เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    มนุษย์ทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า สภาวะจิตที่เป็นธรรมชาติ ของจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของตนที่เรียกว่า ธรรมจักร นั้น มันจะสั่นสะเทือนตนเองอยู่อย่างมั่นคงเสมอ คือ มนุษย์ต้องสั่นสะเทือนจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของตนให้สอดคล้องต้องกันกับคุณสมบัติของจิตวิญญาณตนเองให้จงได้เท่านั้น นั่นคือ

    ๑.ต้องมีอารมณ์ดี คือ อิ่มเอิบเบิกบานอยู่ทุกขณะจิต
    ๒.ต้องมีจิตสงบ คือ มีธรรมชาติสมาธิอยู่ทุกขณะจิต
    ๓.ต้องสำรวมจิต คือ มีจิตที่นึกดี คิดดีต่อตนเอง ต่อ ผู้อื่น และสรรพสิ่งอื่นอยู่ทุกขณะจิต


    ถ้ามนุษย์คนใดสามารถสั่นสะเทือนจิตหยาบ หรือจิตใจ เป็นการแสดงอารมืสูงสุดนึกคิดด้านบวกสูงสุดได้ 3 ประการที่กล่าวนี้ มนุษย์ได้ถึงการขับเคลื่อน ธรรมจักร ในตนเองด้วยจิตมนุษย์เรียบร้อยแล้ว

    การแสดงออกหรือการกระทำทางพฤติกรรมใด ๆ ในสองมิติของมนุษย์ ที่เรียกว่า การก่อกรรม ก็จะไม่เกิด ผลกรรมใด ๆ ในอันที่จะสร้างกฎแห่งกรรม ของตนเองขึ้นมาให้ต้องรับผิดชอบทั้งในภพชาตินี้และภพชาติหน้า

    ถ้าจิตมนุษย์ไม่สั่นสะเทือนตนเองไปในทิศทางที่ว่านี้ คือ สั่นสะเทือนไปเป็นอย่างอื่น เช่น อารมณ์ไม่ดีอันเกิดจากความรู้สึกที่ไม่ดี และไม่มั่นคงเพราะตกเป็นทาสอารมณ์รู้สึก และจิตใจไม่มั่นคงเพราะเป็นทาสอารมณ์รู้สึกนึกคิดที่ไม่ถูกต้องของตนเอง หรือ จิตมนุษย์ตกเป็นทาสของสิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้า ซึ่งหมายถึงจิตที่ขาดสำรวมการระวังไปเช่นนี้แล้ว การแสดงออกหรือการกระทำพฤติกรรมใด ๆ ในสองมิติของมนุษย์ ที่เรียกว่า การก่อกรรม มันจะนำไปสู่ผลกรรม ในอันที่จะ สร้างกฎแห่งกรรมแบบต่าง ๆ ของตนองขึ้นมาให้ต้องรับผิดชอบทั้งในภพชาตินี้และชาติหน้าเสมอ

    เอาไว้บอกตัวเองมิใช่บอกใครเขา เรายังไม่ดีพอแค่แบ่งปันค่ะ
     
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ส่วนใหญ่มนุษย์เราเป็นแบบนี้กันค่ะ
    ดีมา ดีตอบ
    ร้ายมา ร้ายกลับ
    ทำไม่ดีมา สะท้อนกลับ
    เราจึงเป็นมนุษย์กันไม่เป็น!! แม้แต่ตัวจิตยิ้มเอง ก็บางครั้งบางคราวก็ทำได้ บางคราก็พ่ายแพ้เหมือนกันค่ะ
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ถ้ามนุษย์เอาชนะความโกรธด้วยการไม่โกรธผู้อื่นได้

    ถ้ามนุษย์เอาชนะความเกลียดด้วยการไม่เกลียดได้

    ถ้ามนุษย์เอาชนะความไม่เคียดแค้นด้วยการไม่เคียดแค้นได้


    นั่นเท่ากับว่า มนุษย์จะต้องใช้พลังอำนาจด้านบวกที่มีอยู่แล้วภายในจิตใจตน ซึ่งรวมเรียกว่า ความรัก เข้าดับอารมณ์รู้สึกด้านลบทั้งสามแบบนั้นลงได้อย่างราบคาบแน่นอน

    ลองดูนะคะ ใครอดทนต่อการยั่ยุหรือสิ่งเร้าไม่ไหว แล้วใจเรามีปฏิบัติกิริยาสนองตอบ ใจเราจะทุกข์ค่ะ ลองแค่เรามีสติบอกตนเองว่า ทุกข์ใจไปทำไม? อิ่มเอิบร่าเริงเบิกบานซิ ยิ้มและหัวเราะปล่อยวาง เชื่อไหมค่ะ สถานการณ์พลิกกลับด้าน เป็นสุขขึ้นมาทันที เห็นไหมคะว่า อารมณ์หลอกเรา เราถูกอารมณ์หลอกให้ทุกข์ เรารู้ทันเท่านั้น ทุกข์กลับเปลี่ยนเป็นสุขได้ทันที
     
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ถ้าหากรู้เท่าทันจิตในตนเอง และสิ่งแวดล้อมที่เป็นเงื่อนไขทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดของตนได้อย่างแท้จริงแล้ว การก่อกรรมให้เกิดผลกรรมด้านลบย่อมไม่เกิดขึ้นแน่นอน

    นี่คือ การตื่นรู้ หมายถึง การรู้ตัวรู้ตนอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันจิตตนเองมิให้สั่นสะเทือนทางอารมณ์ด้านลบไปจากเงื่อนไขปลุกเร้ายั่วยุด้านลบ จากสิ่งแวดล้อม บุคคล พฤติกรรมของบุคคลอย่างใดอย่างหนึ่ง เรื่องราว เหตุการณ์ หรือสถานการณ ในแบบที่ตนพึงประสงค์หรือพึงพอใจอยู่หรือไม่
     
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    การที่เราเป็นผู้ตื่นรู้หรือตื่นตัว มันจะช่วยให้เรารู้ทันสิ่งแวดล้อมที่จะเป็นเงื่อนไขหรือเป็นสิ่งเร้าที่จะกระตุ้นให้จิตของเรา เกิดการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง ล่วงหน้า ได้เป็นอย่างดี

    คำว่า "รู้ล่วงหน้า" หมายถึง รู้ว่าเงื่อนไขสิ่งแวดล้อมใดที่ตนกำลังจะเผชิญหรือว่ากำลังเผชิญอยู่ในขณะนั้น มันจะนำพาตนเองไปสู่อารมณ์รู้สึกแบบใด!!! โดยขณะที่เรารู้เท่าทันมันอยู่นั้นอารมณ์รู้สึกดังกล่าวยังมิได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด....

    ถ้าหากเราสามารถรู้ล่วงหน้าด้วยการรู้เท่าทันเงื่อนไขแห่งการเกิดอารมณ์รู้สึกของเราเช่นนี้แล้ว ตัวเราจะไม่ตกเป็นทาส อารมณ์รู้สึกที่ไม่พึงประสงค์ของตนเอง คือ อารมณ์รู้สึกด้านลบทั้งหลานอย่างแน่นอน เพราะ?..เราสามารถ ตั้งรับ เงื่อนไขด้านลบนั้น ๆ ได้อย่างมั่นคง หรือมิเช่นนั้นเราก็อาจสามารถจะ หลีกเลี่ยง การเผชิญหน้ากับเงื่อนไขอันไม่พึงประสงค์นั้นเสียอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นต้น

    ขอยืนยันค่ะ ทุกครั้งที่เราขาดการรู้ตัว เรามักจะไหลไปตามแรงยั่วยุคนอื่นเสมอ ถ้าหากเราหากกลับมาทบทวนดูเพราะนั้นคือสาเหตุจริง ๆ ยามใดที่เรามีสติรู้ตัว เราสามารถตั้งรับมันได้อย่างมั่นคง เราไม่ไหลไปตามอารมณ์ตนเองและคนอื่นค่ะ
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    การไขปริศนาธรรมจักร!!!!

    ดังนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะยึดเอาหลักธรรมจักรใดเป็นหลักชัยในการดำเนินชีวิต ก็ล้วนเป็นการหมุนกงล้อแห่งธรรมชาติให้มันเกิดขึ้นในตนเอง เพื่อยังความสมดุลในสองมิติให้ตนเองเป็นเบื้องแรก ในอันที่จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกของผู้อื่น เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้สามารถเหวี่ยงหมุนกงล้อแห่งธรรมชาติในตนเอง จนเกิดความสมดุลในสองมิติเช่นเดียวกับตนตามไปด้วยในบั้นปลายทั้งสิ้น
     
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เท่าที่จำได้กระทู้นี้ติดไว้สามเรื่องค่ะ ที่บอกว่าจะนำมาลงคือเรื่อง อิทธิฤทธิ์ สัจจะ และกระบวนการกู้โลก(ขอเรียกว่าอย่างนี้นะคะ)

    เริ่มจาก...กระบวนการกู้โลก ก่อนค่ะ

    ที่เรียกว่า กระบวนการกู้โลก เนื่องจากว่าว่าโลกที่เกิดภัยพิบัติทุกวันนี้ เพราะจิตใจมนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถผลิตพลังงานอันเกิดจากสำนึกด้านบวกมอบให้แก่โลกได้ เพราะมนุษย์ยุคนี้เกิดจากหลงผิดเห็นผิดจากการยึดติดวัตถุนิยม และกิเลสตัณหา และอัตตาตัวตนจนหลงลืมความจริงที่แท้จริงของตนว่าเกิดมาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก จึงพากันละหน้าที่ความเป็นมนุษย์ ก็คือ การหมุนธรรมจักรในตนเอง หรือ ในการใช้วิถีทางของมรรคเป็นทางนำการดำเนินชีวิต จึงเป็นที่มาของการเสื่อมลงของเผ่ามนุษย์ โลกจึงเกิดโกลาหลวุ่นวายเดือดร้อนเช่นทุกวันนี้ค่ะ

    กฎเกณฑ์สากลจักรวาลทุกสรรพสิ่งต้องสมดุลกัน มีสิทธิเสมอภาพกัน และต้องค้ำจุนซึ่งกันและกันไว้ทั้งสิ้น มิเช่นนั้นแล้วทั้งตนเองและสรรพสิ่งอื่นก็ไม่อาจดำรงอยู่ในระบบเดียวกันได้เลย และมิมีสรรพสิ่งใดสามารถดำรงตนเองอยู่ในระบบโลกนี้ได้นอกเหนือกฎเกณฑ์ที่จะกล่าวไว้ต่อไปนี้แม้แต่สิ่งเดียว

    มนุษย์ต้องรู้ว่า ไม่ว่าระบบใดก็ตามมันจะเกิดความสมดุลได้ก็ต่อเมื่อ ทุกสรรพสิ่งต้องสมดุลลงตัวกันก่อนเสมอ ความสมดุลระหว่างกันภายในระบบเดียวกันก็ได้มาจากการค้ำจุนซึ่งกันและกันนั่นเอง

    ๑.การค้ำจุน "เขา" เพื่อ ให้ "เขา" อยู่รอด ในอันที่จะดำรงอยู่ร่วมกับ "เรา" ต่อไป

    คือการหยิบยื่นเจือจานช่วยเหลือมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือกำลังประสบเคราะห์ภัยร้าย ใด ๆที่ตัวเขาไม่อาจช่วยเหลือตนเองให้ข้ามพ้นเคราะห์ภัยหรือเคราะห์กรรมนั้นไปได้ หากไม่มีใครสักคนเข้าช่วยเหลือ บทบาทนี้คือ การให้มิได้หวังผลสิ่งใดตอบแทน ซึ่งเป็นการช่วยเพียงแค่ให้เขาผ่านความทุกข์ยากหรือความทุกข์ร้อนผ่านอุปสรรคที่เขากำลังเผชิญมันอยู่ไปให้ได้ ผู้ช่วยเหลือต้องมีจิตสำนึกแห่งการ เป็นผู้ให้อย่างเต็มเปี่ยม ความรัก ความเมตตา ความปราถนาดีและความศรัทธาที่มีต่อกัน ผู้ได้รับความช่วยเหลือโดยทั่วไปแล้ว มักจะสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกด้านบวกด้วยสำนึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อผู้ให้ความช่วยเหลือแล้ว แต่...ผู้ให้ความช่วยเหลือโดยมิได้หวังสิ่งตอบแทนต่างหากที่จะต้องขับเคลื่อนจิตสำนึกแห่งการเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง เพื่อเข้าถึงการช่วยเหลือค้ำจุนผู้อื่นให้สามารถดำรงอยู่อย่างสมดุลภายในระบบเดียวกันกับตนเองนั้นได้ต่อไป

    การค้ำจุนกันแสดงออกได้ 2 ช่องทาง คือ

    ๑.แสดงผ่านพฤติกรรมภายใน

    คือการมอบอารมณ์รู้สึกนึกคิดทัศนคติที่ดีต่อกัน เรียกว่า ผลกรรมทางพลังงานด้านบวก (การมอบพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก) อันเกิดจากจิตสำนึกด้านบวก ที่กลไกทางไฟฟ้าร่างกายผลิตสร้างมันขึ้นมาโดยที่สองตาเปล่ามนุษย์มองไม่เห็น เพื่อมอบให้แก่กันและกันนั่นเอง

    พลังงานใหม่ด้านบวกจากจิตสำนึกที่มอบให้แก่กันและกันในมิติทางพลังงานที่ว่านี้ จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาและมนุษย์ไม่เคยล่วงรู้

    มนุษย์จะต้องรู้ว่าสภาวะการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดของมนุษย์นั้น สามารถสั่นคลอนอ่อนไหวไปตามการจูงจิตของมนุษย์คนอื่น ๆ ได้เสมอ ถ้าหากพลังอำนาจของคลื่นความถี่ทางพลังงานจิตของผู้อื่นสูงมากพอที่จะเป็นเงื่อนไขให้เกิดการตอบสนองได้ ไม่ว่าพลังอำนาจของคลื่นจิตผู้อื่นซึ่งเป็นฝ่ายชักจูงนั้นจะเป็นพลังอำนาจด้านลบหรือด้านบวกก็ตาม

    มนุษย์ที่ดำรงตนเองอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีสภาวะทางอารมณ์ไม่สมดุล มักจะเป็นผู้เสียสมดุลทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดไปในด้านลบได้อย่างง่ายดาย เพราะพื้นฐานของสภาวะจิตมีแนวโน้มที่จะสั่นสะเทือนไปในทางด้านลบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

    การค้ำจุนช่วยเหลือซึ่งกันและกันในมิติแห่งจิต ในรูปพฤติกรรมภายใน คือ การมอบ "พลังจิตด้านบวก" (ในรูปของพลังงานไฟฟ้า) อันเป็นผลกรรมที่เกิดจาการสั่นสะเทือนด้านความถี่ของจิตต่าง ๆ ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ซึ่งสามารถบอกได้ด้วยอารมณ์รู้สึกด้านบวกหลากหลาย เช่น ความรัก ความเมตตา ความอดทน ความอดกลั้น และ การให้อภัย เป็นต้น

    ๒.การแสดงผ่านพฤติกรรมภายนอก

    ได้แก่การแสดงออกหรือการกระทำ ที่ช่วยค้ำจุนความสมดุลของจิตใจทางด้านอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดให้แก่กันและกันได้เสมอ

    ๑.ไม่แสดงออกพฤติกรรมใด ๆ ที่เป็นเงื่อนไขด้านลบต่อผู้อื่น ก็คือ การก้าวล่วงผู้อื่น หรือ เบียดเบียนผู้อื่น

    ๒.แสดงออกพฤติกรรมใด ๆ ที่เป็นเงื่อนไขด้านบวกต่อผู้อื่นเท่านั้น ก็คือ การกระทำสิ่งใดให้ผู้อื่นมีความสุขความพอใจ

    ๓.แสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เป็นเงื่อนไขด้านบวกหรือด้านลบต่อผู้อื่น ก็คือ การกระทำสิ่งใด ๆ ที่แม้ผู้อื่นจะสัมผัสรู้ดูเห็นก็ไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องสูญเสียความสงบแห่งจิต

    การค้ำจุนประการแรกนี้ มีจุดมุ่งหมายค้ำจุนเขาเพื่อให้เขาสมดุล ย่อมหมายถึง การกระทำทั้งพฤติกรรมภายนอกและภายในในอันที่จะช่วยเหลือให้ผู้อื่นเกิดความสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ ในอันที่จะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับตัวเรา และคนอื่น ๆ ในระบบเดียวกันหรือสังคมเดียวกันอย่างลงตัว และมีความสุขสงบในจิตใจนั่นเอง บทบาทนี้เพื่อช่วยผู้อื่นในการดำรงชีวิต สามารถแสดงออกได้หลายลักษณะคือ

    การส่งเสริมสนับสนุนผู้อื่น
    การให้คำชี้แนะ
    การเสียสละประโยชน์สุขส่วนตนแก่ผู้อื่น
    การเปิดโอกาสให้ผู้อื่น
    การให้อภัยต่อผู้อื่น


    เป็นพฤติกรรมด้านบวก ที่ล้วนเป็นการให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจากผู้อื่นทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการช่วยค้ำจุนเพื่อให้เขาดำรงอยู่อย่างสมดุล นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2018
  8. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    จริงสินะ..อาฆาตพยาบาทกัน...ทำจิตให้ปล่อยวาง.ปล่อยวางด้วยปัญญาจึงจะเบา หากปล่อยวางด้วยสัญญาอารมณ์จิตหนักแน่นอน และยากที่จะทำได้."เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"
    ให้กำลังใจคุณจิตยิ้มครับ ทำไปในทุกๆวัน เดี๋ยวก็ทำได้เองตลอดเวลาครับ.
     
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ขอบคุณค่ะ ณ เวลา ขณะนี้นะคะ จากการปรับมิติยกระดับพลังงานไปสู่มิติที่สูงกว่า ไม่ว่าจากพลังงานภายนอกโลกที่ส่งคลื่นพลังงานความถี่ด้านบวกเข้ามาเพื่อเพิ่มพลังงานให้แก่โลกเป็นระยะในช่วงระยเวลาที่ผ่านมานั้น สิ่งศักดิ์ได้กล่าวไว้ว่า คลื่นพลังงานความถี่ด้านบวกที่ส่งเข้ามา สามารถทำลายคลื่นพลังงานความถี่ด้านลบของมนุษย์โลกได้บางส่วนค่ะ ก็คือ มนุษย์จะโชคดีที่ผลวิบากรรมจะมีการแตกสลายเป็น กลางได้เบาบางลง และที่สำคัญนะคะ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จิตยิ้มจะเป็นการพิจารณาคลี่คลายอารมณ์กรรมของตนเองค่ะ การคลี่คลายอารมณ์นั้นมาจากไหน? เกิดจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นผู้ส่งเงื่อนไขบททดสอบให้ สิ่งนี้ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า ทุกคนในโลกคือครูผู้ให้บททดสอบ เพราะการจะคลี่คลายอารมณ์กรรมได้ ต้องเกิดจากเราเข้าไปเห็นอารมณ์ของตนเองค่ะ เข้าไปสัมผัสกับสิ่งที่มากระทบ แล้วนำมาพิจารณาลดละแก้ไขคลี่คลายอารมณ์กรรม คือ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเผชิญผลกรรมได้ฉันใด การลดละเราต้องเผชิญกับทุกสถานการณ์เป็นเหตุที่เราสร้างไว้ เพื่อลดละเลิกนิสัย แก้ไขคลี่คลายอารมณ์กรรมเสียใหม่ปลดบ่วงกรรมค่ะ จิตยิ้มโชคดีค่ะ ทุกบททดสอบนั้นเป็นแก้ไข มิใช่อุปสรรคใด ๆ เลยค่ะ มีทั้งบททดสอบทั้งรูปธรรม และ นามธรรมค่ะ ถ้าใครใส่ใจปฏิบัติตรงนี้ ในยุคพลังงานใหม่นี้สามารถย่นระยะเวลาในการเกิดในภพชาติต่าง ๆ ที่ทำให้เราไม่ต้องไปเกิดเผชิญกับบททดสอบที่เป็นเงื่อนไข เพื่อให้เราลดละการกระทำที่ไม่ถูกต้องในภพชาติต่อ ๆ ไปค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2018
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ต่อค่ะ.....กระบวนการกู้โลก.....

    เชื่อเลยนะคะ ถ้าใครอ่านข้อความดังต่อไปนี้แล้ว!! จะไม่มีใครเลยสักคนที่จะไม่เห็นด้วยหรือปฏิเสธ และทุกถ้อยคำในข้อความดังต่อไปนี้ นอกจากเราทุกคนจะเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการกู้โลกแล้ว หรือว่าใคร ๆ ที่เรียกเขาและเธอเหล่านั้นว่า "ฮีโร่" จะเป็นสิ่งที่ทุกคนปราถนาที่ต้องการอยากรู้คำตอบว่า.... การเป็น "ที่รัก" ของใคร ๆ ต้องทำอย่างไร? นี้สามารถนำไปปรับใช้ได้ในทุกสถานการณ์และทุกสถานที่เลยค่ะ

    ๒.ค้ำจุน "เขา" เพื่อช่วยให้ "เรา" อยู่รอด ในอันที่จะดำรงอยู่ร่วมกับ "เขา" ต่อไปได้

    บทบาทการค้ำจุนนี้เป็นการ "ให้" ผู้อื่น ในขณะที่ตนเองได้รับประโยชน์เป็นการตอบแทนด้วย อันเป็นการสร้างสมดุลร่วมกัน คือ การค้ำจุนให้คนอื่นสามารถดำรงอยู่ในระบบเดียวกับตน และเพื่อช่วยให้ตนเองสามารถดำรงอยู่กับผู้อื่นในระบบเดียวกันได้ ตัวอย่างคือ

    ความอดทน:-

    นิยามคำว่าอดทน คือ

    "การยินยอมให้บุคคลอื่นได้กระทำไม่ถูกต้องต่อตนเอง เพื่อจะได้มีโอกาสกระทำในสิ่งที่ถูกต้องกว่า เพื่อประโยชน์สุขร่วมก้นต่อไปไปในวันข้างหน้า"

    หมายถึง การยินยอมให้ผู้อื่นกระทำไม่ถูกต้องต่อตนเองโดยไม่ตอบโต้ ต่อต้าน หรือหลีกเลี่ยง ด้วยการรังเกียจโกรธขึ้งหรือขุ่นเคืองใด ๆ ในอันที่จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งกัน จนก่อให้เกิดความขัดแย้งแบ่งแยกออกไปจากความเป็นหนึ่งเดียวกัน

    กล่าวสั้น ๆ คือ หากตนเองไม่อดทนต่อการกระทำที่ไม่ถูกต้องของผู้อื่นแล้ว การทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือ ความสัมพันธ์อันดีต่อกันย่อมสะบั้นลง ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็คือ ตัวเราเองก็จะไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่นได้ดังเดิมอีกต่อไป

    เหตุเพราะตัวเรานั่นเองที่เป็นผู้ขาดสมดุลในจิตใจตามเขาไปด้วย ... มิใช่ใครอื่น

    การที่ใครคนหนี่งกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวเรานั้น หากมองภาพรวมอันเป็นสาเหตุหลักก็คือ ตัวเขาอาจจะขาดความสมดุลในจิตใจจากการคิดนึกเอง หรือเกิดจากการขาดความสมดุลทางกายภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวเขาจึงได้กระทำพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องนั้นต่อตัวเรา

    ดังนั้น ความอดทน ต่อการกระทำไม่ถูกต้องของเขา จึงเป็นการแสดงออกซึ่งการ "ให้" ความรัก ความเมตตา และ ความปราถนาดีต่อตนเองของมนุษย์แต่ละคนที่แสดงออก หรือกระทำผ่านบุคคลอื่นซึ่งกำลังไม่ถูกต้องไม่ดีงามต่อตนเองอยู่ในขณะนั้นโดยแท้ เพราะ...ความอดทนหมายถึง การไม่กระทำด้านลบใด ๆ ตอบโต้ ปัญหาร้าวฉานในอันที่จะทำให้ขาดความหนึ่งเดียวกัน จึงย่อมไม่เกิดขึ้น ถ้าตัวเราขาดความหนักแน่นมั่นคงในจิตใจ คือ ไม่อดทน หรือ ไม่รักตนเองเลย โดยเผชิญหน้ากันกับเขาเพื่อหมายโต้ตอบเอาคืนแล้ว ทั้งเราและเขาก็ย่อมอยู่ในระบบเดียวกันอีกต่อไปไม่ได้แน่

    เมื่อสรรพสิ่งใดที่เคยอยู่ในระบบเดียวกันอย่างลงตัว แล้วจู่ ๆ บางสรรพสิ่งในระบบนั้นเกิดอยู่ร่วมกันต่อไปอีกๆไม่ได้ ระบบนั้นย่อมขาดความสมดุลตามไปด้วย

    ด้วยเหตุนี้ การค้ำจุนเขาเพื่อให้เราอยู่รอด ในความหมายของ "ความอดทน" จึงหมายถึง การหมายถึง การยอมให้เขา หรือ การช่วยเหลือเขาเพื่อทำให้ตัวเราสามารถร่วมอยู่กับเขา หรือ ทำงานร่วมกันกับเขาต่อไปได้นั่นเอง

    ความอดกลั้น:-

    นิยามของความอดกลั้น

    หมายถึง "การที่ตัวเรายินยอมให้ผู้อื่นกระทำพฤติกรรมไม่ถูกต้องต่อตัวเรา เพื่อที่จะได้เปิดโอกาสให้เขาปรับปรุงตนเองใหม่ ในอันที่จะกระทำให้ถูกต้องตัวเราในครั้งใหม่ต่อไปได้"

    การที่เขากระทำไม่ถูกต้องต่อตัวเรา เหตุเพราะว่าตัวเขาขาดความสมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจนั่นเอง ถ้าหากเราขาดความอดกลั้นจะเป็นการทำลายความรู้สึกความมีคุณค่าในตนเองของผู้อื่น มันเป็นเสมือนการทำลายสะพานความเชื่อมโยงจิตใจของกันและกันให้ขาดสะบั้นลง มนุษย์ที่ต้องการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่น จะต้องไม่คิดกระทำมิดีมิร้ายสะพานนี้โดยเด็ดขาด มุ่งรักษาสะพานนี้ไว้และดูแลมันให้แข็งแกร่งเสมอ

    ดังนั้น หน้าที่ของตัวเราก็คือ การค้ำจุนช่วยเหลือเพื่อทำให้เขาสมดุลดังเดิมให้จงได้

    ถ้ามนุษย์จะช่วยความค้ำจุนความสมดุลของผู้อื่นไม่ให้เขาเสียสมดุลอีกต่อไป มนุษย์ก็จะต้องมอบความรักความเมตตาและความปราถนาดีจากจิตใจตนให้เขาไปให้จงได้ แน่นอนว่า ความอดกลั้น นี่เองคือการแสดงออกซึ่งความรักที่เป็นพลังอำนาจด้านบวก ที่มนุษย์สามารถมอบให้แก่ผู้อื่นที่ไม่สมดุลซึ่งกำลังไม่ถูกต้องต่อตนเองอยู่ในขณะนั้นได้

    การค้ำจุนเขาเพื่อช่วยให้เราอยู่รอดในกรณี "อดกลั้น" นี้ จึงหมายถึง การยินยอมให้เขากระทำไม่ถูกต้องด้วยความไม่สมดุลของเขาในครั้งนี้โดยไม่ติดใจเอาความ ก็เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้แก้ไขตนเองใหม่ด้วยการกระทำให้ถูกต้องต่อตัวเราในครั้งต่อไป ซึ่งการกระทำที่ถูกต้องของเขาต่อตัวเราในครั้ง ๆ ต่อไปนั้นมีความหมายยิ่งจากการอยู่ร่วมในระบบเดียวกันนั่นเอง

    ถ้าเราไม่มอบความอดกลั้นให้เขาไป ทันทีที่พบว่าเขากระทำไม่ถูกต้องต่อตัวเรา ด้วยการกระทำตอบ หรือปิดโอกาสเขาด้วยการเลิกคบกันเด็ดขาด นอกจากความเป็นหนึ่งเดียวกันในอันที่จะสร้างประโยชน์สุขร่วมกันจะต้องถูกทำลายลงไปแน่ การที่เราจะมีโอกาสให้ได้รับการกระทำที่ถูกต้องกว่าจากตัวเขาก็ถูกปิดโอกาสลงไปด้วย

    การที่เราอดกลั้นต่อเขาได้ ทำให้เขารู้สึกว่ามีตนเองมีคุณค่า ย่อมเกิดให้เขาเกิดความพึงพอใจต่อตัวเรา ซึ่งหมายถึง ความรักอีกรูปแบบหนึ่งที่เขาหยิบหยื่นกลับมาให้เรานั่นเอง เมื่อเขาเกิดความรู้สึกที่ดีงามต่อเราในครั้งนี้แล้ว มันจะช่วยให้เขาคิดดีต่อเรา และระมัดระวังการกระทำใด ๆ ต่อตัวเราให้ถูกต้องยิ่งกว่าได้ในครั้งต่อไปเช่นเดียวกัน

    การให้อภัย:-

    นิยามของการให้อภัย คือ

    "การยอมรับในความแตกต่างกันของบุคคลอื่นกับตัวเรา โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเขาด้วยพลังอำนาจที่เรามีอยู่ หากจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเขา เราต้องหันมากระทำกับตัวเอง เพื่อช่วยให้เขาเปลี่ยนแปลงตามเราเท่านั้น"

    หมายถึง การยินยอมให้ผู้อื่นกระทำไม่ถูกต้องต่อตนเองได้โดยไม่เอาความ เพราะยอมรับได้ว่า มนุษย์ทุกคนไม่เว้นแม้แต่ตนเอง ต่างมีโอกาสกระทำไม่ถูกต้องต่อกันได้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดจากการหลงผิด เข้าใจผิด คิดผิด เชื่อผิด ๆ หรือว่าประมาทก็ตาม มนุษย์แต่ละคนย่อมกระทำผิดพลาดต่อกันด้วยสาเหตุนี้เสมอ

    ด้วยเหตุนี้ เมื่อพบว่ามีผู้ใดกระทำไม่ถูกต้องต่อตนเองเข้า ตนจึงยอมยกโทษไม่เอาความ เผื่อว่าในครั้งต่อไปฝ่ายที่จะกระทำผิดพลาดอาจเป็นตัวเราเองเข้าให้บ้างก็เป็นได้


    ๓.ค้ำจุน "เรา" เพื่อช่วยให้ "เขา" อยู่รอด ในอันที่จะดำรงอยู่ร่วมกันกับ "เรา" ต่อไปได้

    หมายถึง การดูแลตนเองให้มีความสมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ให้สั่นไหวไปตามเงื่อนไขด้านลบที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ ในอันที่จะนำไปสู่การแสดงออกหรือกระทำด้านลบตอบสนองเช่น การต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้าน หรือหลีกเลี่ยงอย่างใดอย่างหนึ่ง

    การที่ตัวเรามีจิตใจหนักแน่นมั่นคงไม่สั่นไหวไปตามการยั่วยุปลุกเร้าด้วยเงื่อนไขด้านลบอันเกิดจากการกระทำไม่ถูกต้องของเขานั้น มันเป็นการแสดงให้ผู้อื่นประจักษ์ว่าตัวเราเป็นผู้มีพลังอำนาจอย่างแท้จริง เพราะตัวเราสามารถอยู่เหนืออำนาจการยั่วยุด้วยเงื่อนไขด้านลบของผู้อื่นได้ โดยไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ด้านลบของตนเอง

    นี่จึงเป็นพลังอำนาจในตนเองที่จะค้ำจุนความสมดุลของตนเองและผู้อื่นได้เช่นเดียวกัน

    ถ้ามนุษย์ไม่ดูแลอารมณ์รู้สึกนึกคิดของตนด้วยการค้ำจุนมันไว้ให้ดี ๆ ในกรณีที่ผู้อื่นยั่วยุด้วยการกระทำใด ๆ ที่ไม่ถูกต้องแล้ว ตัวเราก็ย่อมที่จะต้องกระทำด้านลบตอบสนองเขาไปตามด้วยแน่แท้ เพราะตัวเราเองก็จะเสียสมดุลด้านลบตามเขาไปด้วยเช่นเดียวกัน หากปล่อยเหตุการณ์ให้เกิดเช่นนี้แล้ว เท่ากับว่าตัวเรา คือ ผู้ที่จะผลักใสตัวเขา ให้ออกไปจากความเป็นหนึ่งเดียวกันกับตัวเราหรือผลักใสให้เขาออกไปจากระบบของเรานับตั้งแต่บัดนั้น การค้ำจุนความสมดุลทางอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนเองไว้ไม่ให้สั่นไหวไปในทางด้านลบ การกระทำพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเพื่อการสนองตอบต่อกันก็ย่อมไม่เกิดขึ้น ตัวเราและเขาก็จะยังคงดำรงอยู่ภายในระบบเดียวกันได้อีกต่อไป

    ๔. ค้ำจุน "เรา" เพื่อ ให้ "เรา" อยู่รอด ในอันที่จะดำรอยู่ร่วมกันกับ "เขา" ต่อไปได้

    หมายถึง การหมั่นดูแลระแวดระวังตนเองมิให้แสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใด ๆ อันไม่พึงประสงค์ของผู้อื่น ในอันที่จะนำไปสู่บ่อนทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันของตนเองกับผู้อื่นให้จงได้ เช่น ตัวเราจะต้องไม่กระทำผิดคิดชั่วต่อผู้อื่น ด้วยการเบียดเบียนหรือก้าวล่วงผู้อื่น เป็นต้น

    ถ้าตัวเราเป็นผู้ชอบสร้างปัญหาทางอารมณ์ต่อผู้อื่น หรือชอบกระทำตนเป็นอุปสรรคของผู้อื่น จะด้วยประมาทหรือขาดสติ หรือเพราะจงใจกระทำเช่นนั้นก็ตามมันคือการแสดงให้ผู้อื่นประจักษ์ว่าตัวเราเป็นมนุษย์ที่ไม่มีความสมดุลในตนเองเลย จะกลายเป็นนบุคคลที่น่ารังเกียจสำหรับผู้อื่นไปในที่สุด

    การเป็นมนุษย์ที่น่ารังเกียจสำหรับคนอื่น ย่อมหมายถึง การเป็นมนุษย์ที่โลกไม่ต้องการนั่นเอง

    หลักการค้ำจุน สำหรับมนุษย์ที่ต้องการจะกู้โลกนี้ คือ

    ๑.เราต้องเป็นผู้เริ่มต้นสั่นสะเทือนก่อนเท่านั้น
    ๒.เราต้องสั่นสะเทือนทั้งทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดและการกระทำทางด้านบวกไปพร้อมคู่กัน
    ๓.เราต้องสั่นสะเทือนทั้งทางด้านบวกต่อตนเองและผู้อื่นเสมอ


    การที่ตัวเราจะเข้าถึงการแสดงออกหรือการกระทำใด ไปตามเงื่อนไขทั้งสามนี้ก็ต่อเมื่อ และเราต้องมองเห็นคุณค่าคนอื่นและยอมรับความจริงนั้นให้ได้อย่างไม่ลังเลสงสัยเท่านั้น

    การจะมองเห็นคุณค่าคนอื่นได้อย่างถ่องแท้ จะต้องเกิดความรู้ความเข้าใจในกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ประการหนึ่ง คือ กฏแห่งความสมดุลกัน หรือกฎแห่งความสมดุลของสรรพสิ่ง คือ

    ๑.ทุกสรรพสิ่งล้วนมีอำนาจในการค้ำจุนตนเอง และผู้อื่นเพื่อให้การดำรงอยู่ร่วมกันอย่างลงตัว
    ๒.ทุกสรรพสิ่งล้วนมีอำนาจในตนเองด้านบวก คือ ความรัก เพื่อใช้ยึดรั้งซึ่งกันและกันไว้ให้อยู่ในระบบเดียวกัน
    ๓.ทุกสรรพสิ่งมีหน้าที่ค้ำจุนตนเอง และผู้อื่นเพื่อรักษาความสมดุลแต่เดิมเอาไว้ให้มั่นคง


    กฎเกณฑ์นี้เองคือสิ่งที่มนุษย์จะต้องสำนึกรู้ให้ได้ว่า การข่วยเหลือค้ำจุนกันระหว่างตนเองและผู้อื่นด้วยความรักเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน และค้ำจุนความสมดุลระบบเดียวกันให้มั่นคงนั้น มันเป็น "หน้าที่" ของทุกคนทุกสรรพสิ่งที่จะต้องรับผิดชอบ

    ระบบนั้นจะมีมั่นคงไปไม่ได้ ถ้าแต่ละสรรพสิ่งหรือแต่ละคนต่างบกพร่องต่อหน้าที่หรือละเลยเหลวไหล โดยไม่รักกันไม่ค้ำจุนกันช่วยเหลืออกันอย่างสุดพลัง คิดดี พูดดี ทำดี และมีอารมณ์รู้สึกที่ดี ๆ ต่อผู้อื่นโดยทันทีโดยไม่ต้องมีใครบังคับจูงใจแต่อย่างใด

    ถ้ามนุษย์สามารถเข้าถึงแก่นแท้แห่งสัจธรรม ด้วยการเห็นคุณค่าคนอื่น ที่มนุษย์คนหนึ่งปฏิยัติปฏิบัติชอบต่อมนุษย์คนอื่น ๆ นั้น จะเป็นช่องทางแห่งการ สร้างความมีคุณค่าในตนเองของมนุษย์แต่ละคนให้ผู้อื่นประจักษ์ในขณะเดียวกัน

    เราจะไม่เป็นบุคคลที่มีคุณค่าสำหรับผู้อื่นได้อย่างไร? ถ้าหากว่าเราแสดงออกและกระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมดีงามต่อผู้อื่นเสมอ พฤติกรรมด้านบวกของเรานั่นเองที่จะเป็นเงื่อนไขให้ผู้อื่น มีความสุขมีความพึงพอใจที่ได้คบหากับเรา และพวกเขาย่อมปราถนาที่จะคบหาเราไว้เป็นมิตรผู้ใกล้ชิดอย่างแน่นอน

    นี่อย่างไร!! ที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเข้าถึงกันให้ได้ เพื่อสร้างตนเอง สร้างสังคม และสร้างโลกของตนให้น่าอยู่อย่างแท้จริง

    เชื่อค่ะว่า...คำที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวนี้ถ้าหลาย ๆ คนอาจกำลังประสบพบปัญหานี้กันอยู่ และคงอยากจะหาทางออก นี้เป็นคำตอบที่จิตยิ้มไม่ปฏิเสธได้เลยค่ะ เพราะสิ่งที่ไม่ปราถนาหรือพลังงานด้านลบลองมาหมดแล้ว จึงรู้ว่านี่คือความจริงที่แท้จริงค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2018
  11. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ถ้าหากใครมีมิติแห่งการรับรู้และเรียนรู้เหล่านั้นถูกปิดทันทีที่อ่าน ลองเปิดมิติปัญญาญาณที่ถูกปิดสนิทดูอีกทีนะคะ เราอยากเห็นทุก ๆ ท่านก้าวพร้อมกันต่อไป เพื่อเจอกันในยุคพลังงานใหม่ค่ะ

    หน้าที่หลักของทุกคนในโลกยุคพลังงานใหม่นี้ มิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากโลกยุคพลังงานเก่าเลย ยังคงเน้นให้มนุษย์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก และเรียนรู้วิธีการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันในสังคมโลกของมนุษย์ให้จงได้ นั่นย่อมหมายความว่ามนุษย์ยุคพลังงานใหม่ทุกคน จะต้องตอบคำถามตนเองให้ได้ว่า....

    ๑.จะสร้างความสงบสุขในจิตใจตนเองทุกขณะจิตได้อย่าง
    ไร?

    ๒.จะต้องสำรวมกายใจอย่างไรจึงจะไม่เป็นเงื่อนไขทำลายความสงบสุขของผู้อื่น?

    ๓.จะต้องแสดงอกกอย่างไรจึงจะสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้อื่นได้ทุกเมื่อ?

    ๔.จะต้องคิดและตัดสินใจอย่างไร จึงจะได้ผลึกแห่งการคิดนึกที่เป็นคำตอบที่ถูกต้อบเหมาะสมดีงามอยู่เสมอ?


    คำถามที่จะนำไปสู่ตอบดี ๆ ทั้ง ๔ ประการข้างต้นนี้ คือ ลมหายใจของมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ ที่ทุกคนต้องฝึกฝนตนเองให้เกิดทักษะความชำนาญในการคิดค้นหาคำตอบให้ได้แล้วนำคำตอบทั้งหลายเหล่านั้นมาแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2018
  12. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    การฝึกปฎิบัติในยุคใหม่ ต่างกันโดยสิ้นเชิง กับการฝึกปฎิบัติในยุคเก่า
    ต่างกันอย่างไรนั้น ขอคุณจิตยิ้มช่วยบรรยายให้อ่านกันได้มั้ยครับ...
     
  13. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    การชำระล้างโลก เริ่มรุนแรงและถี่ขึ้นๆ สังเกตดูจากเหตุที่เกิดขึ้นที่ต่างประเทศ แต่ละประเทศเผชิญกับเหตุแตกต่างกันออกไป ตามลีลากรรมที่คนในแต่ละประเทศนั้นๆได้ก่อกรรมทำชั่วเอาไว้...
     
  14. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    การชำระล้างโลก ด้วยนัำของธรรมชาติที่ สเปน น่ากลัวนะ หากเหตุนี้เกิดขึ้นที่ประเทศไทย จะเป็นอย่างไรนะ น่าคิดให้ลึกๆ.
     
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    มีสองคำที่พอมองให้เห็นภาพค่ะ คือ เทคนิคสมาธิ และธรรมชาติสมาธิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวไว้ค่ะ สองคำนี้มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร? ในสมัยอดีตที่โลกเรายังไม่ปรับระดับมิติพลังงาน การเข้าถีงปัญญาญาณยากค่ะ เพราะเหมือนกับว่าประตูมิติถูกปิดสนิท ผู้ที่ใช้เปิดต้องมีกำลังมากในการเปิดปัญญาญาณ แต่ เพราะยุคพลังงานใหม่ประตูแห่งปัญญาญาณได้แย้มออกมาเพื่อให้คนได้เข้าถึงปัญญาญาณกันได้ง่ายกว่าเดิมค่ะ

    ถึงแม้จะปฏิบัติแบบไหน ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันค่ะ อย่างเช่นที่จิตยิ้มได้นำมาลงล้วนแล้วก็เป็นคำสอนของพระพุทธศาสนาค่ะ หนึ่งในโอวาทปาติโมกข์ 13 จะมีเป็นอุดมการณ์เป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ ความขันติ ความสงบใจ ความไม่เบียดเบียน มีเป้าหมายนิพพาน ตามนี้ค่ะ

    https://www.winnews.tv/news/7656

    และ.....

    https://palungjit.org/threads/“ความอดทนคือประตูสู่การแก้ปัญหา”พระโอวาทสมเด็จพระสังฆราช.657407/


    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงสั่งสอนพุทธบริษัทไว้เกี่ยวกับความอดทนไว้หลายนัย เช่น ความอดทนเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์, ความอดทนเป็นตบะของผู้พากเพียร, ความอดทนเป็นกำลังของนักพรต และสมณะมีความอดทนเป็นกำลัง

    รวมทั้งการให้อภัยกัน การอโหสิกรรมกัน หรือ "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร" ความรักความเมตตาปราถนาดีต่อกัน หรือ ธรรมแห่งความสามัคคี ย่อมนำมาซึ่งความเจริญและสงบสุข
    เป็นต้น

    ทีนี้...คำนี้แหละค่ะ การปฏิบัติสมาธิยุคใหม่ (ธรรมชาติสมาธิ) อีกนัยยะหนึ่ง ก็คือ สมาธิเพื่อการคิดรู้ คืออย่างไร? ก็คือ การยกระดับจิตสำนึกของตนเอง เพื่อเข้าถึงสติปัญญาทางวิญญาณ

    สิ่งใดที่คิดได้ จะต้องทำได้ แสดงออกได้เสมอ

    จงคิดให้ดีก่อนลงมือทำ จงทำให้ได้ตามที่คิด จิตกับกายมันจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันได้ไม่ยากเย็น

    การยกระดับการสั่นสะเทือนของจิตใจและร่างกายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้ามนุษย์สามาระทำให้มันสั่นสะเทือนด้านบวกร่วมกันตลอดไป ด้วยการคิดได้ ทำได้ ในสิ่งที่ถูกต้องอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตรวจุดที่จิตกับกายบรรจบกันนั้น มันคือที่ตั้งของสติปัญญาแห่งจิตวิญญาณ นั่นเอง

    การสร้างระบบการคิดที่เป็นหนึ่งเดียวกันจึงเป็นการค้นหาสติปัญญาทางวิญญาณ เพื่อสร้างพลังอำนาจสูงสุดในการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกที่มนุษย์ทุกคนต้องฝึกฝนและเข้าถึงมันได้ทุกคน เพราะมันเป็นถนนสู่การรู้แจ้งได้ทุกสรรพสิ่ง ด้วยวิธีการหยั่งรู้ของสมองอัจฉริยะที่ตนมีอยู่และไม่เคยใช้งานมันมาก่อน

    การหมั่นฝึกสมาธิเพื่อควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้ แต่ไม่เคยฝึกใช้สติปัญญาเลย มนุษย์ไม่อาจยกระดับจิตสำนึกของตนเองได้ ( จิตสำนึกของมนุษย์อันเกิดจากอารมณ์รู้สึก การนึกคิด หรือตัดสินใจ)

    หากจะนำคำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาลงว่า....

    เซลล์สมองยิ่งมากเท่าใด คลื่นการคิดรู้เพื่อการหยั่งรู้ที่เรียกว่า "ปัญญาญาณ" อันเกิดจากการสั่นสะเทือนทางสมองจากการกระตุ้นของคลื่นไฟฟ้าของจิตที่ใสบริสุทธิ์ จะมีพลังอำนาจสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งมันมีผลต่อความสามารถในการหยั่งรู้ของมนุษย์โดยตรง

    น่าลองพิจาณาคำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันนะคะว่า...เพราะเหตุใด?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2018
  16. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    มาถูกทางในวิธีวิถี ที่ปฎิบัติธรรมกัน ศีลและกรรมบถ 10 สำคัญยิ่ง...ที่คุณจิตยิ้มมาก็ใช่ครับ..ความดีเบื้องต้นเกิดขึ้นที่จิตสามัญสำนึกกันทุกคน แล้วคนเรามองข้ามกันไป.
    ในจุดนี้มีความคิดเห็นสอดคล้องต้องตรงกันครับ.ขอบคุณมากครับ ที่แบ่งปันกันครับ.
     
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    พูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมชาติสมาธิ ในยุคใหม่นี้มนุษย์ต้องฝนตนเองให้เกิดทักษะ ตามขั้นตอนที่เป็นธรรมชาติ 3 ประการคือ

    ต้องพัฒนาสติปัญญา
    ต้องฝึกความมีสติ
    ต้องนำกายกับจิตใจให้เข้าถึงซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน


    การหลุดพ้นของจิต ในขณะที่ร่างกายสังขารยังคงดำรงอยู่ เ
    ช่น มนุษย์ทั่วไปในที่นี้หมายถึง การที่มนุษย์สามารถนำกายกับจิตหยาบ เข้าถึงจิตวิญญาณของตนจนรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ตลอดไป กล่าวคือ สามารถอยู่เหนืออารมณ์ตนเองได้โดยสิ้นเชิง ตัดสินใจถูกต้องในทุกเรื่องเพื่อการรู้แจ้งได้ทุกสรรพสิ่งในสากลโลก ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของมนุษย์ที่นำตนเองสู่การหลุดพ้นได้ด้วยวิธีธรรมชาติ

    การหลุดพ้นของจิต อาจหมายถึง การที่มนุษย์พัฒนาสมองซีกซ้ายของตนจนถึงระดับสูงสุดได้แล้ว โดยสามารถขจัดอุปสรรคจากอารมณ์หยาบ ๆ ฟันฝ่ามันไปเพื่อใช้สติปัญญาของสมองซีกขวานำซ้ายได้อย่างแท้จริง ไม่ตกเป็นทาสทางอารมณ์และไม่คิดถูก ๆ ผิด ๆ เพราะขาดการรู้แจ้งเบื้องต้นหรือเพราะอารมณ์พาไป

    มนุษย์พึงรู้ว่า การจะนำจิตตนเองสู่การหลุดพ้นและการนำจิตวิญญาณสู่การหลุดพ้นได้แท้จริงเมื่อจบชีวิตลง การรู้แจ้งจากอำนาจการหยั่งรู้สูงสุดเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าถึงมันในชาติภพเดียวได้สำหรับมนุษย์ทุกคน แม้...จะเข้าใจกระบวนการธรรมชาติที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดก็ตาม เนื่องจากต้องอาศัยการฝึกฝนจนเกิดทักษะอย่างแท้จริง และต้องอาศัยจำนวนเซลล์สมองนับล้านเซลล์ ซึ่งมากกว่าที่ธรรมชาติจัดวางไว้ให้หลายเท่า การสั่นสะเทือนทางสมองให้เกิดคลื่นปัญญาญาณจึงจะมีอำนาจสูงสุดได้

    เซลล์สมองของมนุษย์ทั้งซีกซ้ายและขวา ทุกเซลล์จะถูกกำหนดไว้ให้สัมพันธ์กันกับคลื่นพลังงานไฟฟ้าจักรวาลเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มจะรับสื่อกับคลื่นพลังงานของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ต่าง ๆ ในกาแล๊กซี่ทางช้างเผือกเสมอ เพียงแค่มนุษย์เกิดการคิดเพื่อการหยั่งรู้ โดยมีสมองซีกขวานำกระบวนการขึ้นมาเมื่อใด เซลล์สมองทุกเซลล์มันจะสั่นสะเทือนจนเกิดเป็นคลื่นไฟฟ้า ที่สามารถรับสื่อข้อมูลใด ๆ ที่ต้องการได้ทันที

    มนุษย์จะต้องค่อย ๆ เพิ่มเซลล์สมองของตนเองด้วยการพัฒนากระบวนการคิดด้วยสติปัญญาต่อเนื่องไปทีละภพชาติ หมั่นสะสมเป็นพรสวรรค์ของตนเองไว้ ผู้ที่เข้าถึงการใช้สมองซีกขวา ด้วยการปฏิบัติสมาธิเทคนิคชั่วคราว เพราะไม่ได้ปฏิบัติตนตามเส้นทางการหลุดพ้นดังกล่าวข้างต้น จะไม่สามารถเข้าถึงการหยั่งรู้สูงสุดได้ เนื่องจากไม่อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนสูงสุดของสมองซีกขวาได้ เพราะสภาวะจิตยังขาดความใสบริสุทธิ์ ไม่ได้รับการขัดเกลาอย่างแท้จริง เป็นเพียงแค่ความสงบงันชั่วคราวเท่านั้น

    สมองซีกขวานำซีกซ้ายของมนุษย์ มีไว้เพื่อสร้างพลังอำนาจในการคิดรู้เรียนรู้ด้วยวิธีการหยั่งรู้จากปัญญาญาณ มันจะทำหน้าที่ได้มีอย่างประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อ

    ๑.เซลล์สมองทุกเซลล์ของซีกซ้าย ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใช้งานอย่างครบถ้วนแล้ว

    ๒.สมองซีกซ้ายจะต้องไร้สำนึกได้อย่างแท้จริง โดยที่มันพร้อมที่จะเป็นผู้ตามสมองซีกขวา เพื่อช่วยเหลือแทนที่จะเป็นผู้นำแบบเดิมตลอดไป

    ๓.เซลล์สมองซีกขวา มันจะต้องได้รับการพัฒนาจากการใช้งานมันได้อย่างครบถ้วนแล้ว

    (หลายคนอาจสงสัยว่า สมองซีกซ้าย สมองซีกขวา คืออะไร ในโพสที่ผ่านมาเคยลงรายละเอียดไว้บ้างแล้วค่ะ ก็คือ สมองซีกขวานำซ้าย เป็นสติปัญญาของวิญญาณ เพราะร่างกายของมนุษย์จะแบ่งจิตสำนึกซึ่งเป็นอาการของใจไว้เป็น 2 ภาค โดยมีสมองเป็นอวัยวะสำคัญอันเป็นเครื่องมือของจิตนั้น สมองถูกแบ่งเป็นสองซีกคือซ้ายกับขวา จิตภาคแรกสามารถบริหารสมองซีกซ้ายให้ทำงานแบบอัตโนมัติ เพียงแค่มนุษย์คิดและรู้สึกเท่านั้น ส่วนจิตภาคสองคือบริหารสมองซีกขวา มนุษย์ต้องทำให้สมองซีกซ้ายมันไร้สำนึกให้ได้เสียก่อน เพราะโดยทั่วไปธรรมชาติของมนุษย์สมองซีกซ้ายจะนำซีกขวาเสมอเพียงแค่คิดและรู้สึกเท่านั้น ถ้าจะทำให้มันไร้สำนึกได้โดยการ หยุดยั้งกระบวนการทางอารมณ์รายวันของตนเองให้ได้ เมื่อกระบวนการนี้หยุดการทำงาน การคิดรู้ในสิ่งใด ๆ จะไปกระตุ้นให้จิตภาคสอง คือสมองซีกขวา ที่เรียกว่า สติปัญญาวิญญาณขึ้นมาทำหน้าที่ทันที)

    จึงเห็นได้ชัดว่า การใช้สติปัญญาด้วยการคิด สามารถพัฒนาเซลล์สมองของคนเองให้มีพลังอำนาจขึ้นได้จากการเพิ่มเซลล์สมองให้เต็มจำนวนที่มันควรจะมี จึงเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องกระทำ โดยต้องรู้จักคิด หมั่นคิด และคิดให้เป็น มิใช่คอยเชื่อตามผู้อื่นอย่างงมงาย

    นี้แหละค่ะการเข้าถึงหัวใจของ ก็คือ การฝึกฝนตนเองให้เกิดทักษะ คือ พัฒนาสติปัญญา ฝึกความมีสติ และต้องนำกายและจิตใจให้เข้าถึงซึ่งความป็นหนึ่งเดียวกันค่ะ เพราะเมื่อกายกับจิตหยาบ เข้าถึงจิตวิญญาณของตนเองจนรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ตลอดไป กล่าวคือ สามารถอยู่เหนืออารมณ์ตนเองได้โดยสิ้นเชิง และสมารถตัดสินใจถูกต้องได้ทุกเรื่อง นั่นคือ มรรคสมังคี มรรคแปดอันเป็นเส้นทางแห่งการหลุดพ้น ข้อความนี้สิ่งศักดิ์นำมาขยายให้ชัดเจนขึ้นในแนวความรู้ยุคพลังงานใหม่นะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2018
  18. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,870
    โดยส่วนตัวผมก็ยังเป็นคนหลงอยู่นะ
    แต่จากที่อ่านๆดูนี้คุณจิตยิ้มจะไปไกลกว่าผมมากละนะ
    สั่นสะเทือนสมองจนถึงขีดสุดเพื่ออัพเลเวลปัญญาญาณ
    นี้คุณจิตยิ้มน่าจะลองไตร่ตรองดูใหม่นะครับ

    จินตนาการที่ลำหน้าไปมากนี้ ผมว่าความจริงที่มีอยู่ตามความเป็นจริง
    นี้อาจจะเหลือน้อยลงไปทุกทีแล้วนะครับ
     
  19. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ผมฮา ตรง อัพเลเวล ปัญญาญาณ ครับ
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    คืออย่างนี้นะคะ คำว่า อัพเลเวลปัญญาญาณ หรือ ยกระดับสติปัญญา เพื่อให้เข้าถึงปัญญาญาณ ในการหลุดพ้น ที่ว่าเกี่ยวกับกลไกลสมองใช่ไหมคะ?

    ส่วนใหญ่ เราจะได้ยินคำว่า "จิต" และกับคำว่า "ใจ" ที่มีคำสอน "จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำสุขมาให้" กับ "มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ"

    ที่นี้จะกล่าวถึง การยกระดับสติปัญญา หรือการพัฒนาสติปัญญาเพื่อเข้าสู่ปัญญาญาณ เป็นลักษณะแบบไหน?

    ปัญญาญาณมาจากไหน!! ปัญญาญาณ คือ ปัญญาญาณที่อยู่ในจิต จิตที่เดิมแท้หรือแก่นแท้ที่มีแสงสว่างภายในที่รอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา" ในบทธรรมจักรนะค่ะ

    เมื่อจิตวิญญาณมาปฏิสนธิในร่างมนุษย์ จะมีใจ (จิตใจ) เป็นตัวดำเนินการทางด้านกายวาจาใจ ซึ่งโดยมีจิต(จิตวิญญาณ) เป็นกระบวนการอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น ใจ(จิตใจ) จึงมีอาการ และอาการของใจก็คือจิตสำนึกหรือจิตไร้สำนึกนั่นเองว่าปราถนาดีหรือชั่ว บุญหรือบาปนะะค่ะ เมื่อจิตสำนึกเป็นอาการของใจแล้ว ใจที่เป็นใหญ่ย่อมสำเร็จตามความปราถนา การฝึกอบรมจิต ก็คือ การฝึกให้จิตมีสำนึกนี้แหละค่ะ ฝึกอย่างไร? ก็การโยโสมนิการ หรือการพิจารณาให้จิตเห็นตามจริง เมื่อจิตรู้และเห็นตามจริงแล้ว ว่าอะไรดีไม่ดี เป็นบุญเป็นบาป เป็นคุณหรือโทษ จิตจึงเกิดการสำนึกในการทำสิ่งที่ดีและถูกต้อง โดยการขัดเกลาจิตใจไปเรื่อย ๆ จิตสำนึกที่ดีงามถูกต้อง ก็ส่งผลให้จิตใจกระทำแต่สิ่งที่ดีงามและถูกต้อง จิตใจก็ใสบริสุทธิ์ไปนะค่ะ

    แล้วจิตที่ฝึกฝนอบรมดีแล้ว คือ จิตที่มีสำนึก ความมีสำนึกมาจากไหน? มาจากจิตที่เห็นความจริง การเห็นความจริงได้อย่างไร? เกิดจากใจที่นิ่งแล้วเข้าไปรู้ เมื่อใจนิ่งแล้วเข้าไปรู้ จึงเกิดจากการพิจารณา... เมื่อพิจารณาเกิดปัญญาก็ได้มาจากภายใน ปัญญาภายใน คือ ปัญญาในจิต ปัญญาในจิตจึงเรียกว่า "ปัญญาญาณ" เมื่อได้ปัญญาญาณเป็นแสงสว่าง จิตที่ถูกห่อหุ้มด้วยความมืดอวิชชาก็ถูกชำระหรือกำจัดไปด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา เมื่อจิตกำจัดอวิชชาที่ไม่รู้ห่อหุ้มไว้ถูกกำจัดไป จิตก็ใสบริสุทธิ์ไปเรื่อย ๆ ที่เขาเรียกว่า แสงสว่างกำจัดความมืด ก็คือ แสงสว่างจากปัญญาญาณในจิตนะค่ะ

    ดังนั้น โยโสมนสิการ หรือ การพิจารณา ที่เกี่ยวข้องกับจิตให้มีสำนึกอย่าเป็นจิตที่ไร้สำนึก ความมีสำนึกหรือไม่มีสำนึกจึงเป็นอาการของใจในส่วนที่เกี่ยวกับสัมมาสังกัปโป หรือ ความดำริชอบ (การคิดชอบ) ที่ต่อจากความเห็นชอบ เห็นความจริงจากใจที่นิ่งแล้วรู้เห็นตามความจริง นั่นเอง จึงเกิดเป็นจิตสำนึกที่ดีงามถูกต้องชอบธรรมค่ะ

    นี้แหละค่ะ การยกระดับจิตสำนึกจากโยโสมนสิการเพื่อให้เกิดการดำริชอบ หรือ การคิดชอบ เพื่อทำกายวาจาใจให้ดีงามค่ะ และจะดีงามอย่างแท้จริงก็ต้องเกิดจากแสงสว่างภายในที่เกิดจากการขัดเกลาจิตใจ ฝึกจิตอบรมบ่มนิสัยนะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2018

แชร์หน้านี้

Loading...