ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    July 28, 2020 โควิด-19 ติดทั่วโลกไปไกลกว่า 16.6 ล้านคน ยอดตายในสหรัฐแตะ 150,000 คน The Covid-19 infected globally toll surpassed 16.6 million

    เวลา 6.50 น. รายงานสถานการณ์จำนวนผู้ติดโรคปอดอักเสบไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลก เพิ่มเป็น 16,626,948 ราย ซึ่ง 10 อันดับแรกของโลก คือ สหรัฐอเมริกา 4,430,451 ราย บราซิล 2,443,480 ราย อินเดีย 1,482,503 ราย รัสเซีย 818,120 ราย แอฟริกาใต้ 452,529 ราย เม็กซิโก 390,516 ราย เปรู 384,797 ราย ชิลี 347,923 ราย สเปน 325,862 และสหราชอาณาจักร 300,111 ราย

    สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกเพิ่มเป็น 655,838 ราย ซึ่ง 10 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกา 150,400 ราย บราซิล 87,679 ราย สหราชอาณาจักร 45,759 ราย เม็กซิโก 43,680 ราย อิตาลี 35,112 ราย อินเดีย 33,448 ราย ฝรั่งเศส 30,209 ราย สเปน 28,434 ราย เปรู 18,229 ราย และอิหร่าน 15,912 ราย

    ในส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อในอาเซียน และเสียชีวิต(ตัวเลขในวงเล็บ) พบว่า อินโดนีเซีย 100,303 ราย(4,838) ฟิลิปปินส์ 82,040 ราย(1,945) สิงคโปร์ 50,838 ราย(27) มาเลเซีย 8,904 ราย(124) ไทย 3,295 ราย(58) เวียดนาม 431 ราย เมียนมา 350 ราย(6) กัมพูชา 225 ราย บรูไน 141 ราย(3) และลาว 20 ราย

    #ไวรัสโคโรนา #ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019 #โควิด19 #covid19 #Misterban #btimes

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    July 28, 2020 เปิดวันแรกดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดทะยานกว่า 100 จุด ราคาน้ำมันกระเตื้องเล็กน้อย ส่งราคาไนเม็กซ์ปิดเหนือกว่า 41 ดอลลาร์ ราคาทองคำล่วงหน้าปิดเหนือ 1,930 ดอลล์

    เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม (ตามเวลาในสหรัฐ) ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ระดับ 26,584 จุด +114 จุด หรือ +0.43% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,239 จุด +23 จุด หรือ +0.74 % และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 10,536 จุด +173 จุด หรือ +1.67% สาเหตุจากรัฐสภาสหรัฐเตรียมพิจารณากฎหมายเยียวยาเศรษฐกิจสหรัฐมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์นี้

    ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 41.60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.31 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +0.75% ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 43.41 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.07 ดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าต่อเนื่อง และความคาดหวังในการพิจารณากฎหมายเยียวยาเศรษฐกิจสหรัฐมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์นี้

    ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,931 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +33.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +1.9% ส่งผลให้ราคาทองคำโลกทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ สาเหตุจากตัวเลขชาวอเมริกันขอใช้สิทธิประโยชน์ช่วงว่างงานประจำสัปดาห์กลับเพิ่มขึ้นเหนือคาดหมาย ความตึงเครียดการเมืองระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีมากขึ้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงต่อเนื่อง อียูผ่านกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่ามากที่สุดครั้งประวัติศาสตร์

    #ลงทุน #การเงิน #หุ้น #ทองคำ #น้ำมัน #ตลาดหุ้น #เล่นทอง #ราคาทอง #markets #business #stock #gold #oil #investment #misterban #เศรษฐกิจ #เล่นหุ้น #btimes

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200728_075319.jpg

    (Jul 27) หลายปัจจัยเครียดดัน‘ราคาทองพุ่ง’ : ราคาทองคำวันนี้พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนแห่ซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย จากความกังวลสัมพันธ์จีน-สหรัฐตึงเครียด จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งทั่วโลก อีกทั้งแผนกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ของวอชิงตันไม่คืบหน้า

    มาตรการผ่อนคลายทางการเงินอย่างมหาศาลจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ ส่วนใหญ่ ราคาทองคำพุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1,944.71 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทุบสถิติเดิมที่ 1,921.18 ดอลลาร์ เมื่อปี 2554

    ขณะนี้สายตาทุกคู่กำลังจับจ้องไปที่การประชุมนโยบายเฟดครั้งต่อไปในสัปดาห์นี้ ที่คาดการณ์กันว่าเฟดจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก เป็นไปได้ว่าจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยติดลบ ซึ่งนั่นจะยิ่งกดดันเงินดอลลาร์และดันราคาทองคำแท่งไปยืนอยู่เหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์

    ประกอบมีความกังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐไตรมาส 2 อาจเลวร้ายกว่าที่คาด อาจจุดประกายให้เกิดการเทขายดอลลาร์ออกมาอีก เป็นตัวเร่งให้ราคาทองคำไปไกลกว่าเดิม

    นอกจากนี้ความสัมพันธ์ตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐ ก็ทำให้นักลงทุนแห่ซื้อทองจนราคาพุ่งด้วย

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news...homepage_hilight&utm_medium=internal_referral

    เพิ่มเติม
    - Gold prices surge to record high amid coronavirus worries, U.S.-China tensions : https://www.cnbc.com/2020/07/27/gol...id-coronavirus-worries-us-china-tensions.html
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200728_075537.jpg

    (Jul 27) เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบไหนดี: อาทิตย์ที่แล้ว สำนักข่าวซีเอ็นบีซี(ประเทศไทย) ขอสัมภาษณ์ผมเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจว่า จะออกมาในรูปแบบไหน เช่น ตัว V ตัวU หรือตัว L

    จากที่ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ดร.วีรไท สันติประภพ ได้ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจคงจะใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี ในการฟื้นตัว และรูปแบบการฟื้นตัวจะใกล้เคียงกับโลโก้ของไนกี้ คือ เป็นเครื่องหมายถูกหางยาว จึงอยากทราบความเห็นผมในเรื่องนี้

    ในแง่เศรษฐศาสตร์ เมื่อระบบเศรษฐกิจถูกกระทบอย่างรุนแรง คือ มี Shock เข้ามากระทบซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่มาจากภายนอกหรือภายในประเทศ ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจสะดุดหรือทรุดตัวลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจควรเริ่มฟื้นเมื่อ Shock ผ่านไป หรือลดความรุนแรงลง การฟื้นตัวอาจเกิดขึ้นเร็วเหมือนรูปตัว V หรือ ภาวะทรุดต่ำอาจลากยาว ก่อนเริ่มฟื้นตัว คล้ายตัว U หรือยืนระยะอยู่นานจนดูเหมือนเศรษฐกิจจะไม่สามารถฟื้นตัวได้เหมือนอักษรตัว L

    ในเรื่องนี้ สิ่งที่ต้องตระหนักคือ ไม่มีทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ที่จะอธิบายว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างไร การฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ที่ทำให้การฟื้นตัวช้าหรือเร็ว ซึ่งจากประสบการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในอดีต ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คือ

    หนึ่ง ขนาดความเสียหายต่อเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจาก Shock ดังกล่าวว่ารุนแรงขนาดไหน คือ ถ้าขาลงเป็นเพียงผลของ Shockที่ทำให้อุปสงค์ภายในประเทศลดลงหรือสะดุดชั่วคราว ขณะที่ความสามารถในการผลิตของเศรษฐกิจ หรือด้านอุปทานไม่เสียหาย ระบบการเงินยังทำงานได้อย่างเป็นปรกติ การฟื้นตัวก็จะเกิดขึ้นได้เร็ว ตัวอย่างเช่น เกิดทุนไหลออกฉับพลันจากการสูญเสียความเชื่อมั่นรุนแรงของนักลงทุนจนระบบเศรษฐกิจหยุดชะงักแต่เมื่อความเชื่อมั่นกลับมา เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวได้เร็ว

    ตรงกันข้าม ถ้าด้านการผลิตของประเทศถูกกระทบ เช่น จากภัยธรรมชาติ และระบบการเงินของประเทศไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ การฟื้นตัวก็จะใช้เวลาเพราะต้องซ่อมแซมกำลังการผลิตและระบบการเงิน หรือในกรณีที่ระบบการผลิตเสียหายมาก เช่น เกิดสงคราม กำลังการผลิตถูกทำลายพร้อมกับระบบการเงินทำงานไม่ได้และความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงแทบเป็นศูนย์ การฟื้นตัวก็จะใช้เวลานานเหมือนตัว L คือใช้เวลานานมากกว่าที่ความมั่นใจของภาคธุรกิจและประชาชนจะกลับคืนมา

    สองคือ นโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังเกิดวิกฤติว่า นโยบายพร้อมไหม ทำได้ตรงประเด็นหรือไม่และมีทรัพยากรเพียงพอไหมที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ถ้าทำได้ดี ความเชื่อมั่นก็กลับมาเร็ว มีเงินทุนต่างประเทศไหลกลับ ธุรกิจในประเทศกลับมาลงทุน คนในประเทศกลับมาใช้จ่าย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็จะเกิดขึ้นเร็ว เทียบกับกรณีที่นโยบายหรือผู้ทำนโยบายไม่เป็นที่ยอมรับ ความเชื่อมั่นก็ไม่มี การฟื้นตัวก็จะช้า

    สาม มีตัวช่วยจากภายนอก เช่น เศรษฐกิจโลก ถ้าเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ดี แม้ประเทศจะเกิดวิกฤติแต่ถ้าต่างประเทศยังค้าขายได้ ค่าเงินของประเทศไม่เป็นปัญหา การส่งออกก็ขยายตัว สนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ ตรงกันข้าม ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่สนับสนุน การฟื้นตัวต้องพึ่งปัจจัยในประเทศอย่างเดียว การฟื้นตัวก็จะใช้เวลา

    นี่คือ 3 ปัจจัยที่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น เศรษฐกิจไทยปี 40 เศรษฐกิจเสียหายจากการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ ความสามารถในการผลิตไม่เสียหาย แค่ภาคเศรษฐกิจจริงขาดทุนมากจากเงินบาทที่อ่อนค่าและธุรกิจมีหนี้ต่างประเทศมาก ฐานะการเงินของบริษัทจึงถูกกระทบ และส่งผลต่อเนื่องถึงฐานะของสถาบันการเงิน แต่ช่วงนั้นนโยบายแก้ไขเศรษฐกิจเป็นที่ยอมรับและเศรษฐกิจโลกขยายตัว เงินบาทที่อ่อนลงทำให้การส่งออกขยายตัวได้มาก เงินทุนต่างประเทศก็เปลี่ยนเป็นไหลเข้า ดังนั้น แม้เศรษฐกิจจะทรุดตัวรุนแรงในปี 2541 หลังการลอยตัวค่าเงินบาทกลางปี 2540 แต่เศรษฐกิจก็ฟื้นตัวในปี 2542 รูปแบบการฟื้นตัวคราวนั้นจึงผสมผสานระหว่างตัว V และตัว U และที่ออกไปเป็นตัว U ก็เพราะความเสียหายที่มีต่อระบบการเงินที่ใช้เวลาในการแก้ไข

    สำหรับวิกฤติคราวนี้ ผู้ว่าการฯ ธปท.มีความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยอาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 และการฟื้นตัวจะเป็นแบบเครื่องหมายถูกหางยาว คือ ขาขึ้นจะไปได้ช้าและใช้เวลา คือประมาณสองปีก่อนที่เศรษฐกิจจะกลับไปที่ระดับก่อนโควิด เพราะภาคส่งออกและท่องเที่ยวจะใช้เวลาในการฟื้นตัวจากที่เศรษฐกิจโลกถูกกระทบมากจากโควิด-19 นอกจากนี้ การว่างงานที่มีมากก็จะเป็นตัวถ่วงฉุดรั้งกำลังซื้อในประเทศ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะยิ่งช้าออกไป ทั้งหมดตั้งอยู่บนข้อสมมุติว่า จะไม่มีการระบาดรอบสองในประเทศ

    ผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้เป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่ไม่คิดว่ากระบวนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะไปต่อได้เรื่อยๆ สบายๆ แบบเครื่องหมายถูกหางยาว ตรงกันข้าม ผมเห็นว่าความเสี่ยงระยะข้างหน้าจะมีมาก สำคัญที่สุดคือการระบาดของโควิดที่ยังไม่หยุดในต่างประเทศ ทั้งที่เป็นรอบแรกที่ยังไม่จบในหลายประเทศ และบางประเทศที่มีรอบสองทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะผันผวนขึ้นๆ ลงๆ กลับไปกลับมา ตามการระบาดและการกลับมาระบาดของโควิด ผลคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะกลับไปกลับมาแบบตัวอักษร W ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่พึ่งเศรษฐกิจโลกมากก็จะขึ้นๆ ลงๆ ตามไปด้วย ตามความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

    นอกจากนี้ ความเสี่ยงของการระบาดภายในประเทศก็เป็นสิ่งที่ต้องระวังและปฏิเสธไม่ได้ รวมถึงการเมืองในประเทศเองที่จะมีผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายและต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในความสามารถของผู้บริหารประเทศที่จะทำนโยบายแก้ไขเศรษฐกิจ

    สิ่งเหล่านี้ จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่ Smooth อย่างที่อยากเห็นแต่ อาจขึ้นๆ ลงๆ เหมือนตัว W แต่จะเป็นตัว W ขาขึ้น

    นี่คือความเห็นของผมที่ให้ไป

    คอลัมน์เศรษฐศาสตร์บัณฑิต โดย ดร.บัณฑิต นิจถาวร

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/blog...dium=internal_referral&utm_campaign=columnist
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (Jul 26) แบงก์ชาติเผยความคืบหน้า ‘ดิจิตอลบาท’ ทดลองกับธนาคาร โอนเงินข้ามประเทศ และเชื่อมต่อภาคธุรกิจ : ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังศึกษา ออกแบบ และพัฒนาเงินสกุลดิจิตอล หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) โดยต่อยอดการทดสอบโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินในประเทศ 8 แห่ง (Wholesale CBDC) และทดสอบโอนเงินข้ามประเทศกับธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้ ธปท. จะเริ่มนำ CBDC ไปทดสอบกับภาคธุรกิจ เชื่อมต่อระบบบริหารการจัดซื้อและการชำระเงินระหว่างบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG กับคู่ค้า (Suppliers)

    “ถ้าอันนี้ทำได้ แล้วไปสู่ภาคธุรกิจ ก็จะเป็นต้นแบบต่อไปสู่ธุรกิจอื่นๆ แล้วท้ายที่สุดจะลงไปถึงประชาชนได้” วชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าว

    workpointTODAY จึงติดต่อสัมภาษณ์ คุณวชิรา เพื่อพูดคุยถึงความคืบหน้าของ ‘โครงการอินทนนท์’ ที่แบงก์ชาติกำลังศึกษาและพัฒนา CBDC รวมถึงสอบถามข้อสงสัยต่างๆ ทั้งบทบาทของธนาคารที่อาจเปลี่ยนแปลงไปนับจากนี้ ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป หากเงินสกุลดิจิตอลถูกนำมาใช้จริง ‘ดิจิตอลบาท’ จะมาถึงเมื่อไหร่

    Source: Workpoint News
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200728_075833.jpg

    (Jul 27) ปัจจุบันและอนาคตของ 'บาทดิจิทัล' : ตามติดประเด็น "เงินดิจิทัล" ในปัจจุบันมีรูปแบบใดบ้าง และมีลักษณะอย่างไร รวมถึงเงินรูปแบบนี้เจ้ามาแทนที่เงินสด 100% จริงหรือไม่? และสำหรับอนาคต "บาทดิจิทัล" มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน? ติดตามบทวิเคราะห์ได้ที่นี่

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษาเพื่อพัฒนา Central Bank Digital Currency (CBDC) หรือเงินดิจิทัล ที่ออกโดยธนาคารกลางเป็นเทรนด์ที่ภาครัฐทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญรวมถึงประเทศไทย บทความฉบับนี้จึงขอเล่าระบบที่ใช้ในปัจจุบัน และความเป็นไปได้ของบาทดิจิทัลในอนาคต

    ปัจจุบันของระบบชำระเงิน ที่ใช้ในปัจจุบันประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก คือ
    1) Retail คือ การชำระเงิน การทำธุรกรรมรายย่อย หรือบริการทางการเงินผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคาร ดังนั้น ตัวกลางในการทำธุรกรรม คือ “ธนาคาร” ที่เรามีเงินฝากอยู่นั่นเอง ซึ่งแม้ปัจจุบันการทำ Mobile Banking จะทำผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงก็เป็นการทำธุรกรรมผ่านธนาคารตัวกลาง

    2) Wholesale คือ ระบบงานหลังบ้าน (Switching, Settlement, Clearing) ซึ่งเมื่อได้มีการทำธุรกรรมผ่านงานหน้าบ้านของธนาคารแบบ Retail เพื่อจัดการยอดเงินหรือธุรกรรมดังกล่าว จะเป็นเรื่องของระบบปฏิบัติการหลังบ้าน ซึ่งในทางปฏิบัติ ธนาคารจะมีการเปิดบัญชีกระแสรายวันไว้กับ ธปท. (ระบบ BAHTNET) เพื่อวัตถุประสงค์ในการโอน/ชำระเงินระหว่างกันภายใต้ระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินสำหรับการชำระเงินมูลค่าสูงระหว่างสถาบันการเงิน (RTGS) ดังนั้น สำหรับงาน Wholesale “ธปท.” จะเป็นตัวกลางในธุรกรรมดังกล่าวระหว่างธนาคาร

    การสร้างเงินบาทแบบดิจิทัล

    ทั้ง Wholesale และ Retail ที่ผู้เขียนเล่ามาในข้างต้น ธนาคารกลางสามารถใช้ CBDC เข้าแทนที่การทำงานในแบบปัจจุบันได้ทั้งหมด โดยการแปลงมูลค่าของเงินบาทให้อยู่ในรูปของ token เพื่อให้สามารถส่งมอบและชำระราคาระหว่างกันได้ หรือพูดง่ายๆ ว่า ธนาคารกลางสามารถออก “เงินบาทแบบดิจิทัล” เพื่อเป็นสื่อกลางในการทำธุรกรรมได้ทั้ง 2 รูปแบบ โดยกำหนดให้มีมูลค่าไม่ต่างจากเงินสดที่ใช้ในปัจจุบัน

    ดังนั้น หากมีการสร้าง “บาทดิจิทัลแบบ Retail” แปลว่า ธนาคารกลางจะออก “เงินดิจิทัล” ให้ประชาชนใช้จับจ่ายได้เหมือนเงินสดที่ใช้กันอยู่ หรือหากมีการสร้าง “บาทดิจิทัลแบบ Wholesale” ก็แปลว่า ธนาคารกลางต้องการสร้างเงินดิจิทัลเพื่อใช้ในวงจำกัดสำหรับวัตถุประสงค์ในการกำกับดูแลหรือทำธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงระหว่างสถาบันการเงิน

    DLT/Blockchain คือ ระบบที่เลือกใช้

    ธนาคารกลางส่วนมากทดลอง CBDC โดยใช้เทคโนโลยี Distributed Ledger Technology (DLT) หรือระบบ Blockchain ซึ่งมีข้อดี เช่น
    1) การออกแบบระบบการชำระเงินสามารถใส่เงื่อนไขและข้อกำหนดที่จำเป็นและซับซ้อน รวมถึงกำหนดกฎหมายที่ใช้ในการกำกับดูแลผู้เล่นในระบบผ่าน Smart Contract ได้

    2) การส่งต่อมูลค่าของเงิน (ที่เดิมธนบัตรเป็นตัวแทนของมูลค่า) ได้หายไป โดยระบบจะเก็บและส่งต่อมูลค่าดังกล่าวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง และ

    3) ช่วยลดการจัดเก็บข้อมูลบัญชีแบบกระจัดกระจายที่เคยทำผ่านตัวกลางและ Clearing house จำนวนมากลง ดังนั้น จึงทำให้การเก็บรักษาข้อมูลทางการเงินมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือโดยไม่ต้องมีคนกลาง

    จะเปิดบัญชีเพื่อเก็บ Retail CBDC อย่างไร?

    เบื้องต้นประชาชนจะต้องมี e-wallet เพื่อเก็บเงินในแบบดิจิทัล แต่รูปแบบการเปิดและบริหารจัดการบัญชีขึ้นอยู่กับการกำหนดของธนาคารกลางว่าจะเลือกจัดทำ Retail CBDC แบบ Direct หรือ Indirect Model

    หากเลือกแบบ Direct Model แปลว่า ประชาชนจะต้องเปิดบัญชีโดยตรงกับธนาคารกลาง ซึ่งรูปแบบนี้ธนาคารกลางอาจต้องรับภาระในการทำ KYC และอาจมีหน้าที่ตามกฎหมาย “ฟอกเงิน - ภาษี” เช่น หักเงินได้ ณ ที่จ่ายเพื่อนำส่งสรรพากร (ในกรณีที่มีการจ่ายดอกเบี้ย) ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มภาระให้กับธนาคารกลางในการบริหารจัดการ
    แต่หากธนาคารกลางเลือกแบบ Indirect Model แปลว่า การบริการจัดการบัญชีจะให้สถาบันการเงินทำหน้าที่เป็นตัวแทน หรือให้ประชาชนสามารถเปิดบัญชีกับธนาคารได้คล้ายระบบเงินสดในปัจจุบัน (โดยธนาคารกลางและสถาบันการเงินตัวแทนจะอยู่บนระบบปฏิบัติการ DLT เดียวกันเพื่อประโยชน์ในการตรวจทาน)

    CBDC ไม่ใช่ e-Money เพราะ e-Money คือ การที่ผู้รับบริการได้ชำระเงินล่วงหน้า และผู้ให้บริการได้เก็บมูลค่าของเงินที่เราใส่ไปไว้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (บัตรพลาสติก/e-Wallet) เพื่อวัตถุประสงค์ในการซื้อสินค้า/บริการ (Stored Value) ซึ่งเป็นคนละลักษณะกับ CBDC ที่มีวัตถุประสงค์เป็นการสร้างเงินให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล

    อนาคตของบาทดิจิทัล

    ธปท.ได้ทำการทดสอบเพื่อพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลผ่าน “โครงการอินทนนท์” นับตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นมา ซึ่งได้เริ่มทดสอบการใช้งานในแบบ Wholesale ก่อน เช่น การทดสอบโอนเงินมูลค่าสูงระหว่างธนาคาร การทดสอบซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล และการทดสอบการโอนเงินระหว่างประเทศโดยไม่ผ่านธนาคารตัวแทน และปัจจุบันการทดสอบได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนา “บาทดิจิทัล” ในรูปแบบ Retail ซึ่งในทางปฏิบัติ หากการทดสอบในการสร้าง “บาทดิจิทัลแบบ Retail” สำเร็จ กฎหมายในปัจจุบันที่นิยามความหมายของ “เงินตรา” และกำกับดูแลธุรกิจทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับเงินตราทุกประเภทจะต้องมีการแก้ไขและปรับปรุงให้รองรับการใช้งานดังกล่าวด้วย
    เงินสดจะหายไปในที่สุด?

    ผู้เขียนเชื่อว่าการสร้าง Retail CBDC ในระยะแรก ประเทศต่างๆ ไม่ได้ประสงค์ให้ทดแทนเงินสดแบบ 100% อย่างเช่น ดิจิทัลหยวนของจีน ที่รัฐบาลได้ออกมาประกาศชัดเจนว่าเงินหยวนในแบบดิจิทัลจะถูกใช้ควบคู่กับหยวนที่เป็นเงินสด เช่นเดียวกัน เงินดิจิทัลสกุล Prizm ของภูฐานก็ยังคงใช้ควบคู่กับเงินสกุลงุลตรัม โดยรัฐบาลมีนโยบายโอนเงินเข้า e-Wallet ของประชาชนคนละ 100 เหรียญในช่วงแรก เพื่อวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย

    ท้ายที่สุด การจะยกเลิก “เงินสด” คงไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าเทคโนโลยีจะถูกพัฒนาไปมากและจะมีผลต่อการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของระบบชำระเงินของโลกให้ทันสมัยมากขึ้น แต่ประเด็นการเข้าถึงบริการทางการเงิน การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการพิจารณานโยบายการเงินที่รอบคอบ การคุกคามทาง Cyber การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชาชน และการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรผู้สูงอายุทั่วโลก ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจชะลอการหายไปของการใช้เงินสดในระบบ โดยประเด็นเหล่านี้ จะเป็นเหรียญอีกด้านที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงในการสร้าง CBDC

    โดย ดร.สุมาพร (ศรีสุนทร) มานะสันต์ | คอลัมน์ LEGAL VISION นิติทัศน์ 4.0
    [บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน]

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news...medium=internal_referral&utm_campaign=finance
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200728_080239.jpg

    (Jul 27) คอลัมน์ บางขุนพรหมชวนคิด: มาตรการ QE ไม่มีที่สิ้นสุด...เงินกำลังจะไหลไปไหน? ธนาคารกลางประเทศใหญ่ๆหลายแห่งประกาศชัดว่าจะรับมือกับโควิด-19 ด้วยมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (quantitative easing : QE) ที่ไม่สิ้นสุด พร้อมส่งสัญญาณว่าจะดูแลให้อัตราดอกเบี้ยต่ำอีกนาน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าพร้อมช่วยอุ้มเศรษฐกิจและดูแลให้ตลาดการเงินทำงานได้ปกติ โดยที่กระสุนของธนาคารกลางจะยังไม่หมดง่ายๆ

    วันนี้จึงอยากชวนท่านผู้อ่านลองคิดต่อว่า มาตรการ QE ไม่มีที่สิ้นสุดได้จริงหรือ? และปริมาณเงินจากมาตรการ QE นี้กำลังจะไหลไปไหน?

    มาตรการ QE เป็นเครื่องมือด้านงบดุลของธนาคารกลางเพื่อเพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางจะขยายงบดุลด้วยการพิมพ์เงินเพิ่ม (ฝั่งหนี้สิน) เพื่อเอาไปซื้อตราสารทางการเงินระยะกลาง-ยาว เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้เอกชน ไปเก็บไว้ในฝั่งสินทรัพย์ ด้วยแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาตราสารหนี้แพงขึ้นและกดให้อัตราผลตอบแทนลดลงมาได้

    มาตรการ QE จึงเป็นเครื่องมือพิเศษเพิ่มเติมจากเครื่องมืออัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้น เพื่อลดต้นทุนการออกตราสารระยะกลาง-ยาวของรัฐบาล ธุรกิจ และสถาบันการเงิน ซึ่งจะเอื้อต่อการระดมทุนในตลาดทุน และช่วยให้ธนาคารปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำลงได้ด้วย

    ขณะเดียวกัน มาตรการ QE ยังช่วยเพิ่มความมั่งคั่งให้คนที่ถือสินทรัพย์ต่างๆ ตามราคาสินทรัพย์อื่นที่จะพากันปรับสูงขึ้นด้วยเพราะเงินที่อัดฉีดมาในระบบการเงินจะถูกเอาไปลงทุนทางการเงินอีกต่อช่วยกระตุ้นการจับจ่ายในระบบเศรษฐกิจได้อีกทาง

    การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จู่โจมเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วเหลือคณานับ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ญี่ปุ่นยุโรปและอังกฤษต้องเร่งออกมาตรการ QE ที่รวดเร็วและใหญ่กว่าตอนเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2550-2551

    ส่วนหนึ่งอาจเพราะว่า ศึกครั้งนี้เกิดขึ้นตอนที่เครื่องมืออัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว ปรับลดต่อได้อีกไม่มากจึงต้องหันมาใช้เครื่องมือพิเศษนี้มากขึ้น ดูได้จากขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed)ก่อนโควิดระบาดเมื่อปลาย ก.พ.63 ยังอยู่ที่ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ภายในไม่กี่เดือนเพิ่มขึ้นมากว่า 70% เป็น 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือน มิ.ย.63

    มาตรการ QE ไม่มีที่สิ้นสุดได้จริงหรือ? ผู้เขียนเห็นว่าอาจขึ้นกับ
    (1) การขยายขนาดงบดุลด้วยการพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าไปในระบบได้คุ้มเสียหรือไม่ หากคนมองว่าเงินที่พิมพ์ออกมามากมายเช่นนี้ จะช่วยเศรษฐกิจที่กำลังแย่หรือเข้าดูแลตลาดการเงินที่ทำงานไม่ปกติได้ คนที่ถือเงินหรือตราสารของเงินสกุลนี้ก็จะยังเชื่อมั่น สกุลเงินนี้จะคงมูลค่าได้ ไม่เกิดเงินเฟ้อรุนแรงตามมาเพราะคนไม่ต้องการและเอาไปแลกเป็นสกุลเงินอื่นมาถือแทน สำหรับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจพิเศษกว่าใครอยู่ข้อหนึ่ง ตรงที่เป็นสกุลเงินหลักในพอร์ตเงินสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วโลก (global reserve currency) ที่ยังได้รับความเชื่อมั่นและความนิยมอยู่มาก

    (2) ธนาคารกลางอยากจะกดให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะปานกลาง-ยาวต่ำนานเพียงใดและอยากให้ต่ำลงอีกหรือไม่ ปัจจุบันเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลต่ำลงมามากแล้ว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับลดลงมาค่อนข้างมากจากเกือบ 2% เมื่อต้นปี 2563 เหลือแค่ 0.6% ในเดือน ก.ค.63

    (3) ธนาคารกลางที่เข้าไปเป็นเจ้าหนี้ตราสารทางการเงินของบริษัทขนาดกลางและเล็ก โดยตรงเปิดรับเอาความเสี่ยงด้านการกู้ยืม (credit risk) ได้แค่ไหน มีกลไกรองรับและจัดการกับความเสียหายอย่างไรเพื่อให้งบดุลของตัวเองยั่งยืนได้อยู่

    ปริมาณเงินจากมาตรการ QE นี้จะไปไหนต่อ? ที่เห็นได้ชัดคือ เงินนี้กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมหาผลประโยชน์จากเงินทุนต้นทุนถูกในตลาดการเงินประเทศนั้นๆ หลายบริษัทอาจก่อหนี้เกินตัวมากขึ้นโดยเฉพาะ QE ที่เข้าซื้อตราสารหนี้เอกชนโดยตรง จึงอาจทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงเกินจริง ราคาหุ้นสูงขึ้น เกิดภาพลวงตาในตลาดหุ้นประเทศนั้นๆ ที่สำคัญคือเงินนี้อาจไปสร้างภาพลวงตาในตลาดการเงินบ้านอื่นๆในยุคโลกาภิวัตน์ ทางการเงินได้ด้วย การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงินตัวเอง แต่ความต้องการลงทุนใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจยังไม่มากในภาวะนี้ เงินส่วนเกินที่เห็นจะไหลไปประเทศอื่นๆ เพื่อหาผลตอบแทนทางการเงินที่สูงกว่า

    ในยามที่เพื่อนบ้านไขก๊อกเร่งปล่อยเงินไม่สิ้นสุด จนเงินไหลบ่ามาบ้านอื่นๆ เพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่า จึงน่าคิดว่าเงินนั้นจะมาสร้างภาพลวงตาอะไรในบ้านเรา โดยเฉพาะราคาสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อตัดสินใจลงทุนและบริโภคอย่างมีเหตุผลในภาวะดอกเบี้ยต่ำติดดินเช่นนี้ได้ค่ะ.

    โดย ดร.ฐิติมา ชูเชิด ธนาคารแห่งประเทศไทย
    **บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลจึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด**

    Source: ไทยรัฐออนไลน์
    https://www.thairath.co.th/news/business/finance-banking/1897428
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200728_080553.jpg

    (Jul 26) มัลแวร์เรียกค่าไถ่โจมตี Garmin จากไต้หวัน คนร้ายเรียกค่าไถ่ 10 ล้านดอลลาร์ : เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาบริการออนไลน์ของ Garmin ทั้งหมดดับลงกระทบผู้ใช้บริการจำนวนมาก ทั้งผู้ใช้บริการเป็นการส่วนตัวและการใช้งานระดับมืออาชีพอย่างระบบการบิน ทาง Bleeping Computer รายงานรายละเอียดเพิ่มเติมของการโจมตีครั้งนี้ โดยยืนยันว่าเป็นมัลแวร์ WastedLocker ที่พัฒนาโดยกลุ่มแฮกเกอร์รัสเซียที่ชื่อ Evil Corp

    WastedLocker เป็นมัลแวร์เข้ารหัสเรียกค่าไถ่ที่ออกแบบเพื่อโจมตีธุรกิจโดยเฉพาะ ตัวมัลแวร์มุ่งโจมตีเซิร์ฟเวอร์แชร์ไฟล์, ระบบฐานข้อมูล, และคลาวด์หรือระบบจัดการ virtual machine โดยมัลแวร์จะถูกปรับแต่งเพื่อเป้าหมายแต่ละรายเป็นการเฉพาะ โดยชื่อไฟล์ที่เข้ารหัสจะถูกปรับให้ตรงกับชื่อบริษัท เช่นกรณี Garmin เองไฟล์เข้ารหัสจะเป็นนามสกุล .garminwasted ไฟล์ตัวอย่างของ WastedLocker เวอร์ชั่นโจมตี Garmin ถูกอัพโหลดเข้า VirusTotal แล้ว ข้อมูลไฟล์แสดงให้เห็นเวลาสร้างไฟล์วันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา

    ทาง Bleeping Computer อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวระบุว่าการโจมตีครั้งนี้เริ่มจากไต้หวัน และ Evil Corp เรียกค่าไถ่จาก Garmin ถึง 10 ล้านดอลลาร์ กระบวนการรับมือการโจมตีครั้งนี้ฝ่ายไอทีของบริษัทสั่งให้พนักงานปิดเซิร์ฟเวอร์ในศูนย์ข้อมูลทันที (hard shutdown) เพื่อหยุดกระบวนการโจมตี

    Source: Blognone.com
    https://www.blognone.com/node/117662
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PSX_20200728_081041.jpg

    (Jul 26) เปิดเส้นทาง'ชายสิงคโปร์' ล้วงความลับสหรัฐขายจีน : การใช้สายลับล้วงข้อมูลรัฐบาลต่างชาติเป็นเรื่องที่ทำกันมาทุกยุค ทุกสมัย ในช่วงที่สหรัฐกับจีนขัดแย้งกันหนัก ก็มีการใช้วิธีนี้ ชายสิงคโปร์ยอมรับสารภาพแล้วว่า ใช้บริษัทที่ปรึกษาทางการเมืองในสหรัฐ บังหน้าเก็บข้อมูลข่าวกรองให้จีน

    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเผยเมื่อวันศุกร์ (24 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นว่า จุน เว่ยโหยว หรือ ดิคสัน โหยว ชายชาวสิงคโปร์ สารภาพกับศาลรัฐบาลกลางในวอชิงตัน ข้อหาดำเนินการผิดกฎหมายในฐานะสายลับต่างชาติ

    เอกสารรับสารภาพระบุ โหยว ยอมรับว่า ทำงานให้หน่วยข่าวกรองจีนระหว่างปี 2558-2562 ด้วยการตรวจสอบและประเมินชาวอเมริกันจากข้อมูลที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ เช่น เจ้าหน้าที่รัฐบาลและทหารที่เข้าถึงชั้นการรักษาความปลอดภัยในระดับสูง

    โหยวจ่ายเงินให้คนเหล่านั้นเขียนรายงานโดยบอกว่าส่งให้ลูกค้าในเอเชีย แต่จริงๆ แล้วส่งไปให้รัฐบาลจีน

    คำสารภาพเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวส์ตัน อ้างว่าเป็นศูนย์รวมการล้วงข้อมูลขโมยเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ โดยช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาสหรัฐยังจับกุมนักวิชาการจีน 4 คน ในข้อหาให้ข้อมูลเท็จในการยื่นขอวีซ่า เพื่อปกปิดความเกี่ยวข้องกับกองทัพ ปลดปล่อยประชาชนจีน (พีแอลเอ)

    คำแถลงข้อเท็จจริงที่โหยวลงนามและยื่นต่อศาล เขายอมรับว่ารู้มาตลอดว่ากำลังทำงานให้หน่วยข่าวกรองจีน ได้พบกับสายลับหลายคนเป็นเวลาหลายสิบครั้ง ทั้งยังได้รับการปฏิบัติอย่างดีเมื่อเดินทางไปประเทศจีน

    คำสารภาพเกิดขึ้น 5 สัปดาห์ หลังจากการฟ้องร้องโหยวถูกเปิดเผย ด้วยข้อหากำกวมว่าเขากระทำการผิดกฎหมายเป็นสายลับให้รัฐบาลต่างชาติแต่ไม่ระบุว่าชาติใด

    โหยวถูกจับกุมหลังจากเดินทางมาสหรัฐในเดือน พ.ย.2562 เขาได้รับการคัดสรร เข้าทำงานกับหน่วยข่าวกรองจีนตั้งแต่เป็นนักวิชาการให้มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (เอ็นยูเอส) ทำวิจัยและเขียนรายงานเกี่ยวกับโครงการริเริ่ม "สายแถบและเส้นทาง" (บีอาร์ไอ) ของจีน

    ตามข้อมูลจากเพจลิงค์อินโหยวทำงานเป็นนักวิเคราะห์ความเสี่ยงทาง การเมืองเน้นจีนและประเทศอาเซียน กำลังทำหน้าที่"เชื่อมต่ออเมริกาเหนือกับ ปักกิ่ง โตเกียว และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"

    เอกสารที่ยื่นต่อฟ้องต่อศาลในสหรัฐ ระบุว่า โหยวถูกบงการโดยหน่วยข่าวกรองจีนให้ เปิดบริษัทที่ปรึกษาบังหน้าแล้วจ้างคนมาทำงาน

    เขาได้รับประวัติการทำงานกว่า 400 คน 90% มาจากกองทัพหรือบุคลากรของรัฐบาลสหรัฐ ที่เข้าถึงระดับชั้นความปลอดภัยได้

    เมื่อเห็นว่าคนไหนน่าสนใจ โหยว ส่งประวัติการทำงานต่อให้ผู้จัดการชาวจีน ซึ่งโหยวได้คัดเลือกคนมาทำงานด้วย จำนวนหนึ่ง พุ่งเป้าคนที่มีปัญหาทางการเงิน เช่นพลเรือนรายหนึ่งที่ทำโครงการเครื่องบิน ทิ้งระเบิดล่องหน เอฟ-35 บีของกองทัพอากาศ เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมที่เคยทำงานในอัฟกานิสถาน และเจ้าหน้าที่กระทรวง การต่างประเทศ ทั้งหมดได้รับค่าเขียนรายงานให้โหยวมากถึง 2,000 ดอลลาร์

    จอห์น เดเมอร์ส ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงว่า โหยวใช้เว็บไซต์เครือข่ายอาชีพและบริษัทที่ปรึกษาปลอมล่อใจคนอเมริกันที่สนใจรัฐบาลจีน

    "นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งชี้ให้เห็นการฉกฉวยประโยชน์ของรัฐบาลจีน จากความเปิดกว้างของสังคมอเมริกัน" เดเมอร์สสรุป

    เว็บไซต์แชนเนลนิวส์เอเชีย เปิดเส้นทาง ของโหยวจากนักศึกษาปริญญาเอกที่เอ็นยูเอส จนไปทำงานให้หน่วยข่าวกรองจีนที่สหรัฐได้

    ตามข้อมูลของศาลสหรัฐ โหยวเริ่มทำงานให้จีนตั้งแต่ต้นปี 2558 ตอนที่เขาเดินทางไปกรุงปักกิ่ง เพื่อไปนำเสนอเรื่องสถานการณ์การเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนั้นเขากำลังศึกษาปริญญาเอกด้านนโยบายสาธารณะที่เอ็นยูเอส

    เมื่อนำเสนอเสร็จก็มีกลุ่มบุคคลอ้างว่าเป็นกลุ่มคลังสมองในจีนมาชวนให้เขียนรายงานทางการเมืองแลกกับค่าตอบแทน

    "โหยวเข้าใจว่า บุคคลในกลุ่มอย่างน้อย 4 คน เป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของรัฐบาลจีน ในหน่วยปฏิบัติการหนึ่ง ต่อมามีคนหนึ่งขอให้ โหยวเซ็นสัญญากับพีแอลเอ เขาปฏิเสธแต่ยังทำงานให้หน่วยปฏิบัติการนี้ต่อและทำให้หน่วยปฏิบัติการข่าวกรองจีนหน่วยอื่นๆ ด้วย"

    หน่วยปฏิบัติการนี้มอบหมายให้โหยว ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และความสัมพันธ์ทางการทูต โดยบอกว่าต้องการ "ข้อมูลที่ไม่เปิดเผย" จำพวกข่าวลือหรือเรื่องซุบซิบ

    "ตอนแรกภารกิจที่โหยวได้รับมอบหมาย มุ่งเน้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมา กลายเป็นเน้นสหรัฐ แม้ว่าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองจีน เหล่านี้จะใช้ชื่อปลอมในการติดต่อกับโหยว แต่พวกเขาเปิดเผยเรื่องการติดต่อกับรัฐบาลจีน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอกโหยวว่า เขาและหัวหน้าทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองหลักของจีน

    ครั้งหนึ่งตอนที่โหยวเดินทางไปจีน เขาได้พบกับเจ้าหน้าที่ทีมนี้และคนอื่นๆ อีก 2 คนที่ห้องพักในโรงแรม ระหว่างนั้น ทีมแนะนำให้โหยวหาข้อมูลที่ไม่เปิดเผย ต่อสาธารณะ เกี่ยวกับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ

    เขาได้พบกับทีมงานหลายที่ทั่วประเทศจีน และพบกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองจีนคนหนึ่ง ราว 19-20 ครั้ง พบเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งราว 25 ครั้ง

    ทุกครั้งที่โหยวไปประชุมที่จีน เขาไม่ต้อง เข้าแถวรอตรวจพิธีการด้านศุลกากร แต่จะถูก นำตัวไปอีกหน่วยหนึ่ง เขาสอบถามเจ้าหน้าที่ ข่าวกรอง ได้คำตอบว่า พวกเขาอยากให้โหยว ปิดบังตัวตนเมื่อมาจีน

    โหยวใช้โซเชียลมีเดียหาและรับสมัครพลเมืองสหรัฐที่สามารถให้ข้อมูลแก่เขาได้ ปี 2561 เจ้าหน้าที่ข่าวกรองจีนสั่งให้เขาเปิดบริษัทที่ปรึกษาปลอม และประกาศรับสมัครงานบนเว็บไซต์หางานออนไลน์

    "โหยวเล่าว่า อัลกอริธึมของเว็บทำงานไม่หยุดไม่หย่อน โหยวเช็กเว็บเกือบทุกวัน เพื่อดูว่ามีใครน่าสนใจที่อัลกอริธึมแนะนำมาให้บ้าง ต่อมาโหยวบอกกับตำรวจสหรัฐว่า ความรู้สึกเหมือนเสพติด"

    ส่วนชีวิตในสหรัฐนั้น โหยวอาศัยอยู่ใน วอชิงตันตั้งแต่ราวเดือน ม.ค.2562 ถึง ก.ค.ปีเดียวกัน นอกจากรับสมัครคน บนโลกออนไลน์แล้ว เขาเข้าร่วมอีเวนท์หลายรายการ และปาฐกถาในงานของกลุ่ม คลังสมองในดีซี ติดต่อกับคนมากมายตั้งแต่ บริษัทล็อบบีไปจนถึงบริษัทขายอาวุธ

    เขาได้รับคำสั่งว่าอย่าติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ข่าวกรองจีนขณะอยู่ในสหรัฐ ด้วยเกรงว่าฝ่ายสหรัฐจะจับได้ หากต้องการส่งอีเมลให้ส่งจากร้านกาแฟในท้องถิ่น เวลาไป สหรัฐอย่านำโทรศัพท์หรือโน้ตบุ๊คไปด้วย

    เขายังได้รับบัตรเครดิตใบหนึ่งไว้จ่ายเงิน ค่าข้อมูลที่ชาวอเมริกันส่งมาให้ เมื่อโหยว อยู่นอกสหรัฐเขาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ข่าวกรองจีนผ่านวีแชต

    เขาถูกขอให้ใช้โทรศัพท์หลายเครื่อง เปลี่ยนบัญชีวีแชตทุกครั้งที่ติดต่อเจ้าหน้าที่จีน

    "โหยวไม่ได้แจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐทราบว่า เขากระทำการในสหรัฐในฐานะสายลับรัฐบาลต่างชาติ หรือเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติ" เอกสารศาลระบุ ความผิดของเขามีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ศาลสหรัฐจะพิพากษาในวันที่ 9 ต.ค.

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/891035

    เพิ่มเติม
    - Singapore man admits being Chinese spy in US : https://www.bbc.com/news/world-us-canada-53534941
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1595898761759.jpg

    (Jul 26) สิทธิประโยชน์ทางภาษี (หรือที่ได้ยินกันบ่อยครั้งว่า สิทธิประโยชน์ BOI) เป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลนิยมใช้ในการดึงดูด FDI จากต่างชาติเพื่อส่งเสริมการพัฒนาของประเทศ อย่างไรก็ตามหนึ่งในคำถามสำคัญคือ รายได้ภาษีของรัฐที่หายไป หรือ ต้นทุนทางการคลังของสิทธิประโยชน์ภาษีเหล่านี้มีขนาดเป็นอย่างไร

    บทความวิจัยเรื่อง “Assessing Tax Burden Differential Between Foreign Multinationals and Local Firms: Implications for FDI Tax Incentives” ศึกษางบการเงินของบริษัทต่างชาติและบริษัทท้องถิ่นใน ASEAN5 (มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไทย) โดยใช้วิธี Propensity score matching

    งานวิจัยพบว่า
    - บริษัทต่างชาติมีอัตราภาษีที่แท้จริง (Effective tax rate) ต่ำกว่าบริษัทท้องถิ่น 1.8 percentage point ซึ่งในกรณีของประเทศไทยนั้น 95% ของส่วนต่างภาระภาษีนี้เป็นผลจากการได้รับสิทธิประโยชน์ BOI โดยภายใต้กรณีฐานนั้น ต้นทุนทางการคลังนี้คิดเป็นสัดส่วน 2.6% ของรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลใน ASEAN5 โดยมีสัดส่วนต่ำสุด (2.1%) ในฟิลิปปินส์ และสูงสุด (3.6%) ในประเทศไทย

    โดย ผศ. ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ
    บทความวิจัยฉบับเต็มได้ที่ https://www.pier.or.th/wp-content/u...KvXvhARgVOjy5-t9pgFRCQqaaOjdcE_65ah0YvvfL5l84

    Source: PIER FB
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไร้ผู้ป่วย 100 วัน
    “โควิด” ก็กลับมาใหม่ได้
    บทเรียนสำคัญจาก “เวียดนาม”


    เวียดนาม ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการจัดการโควิด – 19 ที่ได้รับการยกย่องไปทั่วโลก เพราะแม้จะเป็นหนึ่งในประเทศแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของภูมิภาคนี้ ซ้ำยังมีชายแดนติดต่อกับจีน และมีอัตราประชากรค่อนข้างหนาแน่น สูงถึง 97 ล้านคน แต่กลับจัดการโรคนี้ได้อยู่หมัด นับตั้งแต่เดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ทั้งเวียดนาม มีผู้ป่วยเพียง 418 คน โดยเป็นการติดเชื้อกันเองภายในประเทศ ไม่ถึง 300 คน อยู่ในลำดับที่ 161 ของโลก ไม่มีผู้เสียชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว
    .
    ในเวลานั้น หลายคนตั้งข้อกังขาว่า อาจเป็นเพราะประเทศสังคมนิยมแบบเวียดนามนั้นปิดข่าว ซ่อนตัวเลขที่แท้จริง และมีการระบาดไปทั่ว แต่จัดการใส่ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ให้ป่วยด้วยโรคอื่น
    .
    อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปนานหลายเดือน จำนวนเทสต์วิ่งขึ้นไปถึง 2.75 แสนเทสต์ (ของไทยเยอะกว่ามาก อยู่ที่ 6.85 แสนเทสต์) ซ้ำยังไม่มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้ และไม่มีการป่วยด้วยโรค “ปอดอักเสบ” อย่างผิดปกติเพิ่ม ก็สะท้อนชัดว่า เวียดนาม อาจ “เอาชนะ” โควิด – 19 ได้จริงๆ ด้วยการปิดชายแดนติดต่อกับจีนตั้งแต่เนิ่นๆ การเริ่มปิดเมือง ล็อกดาวน์พื้นที่ที่เป็น “จุดเสี่ยง” ทันที สกรีนคนที่เข้าผ่านทางสนามบินให้กักตัว 14 วัน ด้วยสถานกักตัวของรัฐ เป็นประเทศแรกๆ ของภูมิภาคนี้ ก็ทำให้โรคนี้เข้าไปไม่ถึงเมืองใหญ่ และทำให้เชื้อไวรัสไม่กระจายตัวออกไปทั่วประเทศ
    .
    ตัวอย่างสำคัญ ก็คือเมื่อโควิด – 19 เข้าไปในเขต ชอน ลอย ชานเมืองทางเหนือของฮานอย รัฐบาลเวียดนาม ก็สั่งปิดเขตพื้นที่ ห้ามเข้า - ออก จากจุดดังกล่าวอย่างเคร่งครัดทันที 2 สัปดาห์ นับตั้งแต่เดือน ก.พ. ซึ่งในเวลานั้น แม้แต่ไทย ก็ยังไม่กล้าใช้วิธีดังกล่าว
    .
    นอกจากนี้ บทเรียนสำคัญจากโรคซาร์ส เมื่อ 16 ปีที่แล้ว ซึ่งเวียดนามมีผู้ติดเชื้อ 63 คน และมีผู้เสียชีวิต 5 คน ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าโรคซาร์สคืออะไร เพราะ “จีน” ปิดข่าว ก็ทำให้เวียดนามตั้งการ์ดสูงตั้งแต่ต้น ตั้งแต่วันที่ยังไม่มีการค้นพบว่าโรคนี้สามารถติดต่อจาก “คนสู่คน” ได้ ไม่รอคำแถลง ไม่รอหลักปฏิบัติอย่างเป็นทางการจากองค์การอนามัยโลก ซ้ำยังส่งเจ้าหน้าที่แบบ “หว่านแห” ลงไปทำ Contact Tracing ในทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ก็ทำให้เวียดนามตบ “กราฟ” ผู้ป่วยได้ทันที นับตั้งแต่ยังไม่ขึ้นสูง
    .
    เป็นเรื่องราวของความสำเร็จอันน่าทึ่ง สำหรับประเทศกำลังพัฒนา และมีจำนวนหมอ - บุคลากรสาธารณสุข และระบบสุขภาพ ที่อาจไม่ได้พร้อมเหมือนกับประเทศอื่น การหยุดโรคนี้ไว้ตั้งแต่ยังไม่มีผู้ป่วยมากนัก ได้ทำให้ระบบสาธารณสุขเวียดนาม สามารถรับมือได้แบบสบายๆ และเริ่มกระบวนการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศได้ก่อนใคร
    .
    ทำให้สถานการณ์ในเวียดนาม คล้ายกับใน “ไต้หวัน” อีกหนึ่งชาติที่ประสบความสำเร็จจากการตั้งการ์ดสูงตั้งแต่ต้น ทำให้ไม่มีปัญหาตามมา ทั้งเรื่องการขาดแคลนชุด PPE ขาดแคลนหน้ากาก หรือต้องเสริมเตียงเพื่อรับมือกับการระบาดขนาดใหญ่
    .
    อย่างไรก็ตาม เมื่อประเทศอื่น เริ่มเผชิญกับการระบาดระลอกใหม่ เวียดนามก็ไม่ได้ต่างกัน วันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา หลังจากครบ 100 วัน ที่ไม่มีผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศเลยแม้แต่คนเดียวนับตั้งแต่เดือนเม.ย. รมว.สาธารณสุขเวียดนาม ก็แถลงว่าพบ “เคสใหม่” จากการติดต่อภายในประเทศที่เมืองดานัง เป็น “คุณตา” วัย 57 ปี ที่ไม่มีประวัติเดินทางออกนอกประเทศ และใช้เวลาส่วนใหญ่เลี้ยงหลานอยู่ที่บ้าน
    .
    นั่นทำให้มาตรการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด ต้องหยิบขึ้นมาบังคับใช้อีกครั้ง รัฐบาลเวียดนามรีบแถลงให้คนเวียดนาม กลับมาใส่หน้ากากอนามัยครั้งใหญ่ ขณะเดียวกัน ก็เกิดความ “ตื่นตระหนก” ขึ้นในประเทศทันที ผู้คนจำนวนมากที่จองทริปไปเที่ยวดานัง เมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ - ธรรมชาติมากมาย ก็รีบแคนเซิลไฟลท์ แคนเซิลโรงแรมทันที เพราะเกรงว่าอาจต้องค้างเติ่งอยู่ในดานัง หรืออาจต้องกักตัว 14 วัน ก่อนกลับไปทำงาน..
    .
    สำหรับคุณตาวัย 57 คนดังกล่าวนั้น เริ่มด้วยอาการ “ไอ” และ “มีไข้” ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. ก่อนจะแอดมิตในโรงพยาบาลที่ดานัง วันที่ 20 ก.ค. โดยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค “ปอดบวม” พบสัญญาณป่วยด้วยอาการปอดอักเสบ ทั้งยังมีอาการของโรคระบบทางเดินหายใจค่อนข้างรุนแรง ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจทันที โดยโรงพยาบาลในดานัง ต้องขอให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบินมาจากนครโฮจิมินห์ เพื่อรักษาผู้ป่วยรายนี้
    .
    โรงพยาบาล เทสต์โรคโควิด – 19 และให้ผลใกล้เคียงว่าเป็น “บวก” ตั้งแต่เริ่มแรก แต่ทั้งผู้บริหารโรงพยาบาล และกระทรวงสาธารณสุข ต่างก็ไม่มั่นใจกับผลดังกล่าว เพราะคุณตา ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ระบาด ไม่เคยเดินทางไปไหน มีการตรวจเชื้อซ้ำถึง 4 รอบ จนยืนยันผลว่ามีเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 จริง เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา สร้างความตกตะลึงให้กับทั้งประเทศ
    .
    เวียดนาม ต้องงัดมาตรการเดิมกลับมาใช้ใหม่ 50 ผู้สัมผัสที่ใกล้ชิดถูกแยกตัวออกมาทันที นอกจากนี้ ตัวเลขผู้สัมผัสทั้งหมด 103 คน ก็ถูกส่งตรวจเชื้ออย่างเร่งด่วน เบื้องต้น ผลออกมาเป็นลบ ขณะที่ ประชาชนอีกกว่า 1.2 หมื่นคน ในละแวกใกล้เคียง ถูกปิดกั้นพื้นที่ คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า ตามไปด้วย
    .
    แน่นอน เรื่องของคุณตาคนดังกล่าวทำให้รัฐบาลต้อง “ปวดหัว” อีกครั้ง เพราะเวียดนามกำลังกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศ และกำลังจะเปิดการเดินทางระหว่างประเทศในช่วงเวลาอันใกล้นี้ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งคาดกันว่าปีนี้เวียดนาม GDP ของเวียดนามจะโตเพียง 3.8% จากปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 7%
    .
    เรื่องทั้งหมด ยิ่งทำให้เห็นว่าโรคนี้ มีความ “ลึกลับ” อยู่ในตัวเอง และตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีน บทจะปรากฏเมื่อไหร่ แม้ประเทศนั้น จะจัดการได้ดีมากแค่ไหน ก็สามารถปรากฏขึ้นได้ โดยที่ไม่รู้ตัวทั้งนั้น

    #COVID19 #โควิด19 #เวียดนาม

    อ้างอิงจาก

    https://www.scmp.com/news/asia/sout...avirus-high-alert-after-first-local-infection

    https://www.nytimes.com/2020/07/25/world/asia/coronavirus-vietnam.html

    https://edition.cnn.com/2020/05/29/asia/coronavirus-vietnam-intl-hnk/index.html

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ย้อนมองเรื่องชุลมุนกลางโควิด
    หน้ากาก – ชุดตรวจฯ – หัวคิวโรงแรม
    ไม่มีคนผิดสักคน…


    หากย้อนกลับไปมองตั้งแต่วันที่โควิด – 19 ระบาดหนักเมื่อต้นปีที่แล้ว ก็จะพบว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลหลายเรื่อง เกิดขึ้นกลาง “สมรภูมิ” การสู้รบกับเชื้อไวรัส จนนำมาซึ่งการแต่งตั้งกรรมการหลายชุด เพื่อควานหาทั้งนักการเมือง ทั้งข้าราชการที่อาจมีเอี่ยวกับการ “คอร์รัปชัน” ที่หากินกับทรัพยากรที่ขาดแคลนในช่วงวิกฤต
    .
    อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้ หลายเรื่องยังคงดำมืด แทบทุกเรื่อง เงียบหายไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป ราวกับว่าไม่มีคนผิดเลยสักคน.. Gossipสาสุข พาไปย้อนดูเรื่องชุลมุนเหล่านี้ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร มีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง และความคืบหน้าล่าสุดนั้น อยู่ตรงไหน
    .
    (1) หน้ากากล่องหน

    ทันทีที่จีนเริ่มปิดเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย และมีการประกาศจากองค์การอนามัยโลก ว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ สามารถติดต่อได้จาก “คนสู่คน” ช่วงปลายเดือน ม.ค. หน้ากากอนามัยในไทย ก็กลายเป็นของหายากไปทันที ช่วงพีคที่สุด หน้ากากเขียวธรรมดาชิ้นหนึ่งราคาขึ้นไปสูงถึง 35-70 บาท หน้ากาก N95 ราคาขึ้นไปเหยียบร้อย ซ้ำยังกลายเป็นของที่ไม่มีขายตามท้องตลาดไปทันที ช่วงปลายเดือน ก.พ. หลังมีการติดเชื้อจากผู้สูงอายุ ที่เดินทางกลับจากฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น
    .
    เวลานั้น จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ยืนยันว่าไทยจะไม่เผชิญกับภาวะ “ขาดแคลน” หน้ากาก วิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ระบุว่าไทยมีหน้ากากอนามัยในสต็อกกว่า 30 ล้านชิ้น จากโรงงานทั่วประเทศ
    .
    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับตรงกันข้าม นอกจากคนทั่วไปจะไม่สามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยได้ตามท้องตลาดแล้ว บุคลากรทางการแพทย์ยังต้องประกาศรับบริจาคหน้ากากผ่านโซเชียลมีเดีย แม้กระทรวงพาณิชย์จะประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็น “สินค้าควบคุม” ท่ามกลางข่าวลือว่ามี “นักการเมือง” บางคนกว้านซื้อหน้ากากอนามัยล็อตใหญ่ เพื่อกักตุน นำไปขายตามท้องตลาดในราคาแพงลิบลิ่ว และบางส่วนส่งออกไปต่างประเทศ รวมถึงมีหลักฐานการส่งออกหน้ากากไปต่างประเทศจริง นำมาซึ่งการฟ้องร้องระหว่างกรมศุลกากร และกรมการค้าภายใน ร้อนถึงรัฐบาลต้องออกมายุติศึก
    .
    เรื่องนั้นซับซ้อนเข้าไปอีก หลังมี “ภาพหลุด” ว่ามีนักธุรกิจบางคน “สต็อก” หน้ากากไว้หลายพันหลายหมื่นชิ้น ท่ามกลางข่าวลือว่ามี “นักการเมือง” บางคนไฟเขียวให้ปล่อยหน้ากากอนามัยออกไปในตลาดมืด ด้วยการกิน “ส่วนต่าง” ราคาหน้ากากจนเงินไหลเข้าบัญชีไปอื้อซ่า
    .
    ร้อนถึงรัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน ในระดับกระทรวงพาณิชย์ โดยมีปลัดกระทรวงเป็นประธาน ผลสอบที่ตามมาในวันที่ 12 พ.ค. ช่วงที่สถานการณ์โรคโควิด – 19 เริ่มคลี่คลายแล้ว ไม่พบว่ามีใครผิด การบริหารจัดการไปตามระเบียบราชการทั้งหมด เช่นเดียวกับคณะกรรมการสอบสวนของพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ที่กำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ ก็ไม่พบว่ามี “สมาชิกพรรค” เกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากเช่นกัน
    .
    เช่นเดียวกับชุดสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ตรวจสอบพบเพียง “ปลาซิวปลาสร้อย” อย่างกลุ่มนักธุรกิจ และแก๊งชาวจีน ที่กักตุนหน้ากากเท่านั้น ยังไม่สามารถสาวไปถึงผู้อยู่เบื้องหลัง หรือเอาผิดใครที่ลือกันว่าเป็น “ไอ้โม่ง” อยู่เบื้องหลังได้ ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นปริศนาถึงวันนี้ว่า ในเมื่อไม่มีใครผิด แล้วหน้ากากที่ผลิตออกมามหาศาลนั้น “รั่ว” ไปไหนหมด
    .
    ต้องใช้เวลาหลังจากนั้นอีกราว 1 – 2 เดือนกว่าสถานการณ์ขาดหน้ากากจะเป็นปกติ แต่ราคาหน้ากากที่ชิ้นละ 2.5 บาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์ ประกาศว่า “ควบคุม” ได้นั้น จนถึงปัจจุบัน ก็ยังหาซื้อแทบไม่ได้ และแม้แต่โรงพยาบาล คลินิก หลายแห่ง ก็ยังต้องซื้อหน้ากากอนามัย ในราคาที่สูงกว่าปกติ จนถึงขณะนี้
    .
    (2) ใครกินหัวคิวชุดตรวจ

    หลังจากเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จ จากการระดมตรวจโรคโควิด - 19 ด้วยชุดตรวจเร่งด่วนแบบ Rapid Test จนสามารถจำกัดวงการระบาดได้นั้น หลายประเทศก็เริ่มเสาะแสวงหาชุดตรวจมาใช้บ้าง โดยไทย ได้เร่งรีบจัดหาชุดตรวจผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และผ่านกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
    .
    แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อรัฐบาลสเปน ตรวจสอบพบว่าชุดตรวจยี่ห้อ Bioeasy ของบริษัท เซิ่นเจิ้น ไบโออีซี เทคโนโลยี ใช้ไม่ได้ผล จนต้องยกเลิกคำสั่งซื้อ ไทยก็ตรวจสอบพบเช่นเดียวกันว่า ได้สั่ง “ชุดตรวจ” ดังกล่าวมาเหมือนกัน รวมถึงได้ผ่านการทดสอบเบื้องต้นแล้วด้วย..
    .
    ขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องแทรกซ้อน ฐานเศรษฐกิจ ลงข่าวว่ามี “นักการเมืองใหญ่” ในกระทรวงสาธารณสุข ใช้ชื่อว่า “หมอ น.” กินหัวคิว ค่านำเข้าเครื่องมือแพทย์ครั้งละ 5 ล้านบาท และเอกชนผู้นำเข้าน้ำยาตรวจ ก็ต้องจ่ายค่าหัวคิวเช่นเดียวกัน จนทำให้มีแต่เอกชน “หน้าเดิม” ไม่กี่ราย ที่เป็นผู้นำเข้าชุดตรวจ น้ำยาตรวจเหล่านี้ และเป็นเหตุแห่งความขาดแคลนชุดตรวจ ช่วงพีคของโควิด – 19 ที่ไทย มีผู้ป่วยขึ้นเป็นหลักร้อยต่อวัน ช่วงเดือน มี.ค. - เม.ย.
    .
    อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ในฐานะเจ้าของเรื่อง ตั้งกรรมการสอบทันที โดยให้ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีชุดตรวจโควิด-19 Rapid Test ว่าการจัดซื้อ “มีปัญหา” ได้อย่างไร และมีการทุจริตจริงหรือไม่
    .
    อย่างไรก็ตาม ผ่านมา 3 เดือนเศษ คณะกรรมการชุดนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบ และสังคมก็ค่อยๆ ลืมเลือนไปพร้อมๆ กับสถานการณ์ไวรัสที่คลี่คลายลง
    .
    แม้ไทยจะถูกวิพากษ์จากนานาชาติอยู่บ้างว่า “ตรวจน้อย” เกินไป แต่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 ยืนยันว่าไทยตรวจได้มากพอแล้ว และไม่มีปัญหาเรื่องชุดตรวจอีกต่อไปแล้ว และเมื่อเรื่อง “หัวคิว” เงียบไป ก็ไม่มีใครสนใจหาไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังอีก...
    .
    (3) คนกระทรวงหมอ “ไถ” State Quarantine

    ช่วงปลายเดือน พ.ค. ภาคเอกชนท่องเที่ยวเมืองพัทยา และ จ.ชลบุรี ได้ส่งข้อมูลไปยังศูนย์ ศบค. ว่ามีการเรียกค่าหัวคิว 30-40% กับโรงแรมที่แจ้งความจำนง จะเข้าร่วมเป็นสถานที่กักกันตัวของรัฐ หรือ State Quarantine เพื่อรองรับคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ
    .
    มีรายงานว่า “ไอ้โม่ง” บางคน นัดคุยกับโรงแรมด้วยตัวเอง ขอให้หักเงิน จากที่โรงแรมได้คืนละ 1,000 บาท หักไป 400 บาท ให้กับ “เจ้าหน้าที่สาธารณสุข” ทุกเดือน รวมถึงต้องจ่ายค่าคอมมิชชันด้วย หากยินยอมพร้อมใจ เข้าร่วมโครงการ
    .
    หลังจากเรื่องเริ่มแดง ศบค. และกระทรวงกลาโหม ก็ปฏิเสธความเกี่ยวข้องทันที ส่วนกระทรวงสาธารณสุขนั้นปฏิเสธความเกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะถือเป็น “ด่านหน้า” ในการประเมินความพร้อมโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ กระทั่งมีชื่อตัวย่อ “พ” เล็ดรอดออกมา ว่าเป็นผู้จัดการ “เรียกเงิน” จากโรงแรมทั้งหมด เล่นเอาเจ้ากระทรวงอย่าง “อนุทิน” เต้นผาง
    .
    จนกระทรวงกลาโหม ออกมายอมรับว่ามีการกระทำดังกล่าวจริง และเตรียมเอาผิดต่อไป แต่ไปๆ มาๆ คนเรียกหัวคิว จากเดิมที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ กลับกลายเป็นเรื่องของ “เอกชน” เป็นกลุ่ม “เซลส์” ทำกันเอง 8-9 คน และกล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแทน
    .
    เรื่องนี้จบด้วยการค่อยๆ เงียบหายไปตามลำดับเช่นเดียวกับเรื่องอื่น สิ้นสุดที่การเตรียม “แจ้งความ” จากกระทรวงสาธารณสุขในช่วงสิ้นเดือน พ.ค. และไม่มีความคืบหน้าใดๆ ไม่มีใครผิด เฉกเช่นเดียวกับเรื่องอื่น จนถึงวันนี้...

    #COVID19 #โควิด19 #หน้ากากอนามัย #ชุดตรวจโควิด #StateQuarantine

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฝ่าด่านป้องกัน covid 19 ไทยง่ายนิดเดียว
    .
    พออ่านและคิดลึกๆเรื่องนี้ไม่ตลกและเป็นเรื่องที่น่ากลัว ชาวมุสลิมกัมพูชากล่าวนี้เข้าไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย แต่เนื่องจากการระบาดของ covid 19 พวกเขาจึงลักลอบผ่านพรมแดนธรรมชาติเข้ามายังประเทศไทยทาง อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ก่อนจะไปถูกจับตัวและดำเนินคดีที่จังหวัดสระแก้ว
    พวกเขาผ่านด่านกักกันโรคทั้งสิ้นเป็นระยะทาง 1,400 กม. ด่านป้องกัน covid 19 ประเทศไทยผ่านได้ง่ายขนาดนี้เลยหรือ?
    ..
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเส้นทางและวิธีการหลบหนีเข้าเมืองของแรงงานกลุ่มนี้ จนสามารถเดินทางจากชายแดนประเทศมาเลเซียมายังชายแดนคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้นั้น ชาวกัมพูชามุสลิมทั้ง 26 คน ได้ใช้วิธีการเดินทางจากมาเลเซียลักลอบเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติ ด้าน อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส เสียค่าเดินทางจากมาเลเซียมาสุไหงโกลก 300 บาท หลังลักลอบเข้าไทยที่สุไหงโกลก และเดินทางด้วยรถตู้ 2 คันมา กทม.เสียค่ารถคนละ 1,000 บาท และเดินทางต่อด้วยรถตู้อีก 2 คัน จาก กทม. มาที่หน้าตลาดโรงเกลือ คนละ 300 บาท มาลงที่ด้านหลัง ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาโรงเกลือ เมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสระแก้ว ระบุว่า แรงงานเหล่านี้เดินทางไปทำงานที่มาเลเซียอย่างถูกต้องด้วยพาสปอร์ต โดยผู้ชายทำงานอาชีพช่างก่อสร้าง ได้ค่าแรงวันละ 300-350 บาท/วัน ส่วนผู้หญิง ทำงานเย็บผ้าและแม่บ้าน เนื่องจากแรงงานทั้งหมดมีหนังสือเดินทาง ทำให้ระหว่างเดินทางจึงไม่ถูกจับกุม เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจการลงตราอย่างละเอียด เมื่อถูกจับกุมและพบว่าไม่ใช้หนังสือเดินทางในการเข้า-ออกอย่างถูกต้อง จึงต้องมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนการตรวจสอบเชื้อไวรัสโควิด-19 เจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจคัดกรองและวัดอุณหภูมิแล้วอยู่ในเกณฑ์ปกติ

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีเปิดห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยมีพลเอกกัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ในฐานะกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และประธานกรรมการสถาบันที่ปรึกษาการบริหารระบบคุณภาพโรงพยาบาล เป็นประธานในพิธี เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2563 ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้มีห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ได้จัดทำโครงการ 1 จังหวัด 1 แล็บ 100 ห้องปฏิบัติการ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จึงได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) เพิ่มศักยภาพการตรวจคัดกรองในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน ซึ่งขณะนี้ ตรวจได้ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 8 จังหวัดอุดรธานี และโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการตรวจคัดกรอง สามารถค้นหาผู้ติดเชื้อ จำกัดวงการระบาดได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด 19 มีห้องความดันลบพร้อมรับผู้ป่วยหนัก 6 เตียง และเตียงรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง 50 เตียง พร้อมครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ

    สำหรับห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน เป็นห้องปฏิบัติการต้นแบบแห่งแรกของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และโรงพยาบาลชุมชนของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนองพระบรมราโชบายในการดูแลสุขภาพพสกนิกรด้วยคุณภาพและอย่างทั่วถึงจากโรคระบาดในครั้งนี้ มีเครื่องมือประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อโรคโควิด 19 ทราบผลได้ภายใน 3-5 ชั่วโมง ด้วยวิธี Real-time RT PCR ซึ่งเป็นวิธีการตรวจที่ได้มาตรฐาน ผ่านการทดสอบความชำนาญเพื่อการรับรองมาตรฐานทางห้องปฏิบัติการจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และกรมควบคุมโรคสนับสนุนเครื่องตรวจหาไวรัส รวมทั้งมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สาขาสว่างแดนดิน ภาคเอกชนและประชาชน ร่วมบริจาคเงินสมทบการปรับปรุงห้องปฏิบัติการและจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ และวางแผนขยายบริการให้กับโรงพยาบาลอื่น ๆ ในการตรวจวินิจฉัยโรคจากไวรัสเอชไอวี ตับอักเสบ มะเร็งปากมดลูก ซึ่งพบมากในพื้นที่อีสานตอนบน เพื่อให้การดูแลประชาชนอย่างครบวงจร

    ทั้งนี้ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน เป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก และเป็น 1 ใน 21 โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ภายใต้การกำกับของกระทรวงสาธารณสุข และการสนับสนุนจากมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ทำให้ห้องปฏิบัติการนี้ ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพของประชาชน

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยังไม่จบ! ม็อบต้านเหยียดผิวปะทุรอบใหม่ทั่วสหรัฐฯ
    สาดกระสุนใส่ผู้ประท้วงตาย 1 ศพ
    .
    พวกผู้ประท้วงไหลบ่าสู่ท้องถนนสายต่างๆทั่วสหรัฐฯ ข้ามคืนจากคืนวันเสาร์(25ก.ค.) เข้าสู่ช่วงเช้าวันอาทิตย์(26ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น บางพื้นที่เกิดการปะทะกับตำรวจและเกิดเหตุยิงกันเสียชีวิตในรัฐเทกซัส ท่ามกลางระลอกคลื่นแห่งความโกรธแค้น ต่อกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนส่งกองกำลังความมั่นคงจากส่วนกลางลงไปปราบอาชญากรรมตามเมืองต่างๆ
    .
    ระลอกใหม่แห่งประท้วงต่อต้านเหยียดผิวและการกระทำรุนแรงของตำรวจ ซึ่งโหมกระพือขึ้นเมื่อ 2 เดือนก่อน ตามหลังการเสียชีวิตด้วยน้ำมือตำรวจของจอร์จ ฟลอยด์ ชายชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน เกิดขึ้นในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังเผชิญการต่อสู้อันยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆในการรักษาเก้าอี้ผู้นำไว้อีกสมัย เช่นเดียวกับพยายามสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองในฐานะผู้รักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย
    .
    อ่านต่อ>>https://mgronline.com/around/detail/9630000076932
    #ม็อบต้านเหยียดผิว #ประท้วง #การกระทำรุนแรงของตำรวจ #สหรัฐอเมริกา

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วัคซีนโควิด-19 ของโมเดอร์นาเริ่มทดลองขั้นสุดท้าย
    สหรัฐฯมั่นใจพร้อมใช้ปลายปีนี้
    .
    วัคซีนรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19) ของบริษัทโมเดอร์นา อิงค์ อาจเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้ จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯในวันจันทร์(27ก.ค.) หลังจากบริษัทผู้ผลิตยาแถลงว่าได้เริ่มการทดลองขั้นสุดท้ายซึ่งมีผู้เข้าร่วม 30,000 คน เพื่อพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิผลของมัน ขวากหนามสุดท้ายก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการอนุมัติของคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบ
    .
    วัคซีนของโมเดอร์นาเป็นวัคซีนตัวแรกในโครงการเร่งรัดพัฒนาวัคซีนต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เข้าสู่การทดลองขั้นสุดท้าย เพิ่มความหวังว่าวัคซีนที่มีประสิทธิผลจะช่วงยุติการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่ และคำแถลงนี้ช่วยดันให้หุ้นของโมเดอร์นา เพิ่มขึ้น 9%
    .
    อ่านต่อ>>https://mgronline.com/around/detail/9630000076938
    #วัคซีนโควิด-19 #บริษัทโมเดอร์นาอิงค์ #เริ่มการทดลองขั้นสุดท้าย #สหรัฐอเมริกา

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เอเชียงัดมาตรการเข้มสกัดไวรัสรอบ 2
    หลังยอดผู้ติดเชื้อหลายปท.พุ่งไม่หยุด
    .
    หลายประเทศในเอเชียเผชิญจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่พุ่งสูงขึ้นมาอีก ทำให้ผวาจะกลายเป็นการระบาดระลอกสอง จึงเร่งรีบงัดมาตรการเข้มข้นมาสกัดไวรัสอีกครั้ง โดยฮ่องกงประกาศใช้แนวทางการรักษาระยะห่างทางสังคมเข้มงวดที่สุด เวียดนามอพยพประชาชน 80,000 คนออกจากดานัง และออสเตรเลียเตือนอาจต้องขยายมาตรการล็อกดาวน์ในรัฐวิกตอเรีย
    .
    จีนที่เอาชนะไวรัสโคโรนาได้เป็นส่วนใหญ่มาหลายเดือน ออกมายืนยันเมื่อวันจันทร์ (27 ก.ค.) พบผู้ติดเชื้อใหม่ภายในประเทศ 57 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดภายหลังต้นเดือนมีนาคม โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในมณฑลซินเจียง ทางตะวันตกสุดของประเทศ
    .
    อ่านต่อ>>https://mgronline.com/around/detail/9630000076913
    #เอเชีย #มาตรการเข้ม #สกัดไวรัสรอบ2 #ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ #พุ่งสูงขึ้น

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อุทาหรณ์! ของเล่นเด็กแทงทะลุเท้า แนะดูแลบุตรหลานให้ดี
    FB_IMG_1595899681300.jpg
    หนุ่มออกมาโพสต์ข้อความเตือนภัย สำหรับครอบครัวที่มีเด็กอยู่ภายในบ้าน เพิ่มความระมัดระวังกับของเล่นของลูก หลังลูกของตนเองถูกแกนล้อรถของเล่นเสียบทะลุฝ่าเท้า ระบุ ของที่ดูปลอดภัยก็อาจจะไม่ปลอดภัย
    .
    อ่านต่อ>>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000076770
    #ของเล่นเด็ก #แกนล้อรถของเล่น #แทงทะลุเท้า #เด็กเล็ก

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    น้ำท่วม #Taif และสภาพความไม่แน่นอนของสภาพอากาศจะดำเนินต่อไปเป็นระยะ ๆ สำหรับวันที่กำลังจะมาพระเจ้ายินดีและรวมถึงสภาพความไม่แน่นอนของสภาพอากาศในลักษณะที่เตือนภูมิภาคทางตะวันตกเฉียงใต้ของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (ภูมิภาคจิซาน) และพระเจ้าผู้ทรงอำนาจรู้ดีที่สุด knows วันที่ 24 กรกฎาคม 2020

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,717
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พายุที่น่ากลัวใน Maanshan #ประเทศจีน # 26 กรกฎาคม 2020

    ⚡⛈⚡⛈

     

แชร์หน้านี้

Loading...