เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 พฤษภาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔


     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้เป็นวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ตรงกับวันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๗ เนื่องจากปีนี้เป็นอธิกมาส มีเดือน ๘ สองหน วันวิสาขบูชาจึงเลื่อนมาเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๗

    คราวนี้การอุปสมบทหมู่วันวิสาขบูชาของวัดท่าขนุน เราจะปิดรับในวันขึ้น ๘ ค่ำ เพื่อให้นาคมีเวลาฝึกซ้อมอย่างน้อยก็ ๗ วันโดยประมาณ ซึ่งการฝึกซ้อมขานนาค ก็มอบหมายให้เป็นภาระของทิดกวาง (นายกำพร พิเชฐสกุล) มาหลายปีแล้ว เพราะว่าที่อื่นส่วนใหญ่ก็แค่ซ้อมขานนาค บางทีก็ไม่ได้ซ้อมด้วย รอพระพี่เลี้ยงหรือพระอุปัชฌาย์อาจารย์บอกให้

    แต่คราวนี้การบวชเป็นเรื่องของกุลบุตรนำเอาผ้ากาสาวพัสตร์มาร้องขอในท่ามกลางสงฆ์ ให้ยกตนเองขึ้นเป็นอุปสัมบัน ในเมื่อเป็นผู้ร้องขอ ก็ต้องว่าด้วยตนเอง ดังนั้น...วัดท่าขนุนของเราจะไม่มีการบอก..ได้ก็บวช..ไม่ได้ก็กลับไปซักซ้อมต่อ ได้เมื่อไรค่อยมาบวชใหม่

    คำว่า นาค มีความหมายหลายอย่างด้วยกัน
    ความหมายแรกก็คือ เป็นผู้ฝึกดีแล้ว
    ความหมายที่สอง หมายถึง ช้าง ก็น่าจะเป็นช้างที่ได้รับการฝึกหัดดีแล้ว
    ความหมายที่สาม หมายถึง พระมหากษัตริย์
    ความหมายที่สี่ หมายถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ส่วนความหมายสุดท้าย นาคก็คือสัตว์เดรัจฉานในตระกูลงู แต่เป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ ถึงอยู่ภพภูมิเดียวกับเรา ก็หาตัวได้ยาก สามารถจำแลงแปลงกายได้สารพัด เคยแม้กระทั่งแปลงเป็นมนุษย์เพื่อมาขอบวช
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ช่วงนี้เป็นช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด-๑๙ แพร่กระจาย และมีคนตายเป็นจำนวนมาก กิจกรรมต่าง ๆ ทางศาสนาก็ต้องจำกัด ทำให้การอุปสมบทหมู่ครั้งนี้ก็น่าจะมีนาคอยู่แค่ ๒ คน แต่ว่าหลายวันที่ผ่านมาเห็นแล้วก็กลุ้มใจ คือ ถ้าไม่ใช่ยืน ๒ ขาแล้วเดินแบบคนได้ก็จะเรียกว่าควาย..! ไม่ได้เรียกว่านาค อะไรจะขาดไหวพริบปฏิภาณปานนั้น

    ทางเท้ามีให้เดิน..ไม่เดิน ลงไปเดินบนผิวจราจร แสดงว่าไม่เคยขับรถด้วยตัวเอง ถนนในทองผาภูมิทางแคบมาก เพียงพอให้รถหลีกกันเท่านั้น ไปเดินบนผิวจราจรทำให้เขาขับรถยาก บางคนที่ขับไม่เก่งก็ไม่กล้าผ่านเลย เพราะว่ามุมที่เราเดิน ถ้าหากว่าเป็นซ้ายมือของคนขับ จะเป็นมุมอับที่เขามองไม่เห็น เราเดินอยู่คิดว่าห่าง แต่คนขับรถจะเห็นว่าอยู่ติดกับรถเลย ขนาดถามว่า "ชอบกินอะไรให้บอกไว้ ถึงเวลาจะทำบุญไปให้" ก็ยังไม่เข้าใจอีกว่าอะไร..!

    ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่า แถวพระวัดท่าขนุนจะข้ามถนนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะว่าทำให้รถติด และพยายามที่จะเดินชิดขอบทางให้มากที่สุด หรืออยู่บนบาทวิถีเลย แต่พ่อเจ้าประคุณสองตัว..กูจะยืนบนพื้นจราจรอย่างเดียว ใครจะสะกิดอย่างไรกูไม่สน ต้องบอกว่าขาดไหวพริบอย่างรุนแรง

    ถึงเวลาเก็บกับข้าว ก็ต้องสังเกตด้วยว่า เราเก็บแล้ว คนใส่บาตรเขาใส่ต่อได้ไหม ? แทนที่จะเข้าทางด้านขวา ไปเข้าทางด้านซ้าย เอื้อมมือเก็บกับข้าว คนใส่บาตรก็ใส่ต่อไปไม่ได้ สองคนสี่ตาต้องดูหัวท้ายให้ทั่วถึง ไม่ใช่ทุกวันสามเณรก็ต้องถือกับข้าวถือขนมเดินตามไปเรื่อย เพราะว่าไม่มองท้ายแถวเลย ถ้าเรื่องหยาบ ๆ แค่นี้ เรายังขาดสติ ขาดเชาว์ ขาดไหวพริบ ก็ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องของการบวชเข้ามาแล้วจะสู้กับกิเลส รับรองว่าแพ้ราบ..!

    ดังนั้น...ในเรื่องของการฝึกฝน ไม่ใช่แค่ขานนาค หรือศึกษาว่าศีลหรือข้อห้ามของพระว่ามีอะไร แต่ต้องขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเองไปด้วย โดยเฉพาะอะไรที่เคยผิดพลาด ได้บทเรียนแล้ว ไม่ควรที่จะผิดซ้ำอีก ถ้าผิดซ้ำซาก เขาถือว่าโง่..!

    ถามว่าทำไมต้องเข้มงวดกับนาคขนาดนี้ด้วย ? ต้องบอกว่านี่ยังไม่ใช่การเข้มงวด ถือว่าเบามากแล้ว เพราะว่าเราใช้เวลาฝึกฝนแค่ ๗ วัน ถ้าเป็นสายวัดป่า ต้องเป็นตาผ้าขาวถือศีล ๒๒๗ ข้ออยู่ ๒ ปี จนมั่นใจว่ารู้ศีลครบ ทำไม่ผิดพลาด เขาถึงให้บวช แปลว่าที่นี่บวชง่ายมากแล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    การบวชนั้นง่าย แต่การที่เราจะอยู่เป็นพระให้เขากราบไหว้นั้นยาก โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ พระอุปัชฌาย์ส่วนหนึ่งบวชแล้วก็แล้วกัน ไม่คอยติดตามอบรมสั่งสอนสัทธิวิหาริกของตน ก็เลยทำให้พระที่ชาวบ้านเขาจะไหว้ได้เต็มมือน้อยลงไปเรื่อย ๆ ยกเว้นท่านใดมีจิตสำนึก ศึกษาด้วยตนเอง ต่อให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ทอดทิ้ง ก็ยังมีหลักที่จะรักษาตัวเองได้ แต่ก็น้อยมาก เพราะฉะนั้น..ในปัจจุบันนี้จึงไม่แปลก ที่พระภิกษุสามเณรส่วนหนึ่งปฏิบัติตนเหมือนกับฆราวาส รัก โลภ โกรธ หลง ท่วมหัวพอกับฆราวาสทั่วไป

    ในความเป็นพระเป็นเณรของเรานั้น ญาติโยมจะเคารพเพราะเรามีความต่าง ก็คือไม่เหมือนเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศีลที่มากกว่า เรื่องของจริยาวัตรไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ถ้าทุกอย่างเหมือนกับฆราวาส เขาก็ไม่รู้ว่าจะเคารพเราไปทำไม ?

    ในส่วนนี้ต่อให้เป็นพระเก่าหรือพระใหม่ก็ตาม ต้องคอยระมัดระวังทบทวนตนเองอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นแล้ว..เผลอเมื่อไร ในยุคปัจจุบันนี้สื่อโซเชียลไปเร็วมาก ทำอะไรพลาด จะสร้างความเสียหายให้กับพระศาสนามาก เพราะว่าปัจจุบันนี้คนเก่งมีมาก เกิดอะไรขึ้นก็ตัดสินเรียบร้อยไปเลย โดยที่ไม่ได้ฟังเหตุฟังผล เอาแต่อารมณ์ความรักชอบเกลียดชังเป็นใหญ่

    ดังนั้น...ในส่วนของการที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะบวชมากบวชน้อย จึงจำเป็นต้องขัดเกลาตนเองให้มากไว้ จะได้ไม่ไปทำผิดทำพลาด สร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนา สร้างความเสียหายให้แก่วัดวาอาราม สร้างความเสียหายให้กับครูบาอาจารย์

    นี่แค่เบื้องต้นก่อนที่เราจะบวชเข้ามาเท่านั้น เมื่อบวชเข้ามาแล้ว ยังต้องขัดเกลาตนเองด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาอีก โดยเฉพาะสมาธิเป็นเรื่องที่เราทิ้งไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะไม่มีกำลังในการกดกิเลส ถ้าปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง ท่วมหัว ก็เท่ากับว่าปล่อยให้ไฟเผาตัวเองอยู่ทุกวัน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ปัจจุบันนี้ญาติโยมตั้งความหวังไว้กับพระเณรสูงมาก โดยที่ลืมไปว่าพระภิกษุสามเณรนั้นก็บวชมาจากลูกชาวบ้าน เป็นผู้ที่พยายามฝึกหัด กาย วาจา ใจ ของตนเอง เป็นผู้พยายามขัดเกลากิเลสของตนเอง โดยมีศีล ๒๒๗ ข้อเป็นกรอบ ในเมื่อเขาตั้งความหวังไว้สูง และไม่พยายามทำความเข้าใจ เราก็ต้องพยายามทำให้ได้อย่างที่เขาหวัง ก็คือดีที่สุดเต็มกำลังของเรา

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่เราบวชในยุคนี้สมัยนี้จึงเป็นเรื่องยาก เป็นภาระที่หนัก พลาดเมื่อไรก็เสียหายใหญ่โต จึงต้องทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ไหวพริบปฏิภาณทั้งหมด ในการที่จะรักษาความเป็นพระเป็นเณรของเราให้อยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง พวกเรายังดีที่มีครูบาอาจารย์คอยจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ ถ้าเป็นที่อื่นเขาก็ปล่อยเป็นปลาตายลอยน้ำ มีแต่จะสร้างความเน่าเหม็นเสียหายให้กับพระศาสนามากขึ้นทุกวัน

    ดังนั้น...ในช่วงระยะเวลาก่อนที่จะบวช นาคทั้งสองก็ต้องพยายามตั้งใจให้เต็มที่ อะไรที่ไม่รู้ต้องถาม อะไรที่ไม่เข้าใจต้องใช้ปัญญาคิด ไม่ใช่ตีลูกบื้ออยู่อย่างเดียว โบราณว่าอายครูบ่รู้วิชา ถ้าหากว่าไม่สอบถาม จะได้ความรู้ขึ้นมาอย่างไร ได้แต่หวังว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไป น่าจะรู้สึกปรับปรุงตนเองให้ดีกว่าที่ผ่านมา แล้วขณะเดียวกัน ก็แบ่งสรรปันส่วนหน้าที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ไม่ใช่ปล่อยคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่ไป ส่วนเราก็แค่เดินตาม

    ก็ได้แต่หวังว่าก่อนบวช น่าจะขัดเกลาได้เข้าที่เข้าทางในระดับหนึ่ง ถ้าหากว่าไม่ไหว คณะกรรมการที่พิจารณาการบวชให้ความเห็นมา ก็คงต้องให้รอไปอีก จนกว่าที่จะเห็นสมควรว่าจะบวชได้..แล้วค่อยบวช วัดเรามีโอกาสบวชปีละ ๔ ครั้ง อย่างช้าที่สุดก็คือวันลอยกระทง ก็ขอบอกกล่าวให้ชัดเจน เพื่อที่ทั้งพระเก่าพระใหม่ ตลอดจนกระทั่งนาค และญาติโยมที่อยู่ทางบ้าน ถ้าหากคิดจะบวช วัดท่าขนุนอาจจะไม่ใช่สถานที่อันเหมาะสม ถ้าเราไม่ใช่บุคคลที่มีความอดทนและพากเพียรได้เพียงพอ

    ก็ขอฝากข้อคิดไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอเจริญพรทุกท่าน


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...