรา สรุปว่ากลัวตายนั่นเอง จนกระทั่งได้เจอกับผีบ่อย ๆ ซึ่งตรงจุดนี้ต้องบอกว่า ตัวกระผม/อาตมภาพอาจจะโชคดีกว่าพวกเรา ที่มีโอกาสได้เจอผีบ่อย..!

    เมื่อเจอบ่อย ๆ ก็มีความเข้าใจว่า ผีที่เรากลัวนักกลัวหนา เพราะว่าหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวนั้น จะว่าไปแล้วน่าสงสารที่สุด เคยถามผีด้วยตัวเองมาว่า "เรื่องอะไรถึงมาเที่ยวหลอกชาวบ้านเขา ?" ผีบอกว่าเขาไม่ได้หลอก ตั้งใจจะมาบอกว่าต้องการความช่วยเหลืออะไร แต่คนเห็นแล้วหนีทุกที ไม่ได้หนีเปล่า ๆ บางทีก็แช่งชักหักกระดูกส่งไปด้วย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,544
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,376
    จะว่าไปแล้ว ผีก็เหมือนกับคนจน หรือเปรียบเหมือนกับขอทาน แต่งตัวดีที่สุดก็คือแต่งตัวแบบคนจนหรือขอทานนั่นเอง เพราะว่าเป็นผู้ที่มีบุญน้อย ผลบุญส่งผลให้ดีที่สุดได้แค่ที่เราเห็นแล้ววิ่งหนี ผลบุญยิ่งสูงเท่าไร หน้าตาก็ยิ่งสะสวยมากเท่านั้น อยากให้พวกท่านได้เห็นนางฟ้าปลายแถวสักคนหนึ่ง คือนางฟ้าปลายแถวระดับสุดกู่ปลายตะโกน ถ้าลงมาเป็นคนนี่ รับประกันได้ว่าประกวดนางงามจักรวาลได้สบาย นั่นแค่ปลายแถวที่บุญน้อยแล้วนะ..!

    คราวนี้พอผีมาหาเรา เพราะว่าต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการส่วนกุศล เราเองเปรียบเหมือนกับเศรษฐี ขอทานมาต้องการเงิน เศรษฐีมีความจำเป็นที่ต้องกลัวขอทานหรือไม่ ?

    เมื่อเข้าใจตรงจุดนี้ กระผม/อาตมภาพเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเลิกกลัวผีไปตอนไหน ก็คือพอรู้แล้วว่าความจริงเป็นอย่างนี้ คือผีที่มาหาเรานั้น เขาทำได้สวยที่สุดเต็มบุญของเขาแล้วได้แค่นั้นเอง ก็เลยเลิกกลัวไปโดยปริยาย รู้ว่าตัวเองกลัวตั้งแต่เมื่อไร ? ก็คือตั้งแต่รู้ภาษาก็กลัวผีแล้ว แต่ตอนเลิกกลัวนี่ บอกไม่ถูกว่าเลิกไปตอนไหน

    จำได้ว่าตอนนั้นไปธุดงค์ที่บึงลับแล ไปกัน ๔ - ๕ รูป มีทิดกอล์ฟ (ศราวุธ วัฒนะโชติ) อดีตเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัทอยู่รูปหนึ่ง ก็ไปทำแคร่นอน เพื่อป้องกันพวกบรรดาสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะสัตว์เลื้อยคลานเล็ก ๆ อย่างพวกแมงป่อง ตะขาบ หรือว่างูเงี้ยวเขี้ยวขอ โดยเอาไม้ไผ่มาทำเป็นแคร่นอน

    กลางคืนกำลังนอนภาวนาอยู่ประมาณ ๕ ทุ่ม แคร่พังโครมลงไป..! กำลังภาวนาอยู่ กำลังใจดีมาก ก็เลยไม่อยากที่จะขยับ แต่คราวนี้แคร่ที่พังนั้น พังทางด้านหัวนอน ก็กลายเป็นหัวทิ่มดิน ตีนชี้ฟ้า น้ำหนักก็ถ่วงไหลลงไปเรื่อย..ไหลลงไปเรื่อย จนหัวค้ำพื้น จึงตัดสินใจคลายสมาธิออกมา เพื่อที่จะซ่อมแคร่นอนให้ดี

    แต่พอขยับลุกขึ้นก็เห็นพระธุดงค์รูปหนึ่ง ยืนอยู่ใกล้ ๆ คือ ทางด้านหัวนอนนั้น หันเข้าหาก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งสูงท่วมหัวเลย เป็นการประกันความเสี่ยงว่า ถ้ามีสัตว์ร้ายมีอะไรมา ก็ป้องกันไปได้ด้านหนึ่ง พระรูปนั้นยืนเหมือนกับพิงหินอยู่ เห็นชัด ๆ ว่าเป็นพระธุดงค์แบบสายวัดป่า ก็คือห่มจีวรสีกรักค่อนข้างเข้ม ก็คิดว่า "เอ๊ะ...พระท่านมาตั้งแต่เมื่อไร ? ทำไมเราไม่รู้ เดี๋ยวจะชวนท่านสนทนาหน่อย ว่าเป็นใครมาจากไหน"

    พอดีกับที่ทิดกอล์ฟซึ่งตอนนั้นยังบวชอยู่ ได้ยินเสียงแคร่พังลงไปนานหลายนาทีแล้ว พระอาจารย์ยังเงียบฉี่ ไม่รู้สึกรู้สา ก็เลยส่องไฟมา ส่องมาไม่ส่องเปล่า มีการแกว่งไฟฉายด้วย กระผม/อาตมภาพก็เลยเห็นพระธุดงค์รูปนั้นเต้นระบำได้ ก็คือมองดี ๆ กลายเป็นว่าไม่ใช่พระ แต่เป็นเงาของตัวเอง..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,544
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,376
    ตรงจุดนี้ต้องเข้าใจนะครับว่านั่น ๕ ทุ่มกว่าแล้ว เวลาอยู่ในป่านั้นมืดขนาดไหน แล้วทำไมกระผม/อาตมภาพเห็นอย่างชัดเจนว่านั่นคือพระธุดงค์ ? หน้าตาเป็นอย่างไร นุ่งห่มผ้าสีอะไรก็รู้ แต่พอส่องไฟขึ้นมา กลายเป็นเงาของตัวเองไป แล้วก็ไม่ได้กลัวเลย แค่รู้สึกว่า "อ้อ...เราโดนผีหลอก" แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่เคยกลัวอะไรประเภทนี้อีกเลย เพราะว่ารักษากำลังใจอยู่กับตัว ไม่ได้ไปฟุ้งซ่านในเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง อื่น ๆ เกิดอะไรขึ้นจึงกลายเป็นคนตายด้าน ก็คือไม่ตกใจอะไร

    บางทีรถชนโครมพังเป็นแถบ ตัวเองก็ยังเฉย ๆ ออกจากรถไปได้ ก็ไปดูคู่กรณีก่อนว่าเขาเองได้รับบาดเจ็บ หรือว่าล้มตายอย่างไรหรือเปล่า หรือบางทีก็รถไปหมุนเป็นลูกข่าง อยู่ห่างจากขอบเหวคืบเดียว กำลังใจก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพียงแต่มองดูว่าจะแก้ไขเหตุการณ์อย่างไรให้ดีที่สุด

    ตรงจุดนี้พวกท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่าทำถึงจะเข้าใจว่า กำลังใจของเรานั้น ถ้าอยู่กับตัวจริง ๆ จะไม่ตกใจอะไรง่าย ๆ ต่อให้ฟ้าผ่าลงมาข้างหูอย่างกะทันหัน ก็ไม่ได้ตกใจ เหตุที่เราตกใจ เพราะว่าส่งกำลังใจออกนอกไปคิดเรื่องอื่น เพลิดเพลินกับเรื่องอื่นอยู่ พอเกิดเหตุอะไรขึ้น ใจวิ่งกลับเข้าตัวมา เพื่อรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น การวิ่งกลับมาเร็วจนเกินไป ก็คืออาการที่พวกเรารู้สึกว่าตกใจ


    ก็แปลว่า ถ้าหากว่าเราเป็นนักปฏิบัติไปจนถึงระดับหนึ่ง สามารถรักษากำลังใจให้อยู่กับตัวเองได้ ความตกใจต่าง ๆ จะน้อยลงหรือไม่มีเลย เกิดเหตุอะไรฉุกเฉินขึ้นมา สติ สมาธิจะพร้อมมูล มองหาทางที่จะแก้ไขเหตุการณ์นั้นให้ออกมาให้ดีที่สุดเท่านั้น


    ก็เลยบอกไม่ถูกว่า จากเด็กที่กลัวผีอย่างชนิดที่ไม่กล้าออกไปฉี่นอกบ้าน มาหายกลัวเอาตั้งแต่ตอนไหน เนื่องเพราะว่ายืนประจันหน้ากับผีอยู่กลางป่า เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นผีพระธุดงค์ ก็ไม่ได้นึกกลัว ความรู้สึกเฉย ๆ แค่ว่า "อ้อ..เราโดนผีหลอก..!"

    ดังนั้น...ท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่าเราค่อย ๆ ทำไป ๆ ความดีในศีล ในสมาธิ ในปัญญาของเราค่อย ๆ สั่งสมตัวไป จนถึงระดับเพียงพอที่จะใช้งาน เหตุการณ์ที่กล่าวถึงพวกนี้ก็จะเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลายเอง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...