ลป.สุภา๑๑๑ปี พระสมเด็จ๙อรหันต์ สายกรรมฐาน เหรียญรุ่น๒ลพ.ตั๋ง วัดโพธิ์เอน

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    พระญาณรังษี เป็นผู้สืบทอดสายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามแนวของ สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร
    (สุก ไก่เถื่อน)
    จากพระครูสังวร สมาธิวัตร(หลวงปู่แป๊ะ) จนมีความเชี่ยวชาญและได้เป็นอาจารย์ อบรมวิปัสสนา
    กัมมัฏฐานแก่ศิษยานุศิษย์ จนท่านได้ฉายา หลวงพ่อตาทิพย์ เนื่องจากท่านสามารถนั่งสมาธิ หยั่งรู้ถึงเหตุการณ์
    ในอดีต อนาคต ปัจจุบัน ได้ ทำให้มีศรัทธาจากญาติโยมทั่วสารทิศ มาขอให้ ท่านช่วยตรวจดูความเป็นไปที่เกิดขึ้น
    ใน อดีต อนาคต ปัจจุบัน เพื่อการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมปฏิปทาของท่านเป็นที่น่าเลื่อมใส
    ศรัธทาแก่ญาติโยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากท่านมีความเมตตาอย่างสูง



    lungpoojuob-1.jpg

    พระญาณรังษี ( จวบ สุภัทโท ) ฉายา สุภัทโท อายุ 92 พรรษา วิทยาฐานะ นักธรรมชั้นเอก วัดราชสิทธาราม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ ดำรงตำแหน่ง รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ปัจจุบันท่านได้ถึงแก่มรณภาพ เมื่อเช้าวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2550 เมื่อเวลา04.04น. ที่โรงพยาบาลธนบุรี ด้วยโรคชราภาพ สิริรวม อายุ 94 ปี 73 พรรษา
    สถานะเดิม ชื่อ จวบ นามสกุล เกิดมงคล เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2456 ปีฉลู บิดาชื่อ ท่านขุนมัธยมกิจ เกิดมงคล(ขำ) มารดาชื่อ นางแย้ม เกิดมลคล อาศัยอยู่ หมู่ที่ 1 ต.ดอนตะหนิน อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่ธุระกันดารในสมัยนั้น บิดาท่านประกอบอาชีพ รับราชการเป็นนายอำเภอหลายแห่ง ซึ่งท่านได้สร้างประโยชน์แก่ทางราชการเป็นอย่างมาก ได้ย้ายไปประจำในหลายจังหวัด ส่วน มารดาท่านประกอบอาชีพ ทำนา ซึ่งหลวงปู่ได้อาศัยป้าและญาติพี่น้องดูแลเลี้ยงดู จนเติบโต และได้รับการศึกษาชั้นประถมศึกษา โรงเรียนเดิม ใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ต่อมาท่านได้ย้ายตามบิดาไปหลายแห่ง

    บรรพชา เมื่อท่านมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2477 ณ วัดบ้านเสมาใหญ่ ต.ดอนตะเนิน อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา โดยมีพระครูจันทร สรคุณ (หลวงปู่เสี่ยง) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้นได้ อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ในวันเดียวกัน

    เหตุแห่งการบวชตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดแห่งธรรม เหตุที่ท่านได้อุปสมบท เพื่อต้องการทดแทนพระคุณบิดา มารดา เมื่อย่างเข้าอายุ 20 ปี จึงได้อุปสมบทให้กับบิดาและมาราดา หลังจากนั้นในพรรษาแรกท่านได้ไปจำพรรษา ณ วัดบ้านทองหลางน้อย อ.บัวใหญ่จ.นครราชสีมา และได้ศึกษาเล่าเรียนพระกัมมัฏฐาน จากนั้นได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่แจ้ง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น มีวาจาสิทธิ์และมีญาณหยั่งรู้ และได้เป็นสัทธรรมมิกกับพระอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเป็นเพื่อนทางธรรมกัน ในพรรษาแรกหลวงปู่แจ้งได้เรียกพระสงฆ์เข้าไปพบหลายองค์ ได้ให้เข้าแถว หลวงปู่แจ้งได้ชี้บอก "รูปนี้สึก รูปนี้สึก รูปนี้สึก องค์นี้สึก" พอชี้มาที่หลวงปู่จวบ หลวงปู่แจ้ง ท่านพูดว่า "องค์นี้ไม่ศึก" หลวงปู่จวบท่านคิดในใจว่าอยากลาสึก ท่านแปลกใจว่าทำไมหลวงปู่แจ้งถึงบอกว่า ไม่สึก ดังนั้นหลวงปู่จวบจึงได้กลับมาคิดใคร่ครวญถึงคำพูดของพระอาจารย์แจ้ง หลังนั้นจากอีก 3 วันต่อมา ท่านได้เรียกหลวงปู่จวบเข้าไปพบเพราะว่ามีศพผู้หญิงตายมาได้ 2 วัน ตั้งศพไว้ที่ศาลา หลวงปู่จวบได้เข้าไปที่ศาลา ในใจของท่านเกิดความกลัวเพราะไม่เคยเห็น อีกใจนึงก็เกรงใจท่านพระอาจารย์แจ้ง จึงขึ้นไปที่ศาลา เพื่อพิจารณาซากอสุภะ เมื่อเห็นแล้วได้พิจารณาจนเกิดความสังเวชขึ้นในใจและได้พิจารณาซากศพที่ศาลาเป็นเวลาหนึ่งคืน เพราะหลวงปู่แจ้งไม่ให้ท่านลงจากศาลา หลังจากออกพรรษา พระสงฆ์ในรุ่นราวคราวเดียวกันได้ทยอยลาสึก เป็นไปตามลำดับ ตามคำที่หลวงปู่แจ้งได้บอกอย่างไม่น่าเชื่อ จึงทำให้หลวงปู่เกิดความประหลาดใจ หลังจากนั้นหลวงปู่จวบจึงยังไม่ตัดสินใจที่จะลาสิกขาในพรรษานั้น จนท่านได้ศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์แจ้ง และประพฤติปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ให้การช่วยเหลือกิจการของสงฆ์ พร้อมอุปัฏฐากรับใช้พระอาจารย์แจ้งเป็นเวลา 6 พรรษา หลังจากนั้นท่านได้ขอลาหลวงปู่แจ้ง เพื่อไปธุดงค์และแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ท่านได้เริ่มออกเดินธุดงค์จาก จ.นครราชสีมา ผ่านป่าดงพญาเย็น ซึ่งเป็นปารกชัดและน่ากลัวเป็นยิ่งนัก หลวงปู่มีความองอาจ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มักน้อย สันโดด ได้ธุดงค์ผ่าน อ.ปากช่อง ใช้เวลาเดินธุดงค์เป็นเวลานาน ท่านมุ่งหน้ามาที่กรุงเทพมหานครฯ พอเดินทางมาถึง อ.ปากช่อง ท่านเข้าใจว่าได้มาถึง จ.อยุธยาแล้ว เพราะหนทางลำบากธุระกันดารมาก แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อต่อหนทางที่ลำบาก จากนั้นได้สอบถามเส้นทางจากชาวบ้าน เพื่อมุ่งหน้าออกเดินทางไปที่สำนัก วัดพลับ กทม. ซึ่งท่านได้ยินชื่อเสียงและคำบอกกล่าวจากพระอาจารย์แจ้ง ว่าเป็นสำนักที่ปฏิบัติเคร่งครัด น่าเลื่อมใสศรัทธา และมีอาจารย์ผู้สอนวิชาชั้นสูง (สำนักวัดพลับในสมัยนั้นเป็นดินลูกลัง มีต้นไม้ลังใหญ่คู่หนึ่ง และต้นไม้อีกจำนวนมาก ซึ่งไม่ได้เจริญอย่างปัจจุบันนี้) เมื่อท่านได้เดินทางมาถึง สำนักวัดพลับ ได้พักพำนักในบริเวณสำนักวัดพลับ และได้เข้าไปติดต่อขอพำนักและศึกษาเล่าเรียน ได้มาขอพำนักอาศัยกับพระเลขาที่มีหน้าที่ผู้ดูแลพระสงฆ์ เข้าออกภายในวัด พระเลขาเห็นว่าหลวงปู่เป็นพระต่างจังหวัดจึงไม่รับท่านเข้ามาพำนักอาศัย หลวงปู่จวบจึงเกิดความท้อใจ ท่านจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน "ข้าพเจ้าตั้งใจมาประพฤติปฏิบัติและศึกษาเล่าเรียนอย่างเคร่งครัด ณ สำนักวัดพลับแห่งนี้ ขอให้มีผู้ช่วยเหลือ ให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จตามความประสงค์" หลังจากต่อมานั้นอีก 3 วัน ได้เกิด
    เหตุการณ์ปาฏิหารย์ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ หลวงปู่จวบได้พบกับเจ้าอาวาส พระอาจารย์สังวรานุวงศ์เถระ (พระอาจารย์ สอน) โดยความบังเอิญ เมื่อท่านพระอาจารย์สอนได้เห็นและได้พูดคุยกับหลวงปู่จวบ ท่านได้ให้ความเมตตากับหลวงปู่จวบ จึงได้เป็นผู้รับรอง กับพระเลขาที่ท่านได้หมอบหมายให้ดูแล ท่านได้ให้การรับรองหลวงปู่จวบพำนักอาศัย ณ สำนักวัดพลับแห่งนี้ และหลวงปู่ได้ศึกษาเล่าเรียนในสำนักวัดพลับ ระยะเวลาหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นท่านพระอาจารย์สอน ได้ฝากหลวงปู่จวบให้เป็นศิษย์ของพระครูสมาธิวัตร (พระอาจารย์ แป้ะ) และได้ให้อาจารย์แป้ะ เป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอน ทางด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน จากนั้นหลวงปู่จวบได้ศึกษานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ควบคู่กันไป กับการเรียนพระกัมมัฏฐาน หลวงปู่ได้ศึกษานักธรรมจาก สำนักวัดอรุณราชวราราม กทม. เมื่อหลวงปู่จวบศึกษานักธรรมชั้นเอกสำเร็จ หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ตั้งใจปฏิบัติตน และฝึกสมถะกัมมัฏฐาน อย่างจริงจัง ตั้งแต่บัดนั้นมาในปี พ.ศ.2485 เป็นต้นมาหลวงปู่จวบได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์กับพระครูสมาธิวัตร (อาจารย์ แป้ะ) ซึ่งเป็นอาจารย์วิปัสสนากัมฏฐาน ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น (พระครูสมาธิวัตร ท่านได้รับพระราชทาน พัดยศงา ที่ทำจากงาช้างสาร จากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 9) เป็นพระสงฆ์ที่มีคุณธรรมน่าเลื่อมใสศรัทธาในสำนักวัดพลับ ท่านพระอาจารย์แป้ะ เป็นพระที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์และมีญาณหยั่งรู้ ในอดีต อนาคต ปัจจบัน และ สามารถรู้ความคิดของบุคคลได้ หลวงปู่จวบได้เล่าให้ฟังว่าในสมัยนั้นมีพระสงฆ์ได้มาศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์แป้ะเป็นจำนวนมาก ท่านพระอาจารย์แป้ะ ได้ตรวจดูจริตนิสัยของพระสงฆ์แต่ละรูปที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ ได้ให้พระกรรมฐาน ซึ่งแตกต่างกันตามจริตนิสัยของลูกศิษย์แต่ละรูป จึงให้หลวงปู่จวบปฏิบัติพระกรรมฐานแนวสมถะกัมมัฏฐาน โดยใช้คำภาวนาบริกรรมว่า "พุธโธ" หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ ฝึกฝนจนชำนาญ จนเกิด ปิติ ทั้ง 5 เป็นลำดับขั้น (จะกล่าวอย่างละเอียดในวิธีปฏิบัติ) จนจิตได้เข้าถึงจตุรฌาณและได้วสีทั้ง 5 จนเป็นผู้ชำนาญในการเข้าออกฌาณ และพระอาจารย์แป้ะได้สอนวิธีการเพ่งกสิณ หลวงปู่ได้ ฝึกฝนกสิณทั้ง 10 กอง ในเหตุการณ์ครั้งนั้น หลวงปู่ได้เล่าว่า ท่านได้ทดสอบกสิณไฟ ที่ได้ฝึกฝนมา ในขณะนั้นมีพระสงฆ์รูปหนึ่งในสำนักที่ไม่ชอบจริตนิสัยกันได้พูดจาดูถูกตำหนิท่าน หลวงปู่จวบจึงได้ทดสอบกสิณไฟ กำหนดเพ่งไปที่ก้นของพระสงฆ์รูปนั้น ปรากฏว่าพระสงฆ์รูปนั้นเอะอะโวยวายร้องลั่นกุฏิที่พัก ว่า " ใครทำกู " หลวงปู่จวบแอบยิ้มชอบใจ ในวันต่อมาช่วงเช้า หลังฉันภัตตาหารเสร็จ พระอาจารย์แป้ะ ได้เรียกหลวงปู่จวบเข้าไปพบตักเตือน โดยท่านพระอาจารย์แป้ะ บอกว่า "ที่ได้เพ่งกสิณไฟเมื่อคืน อย่าได้ทำอีก มันเป็นบาป" จึงทำให้หลวงปู่จวบตกใจกลัวในพระอาจารย์ ว่ารู้ได้อย่างไร หลังจากนั้นหลวงปู่ได้เชื่อฟังและปฏิบัติตามจนสำเร็จวิชากสิญทั้ง 10 กอง ในระยะเวลาไม่นาน หลวงปู่ได้นั้งพระกรรมฐานที่กุฏิวิปัสสนากรรมฐานที่รายรอบพระอุโบสถ ซึ่งเป็นกุฏิสำหรับพระสงฆ์ใช้ปฏิบัติพระกรรมฐาน หลังละ 1 รูป ในแต่ละวันจะมีพระสงฆ์เข้าปฏิบัติในกุฏิทั้งหลายนี้ หลังฉันภัตตาหารเช้าและทำภาระกิจส่วนตัวเสร็จหลวงปู่จวบจะเข้าไปนั่งปฏิบัติพระกรรมฐานในกุฏิแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน ในช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นในประเทศไทย ในเขตธนบุรี ในใจหนึ่งก็กลัวระเบิดจะทิ้งลง แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปได้ ทางราชการได้เกณฑ์ผู้คนให้หลบหนี และส่งสัญญาณเตือนภัย เมื่อสัญญาณเตือนแต่ละครั้งดังขึ้น ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน วิ่งหนีเพื่อเข้าหลุมหลบภัยที่ทางการจัดไว้ หลวงปู่ใช้กุฏินั่งกรรมฐานเป็นที่หลบภัย "ในใจก็
    ภาวนา พุธโธ" ท่านขอให้บารมีคุณพระช่วยปกปักรักษาคุ้มครองอย่าได้มีภัยเกิดขึ้นในสำนักวัดพลับแห่งนี้ เมื่อเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นติดต่อกันหลายปี ทางการเห็นว่าไม่ปลอดภัยในบางช่วง ได้เตือนให้ประชายนในเขตใกล้เคียง ในเขต ธนบุรี ลี้ภัยไปในจังหวัดอื่น หลวงปู่จวบจึงได้ลี้ภัยไปใน จ.อยุธยา ก็เป็นโอกาศดีที่ท่านได้ไปรู้จัก และศึกษาพูดคุยสนทนาธรรม กับหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จึงได้ข้อธรรมชั้นสูง และหลวงปู่บุดดาได้รับรองหลวงปู่จวบว่าเป็นพระสงฆ์ที่มีคุณธรรมสูงอีกองค์หนึ่งในกรุงเทพมหานครฯ ต่อมาหลวงปู่ทั้ง 2 องค์ ได้เป็นสหธรรมมิกซึ่งกันและกัน โดยหลวงปู่บุดดา ได้มีอายุพรรษามากว่า หลวงปู่จวบถึง 12 พรรษา แต่ทั้ง 2 ท่านก็ได้นับถือกันเป็นเพื่อน (เมื่อไหร่ที่หลวงปู่จวบได้มีโอกาสเดินทางผ่าน จ.อยุธยา หลวงปู่จวบมักจะแวะเวียนไปเยี่ยมหลวงปู่บุดดา และสนทนาธรรม กันบ่อยครั้งในช่วงบั้นปลายชีวิต) หลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยุติลง หลวงปู่จวบได้กลับมาประพฤติปฏิบัติที่สำนักวัดพลับตามเดิม

    ต่อมาในปี พ.ศ.2500 พระอาจารย์สอน เจ้าอาวาส องค์ที่ 17 สำนักวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) ได้ถึงกาลมรณะภาพลงด้วยโรคชราภาพ ท่านพระอาจารย์สอน ได้มอบภาระให้หลวงปู่เป็นผู้ดูแล พระอาจารย์แป้ะ ก็ชราภาพมากแล้ว หลวงปู่จวบได้อุปัฏฐากดูแลพระอาจารย์แป้ะ จนถึงวาระสุดท้าย และพระอาจารย์แป้ะได้ถึงกาลมรณะภาพลง ในปี พ.ศ.2502 หลังจากนั้นสำนักวัดพลับได้ ว่างเว้นเจ้าอาวาส ในสมัยนั้นพระสังฆาธิการได้เรียกหลวงปู่จวบเข้าไปพบหลายครั้ง เพื่อจะหมอบหมายแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสสำนักวัดพลับ แต่หลวงปู่ได้ให้การปฏิเสธพระสังฆาธิการทุกครั้ง หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังว่า " ถ้าท่านให้ผมเป็นเจ้าอาวาส ผมจะหนีเข้าป่า " เพราะหลวงปู่ได้ให้เวลาต่อการประพฤติปฏิบัติเป็นอย่างมาก เกรงว่าถ้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งมีภาระหน้าที่มาก จะทำให้ไม่มีเวลาต่อการประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ท่านจึงไม่รับตำแหน่งเจ้าอาวาส เป็นเพียงผู้รักษาการเจ้าอาวาส หลังจากนั้นพระสังฆาธิการเห็นว่าสำนักวัดพลับ ว่างเว้นเจ้าอาวาสเป็นระยะเวลานานแล้ว จึงได้มีคำสั้งแต่งตั้งพระราชวิสุทธิญาณ (พระอาจารย์ อยู่) เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาส องค์ที่ 18 สำนักวัดพลับ และยังได้เมตตาหลวงปู่จวบ โดยแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส และเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น "พระครูวิจิตรวิหารวัตร"

    ปฏิปทา หลังจากปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา หลวงปู่จวบจะโปรดญาติโยม และให้การช่วยเหลือศรัทธาญาติโยมจากทุกสารทิศที่ได้เดินทางมา เพราะท่านเป็นหมอยาแพทย์แผนไทย

    ญาติโยมที่ป่วยไข้เป็นโรคต่างๆที่รักษาไม่หาย จะมาขอความช่วยเหลือจากหลวงปู่ และในบางครั้งมีญาติโยมที่ป่วยไข้อาการหนักมาพักรักษาตัว หลวงปู่ท่านไม่รังเกียจและให้การช่วยเหลือทันที โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ท่านยังคงทำวัตร สวดมนต์ เจริญจิตภาวนา เจริญพระกรรมฐาน เป็นประจำทุกวัน ในวันพระท่านจะลง อุโบสถเพื่อเทศน์โปรดญาติโยมเป็นประจำ และท่านยังเป็นอาจารย์ผู้มอบกัมมัฏฐานให้แก่ศิษยานุศิษย์ที่สนใจ มาประพฤติประฏิบัติ นำไปเป็นหลักเกณฑ์ตามแบบฉบับสำนักวัดพลับ (รายละเอียดขึ้นครูพระกรรมฐาน) จนเป็นที่เลื่องลือถึงความสามารถ ท่านได้ตรวจดูดวงชะตาในเหตุการณ์ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ที่ได้จากภาพนิมิตแต่ละเหตุการณ์มารวมกัน และทายผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้แก่ญาติโยม ที่ได้ญาณหยั่งรู้จากการฝึกฝนปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยทายผลได้อย่างแม่นยำ จนลูกศิยษ์และประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศ ให้ขนานนามท่านว่า "หลวงพ่อตาทิพย์ หลวงปู่ตาทิพย์ " หลวงปู่ได้ให้การช่วยเหลือ ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั้งหลาย ให้ประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริต ทำให้ศิษยานุศิษย์และประชาชนมีความเจริญรุ่งเรื่อง ทางด้านตำแหน่งหน้าที่ การงาน ทางด้านอาชีพค้าขาย นักธุรกิจ นักการเมือง พ่อค้า ประชาชน และอีกหลายสาขาอาชีพ ท่านได้นำวิชาความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา เป็นประโยชน์ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั้งหลาย ปฏิปทาของท่านเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่ญาติโยมที่พบเห็น และได้อบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ของท่านให้เป็นผู้มีความเมตตาซึ่งกันและกัน ท่านได้ช่วยเหลือวัดว่าอารามเป็นจำนวนนวนมาก โดยเฉพาะวัดบ้านเกิดและใกล้เคียง ท่านเป็นพระสงฆ์ผู้เป็นแบบอย่างที่ดีงาม มีคุณธรรมสูง ให้การช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยม มักน้อย สันโดด หายากที่จะมีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ ท่านได้สงเคราะห์ช่วยเหลือญาติโยมติดต่อกันเป็นเวลานาน ถึง 40 ปี จวบจนถึงกาลมรณะภาพ ด้วยโรคชรา ท่านมาคติธรรมที่น่าเลื่อมใสศรัทธาแก่ศิษยานุศิษย์ เป็นพระสงฆ์ผู้เปี่่ยมล้นด้วยความเมตตาแก่ชาวโลก ท่านพูดเสมอว่า " มีเมตตามากมาก ต้องมีขันติมากมาก " เป็นการบ่งบอกถึงยความอดทนและปฏิปทาที่น่าเลื่อมใสของท่าน ที่ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้า ท่านสละเวลาของท่านช่วยเหลือผู้คน ถึงแม้ว่าจะชราภาพลง หลวงปู่ก็ยังสงเคราะห์ญาติโยมตลอดเวลา
    วัตถุมงคลและวิชาความรู้ต่างๆ หลวงปู่จวบ ได้ศึกษาวิชาอักขระขอมและเลขยันต์ การปลุกเสกอักขระเลขยันต์ จากเกจิอาจารย์ ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน หลวงปู่ได้จัดทำวัตถุมงคล เช่น พระผงหมอดินยาใบโพธิ์ ตระกรุดกันภัย น้ำเต้ากันภัย น้ำเต้าเรียกเงินเรียกทอง ผ้ายันต์ เหรียญรูปหล่อ พระผงสมเด็จ พระผงพระร่วงเปิดโลก (พิมพ์แบบพระต่างๆ ที่หลวงปู่ได้อธิตฐานจิต ดูลายละเอียด) หมีดหมอ และน้ำพระพุทธมนต์ค้าขาย น้ำพระพุทธมนต์ปัดเป่ารักษาโรคภัย และยังได้ศึกษาศาสตร์วิชาแขนงต่างๆทางโหราศาสตร์ เช่น การตั้งชื่อ พิธีกรรมบวงสรวง สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา พิธีกรรมรับดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 เจิมรถยนต์ เจิมบ้านเรือน เสริมบารมีลงนะหน้าทอง นะมหานิยม นะเรียกเงินเรียกทอง จตุโรบังเกิดทรัพย์ ยันต์ตรีนิสิงเห การยกเสาเอกบ้านเรือนและบริษัทห้างร้าน การวางศิลาฤกษ์ การอธิษฐานจิตให้ค้าขายดี อธิษฐานจิตวัตถุมงคเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และอีกมามาย ซึ่งเป็นเมตตามหานิยมค้าขาย ร่ำรวยเงินทอง และทำให้ลาภผลทวีเพิ่มพูล สมบูรณ์พูนผล ทั้งทางโลกและทางธรรม จึงเป็นประโยชน์แก่ศิษยานุศิษย์และประชาชน

    lungpoojuob-2.jpg

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่จวบวัดพลับ
    ให้บูชา300บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย
    IMG_20220829_150007.jpg IMG_20220829_145948.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    เหรียญสมเด็จโตหลังพระปรมาภิไทย จปรวัดเกศไชโยอ่างทอง

    ให้บูชา100บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทไปรษณีย์ไทย
    IMG_20220829_150019.jpg IMG_20220829_150040.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    เหรียญหลวงปู่อยู่วัดขุนทิพย์อำเภออุทัยจังหวัดอยุธยารุ่น 3
    ให้บูชา100บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทไปรษณีย์ไทย IMG_20220829_150056.jpg IMG_20220829_150109.jpg
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    FB_IMG_1660895749487.jpg

    หลวงพ่อบุญจันทร์ เจริญธรรม
    สำนักอบรมศีลสมาธิปัญญา เขาพิทักษ์สังวรณ์สรณะสันติ ต.บ่อพญานาค อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
    สมเด็จพระบรมครู(หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา) หลังจากท่านละสังขารปี พ.ศ. 2497 ได้ 4 วัน แล้วมาจุติหรือมาเกิดด้วยวิธีโอปปาติกะในร่างของนายกิมเส้ง แซ่เตียง ซึ่งเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน และท่านบอกว่าท่านคือหลวงพ่อกบ ชื่อจริงนั้นคือ “บุญจันทร์ เจริญธรรม”
    Cr.หนังสือโอปปาติกะปาฏิหาริย์
    จากหลวงพ่อกบถึงหลวงพ่อบุญจันทร์
    (เวทย์ วรวิทย์ ค้นคว้าและเรียบเรียง)
    เหรียญหลวงพ่อบุญจันทร์วัดเจริญธรรมสภาพสวยเดิมๆ
    บูชา200บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflash หรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย

    IMG_20220829_174355.jpg IMG_20220829_174410.jpg
     
  5. denchai_l

    denchai_l เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,093
    ค่าพลัง:
    +1,548
    เข้ามาชมครับ พระปฏิบัติดีเกจิดังทั้งนั้นเลย
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    วัตถุมงคลหลากหลายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศครับค่าจัดส่งต่อครั้ง 30 บาทระบบflash หรือ J&Tและ 50 บาทems ไปรษณีย์ไทย 08--1--70--4--72--64 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง line ตามเบอร์โทรศัพท์
    บัญชีธนาคาร กรุงไทย 125-00-89-239
    Supachai thu
    โอนแล้วแจ้งบอก ทางข้อความ พร้อมที่อยู่จัดส่ง ป้อง กัน การเอาข้อมูลจากมิจฉาชีพครับ
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    พระรูปเหมือนหลวงพ่อปาน(ลิ้นดำ) วัดโคกสมานคุณ พิมพ์ใหญ่ เนื้อผงว่าน พ.ศ.2537 จ.สงขลา
    พระสภาพสวยมากๆครับ
    แท้ดูง่ายมากๆ พร้อมกล่องเดิมๆจากวัด
    จัดสร้างโดยพระครูสมานคุณากรหรือที่ชาวสงขลาเรียกและรู้จักท่านในนามว่า “ หลวงพ่อจันทร์ “ โดยจัดพิธีพุทธาภิเษกเมื่อวันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๗ อันตรงกับวันเสาร์ห้า เดือน ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ ซึ่งโบราณถือว่าเป็นวันมหาอุด มหาโชคและเป็นวันที่กล้าแข็ง สามารถบันดาลให้เกิดอิทธิปาฏิหาริย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์
    ก่อนที่จะสร้างพระหลวงพ่อปานลิ้นดำนี้ หลวงพ่อจันทร์ได้เก็บรวบรวมผงต่าง ๆ ว่านเก่า ตลอดจนวัตถุธาตุอันเป็นมงคลต่าง ๆ นำมารวบรวมเอาไว้เป็นเวลาหลายปี นอกจากนี้แล้ว ยังมีดอกไม้ ดอกมะลิอันเป็นมงคลในพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปในพิธียกช่อฟ้าพระอุโบสถวัดโคกสมานคุณนำมาเป็นส่วนผสมอีกด้วย โดยในขณะนั้น หลวงพ่อจันทร์ยังมีศักดิ์เป็นพระครูสังฆรักษ์อยู่ พร้อมกันนั้น หลวงพ่อจันทร์ยังได้นำเอาผงว่านที่แตกหักของพระเครื่องหลวงพ่อปานที่สร้างเมื่อปี ๒๕๐๖ และนำทูลถวายพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวมาเป็นส่วนผสมหลักในการสร้างครั้งนี้ด้วย
    สำหรับผงว่านมงคล ที่นำมาเป็นส่วนผสมในการสร้างพระผงเนื้อว่านหลวงพ่อปานรุ่นนี้ ประกอบด้วย :-
    - ว่านชนิดต่าง ๑๐๘ ชนิด
    - กำยาน ๕ กิโลกรัม
    - ผงขี้ธูปวัดพะโคะ
    - เปลือกไม้ยางที่หลวงปู่ทวดเคยวางไม้เท้า
    - ผงตะไบเงินยวง
    - ผงใบต้นสังกรณี
    - ผงใบยอที่งอกบนต้นไม้อื่น เรียกว่า “ ยอไม่ตกดิน “
    - ผงปูนที่สกัดจากยอดพระธาตุ จ.นครศรีธรรมราช
    - ดอกสวาท
    - ดอกใบรักซ้อน
    - กาฝากรักซ้อน
    - กาฝากรักป่า
    - ดินกากยายักษ์
    - ดินโป่งปูที่ปิดรูปู ๑๐๘ รู
    - ดอกไม้บูชาพระค่ามพระอารามต่าง ๆ ในกรุงเทพ ฯ
    - ผงเก่าที่เก็บไว้จากหลวงพ่อปานลิ้นดำที่เหลือมาจากการสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๖
    - ดอก / ใบ / ต้นพุทธรักษา
    - ดอกสายหยุด
    - ใบเสียบต้นใหญ่ที่ฝังรกหลวงปู่ทวด
    - ไข่หินถ้ำพระธาตุเขาสายร้อยยอด จ.ประจวบ ฯ
    - ข้าวสารหิน จ.ลพบุรี
    ดอกพญางิ้วดำ
    - ธาตุแร่เหล็กน้ำพี้ จ.อุตรดิตถ์
    - เพชรเขาพระงาม จ.เพชรบุรี
    - ขี้ธูปเขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรี
    - ขนมปังหรือขนมโคคนธรรพ์ในถ้ำอุตรดิตถ์
    - ดินกรุพระนางตราท่าศาลา นครศรีธรรมราชอายุกว่า ๘๐๐ ปี
    พระผงเนื้อว่านหลวงพ่อปาน ลิ้นดำที่สร้างในครั้งนี้มีพระเกจิอาจารย์จากทั่วทั้งภาคใต้ก็ว่าได้ ที่ไปร่วมกันปลุกเสกในครั้งนี้ อาทิ ....
    - หลวงพ่อแดง วัดควนนางพิมพ์ จ.พัทลุง
    - หลวงพ่อร่วง ปกาสิทธิ์ วัดศาลาโพธิ์ ( ดับเทียนชัย )
    - หลวงพ่อล้วน วัดน้ำน้อยใน
    - หลวงพ่อเรือง วัดประตูชัย
    - หลวงพ่อบุญ วัดคลองแห
    - หลวงพ่อรื่น วัดช่องเขา
    - พระครูประภัสสรธรรมคุณ วัดทรายขาว
    - หลวงพ่อเอียด วัดบางกล่ำ
    - หลวงพ่อจันทร์ วัดเจริญราษฎร์
    - พระครูโกวิทธรรมสาร วัดห้วยลาด
    - พระครูมนุญธรรมานุวัตร วัดหูแร่
    - หลวงพ่อจำเนียร สำนักสงฆ์ต้นเลียบ
    - หลวงพ่อพราง วัดโคกทราย
    - หลวงพ่อจันทร์ วัดโคกสมานคุณ
    - หลวงพ่อปรีชา รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย
    - พระอาจารสมนึก วัดหรงบล จ.นครศรีธรรมราช
    ในการสร้างพระเนื้อว่านหลวงพ่อปาน ลิ้นดำนี้ หลวงพ่อจันทร์ท่านมีความประสงค์ที่จะบูชาคุณของหลวงพ่อปานซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน ทั้งนี้ เมื่อตอนหลังจากที่หลวงพ่อจันทร์ได้บวชแล้วท่านก็ได้ร่ำเรียนพระธรรมวินัยกับหลวงพ่อปาน ตลอดจนคาถาอาคมอยู่เป็นเวลานานหลายปีจนกระทั่งหลวงพ่อปาน มรณภาพ
    สำหรับรูปลักษณ์ของพระเนื้อว่านหลวงพ่อปานลิ้นดำนี้ จะมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว มีขนาดความสูง ๓ ซม. ฐานล่างกว้าง ๒ ซม. ตรงกลางจะเป็นรูปองค์หลวงพ่อปานลิ้นดำ ห่มจีวรเฉวียงบ่า พาดสังฆาฏิในท่าจับหัวเข่า นั่งอยู่บนฐานเขียง ด้านหลังองค์พระจะนูนคล้ายหลังเบี้ย มีอักษรภาษไทยปั๊มอ่านว่า “ หลวงพ่อปาน วัดโคกสมานคุณ
    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อปานให้บูชา300บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflash หรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย
    IMG_20220830_215453.jpg IMG_20220830_215509.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    showimage.jpeg
    พระครูอาทรธรรมพินิจ (พ่อท่านเอื้อม ปชฺโชโต)
    สำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมสวนป่าตลิ่งชัน อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง
    พระครูอาทรธรรมพินิจ (พ่อท่านเอื้อม ปชฺโชโต) ท่านเป็นชาวพัทลุงโดยกำเนิดเกิดที่บ้านควนพนางตุง ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง นามเดิม นายเอื้อม จันทร์คง เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๗๔ เป็นบุตรนายกลับ นางแดง จันทร์คง ฐานะทางบ้านประกอบอาชีพทำนาทำสวน
    อุปสมบทครั้งแรก ณ พัทธสีมา วัดควนควนพนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง หลังจากที่ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ครั้งแรก ๑ ปี ก็ได้ลาสิกขาออกมาอยู่ช่วยพ่อแม่ประกอบเลี้ยงครอบครัว และได้แต่งงานออกเรือน
    ในช่วงวัยหนุ่มชีวิตท่านค่อนข้างโลดโผน เริ่มศึกษาวิชาไสยเวทวิทยาคมสายเขาอ้อนั้นท่านได้เรียนรู้มาตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส โดยได้ศึกษาจากหมอแก้ว (บิดาภรรยา) ศิษย์พระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ซึ่งหมอแก้ว มีความอาวุโสกว่าพระอาจารย์ปาน ปาลธมฺโม และท่านขุนพันธ์ฯ ศิษย์รวมสำนักในสมัยนั้น และที่ท่านได้ศึกษาวิชาไสยเวทวิทยาคมสายเขาอ้อมามากที่สุด คือ จากพระอาจารย์ปาน ปาลธมฺโม วัดเขาอ้อ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ท่านเล่าให้ฟังว่าช่วงแรกเริ่มเดิมทีท่านคิดว่าพระอาจารย์ปาน ปาลธมฺโม พระเป็นแค่หลวงตาแก่ๆ รูปหนึ่ง "วันนั้นฝนตกได้ติดฝนกันอยู่ พระอาจารย์ปาล ปาลธมฺโม ท่านชวนให้เดินออกไปกับท่าน เราก็บอกว่าไม่เอาเดี๋ยวเปียกเหม็ด ท่านอาจารย์ก็บอกว่า มาต่ะไม่เปียกนิ ว่าแล้วท่านก็จับมือพาเดินออกไป ไม่เปียกจริงๆ เปียกเท่าแต่ตีนนิ” หลังจากนั้นท่านศรัทธา นับถือ และได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาพุทธาคมจากพระอาจารย์ปาน ปาลธมฺโม วัดเขาอ้อ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
    อุปสมบทอีกครั้งขณะที่มีอายุได้ ๖๓ ปี ณ พัทธสีมา วัดควนควนพนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๗ โดยมีพระครูอุดมปัญญาคุณ วัดควนพนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสังฆรักษ์แชม เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระสุวิทย์ สุวิชฺโช เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ซึ่งในการบวชครั้งนี้เนื่องจากตอนนั้นท่านรับหน้าที่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพื้นที่ตำบลเขาปู่ อ.ศรีบรรพต จ.พัทลุง เมื่ออายุครบ ๖๐ ท่านต้องการเกษียณแต่ ผู้บังคับบัญชาไม่ให้ท่านเกษียณ ท่านส่งใบลาออกเค้าก็ฉีกทิ้ง แต่ท่านมีความปรารถนาที่จะลาผู้บังคับบัญชาท่านก็บอกว่าถ้าจะลาออกก็ลาออกพร้อมกัน หลังจากท่านได้ลาออกท่านก็ได้เอ่ยวาจาขึ้นมาว่าจะขอบวชสัก ๑๐ วัน หลังจากนั้นท่านเล่าให้ฟังจะฝันเห็น จีวร บาตรพระ ตลอด และแล้วท่านจึงตัดสินใจบวชพร้อมกับหลานท่านในงานบวชของหลานท่าน โดยไม่บอกให้ครอบครัวทราบโดยท่านทราบดีว่าถ้าท่านขอบวชครอบครัวคงไม่ให้บวช ในวันที่ ๗ ครอบครัวได้เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ท่านเพื่อจะลาสิกขา และในวันนั้นท่านได้ตัดสินใจครองผ้ากาสาวพัสตร์ต่อไปโดยจำพรรษา ณ วัดควนพนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง จวบจนปัจจุบันท่านได้ย้ายมาปกครอง สำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมสวนป่าตลิ่งชัน อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง เป็นเวลา ๖ ปี ปัจจุบันท่านมีอายุ ๘๒ ปี โดยท่านได้สงเคราะห์ญาติโยมเจิมบ้าน เจิมร้านค้า เจิมรถ ก็มักจะประสบแต่ความมงคลเจริญรุ่งเรือง มีโชคมีลาภกันท้วนหน้า ในทางด้านคงทนแคล้วคลาดปลอดภัยไม่ต้องเอ่ยถึงเพราะท่านเล่าว่าได้ผ่านมามากมายในเมื่อครั้งยังเป็นฆราวาสเพราะวิชาสายเขาอ้อนี้แหละท่านประสบมาด้วยตนเอง
    ให้บูชา150บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflash หรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย
    IMG_20220830_220310.jpg IMG_20220830_220324.jpg IMG_20220830_220247.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    โฟกัสพระWN0702508KAI-3 (1).jpg
    http://www.southamuletthai.com/Article_Detail.php?ArticleID=130
    ลองเข้าไปอ่านประวัติท่านพ่อศรีเงิน วัดดอนศาลา พัทลุง
    ผ้ายันต์อาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา เป็นผ้ายันต์เขียนมือด้วยดินสอ............ ยันต์โสฬสตามแบบฉบับของวัดดอนศาลาโดยอาจารย์ศรีเงินเริ่มเขียนยันต์ตั้งแต่สมัยอาจารย์นำชราภาพมากเมื่อมีใครมาขอผ้ายันต์อาจารย์นำจะมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของอาจารย์ศรีเงินเป็นผู้จารย์ยันต์เรียกสูตรและอาจารย์นำจะเป็นผู้ปลุกเสกเรียกมนต์ครั้นเมื่ออาจารย์มรณะภาพอาจารย์ศรีเงินก็เขียนเรื่อยมานับว่าอาจารย์ศรีเงินเข้าใจในตัวยันต์และเรียกสูตรได้เหมือนกับอาจารย์นำเพราะท่านเป็นผู้เขียนมาตั้งแต่อาจารย์นำยังมีชีวิตและสืบยอดวิชาต่อจากอาจารย์นำมาทุกบททุกดระบวนอย่างถูกต้องตามแบบสมัยอาจารย์ยุคก่อนๆของวัดดอนศาลาถือเป็นแบบโบราณกาล ความหมาย และความสำคัญของยันต์โสฬสมงคล ยันต์โสฬสมงคลนี้ เป็นมหายันต์ที่เกิดจากการนำเอายันต์ ๓ ชนิดมารวมกันไว้ โดยใช้ตัวเลขแทนด้วยความหมายคงคลต่างๆ จากภาพ ตรงกลางช่องเล็ก ๙ ช่อง คือ ยันต์ จตุโร ถัดมาวงกลาง เป็นยันต์สูตรตรีนิสิงเห และด้านนอกสุด เป็น ยันต์ อริยสัจโสฬส จากนั้นอักขระด้านนอกที่ล้อมยันต์อยู่ คือ พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ พระยันต์นี้มิได้มีบังคับการลงยันต์ด้านหลังไว้ ฉะนั้นในการลงยันต์ด้านหลังตะกรุดก็แล้วแต่พระเถราจารย์ท่านจะลง ในสายวัดสะพานสูง จากตำราที่เพิ่งสืบค้นมากล่าวไว้ว่า ท่าได้ลงไตรสรณคมไว้ ซึ่งไตรสรณคมนี้ เข้าใจว่าคงลงแบบย่อที่เราท่องกันโดยทั่วไป ว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ฯ แต่หากเป็นตำราเล่มอื่นแล้ว จะเป้นกานำเอาบทอิติปิโส ๓ ห้อง มาผูกลงในตารางกระดูกยันต์ ซึ่งถือเป็นยันต์ใหญ่และลงยาก ก็ตามแต่พระเภราจารย์ท่านนั้นจะได้ศึกษามา มาดูกันถึงยันต์แต่ละอย่างที่ใช้ลงกัน ๑. ยันต์จตุโร ที่อยู่ตรงกลางยันต์โสฬส เป็นการลงด้วยตัวเลข ๙ ตัว คือ ๔, ๙, ๒, ๓, ๕, ๗, ๘, ๑, ๖ ตามลำดับ ยันต์นี้ เมื่อลงแล้วจะทำให้เกิดลาภ และคุ้มภัยทั้งปวง นิยมลงยันต์นี้เดี่ยวๆ ในการตั้งเสาเอกด้วย นอกจากนั้นแล้วในตำรายังกล่าวว่าให้ใช้คู่กับตรีนิสิงเห และอริยสัจโสฬส จะลงในอาวุธ หอกดาบ ยามเข้ารบข้าศึก จะแคล้วคลาดทั้งปวง เขียนไว้ในสิ่งของ ขโมยจะลักมิได้เลย แช่น้ำกินปราศจากโรคภัย ถ้อยความอันตรายทั้งปวง เขียนใส่แผ่นเหล็กฝังในที่ปลวกชุม ปลวกก็หนีไปสิ้น ในที่ๆ เลือดชุม เลือดก็หายหมดไป ฝังไว้ที่นา นกมิลงกินข้าวเลย ฝังไว้ไร่นา กันปูหนูทุประการ ถ้าจะปลูกต้นไม้ให้มีผลงอกงาม เขียนใส่แผ่นหินฝังรองไว้ ต้นไม้นั้นงอกงามแล เขียนใส่ผ้าปักไว้หลังคาเรือน ไฟมิไหม้เรือนแล ลงปิดประตูหน้าต่างกันโจร คลอดลูกยาก แช่น้ำกิน คลอดลูกง่าย ฯลฯ ยังมีคาถาที่ใช้อาราธนาต่างๆ เฉพาะยันต์จตุโรนี้ด้วย แต่คงจะมิกล่าวถึงในที่นี้ ไว้มีโอกาสน่ะครับ ๒. ยันต์ตรีนิสิงเห จะเเป็นยันต์แถวที่สองนับจากด้านนอก เวลาลงจะลง ๓ ๗ เอา ๕ คั่น ๔ ๖ เอา ๕ คั่น ๑ ๙ เอา ๕ คั่น ไปจนครบรอบ จะสังเกตเห็นว่า พอลงเลขรวมกันได้ ๑๐ ก็จะคั่นด้วย ๕ เสมอ พระยันต์นี้ใช้ลงผ้า หรือกระดาษ ปิดเสาเรือน หรือแขวน ๘ ทิศ ก็ได้ ป้องกันภัยอันตราย ภูติผีปิศาจ ใช้ได้สารพัดแล หากนำยันต์นี้ลงคู่กับจตุโร ก็จะได้เป็นยันต์ ตรีนิสิงเหใหญ่ พุทธคุณก็เอาของ ๒ พระยันต์นี้มารวมกัน ๓. ยันต์อริยสัจจ์โสฬส มีกล่าวไว้ว่า พระคาถานี้บรรจุอยู่ในพระมหาเจย์ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสว้างเอาไว้ ภายหลังนักปราชญ์ท่านผู้รู้ทั้งหลายจึงผูกเป็นยันต์อริยสัจจ์โสฬสมงคลขึ้นฯ พระยันต์นี้มีคุณานุภาพมาก อาจป้องกันบำบัดเสัยซึ่งอุปัทอันตรายทั้งปวง ก่อให้เกิดลาภสการมงคล คุ้มครองป้องกันให้ได้รับควาสุขสวัสดี เป็นมหาวิเศษนักแล เป็นทั้งทางอยู่คง แลเป็นเมตตาด้วย ทำให้เกิดโภคทรัพย์เงินทอง ตามแต่จะใช้เถิด ยันต์นี้ใช้ได้ทุกประการ เวลาหล่อพระพุทธรูปสักการะบูชา ควรลงพระยันต์นี้ใส่แผ่นทอง หลอมหล่อไปด้วย เพราะเป็นยอดมหายันต์ที่ศักดิ์สิทธิ์นักแล จากนั้นจึงล้อมรอบด้วยพระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ .....
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ผ้ายันต์โสฬสมหามงคลหลวงพ่อศรีเงิน วัดดอนศาลา สภาพเก่าเก็บเดิมๆครับบูชามาร่วม 30 ปี ให้บูชา 15000 บาท
    1661242201258.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    ลป.พิศดูรูป.jpg
    พระปัจเจกโพธิ์ (เนื้อผงสีเขียว) หลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง ปี 2552 คณะศิษย์ท่านครูบากฤษดา ได้มีผู้ร่วมบริจาคมวลสารเพื่อใช้สร้างอย่างมากมายคับคั่งมากๆ ทั้งนี้สำเร็จได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกัน เจตนาการสร้างก็สำเร็จเต็มร้อยครับตอนที่นำพระไปถวายองค์หลวงปู่พิศดู ท่านได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วย และยังสั่งให้ยกไปวางไว้ที่บนหัวเตียงนอนของท่าน โดยก็บอกว่า "นี่ของดี พระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์" โดย รูปแบบ พิมพ์ทรงสี่เหลี่ยม องค์พระจำลองมาจากรูปหล่อองค์พระปัจเจกโพธิเก่าแก่ ของวัดสันพระเจ้าแดง จ.ลำพูน ประทับนั่งอยู่ในซุ้มประตูทรงคล้ายเสมามีข้อความพิเศษว่า "สติ" ส่วนอักขระตัวเมืองด้านล่างสุดบริเวณฐาน อ่านว่า พระปัจเจกโพธิพระชุดนี้สร้างออกมาหลายวรรณะ(สี)ด้วยกัน แต่สีเขียวเป็นสีเฉพาะขององค์หลวงปู่เอง สร้างทั้งหมด ประมาณ 3,000 องค์ สาเหตุ หลักที่สร้างเป็นพระปัจเจกโพธินั้น ความหมายอีกนัยหนึ่งก็คือ ภูมิธรรมขององค์หลวงปู่พิศดูนั้น ท่านปราถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามาแต่เดิม คล้ายกับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล จวบจนบารมีธรรมของท่านเต็มที่ และเห็นว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ นำมาซึ่งความทุกข์ทั้งปวง จึงเกิดความเบื่อหน่ายในชาติภพ จึงได้ถอนความปราถนาพระปัจเจกฯสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ พระ ผงปัจเจกโพธิรุ่นนี้ยิ่งได้พระอรหันต์พิเศษผู้มีความปราถนาซึ่งพระปัจเจก ภูมิเดิมเป็นผู้อธิษฐานจิตด้วยแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายสรรพคุณให้มากนัก พระรุ่นนี้ครูบาอาจารย์บอกว่า..ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ยังไม่เสกแล้ว เพราะเจตนาดี มวลสารก็ดี ท่านจึงตั้งชื่อรุ่นให้ว่า " รุ่น สมปราถนา " เรียก ได้ว่าเหมือนดั่งได้มหาบารมีธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยะปัจเจกภูมิ อัดพลังครอบลงไปแบบเต็มๆ นับว่าตรงสายอย่างที่สุด สำหรับ พระผงปัจเจกโพธิ์นี้จัดว่าเป็นสิ่งมงคลวัตถุที่ดีมาก เป็นของสูง ตั้งแต่ท่านแจกออกไป ก็ได้สร้างประสบการณ์ เรื่องโชคลาภซึ่งมีมากมายในหมู่ลูกศิษย์โดยเฉพาะทางแถบ จ.ระยอง-กรุงเทพฯ แต่บางคนได้มาแรกๆ ไม่ได้สนใจอะไรมากเอาใส่ไว้ในลิ้นชักเฉยๆ แต่ต่อมาต้องเอามาเลี่ยมอย่างดี ไว้ห้อยประจำคอเลยครับ เพราะไปเจอดีเข้านั่นเอง สำหรับการบูชาพระผงปัจเจกโพธิ์นั้น สามารถบูชาควบคู่กับคาถาพระปัจเจกโพธิของหลวงปู่ปาน หรือคาถาเงินล้านของหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เลย โดยควรจะบูชา 3,5,7,9 จบ ตามแต่ถนัด แต่ควรจะให้สม่ำเสมอไม่ลดลง ถ้าจะให้ได้ผลดียิ่งๆขึ้นควรบูชาพระทุกเช้า ค่ำ และทำบุญตักบาตรเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มพูนโภคทรัพย์สมบัติ โชคลาภ อำนาจวาสนา อยู่เย็นเป็นสุขยิ่งๆขึ้นไป ด้วยมหาบารมีธรรมของพระปัจเจกโพธิ ที่เลิศทั้งในทางลาภ และทางฤทธิ์เป็นอเนกอนันต์.. คาถาพระปัจเจกโพธิ (ของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค) (ตั้งนะโม 3 จบ) พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สะวาโหม ? คาถาเงินล้าน (ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ) (ตั้งนะโม3 จบ) สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค) พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน) มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย) มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน) พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า) สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น) เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ (ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด ) ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    สร้างจำนวนไม่เยอะผมบูชามาสมัยออกใหม่ๆทำบุญทั้งส่งมวลสารร่วมสร้างและที่นำออกให้บุชาวัดที่โคราชพร้อมกบสาน ผมก็ได้ทำบุญไว้ องค์นี้สภาพเดิมๆ ตั้งแต่บูชา
    ให้บูชา 13000 บาทครับ

    ลป.พิศดู.jpg ลป.พิศดูหลัง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2022
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    ลป.วรพรตเหยียบรถ.jpg
    อัตโนประวัติ
    “หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง”
    หลวงปู่วรพรตวิธาน “หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง” .. นามเดิมท่านชื่อ “พันธ์ ทับงาม” เกิดวันพุธที่ 1 ธันวาคม 2444 ที่บ้านน้ำอ้อม อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด (ที่จริงแล้วท่านเกิดในปี พ.ศ 2437 แต่แจ้งวันเกิดช้ากว่ากำหนดโดยวันเดือนเกิดไม่ทราบแน่ชัด) บิดาชื่อ พ่อศิลา มารดาชื่อ แม่ทอง ทับงาม ชีวิตเยาว์วัยท่านเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก จนขุนเกษตรวิสัยเจ้าเมืองร้อยเอ็ดเอาไปรับราชการเป็นเสมียนประจำตัวท่าน รับราชการจนอายุได้ 16 ปี จึงลาบวชเป็นสามเณร ณ.วัดบ้านน้ำอ้อม จนอายุได้ 21 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระต่อโดยมีพระครูธรรมสังฆบาลเป็นพระอุปัชณาย์มีฉายาว่า “ติสโส” ท่านเป็นพระหนุ่มที่เรียนหนังสือเก่งมากท่องปฏิโมกข์ได้ตั้งแต่พรรษาแรก และปี พ.ศ 2472 หลวงปู่ ท่านสอบนักธรรมชั้นเอกได้ ในปีนั้นหลวงปู่สอบนักธรรมเอกได้เพียงองรูปเดียวเท่านั้นทั่วมณฑลร้อยเอ็ด (รวมกาฬสินและมหาสารคามด้วย) จนได้รับรูปท่านเจ้าคุณพระโพธิวาศจารย์แม่กองธรรมอุบลเป็นรางวัล หลวงปู่ได้มาเรียนเทศนากับท่านเจ้าคุณกัณหา ณ วัดหนองทุ่ม อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น (เจ้าคุณกัณหาเจ้าคณะ จังหวัดขอนแก่น ในสมัยนั้น พ.ศ 2473) ปี พ.ศ 2475 บ้านเมืองได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเจ้าคุณกัณหาจึงได้ส่งหลวงปู่วรพรตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดจุมพล บ้านก้านเหลือง อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น อายุการสร้างวัดจุมพล ประมาณ 150 ปี ในสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ 2480 หลวงปู่ได้สร้าง อุโบสถขึ้นมาใหม่ เสร็จเอาปี พ.ศ 2483 ค่าก่อสร้างเป็นเงิน 2,500 บาท ปูนชีเมนต์สมัยนั้นถุงละ 1.50 บาท ปี พ.ศ. 2482 หลวงปู่ได้ขอพระราชทาน พระปรมาภิไธย์ย่อ ของรัชการที่ 8 แต่พระองค์ท่านได้พระราชทานเหรียญพระฉายาลักษณ์ของท่านให้หลวงปู่วรพรต หลวงปู่ท่านเอาเหรียญนั้นติดไว้หน้าพระอุโบสถต่อจากนั้นมาหลวงปู่ก็ได้พัฒนาวัดจุมพลมาเรื่อยๆ ตลอดจนวัดต่างๆ ในอำเภอแวงน้อย และอำเภอพล (แต่ก่อนอำเภอแวงน้อยเป็นตำบล ขึ้นอยู่กับอำเภอพล) ในการสร้างพระอุโบสถและกุฎิ รวมทั้งศาลาการเปรียญ รวมทั้งสิ้น ประมาณ 30 หลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ได้มีการขยายการปกครองออกไปอีก ทางการจึงตั้งตำบลแวงน้อยขึ้นเป็นอำเภอแวงน้อย หลวงปู่วรพรตวิธานจึงได้เป็นเจ้าคณะอำเภอแวงน้อยรูปแรก หลวงปู่ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมขลังมาก ได้เรียนวิชาอาคมมาจาก 5 อาจารย์ด้วยกัน เช่น หลวงศรีธรรมศาสตร์ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม หลวงปู่ศึกษาวิชาไสยศาสตร์ จากอาจารย์ครีธรรมศาสตร์ จนเรียนจบเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอาคมจาก พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบง ตำบลมะบ้า อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบงนี้ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมรูปหนึ่งในภาคอีสานในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาอาคมทางด้านเมตตามหานิยม, คงกระพันชาตรี, แคล้วคลาด, มหาอุต ป้องกันขับไล่ คุณไสย คุณผี คุณคน หลวงปู่วรพรตท่าน ก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากพระอาจารย์ขันจนหมดสิ้น แล้วหลวงปู่ก็ได้ไปศึกษากับอาจารย์บ้านฟ้าเหลี่ยม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เกจิอาจารย์ดังองค์หนึ่งในสมัยนั้น ขนาดท่านปัสสาวะรดต้นไม้ เอาปืนยิงต้นไม้ ยังยิงไม่ออกแต่ก็ยังไม่พอความต้องการของหลวงปู่ หลังจากนั้นท่านก็ได้มุ่งหน้าไปศึกษากับ หลวงปู่ชม ฐานธัมโม แห่งวัดกู่ พระโกนา อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่าน หลวงปู่ชมรูปนี้ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถมาก มีอิทธิปาฏิหาริย์นานัปการ ท่านสามารถล่องหนหายตัวได้ หลวงปู่ชมท่านได้สร้าง วัดขึ้นบริเวณใกล้กับกู่โกนาอยู่ทางจะไป อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะมุ้งไปเขมรต่ำ (ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน) หลวงปู่ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมและวิปัสนากัมมัฏฐาน อยู่ 2 ปี เมื่อ พ.ศ. 2479 ท่านได้กราบลาหลวงปู่ชม ออกมุ่งหน้ามายัง จ. ขอนแก่น เพื่อกับวัดจุมพลของท่าน หลังจากที่ท่านได้เล่าเรียนวิชาอาคมจากพระอาจารย์ ต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปกับหลวงพ่อผาง จิตฺตคุตฺโต และได้แยกทางกันที่ อ. มัญจาคีรี จากนั้นหลวงปู่วรพรตท่านก็ได้เดินผ่านดงพญาเย็น-พญาไฟ ผ่านไปประเทศลาว พม่า เขมร เรื่องราวตอนที่ท่านเดินธุดงค์ ไปนั้นมีมากมาย ผจญทั้งสัตว์ร้ายและภูตผีปีศาจ แต่ท่านก็ผ่านอุปสรรคนั้นมาได้ หลวงปู่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ในสมัยรัชการที่ 8 มีพระราชทินนามว่า “พระครูวรพรตวิธาน” เราจึงเรียกติดปากว่า “หลวงปู่วรพรต” ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ได้แสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้คนเป็นครั้งแรก ก็คือ เรื่องหลวงปู่เหยีบรถกระดก (ลอยขึ้น) เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2503 หลวงปู่จะออกเดินทางจาก อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ด้วยรถโดยสารเพื่อจะไป จ.ร้อยเอ็ด รถคันที่หลวงปู่จะขึ้นเป็นรถสองแถวขนาดใหญ่ ตามธรรมดาโดยทั่วไปแล้วพระเณรจะต้องนั่งด้านหน้าติดกับคนขับ เพื่อจะได้ไม่ปะปนกับผู้โดยสารคนอื่น แต่รถคันนี้มีผู้หญิงนั่งเต็มอยู่ด้านหน้าแล้ว ด้านหลังรถยังพอมีที่นั่งได้ คนขับรถจึงบอกให้หลวงปู่ขึ้นทางท้ายรถ หลวงปู่ก็ได้ปฏิบัติตามโดยดี แต่ก่อนจะขึ้นรถหลวงปู่ได้พูดกับคนขับรถว่า “รถจะไม่เดี่ยงหรือ”(เดี่ยงเป็นภาษาไทยอีสานแปลว่า “ กระดก”) คนขับก็บอกว่า “ไม่เดี่ยงแน่เพราะรถรับน้ำหนักได้หลายตัน” พอคนขับพูดจบ หลวงปู่ก็ก้าวเท้าขึ้นรถ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นทันที ด้านหน้ารถลอยขึ้น เหมือนมีมือยักษ์มาจับยกขึ้น คนขับรถเห็นเช่นนั้นถึงกับตกตะลึงจึงกราบนิมนต์หลวงปู่มานั่งด้านหน้า โดยให้พวกผู้หญิงไปนั่งด้านหลัง ตั้งแต่นั้นมาสมญานาม “หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง” จึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในเขตขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา ต่างก็รู้เรื่องกันดี เคยมีญาติโยมที่อยู่ไกลถึง จังหวัดกระบี่ เดินทาง มากราบขอคาถาเหยียบรถกระดกจากท่าน ท่านก็มอบคาถานะโมพุทธายะให้ไป แต่จะทำได้เหมือนหลวงปู่หรือเปล่าไม่ทราบ
    รูปสังขารหลวงปู่วรพรต
    ลป.วรพรตรูปสังขาร.jpg
    รูปสังขารหลวงปู่วรพรต
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    รูปถ่ายขาวดำรุ่นแรกหลวงปู่วรพรต สภาพสวยขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับเดิมๆ หายาก
    ให้บูชา 6000 บาทครับ
    ลป.วรพรต.jpg ลป.วรพรตหลัง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2022
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    หลวงปู่ทองมา-ถาวโร-วัดสว่างท่าสี-765x1024.jpg
    ย้อนไปเมื่อ ๑๑๔ ปี ที่แล้ว ตรงกับวันที่ ๘ สิงหาคม
    พุทธศักราช ๒๔๔๓ วันเสาร์ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ปี ชวด

    เด็กชายทองมา ได้ถือกำเนิดที่บ้านท่าสี จ.ร้อยเอ็ด บิดาชื่อ นายแก่นท้าว มารดาชื่อ นางทา(หา) บิดามารดาของท่านเป็นชาวลาว ท่านมีพี่น้องร่วมสายโลหิตทั้งหมด ๗ คน หลวงปู่ทองมา เป็นบุตรคนที่ ๒ ตอนเป็นเด็ก เด็กชายทองมา ก็มีนิสัยเหมือนกับเด็กทั่วไป แต่ต่างกันตรงที่ชอบเข้าวัด ช่วยหลวงพ่อกวาดใบไม้ ถูศาลาเป็นประจำ จนเป็นที่รักของพระสงฆ์ในวัด นิสัยอย่างหนึ่งคือเป็นเด็กที่กลัวผี และจะมาอ้อนวอนให้หลวงพ่อที่วัดช่วยสอนวิชากันผีให้ เด็กชายทองมา เป็นเด็กฉลาด เรียนเก่ง พอครบอายุ ๑๕ ปี โรงเรียนบ้านเชียงใหม่ เลยได้มาทาบทามให้ไปเป็นครูสอนที่โรงเรียน เพราะสมัยนนั้นครูหายากมาก ขาดแคลนครู นายทองมาเลยรับอาสาไปเป็นครูช่วยสอนเด็กนักเรียน ด้วยความเต็มใจ

    หลวงปู่ทองมา ถาวโร ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ตั้งแต่เป็นสามเณร ตอนอายุได้เพียง ๑๖ ปี ท่านเป็นสามเณรที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างมาก ท่านเรียน สวดมนต์น้อย สวดมนต์กลาง และสวดมนต์ใหญ่ จนสำเร็จ สามเณรทองมาท่านมีความในสนใจอักขระธรรม หรือโตธรรม เป็นอย่างมาก เมื่อมีโอกาสท่านจะออกเดินทางไปเรียนมูลกัจจายน์ที่อุบลราชธนี ซึ่งเป็นเมืองที่มีการสอนธรรมะที่รุ่งเรืองมากในสมัยนั้น สามเณรทองมาเป็นสามเณรที่เคารพเชื่อฟังผู้เป็นครูบาอาจารย์อย่างยิ่ง จนเป็นที่เอ็นดูของอาจารย์และญาติโยมทั่วไป

    ในปี พุทธศักราช ๒๔๖๓ ครบอายุ ๒o ปีหลวงปู่ก็ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดท่าม่วง ต.ท่าม่วง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โดยมี พระครูสีลาจารวิสุทธ์ เป็นพระอุปัชฌาย์

    หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควบคู่กับการปฏิบัติกิจวัตรของสงฆ์อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว หลวงปู่ก็คิดว่าหากจะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ โอกาสที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ที่แท้จริง ก็คงจะยากและใช้เวลานาน หลวงปู่จึงได้กราบลาขออนุญาติเจ้าอาวาส ออกเดินทางจาริกธุดงค์ ไปศึกษา ร่ำเรียนวิชา จากสำนักต่างๆ ทั้งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน ระหว่างการเดินธุดงค์ หลวงปู่ได้กราบตัวเป็นศิษย์ ของพระอริยเจ้าอีกหลายรูป คือ "หลวงปู่มั่น ภูริทัติโต" ที่ภูเขาควาย ประเทศลาว และได้เดินธุ์ดงค์ไปฝากตัวเป็นศิษย์ ของ "สมเด็จลุน" แขวงจำปาศักดิ์ประเทศลาว อันเป็นบ้านเกิดของบิดามารดาของท่านเอง หลังจากนั้นก็เดินทางกลับท่านก็ได้กราบตัวเป็นศิษย์ ของ"หลวงปู่เงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร" อีกด้วย

    การเดิน ธุดงค์ ของหลวงปู่ไม่ได้ เดินธุดงค์ภายในประเทศเพียงเท่านั้น หลวงปู่ยังเดินธุงค์ไปทั่วทุกทิศ เช่น ในไทย ประเทศลาว ประเทศพม่า ประเทศเขมร ประเทศเวียดนาม และที่สำคัญหลวงปู่ได้เดินธุดงค์ไปยังดินแดนพุทธภูมิ นั้นคือ ประเทศอินเดีย นั่นเอง
    ในช่วงระหว่างการเดินธุดงค์ของหลวงปู่ไม่มีใครคอยติดตาม รายละเอียดต่างๆ เช่น เดินธุดงค์ไปไหนบ้าง เจออะไรบ้าง ฝากตัวเป็นศิษย์ของใคร หลวงปู่ก็จะไม่ค่อยเล่าให้ฟังมากนัก นอกจากจะมีคนมาถามอยากจะรู้ หลวงปู่ถึงเล่าให้ฟัง เพราะหลวงปู่เป็นพระที่พูดน้อย สุขม เยือกเย็น แต่น่าเกรงขาม

    ในระหว่างการเดินธุดงค์หลวงปู่ได้ผจญ กับอันตรายต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายต่างๆนา เช่น เสือ งู และช้างป่า จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด หลายครั้ง แต่ด้วยชีวิตอุทิศให้พระธรรมแล้วไซร์ ถ้าจะตายก็ขอให้เรา ตายเพื่อพระธรรม เถิด (หลวงปู่ปารภอยู่ตลอดการเดินทาง) ตลอดการเดินธุดงค์ของหลวงปู่ หลวงปู่ก็ตั้งมั่นในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อย่างแท้จริง ชนิดที่เรียกว่า ไม่รู้ไม่เห็นไม่หลุดพ้น ก็จะไม่ยอมออกจากป่าเขาเลย หลวงปู่ทรงโปรด ผู้คนในป่าเขาเลาเนาไพร ให้หันมานับถือพระรัตนตรัย เทศนาสั่งสอนเทวามิจฉาทิฐิ โปรดภูตผี ปีสาจ วิญญาณสัมพเวสี ให้รู้แจ้งในธรรม...มากมาย โดยที่หลวงปู่มีเพียง"ธรรมาวุธ"
    และจิตที่ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย อันเป็นสิ่งเดียวที่หลวงปู่ ยึดถือเอา

    ธุดงค์อยู่ในป่า ก็หลายปีแล้ว หลวงปู่จึงตัดสินใจก็เดินทางกลับมาจำพรรษาที่ จังหวัดร้อยเอ็ด รวมเวลาที่หลวงปู่ ท่องเที่ยวธุดงค์ในวิเวก ป่าเขาลำเนาไพร ก็เป็นเวลาหลายปีเลยทีเดียว หลวงปู่ได้นำพาชาวบ้าน ในการพัฒนาวัดวาอาราม สร้างโบสถ์วิหาร เทศนาให้ชาวบ้านให้หันมานับถือพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง ห้ามนับถือผี สาง นางไม้ ช่วยผู้คนที่มีทุกข์ เช่น คนที่โดน ผีเจ้าเข้าสิง ผีบอป ผีกองกอย หลวงปู่โปรดพวกผีเหล่านี้โดยใช้ "ธรรมะ" รวมทั้งรักษาคนบ้า คนวิกลจริต ทั้งที่โดน คุณไสย์ มนต์ดำ หรือ บ้าเพราะความเครียด หลวงปู่ก็ช่วยพวกเขาเหล่านั้น ด้วยความเมตา ไม่เลือกคนรวยคนจน ไม่เลือกปฎิบัติ หลวงปู่มีความเมตตา ญาติโยมทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่แยกแยะว่าจะเป็นคนไกล้ชิดหรือเป็นญาติโยมที่เดินทางมาจากต่างถิ่นแดนไกล

    ในบั้นปลายชีวิต ที่ท่านล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ร่างกายของหลวงปู่ในวัยชรานั้นอ่อนแรงมาก หลวงปู่ผอมมากไม่เหมือนเก่า จะลุกจะเดินเหินไปไหนก็ยากลำบาก บางครั้งท่านต้องนั่งรถเข็น และบางครั้งลูกหลานทั้งหลายต้องช่วยประคองพยุงกายช่วยท่านหลวงปู่ อยู่เสมอๆ และหลวงปู่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยในการเดินเหินไปมา ทุกๆมื้อเพิ่นจะนั่งอยู่บนกุฏิไม้เก่าๆ คอยโปรดญาติโยมที่แวะเวียนมากราบนมัสการท่านอยู่เสมอๆ ซึ่งแวะเวียนกันมาจากคนละทิศ เหนือใต้ออกตก มาทุกมื้อไม่เว้นเลย

    แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หลวงปู่ของหมู่เฮา...เพิ่นก็ไม่เคยเบื่อ ไม่เคยบ่น ไม่เคยหนีไปไส คอยโปรดญาติโยม ที่เข้ามากราบนมัสการ อย่างนี้ทุกวัน สมกับที่เพิ่นเคยบอกไว้ว่าอยู่เสมอ "ว่าเพิ่นเป็นคนของชาวบ้าน" จริงๆ

    "โพ่นล่ะหลังจากญาติโยมเมือกลับหมดแล้ว ตอนค่ำๆ ท่านจึงค่อยไปสรงน้ำทำกิจวัตรส่วนตัว ไหว้พระสวดมนต์เจริญสมาธิภาวนา และสุดท้ายท่านก็แผ่เมตตาให้ ลูกหลาน ลูกเผิ่งลูกเทียน แล้วจึงนอนพักผ่อน หลวงปู่ทองมา ถาวโรเป็น พระอริยเจ้า ที่น่าเคารพนับถือ ศรัทธา น่ากราบไหว้ อย่างยิ่ง สมควรแล้วที่ชาวบ้าน เรียกเพิ่นว่า พระนักบุญ "พระโพธิสัตว์มาโปรด"

    หลวงปู่ทองมา ละสังขาร เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๔ รวมอายุ ๙๑ ปี พรรษา ๗๑ / ๓ พรรษาสามเณร
    ◉ ออกธุดงค์
    หลวงปู่ทองมา ถาวโร
    กราบลาพระอาจารย์จากอุบลราชธานีเพื่อจะออกไปธุดงค์วิเวกไปในป่าเขาพงไพร ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ฝึกจิตให้กล้าแกร่ง เข้มแข็ง หลวงปู่ปรารภว่า การออกเดินธุดงค์ในครั้งนี้หากต้องเจอ กับพยันอันตรายใดๆในป่า ก็จะขออุทิศชีวิตเพื่อธรรมะของพระพุทธองค์ จะขอยึดมั่นในพระรัตนตรัยตราบจนกว่าจะขัดเกลากิเลสให้หมดสิ้นไป แม้ตายก็ขอตายในป่า หลวงปู่มุ่งไปยังนครจำปาสักเป็นที่แรก ระยะทางก็มีแต่ป่าเขา ลำเนาไพร ปักกรด อยู่ตรงนี้ ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง แล้วแต่สถานที่นั้นๆ บางวันก็เจอทั้งเสือ ทั้งช้าง มาให้เป็นบททดสอบ บางวันก็ไม่มีคนใส่บาตรก็ต้องเก็บผลไม้ที่หล่นมาจากต้นมาฉันพอให้มีแรงในการปฏิบัติธรรม บางคืนบางครั้งก็เจอกับภูตผีปีศาจ มาคอยรบกวนในการปฏิบัติธรรม หลวงปู่ก็ต้องแผ่เมตตาให้ทั้งวันทั้งคืน เวลาอาพาธก็ต้องหาสมุนไพรในป่ามาฉันพอให้บรรเทาอาการลงได้ ถึงกระนั้นเองหลวงปู่ท่านก็ยังมีใจเด็ดเดี่ยว ดุจดังเพชรน้ำหนึ่ง เปรียบเสมือนว่าเพชรจะสวยได้ต้องผ่านการเจียระไน จิตใจของผู้ที่ประเสริฐแล้วนั้น ก็ต้องผ่านการทดสอบเป็นธรรมดา ไปถึงนครจำปาสักท่านก็ได้ไปเรียนวิชาต่างๆ กับพระอาจารย์ที่วัดเมืองกลาง มีพระอาจารย์บุญทา ยอดปราชญ์แห่งนครจำปาสักเป็นเจ้าอาวาส สำนักเรียนอาจารย์บุญทานั้น มีการสอนทั้ง ๒ อย่าง คือปริยัติ กับ ปฏิบัติ หรือ คันถธุระกับวิปัสสนาธุระ หลวงปู่ศึกษาพระธรรมอยู่ที่วัดเมืองกลางอยู่ ๓ ปี ท่านก็กราบลาพระอาจารย์ ออกจาริกธุดงค์ไปยังประเทศเวียดนาม พม่า ลาว บ้างก็ว่าท่านธุดงค์ไปประเทศอินเดียด้วย
    ◉ ธุดงค์กลับประเทศไทย
    หลวงปู่ทองมา ถาวโร
    ออกธุดงค์ไปหลายที่ ไม่มีใครทราบชัดเจนว่าท่านไปที่ไหนมาบ้าง นอกจากญาติโยมจะถามท่านเองหรือท่านจะเล่าให้ญาติโยมฟัง มีบางครั้งที่ท่านเล่าสั้นๆว่าท่านไป ที่โน้น ที่นี้ บางคนก็จำได้ ก็เล่าต่อๆกันมาให้ฟัง มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ท่าน ปักกรดอยู่ในป่าเมืองลาวนั้น ท่านก็นั่งภาวนา เสร็จแล้วท่านก็สวดคาถา ระหว่างนั้นเองได้มีเสียงร้องโหยหวน เหมือนเจ็บปวดทรมาน เหลือเกิน หลวงปู่ท่านจึงเข้าฌานดู ปรากฏว่า ที่หลวงปู่ปักกรดอยู่นั้น เคยเป็นหมู่บ้านเก่า สมัยก่อนเกิดโรคระบาดหนักคนตายทั้งหมู่บ้าน ตายไปแล้ววิญญาณก็ยังวนเวียนอยู่ที่เดิม พอได้ยินเสียงหลวงปู่สวดคาถาก็ร้องโหยหวน ทรมาน เพราะคาถาที่หลวงปู่สวดอยู่นั้นเป็นคาถาไล่ผี หลวงปู่จึงได้หยุดสวด และเรียกให้วิญญาณทั้งหลายที่อยู่ในที่แห่งนี้มาฟังธรรม หลวงปู่แผ่เมตตา ให้รับศีลแล้วก็ส่งดวงวิญญาณเหล่านี้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นต่อไป

    ◉ จำพรรษาอยู่ที่วัดพระธาตุอุโมงค์ จ.ร้อยเอ็ด (ปี พ.ศ.๒๔๘๒ – ๒๔๙๐)
    ราวปี พ.ศ.๒๔๘๒ เมื่อหลวงปู่ธุดงค์กลับมาร้อยเอ็ดแล้วนั้น หลวงปู่ยังไม่ได้มาจำพรรษาที่วัดสว่างท่าสีเลย แต่หลวงปู่เลือกที่จะไปจำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์สิงห์ (สิงห์ทอง) วัดพระธาตุอุปโมงค์ อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นพระธาตุเก่าแก่และมีประวัติความเป็นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อหลวงปู่สิงห์ทองท่านมรณภาพลงแล้ว ท่านก็สั่งให้หลวงปู่ทองมานำพาชาวบ้านบูรณะพระธาตุอุปโมงค์ให้แล้วเสร็จ หลวงปู่ทองมาได้พาชาวบ้านบูรณะพระธาตุอุปโมงค์อยู่เป็นเวลาหลายปีจนเสร็จสิ้น ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่นี่เอง ท่านได้เทศนาสั่งสอนญาติโยม ให้อยู่ในศีลกินในธรรม ด้วยบารมีธรรมและความเมตตาของหลวงปู่ทำให้ชาวบ้านศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่อย่างยิ่ง
    ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีวิญญาณร้าย เที่ยวหลอกหลอนและคอยก่อกวนชาวบ้านจนชาวบ้านนั้นหวาดกลัว มาก หลวงปู่จึงได้เรียกดวงวิญญาณดวงนี้มาถามไถ่ แต่ด้วยดวงวิญาณดวงนี้ไม่เคารพพระสงฆ์องค์เจ้า หลวงปู่จึงได้ใช้คาถาอาคมเรียกวิญญาณตนนี้ มาผูกติดกับต้นมะม่วงหน้าวัด แล้วให้ดื่มน้ำสาบานว่า ต่อจากนี้ไปจะไม่มารบกวนชาวบ้านอีกต่อไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นดวงวิญาณดวงนี้อีกเลย มีเพียงตอนกลางคืนที่ยังมีบางคนคนได้ยินเสียงกิ่งไม้ต้นมะม่วงสั่นไหวไปมา ขนก็ลุก พลั้งให้คิดถึงดวงวิญาณที่เคยถูกหลวงปู่ผูกติดกับต้นมะม่วงไม่ได้

    ◉ กลับวัดสว่างท่าสี วัดบ้านเกิด ( ปี พ.ศ.๒๔๙๐ – มรณภาพ พ.ศ.๒๕๓๔)
    ราวปี ๒๔๙๐ พระอาจารย์เตียง เจ้าอาวาสวัดสว่างท่าสี ได้มรณภาพลง ชาวบ้านท่าสี เลยได้ไปนิมนต์หลวงปู่ทองมา ถาวโร ให้มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดสว่างท่าสี นับตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ เป็นต้นมา ในเวลานี้เองหลวงปู่ทองมา ถาวโร ได้มาจำพรรษอยู่ที่วัดสว่างท่าสีแล้ว หลวงปู่ทองมา ขณะนั้นอายุได้ ๕๒ ปี ๓๒ พรรษา หลวงปู่ท่านได้นำพาสาธุชนทั้งหลาย ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พัฒนาวัดวาอารามทั้งในวัดบ้านเกิดและวัดในจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงวัดใดๆ ที่ได้มาขอความเมตตาให้ท่านเป็นประธานในการบูรณะ ท่านก็ได้เมตตาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เช่น วัดบ้านท่าม่วง จ.ร้อยเอ็ด วัดป่าเมตตาธรรม จ.ร้อยเอ็ด วัดจอมแจ้ง จ.เพชรบูรณ์ วัดบ้านท่ามะเดื่อ จ.ขอนแก่น และอีกหลายๆ วัดที่ ไม่ได้กล่าวถึง เป็นต้น

    วัตรปฏิบัติของท่านอีกด้านหนึ่ง คือด้านการส่งเสริมการศึกษา โดยท่านจะเป็นครูผู้สอนให้กับพระภิกษุสามเณร ที่มาบวชเรียนที่วัด ซึ่งในสมัยก่อนนั้นการบวชเป็นพระภิกษุนิยมบวชกันตั้งแต่ ๑ พรรษา ไปขึ้น บางรูปก็ ๒-๓-๔ หรือ มากกว่านี้ ก็เคยมี ส่วนการบวชเณรก็มีสามเณรมาบวชตลอดเวลา เรียกได้ว่าไม่เคยขาดวัดเลย ท่านก็คอยอบรบสั่งสอน รวมถึงส่งไปเรียนหนังสือในตัวเมืองและในกรุงเทพ เลยทีเดียว รวมถึงพระธุดงค์ที่เดินทางมาเรียนวิชาคาถาอาคมกับท่านก็มีเยอะ ชื่อเสียงของท่านเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยคำบอกเล่าแบบปากต่อปาก เพราะความเจริญการสื่อสารในสมัยก่อนล้าหลังมากๆ โทรศัพท์ไม่มี ทีวีมีน้อย วิทยุก็หาได้ยาก ส่วนอินเทอร์เน็ตก็ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ผู้คนจะรู้จักหลวงปู่ท่านโดยการบอกเล่าเท่านั้นจริงๆ
    ◉ ปราบผี โปรดผี
    ด้วยอภิญญาที่หลวงพ่อทองมา ถาวโร ที่มีอยู่จริง บางครั้งญาติโยมก็มานิมนต์ให้ท่านไป ปราบผีปอบ สมัยก่อนเรื่องผี เป็นเรื่องที่ชาวบ้านให้ความสำคัญมาก บางพื้นที่ชาวบ้านไหว้ผีแทบจะไม่ไหว้พระเลยก็มี ท่านก็เมตตาไปทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์และให้สร้างหลักพระธรรมในหมู่บ้านนั้นๆ แต่ก็อย่างที่กล่าวมาเมื่อเห็นว่า หมู่บ้านนี้หลวงปู่มาปราบผีปอบได้สำเร็จ เมื่อหมู่บ้านไหนเชื่อว่า ผีปอบ มาคร่าเอาชีวิตของชาวบ้านไป ชาวบ้านก็จะบอกต่อกันไปว่าพระองค์นี้ดี เก่งกล้าบารมี ชาวบ้านก็ต่างก็พากันเดินทางมานิมนต์หลวงปู่ไป ปราบผีปอบ หลวงปู่ท่านก็เดินทางไปโปรดและเมตตาไปเจริญพระพุทธมนต์เทศนาสั่งสอน ทั้งผีและคน ให้ยึดมั่นในศีลในธรรม แล้วก็เมตตาสร้างหลักพระธรรมไว้ให้ชาวบ้านได้กราบสักการะบูชา เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้เอาพระธรรมเป็นที่พึ่งอย่าได้เอาผีมาเป็นที่พึ่ง หมู่บ้านนั้นก็กลายเป็นหมู่บ้านธรรมทีนที และอยู่เย็นเป็นสุข ไม่เกิดอาเพศใดๆกับคนในหมู่บ้าน หลายหมู่บ้านหลายจังหวัดทั้งที่มีหลักฐานปรากฏและคำบอกเล่าของชาวบ้านผู้ที่ศรัทธา หมู่บ้านที่ท่านไปเจริญพระพุทธมนต์เมตตาสร้างหลักบ้านหลักพระธรรมก็มีเยอะแยะมากมายหลายจังหวัด เช่น จังหวัดร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ หนองบัวลำภู อุดรธานี ข่อนแก่น บึงกาฬ เพชรบูรณ์ เป็นต้น

    แต่เรื่องก็ไม่ได้จบอยู่เพียงเท่านี้ คือ ความเชื่อของชาวบ้านแต่ละที่ไม่เหมือนกัน บางที่ก็เชื่อเรื่อง ผีบอป ผีตาหลุบ ผีปู่ตา ผีนา ผีฟ้า ผีคอนโบม สาพัดผี แล้วแต่ชาวบ้านจะเรียกขาน หลวงปู่ท่านก็ได้เมตตาไปโปรด ไปปราบ ไปทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์แล้วท่านก็เมตตาสร้างหลักพระธรรมหลักบ้าน ไว้ให้ชาวบ้านกราบสักการบูชาเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน จนนับไม่ถ้วน ชาวบ้านเลยขนานนามท่านว่า “พระผู้พลิกแผ่นดินผี ให้เป็นแผ่นดินธรรม” เก่งกล้าสามารถใน การปราบผี โปรดผี ชื่อเสียงของท่านก็เลยดังกระฉ่อนเลื่องลือไปทั่ว หลังจากนั้นเองญาติโยมก็หลั่งไหลมากราบนมัสการขอพรท่านถึงที่วัดทุกวัน บางคนก็มาขอของดีในการทำมาค้าขาย บางคนก็มาขอของดีในการออกรบสงคราม ปราบโจรผู้ร้าย ให้แคล้วคลาดปลอดภัย ท่านก็ให้ไปด้วยความเมตตาทุกคนเท่าเทียมกัน
    ◉ รักษาคนบ้า
    ยังมีเรื่องนี้น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ เรื่องหลวงปู่รักษาคนบ้าให้หาย คือ คนบ้า วิกลจริต ทั้งที่เชื่อว่าโดนของ (คุณไสย์) ของเขมร ท่านก็ให้การักษาอยู่ที่วัดจนอาการหายดี จนเป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ญาติๆ และชาวบ้านที่พบเห็นจนกลายเป็นเรื่องปรกติไปเลย หากชาวบ้านใกล้วัดได้ยินสียงร้องตะโกนแสดงว่าในวัดต้องมีคนบ้า คือกำลังไล่จับคนบ้ากันอย่างอลหม่าน บางคนถึงขนาดต้องใส่โซ่คล้องไว้ติดกับเสาวัดก็เคยมี หรือบางครั้งได้ยินเสียงร้องโหยหวน ร้องห่มร้องไห้ นั้นแหละรู้เลยว่าหลวงปู่กำลังไล่ผีออกจากคน ฟังดูแล้วอาจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ หรือเป็นเรื่องที่งมงายสำหรับคนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ชาวบ้านญาติโยมที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันเอาหัวเป็นประกันว่าเรื่องแบบนี้ คือเรื่องจริง !
    ◉ ปัจฉิมวัย
    ภายหลัง หลวงปู่ทองมา ถาวโร ย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัยหรือวัยชราภาพ อายุท่านได้ประมาณ ๗๐ ปี แต่ร่างกายท่านก็ยังคงแข็งแรงความจำดีเป็นเลิศ หากชาวบ้านจะมานิมนต์ท่านไปที่ไหนท่านก็จะไปทันทีไม่เคยปฏิเสธเลย ถ้าท่านไม่ติดกิจธุระ หากท่านไม่ได้เดินทางไปไหน ท่านก็จะมาคอยโปรดญาติโยมที่กุฎีหน้าห้องของท่านอยู่ทุกวัน เวลานี้ที่วัดของท่านจะมีญาติโยมมาคอยกราบนมัสการทุกๆวัน เดินทางมาจากทั่วสารทิศ เช่น ขอนแก่น อุดร หนองบัวลำภู อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ ยโสธร ศรีษะเกษ สุรินทร์ ฯ รวมไปถึงญาติโยมที่อยู่ประเทศลาวก็เคยมานมัสการท่านเลย เวลานอนพักผ่อนของท่านแทบจะไม่มี หรือมีน้อย กว่าจะโปรดญาติโยมเสร็จเวลาก็ล่วงเข้าไป ๑ ทุ่ม ๒ ทุ่มแล้ว ท่านถึงได้มีเวลาสรงน้ำ สวดมนต์ เจริญ ศีลภาวนา แผ่เมตตา ให้ลูกหลานลูกเผิ่งลูกเทียน กว่าจะได้หลับจริงก็โน้นแหละ ๕ ทุ่ม เทียงคืน บางวัน ตี ๒ ก็มี แล้วหลวงปู่ท่านก็ต้องตื่นตีแต่เช้า เพื่อมาทำวัตรเช้า พอฉันข้าวสร็จ ก็มาโปรดญาติโยมที่เดินทางจากต่างถิ่น ที่พวกเขามารอตั้งแต่เช้า เพราะทุกคนที่มาต่างก็รู้ดีว่าถ้ามาสายแล้วผู้คนจะเยอะรอคิวก็นานแบบนี้ หลวงปู่ท่านก็ได้เมตตาช่วยเหลือทุกคนโดยที่ไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายเลย แล้วแต่ญาติโยมจะบริจาคทำบุญ ๙ บาท ๑๐ บาท ตามกำลังศรัทธา ที่สำคัญหลวงปู่ท่านไม่เคยหลบเลี่ยงไปไหนเลยแม้จะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงไรท่านก็จะไม่เคยบ่นแม้แต่น้อย หน้าตาของหลวงปู่อิ่มเอิบอยู่เสมอ ท่านบอกเสมอว่าเขาเดือดร้อนเขาจึงมาพึ่งพระ เราต้องช่วยเหลือเขาถึงจะถูกต้อง เพราะเฮาเป็นพระของชาวบ้าน และที่สำคัญไปกว่านั้น หลวงปู่ท่านมีความเมตตากับทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่เลือกว่าจะยากดีมีจน จะเป็นคนใกล้ชิดหรือญาติโยมที่มาจากต่างถิ่น ท่านเมตตาทุกคนเท่าเทียมกันหมด ณ ตอนนี้ผู้คนชาวบ้านทั้งหลาย ได้ขนานนามท่านว่า ท่านคือ “พระโพธิสัตว์” มาโปรดผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก เดือดเนื้อร้อนใจ เป็นร่มโพธิ์ทองให้พุทธศาสนิกชนได้อาศัยร่มใบบุญบารมี ของท่านมาจนถึงทุกวันนี้
    ในวัย ๘๐ ปี หลวงปู่ท่านเริ่มชราภาพอย่างเห็นได้ชัดเจน เวลาท่านเดินเหินก็ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยัน และมีคนคอยดูแลใกล้ชิดตลอด
    หลวงปู่ทองมา ถาวโร ท่านมีศิษยานุศิษย์เยอะโดยเฉพาะสามเณรที่บวชเรียนที่วัด ที่ได้คอยอุปฐากหลวงปู่ คอยพยุง คอยดูแลอยู่ตลอดเวลา บางครั้งถ้ามีอาการอาพาธก็ต้องได้นั่งรถเข็น โดยมีสามเณรและญาติโยมคอยสับเปลี่ยนดูแลท่านอย่างใกล้ชิด รวมถึง คุณวิชาหลานของท่านเอง ที่ได้คอยดูแลอยู่ไม่ห่างเลย

    ในวัย ๙๐ ปี หลวงปู่ทองมา ถาวโร ท่านมีอาการอาพาธอย่างรุนแรง ต้องเข้ารับการรักษาที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น หลายครั้ง และต้องได้นั่งรถเข็น ประกอบกับท่านก็ชราภาพมากแล้ว ชาวบ้านญาติโยมทั้งหลายพอทราบข่าว ก็ได้เดินทางมาเยี่ยมท่านที่วัดมาการบสักการะท่านเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ท่านรักษาอาการอยู่ใน รพ.ศรีนครินทร์ อยู่หลายครั้ง อาการอาพาธของท่านก็ยังไม่ดีขึ้น สร้างความกังวลแก่ศิษยานุศิษย์และชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนที่ทราบข่าวต่างก็สวดมนต์ภาวนาขอพรพระรัตนรัยและสิ่งสักสิทธ์ทั้งหลาย บันดาลอนุภาพให้หลวงปู่ใหญ่ของพวกเรา หายจากอาการอาพาธและอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มธรรมให้แก่พวกเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้

    ◉ อวสาน สังขารไม่เที่ยง
    เวลา ๐๘.๐๐ น. วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๔ เสียงกลองเพลจากวัด ตีดังกึกก้องไปทั่วสารทิศ ได้ยินไปถึงสรวงสวรรค์เบื้องบน ชาวบ้านที่กำลังทำนา ทำไร่ ประกอบกิจอันใดต่างพากันหยุดทันที บัดนี้ต้นโพธิ์ใหญ่ของพวกพวกเราได้หักโค่นลงแล้วหลวงปู่ใหญ่อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราได้จากพวกเฮาไปแล้ว น้ำตาชาวบ้านหลั่งรินปานสายฝน ผู้ที่กำลังอยู่ท้องทุ่งนาก็ต่างรีบเข้ามา กราบสักการหลวงปู่แสดงความอาลัยกราบขอขมาลาโทษ ศิษยานุศิษย์ที่ได้ทราบข่าวก็ต่างทยอยเดินทางมากราบสักการะสังขารของหลวงปู่ตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืน หลวงปู่ของพวกเราสิ้นแล้ว หลวงปู่ของพวกเราสิ้นแล้ว น้ำตาแห่งความศรัทธาของบรรดาศิษยานุศิษย์ ไหลรินลงมาราวกลับแม่น้ำในมหานทีก็ไม่ปาน สิริรวมอายุหลวงปู่ได้ ๙๑ ปี พรรษา ๗๑

    สังขารของ หลวงปู่ทองมา ถาวโร ถูกเก็บเอาไว้ ณ ศาลาวัดสว่างท่าสี เป็นเวลา ๕ เดือน เพื่อให้สานุศิษย์ พ่อค้า ประชาชน ทั้งหลายได้เดินทางเข้ามากราบสักการะโดยทั่วกัน และได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๕ ณ เมรุชั่วคราว บริเวณวัดสว่างท่าสี และจุดที่พระราชทานเพลิงศพนี้ได้กลายมาเป็นมณฑปหลวงปู่ทองมาและบรรจุเถ้าอัฐิและรูปหล่อหลวงปู่ ไว้ให้สานุศิษย์ได้กราบไหว้สักการบูชามาจนถึง ทุกวันนี้ ญาติโยมทั้งหลายสามารถเดินทางมากราบนมัสการขอพร หลวงปู่ทองมาได้ทุกวัน

    ทุกๆปี ทางชาวบ้านญาติโยมบ้านท่าสี – หนองสำราญ จะจัดงานทำบุญใหญ่ประจำปี ในระหว่างช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ หรือ ต้นเดือนมีนาคม แล้วแต่ทางวัดจะได้ออกประกาศตามสมควร ชาวบ้านจะเรียกงานบุญนี้ว่า “งานบุญหลวงปู่ใหญ่” เนื่องจากว่า หลวงปู่ทองมาท่านได้พาญาติโยมที่นี้ จัดงานบุญนี้ขึ้นมาเป็นประจำทุกๆปี จนกลายเป็นประเพณีสืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้

    อ้างอิง : หนังสือประวัติที่เขียนโดยพระครูวิมล สังวรคุณ วัดป่าเมตตาธรรม ปี พ.ศ.๒๕๔๐,หนังสือประวัติที่เขียนโดยคุณถนอม อนุกูล ปี ๒๕๑๘,หนังสือประวิติที่เขียนโดยคุณอรุณ ประดับสินธุ์ ปี พ.ศ.๒๕๔๔
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญยันต์ชิด รุ่น๔ ปี 2502 สภาพผ่านการบูชา (สวยๆหลายหมื่น) รุ่นนิยม
    ให้บูชา
    6000 บาทครับ
    ลป.ทองมา.jpg ลป.ทองมาหลัง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2022
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    ลพ.พุฒรูป1.jpg
    หลวงพ่อพุฒ ธัมมิโก(สารสุข)
    ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อีกรูปหนึ่ง หลวงปู่ศุขท่านเรียกหลวงพ่อพุฒว่าเณรโด่ง เพราะจมูกโด่ง และตามประวัติแล้วหลวงพ่อพุฒนี้ละครับที่อยู่ในเรื่องหลวงปู่ศุขเสกหัวปลี เป็นกระต่ายให้เณรดู แล้วกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์มาพบแล้วฝากตัวเป็นศิษย์

    ประวัติ
    ท่านเกิดเมื่อปี 2445 เมื่ออายุประมาณ 3-4 ขวบ
    (ราวๆ ปี 2447) ลป.ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าได้ล่องเรือไปรับท่านจากตำบลพระประแดง สุมทรปราการตามคำร้องขอของโยมพ่อลป.พุฒว่า หากท่านเสียชีวิตขอให้ลป.ศุขรับลป.พุฒมาเลี้ยงดูแทน
    หลัง จากลป.ศุขรับท่านมาอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าก็ได้ให้(ลป.พุฒ)บวชเณร มีหน้าที่คอยต้มยารักษาโรคให้กับญาติโยม และยังได้เรียนคาถาอาคมจากลป.ศุขด้วย
    ในช่วงที่ลป.พุฒอยู่ที่วัด ยังได้เคยพบเห็นกรมหลวงชุมพรฯขณะที่เสด็จมาที่วัดปากคลองและยังได้รับแจกเงิน(ค่าขนม)จากกรมหลวงฯอีกด้วย
    เมื่อไปอยู่กับหลวงปู่ศุขแล้ว เด็กชายพุฒก็ได้รับการเลี้ยงเป็นอย่างดีในฐานะเด็กวัด ได้อยู่ช่วยกิจการงานในวัดตามที่จะพอทำได้ และเมื่อเติบโตขึ้น พอจะร่ำเรียนอะไรได้ หลวงปู่ศุขท่านก็ได้สอนให้ เริ่มตั้งแต่อักษรสมัยเรียน ไทย ขอม จนทางด้านคาถา อาคมและก็เรียนวิชาการต่างๆ เท่าที่มีสอนในสำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่า จนกระทั่งมีอายุได้ประมาณ11 - 12 ปี หลวงปู่ศุข ท่านก็จัดการให้เด็กชายพุฒได้บวชเป็นสามเณร เมื่อบวชแล้วหลวง พ่อพุฒท่านอยู่รับใช้หลวงปู่ศุขตั้งแต่เป็นเณรอยู่ทำหน้าที่ต้มยาต้มชาถวาย ท่านอยู่ที่วัดอินทรีย์ศรีสังวร และก็ได้อยู่ศึกษาพระธรรมวินัย และเรียนทางด้านวิปัสสนา กัมมัฎฐานรวมตลอดไปถึงวิชาพระเวทย์ต่างๆในสำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่าต่อไป....

    เหรียญหลวงพ่อพุฒ สาระสุข เหรียญนี้ออกที่วัดอินทรีย์ศรีสังวร สุโขทัย เมื่อปี2518 เดิมหลวงพ่อพุฒ ก่อนที่ท่านจะมาอยู่วัดเขาไม้แดง ท่านได้อยู่ช่วยสร้างวัดแถบอุตรดิตถ์ และสุโขทัย มาก่อน จนมาถึงวัดอินทรีย์ศรีสังวร จึงมีเหตุให้ท่านต้องมาอยู่กับหลวงพ่อยงยุทธก็เนื่องจาก ท่านจะไปสร้างวัดและปกป้องสมบัติที่วัดอินทรีย์ศรีสังวร แต่ได้ไปขวางผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่ม ท่านได้ถูกถล่มปืนเข้าที่กุฏิเป็นรูพรุนไปทั่ว จนชาวบ้านนึกว่าท่านมรณะภาพแล้ว แต่ผลปรากฏว่าท่านไม่เป็นไร มีแต่จีวรขาด และเนื้อตัวฟกช้ำเป็นจ้ำๆ หัวปูด เท่านั้น ข่าวเรื่องนี้ได้ทราบถึง ลพ.ยงยุทธ ซึ่งรู้จักกันก่อนหน้าแล้ว หลวงพ่อยงยุทธจึงได้ชวนหลวงพ่อพุฒ มาอยู่ด้วยกัน เพื่อมาร่วมสร้างพระพุทธศาสนากันจนมาถึง วัดเขาไม้แดง จนถึงวาระสุดท้ายของหลวงพ่อ.....

    ประวัติหลวงพ่อพุฒ ในวัยเด็กนั้น อายุ 4 -5 ขวบ บิดามารดา ได้นำมาถวายให้กับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เมื่อไปอยู่กับหลวงปู่ศุขแล้ว เด็กชายพุฒก็ได้รับการเลี้ยงเป็นอย่างดีในฐานะเด็กวัด ได้อยู่ช่วยกิจการงานในวัดตามที่จะพอทำได้ และเมื่อเติบโตขึ้น พอจะร่ำเรียนอะไรได้ หลวงปู่ศุขท่านก็ได้สอนให้ เริ่มตั้งแต่อักษรสมัยเรียน ไทย ขอม จนทางด้านคาถา อาคมและก็เรียนวิชาการต่างๆ เท่าที่มีสอนในสำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่า จนกระทั่งมีอายุได้ประมาณ11 - 12 ปี หลวงปู่ศุข ท่านก็จัดการให้เด็กชายพุฒได้บวชเป็นสามเณร เมื่อบวชแล้วหลวง พ่อพุฒท่านอยู่รับใช้หลวงปู่ศุขตั้งแต่เป็นเณรอยู่ทำหน้าที่ต้มยาต้มชาถวาย ท่านอยู่ที่วัดอินทรีย์ศรีสังวร และก็ได้อยู่ศึกษาพระธรรมวินัย และเรียนทางด้านวิปัสสนา กัมมัฎฐานรวมตลอดไปถึงวิชาพระเวทย์ต่างๆในสำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่าต่อไป.....เหรียญหลวงพ่อพุฒสุดยอดทุกเหรียญด้านอุดปืน ยิงไม่ออก เหรียญปี 2518 นี้ทราบมาว่าท่านปลุกเสกจนลังเหรียญระเบิดเหรียญกระเด็นออกมา มีประสบการณ์มากทหารที่ไปรบในช่วงปีนั้นรอดตายทุกคน เหรียญนี้จึงโด่งดัง ส่วนเหรียญรุ่นหลังๆเช่นเหรียญกลม นั่งเต็มองค์ เสกที่วัดเขาไม้แดง ก็มีคนเอาไปลองยิงปรากฎว่ายิงไม่ออก

    เหรียญนี้ผิวทองแดงเดิมๆตามกาลเวลา เส้นยันต์คมชัดถือว่าสภาพยังสวยครับ เดิมๆ มีตอกโค้ดที่หลังเหรียญเช่นกันครับ
    เหรียญนี้เป็น รุ่นพิเศษ ปี 2518 ออกวัดอินทรีย์ศรีสังวร(ในช่วงที่ท่านจำพรรษาที่วัดอินทรีย์ศรีสังวร)

    หลวง พ่อพุฒ ธัมมิโก(สารสุข) ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อีกรูปหนึ่ง หลวงปู่ศุขท่านเรียกหลวงพ่อพุฒว่าเณรโด่ง เพราะจมูกโด่ง และตามประวัติแล้วหลวงพ่อพุฒนี้ละครับที่อยู่ในเรื่องหลวงปู่ศุขเสกหัวปลี เป็นกระต่ายให้เณรดู แล้วกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์มาพบแล้วฝากตัวเป็นศิษย์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 800 บาทครับ


    ลพ.พุฒ.jpg ลพ.พุฒหลัง.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    หลวงพ่อชำนาญ เป็นพระที่มีเชื้อสายรามัญ รับการสืบทอดวิทยาคม จากสายเจ้าคุณพระรามัญมุนี ตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณร ได้เรียนวิชากับครูพระ และ ครูฆราวาส มากมาย และยังได้ศึกษาคัมภีร์ ตำราโบราณ ตามที่ครูบาอาจารย์ ของท่านได้มอบไว้ให้
    ได้เรียนรู้อักขระขอมและภาษามอญ พร้อมทั้งศึกษาพระเวทย์และคาถาอาคมต่างๆ จนมีความชำนาญ ส่วนใหญ่หลวงพ่อชำนาญท่านได้รับถ่ายทอดวิชาหลักๆ จากหลวงปู่สุรินทร์ เรวโต อดีตเจ้าอาวาสวัดบางกุฎีทอง
    ท่านเป็นพระที่ชอบการสักยันต์มาก ท่านจึงมีการ สักยันต์ธงชัย บริเวณต้นแขนขวาของท่าน ในกุฎิหลวงพ่อชำนาญ จะเห็นตำราเก่าๆของ หลวงปู่สุรินทร์ มากมายเขียนจดอยู่ในสมุดกระดาษหยาบๆ แบบโบราณ
    ในสมุดทุกวิชาทุกคาถา หลวงปู่จะเขียนไว้หมดว่าไปเรียนมาจากใครที่ไหน เช่น เรียนมากับหลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง เจ้าคุณรามัญมุนี วัดบางหลวง (ท่านเจ้าคุณรามัญเป็นอุปัชฌาย์ของหลวงปู่สุรินทร์และเป็นอาจารย์ของหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ผู้สร้างสมเด็จสิบสองนักษัตริย์จนโด่งดัง) อาจารย์จง วัดหน้าต่างนอก บทแม่ธรณี หลวงปู่ไปเรียนกับอาจารย์กี วัดหูช้าง หลวงพี่เทียน วัดโบสถ์ (หลวงปู่สุรินทร์จะเรียกหลวงปู่เทียนวัดโบสถ์ว่าหลวงพี่ เพราะท่านเป็นพระมอญเหมือนกัน)

    เป็นที่รู้กันดีว่าหลวงพ่อเป็นพระจริงทั้งกายวาจาใจ สร้างพระได้ขลังและแรงอย่างน่าประหลาด เมื่อได้เป็นศิษย์ของท่านแล้วคำว่าแย่ลงจะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด เมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อศิษย์ ไม่มีอะไรมาเป็นขีดจำกัดแม้ความตาย เหล่าศิษย์ขอก้มกราบแทบเท้าหลวงพ่ออย่างบริสุทธิ์ใจ
    วัตถุมงคลของหลวงพ่อแสดงปฏิหารย์ช่วยคนมานักต่อนัก รอดตายก็เยอะร่ำรวยก็ดีขึ้นก็มาก ถ้ามองเรื่องราคาค่านิยมก็ไม่ตก แถมยังก้าวหน้าต่อไปด้วยประสบการณ์อย่างนี้กระมังที่เรียกว่าของดีจริง ไม่มีคำกล่าวอื่นใดอีกนอกจากคำว่า ศักดิ์สิทธิ์และมหัศจรรย์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    รูปหล่อเนื้อดีบุกหลวงพ่อชำนาญ รุ่นนี้ไม่มีให้บุชา แล้วแต่ท่านจะพิจรณาแจกรายบุคคล แรกๆเช่าต่อกันร้อยปลาสยใกล้พัน ปัจจุบันผมให้บูชา 300 บาทครับค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย(ปิดรายการ)
    ลพ.ชำนาญ.jpg ลพ.ชำนาญหลัง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2022
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    ลพ.ยิดรูป1.2.jpg
    https://www.tnews.co.th/variety/200219
    ประวัติ พระครูนิยุตธรรมสุนทร (หลวงพ่อยิด)

    พระครูนิยุตธรรมสุนทร มีนามเดิมว่า ยิด นามสกุล สีดอกบวบ เกิดที่บ้านดอนหัวกรวด ตำบลนาพันสาม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี จากใบสุทธิระบุว่าท่านกำเนิดเมื่อวันที่อังคาร ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 7 ปีชวด ตรงกับวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2467 แต่จากปากคำของท่านเล่าว่า ท่านเกิดวันจันทร์ ปีชวด พ.ศ. 2460 โยมบิดาชื่อ แก้ว โยมมารดาชื่อ พร้อย มีพี่น้องรวม 7 คน ท่านเป็นบุตรชายคนที่ 4

    ในวัยเยาว์ โยมบิดา-มารดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือกับ หลวงพ่อหวล วัดนาพรม ที่มีศักดิ์เป็นน้าของท่าน จนมีอายุได้ 9 ขวบ จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดนาพรม โดยมีหลวงพ่อหวล เป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาอักขระสมัย อักขระขอม เลขยันต์ และแพทย์แผนโบราณ ภายหลังหลวงพ่อหวลได้พาไปฝากศึกษาต่อกับ หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง เพื่อศึกษาด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน

    พออายุได้ 14 ปี ท่านได้ลาสิกขาบทออกมาช่วยโยมบิดา-มารดาประกอบอาชีพ เพราะครอบครัวย้ายไปประกอบอาชีพที่อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะนั้นครอบครัวของท่านมีความลำบากยากจน ท่านจึงต้องช่วยครอบครัวประกอบอาชีพ....

    อายุได้ 20 ปี จึงได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดนาพรม โดยมี หลวงพ่ออินทร์ วัดยาง (เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรีในขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อหวล วัดนาพรม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์พ่วง วัดสำมะโรง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา จนฺทสุวณฺโณ แปลว่า ผู้มีวรรณะดุจพระจันทร์

    ขณะบวชนั้น ท่านได้เดินทางไปศึกษาด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานกับหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง ต่อมาโยมบิดาของท่านได้เสียชีวิตลง ท่านจึงลาสิกขาเพื่อกลับไปดูแลโยมมารดาและครอบครัว ภายหลังท่านได้แต่งงานมีครอบครัวกับนางธิต มีบุตรด้วยกัน

    แต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ทางธรรมและเห็นว่าบุตรของท่านเติบใหญ่เลี้ยงตนเอง ได้ ครอบครัวอยู่กินได้อย่างไม่เดือนร้อน ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้ง ณ พัทธสีมาวัดเกาะหลัก อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในปี พ.ศ. 2517 และได้ไปจำพรรษาที่วัดทุ่งน้อย ตำบลเขาแดง อำเภอกุยบุรี

    ต่อมาได้มีผู้จิตศรัทธา 2 ท่าน คือ นางวง บุญมา และนางเอื้อน เกตุงาม มีความเคารพเลื่อมใสหลวงพ่อยิดเป็นอันมาก จึงได้ถวายที่ดินจำนวน 21 ไร่ 2 งาน ตั้งอยู่ที่เลขที่ 67 หมู่ที่ 3 ตำบลดอนยายหนู อำเภอกุยบุรี เพื่อให้หลวงพ่อยิดไปจำพรรษา กอปรกับหลวงพ่อยิดมีความคิดเห็นว่าญาติโยมในบริเวณนั้นต้องเดินทางไปทำบุญ ไกล ท่านจึงตัดสินใจสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น ณ ที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518 โดยให้ชื่อว่า สำนักสงฆ์พุทธไตรรัตน์

    แรกๆ หลวงพ่อยิดปลูกกระต๊อบหลังเล็กๆ เป็นที่อาศัย ท่านค่อยๆ ถากถางเรื่อยไป จนพื้นที่ที่เคยรกดูสะอาดเป็นสัดส่วนขึ้นตามลำดับ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาเก่าๆ เมื่อทราบข่าวของท่าน จึงมาช่วยกันพัฒนาจนเป็นรูปเป็นร่าง และได้ขออนุญาตสร้างเป็นวัดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2527 และได้รับอนุญาตให้ตั้งชื่อว่า วัดหนองจอก โดยใช้ชื่อของท้องถิ่นเป็นชื่อวัด ในปี พ.ศ. 2528
    ประสบการณ์ปลัดขิก
    พ.อ.อ.ศักดิ์ชัย ทรงโกมล
    สังกัด กองบิน 5 ประจวบฯ เล่าว่าลูกชายของเขาตอนอายุประมาณ 11 ขวบ ถูกต่อหัวเสือ 3 ตัว ต่อยเข้าที่ศีรษะ ร้องด้วยความเจ็บปวด จึงนึกถึงหลวงพ่อยิด จึงนำปลัดขิกของหลวงพ่อยิดขึ้นมาอาราธนาแล้วจิ้มลงไปที่บริเวณที่โดนต่อย ปรากฏว่าลูกชายหายปวดและหยุดร้องได้

    นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าคนจีนทำอัญมณีส่งต่งประเทศ เมื่อส่งของไปแล้วถูกส่งกลับคืนมาอ้างว่าของไม่มีคุณภาพ พ่อค้าท่านนี้กลุ้มใจมาก มีคนนำไปหาหลวงพ่อยิด ท่านจึงมอบปลัดขิกและบอกให้นำไปทิ่มที่ของซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่ถูกส่งกลับ คืน แล้วส่งไปอีกครั้ง ปรากฏว่าทางต่างประเทศชมมาว่าของชุดนี้ถูกใจมาก

    หลวงพ่อยิดเสกน้ำทะเลจืด

    เป็นที่รู้กันของชาว บ้านในแถบทุ่งน้อยและเขาแดงว่า หลวงพ่อยิดเสกน้ำทะเลจืดได้ จากปากคำของคุณวิเชียน อ่วมอ้อ เล่าว่า เมื่อครั้งหลวงพ่อยิดเป็นฆราวาส คุณวิเชียรยังมีอายุได้ 17 ปี ได้ตามหลวงพ่อยิดออกทะเลจับปลา จึงเตรียมน้ำจืดไปไว้ดื่มแต่ไม่เห็นหลวงพ่อยิดเตรียมน้ำไปด้วย ขณะพักกินข้าวกลางวันเห็นหลวงพ่อยิดเอามือกอบน้ำทะเลดื่ม จึงลองดื่มบ้างปรากฏว่า เค็ม บ้วนทิ้งแทบไม่ทัน หลวงพ่อยิดมองแล้วอมยิ้ม จากนั้นท่านจึงเอามือวนในน้ำทะเลเป็นวงกลม แล้วให้คุณวิเชียนเอามือกอบน้ำในวงกลมดื่ม ปรากฏว่าน้ำนั้นไม่เค็มเหมือนน้ำทะเลแต่จืดเหมือนน้ำบ่อ

    หลวงพ่อยิดสรงน้ำปีละครั้ง

    หลวงพ่อยิด เรียนคาถาเลขยันต์จากอาจารย์ของท่าน อาจารย์บอกว่าตะจ้องรับสัจจะว่าจะอาบน้ำ (สมัยฆราวาส) ปีละครั้ง ท่านก็รับปากอาจารย์จึงสอนวิชาให้ เมื่อท่านเรียนวิชาจบแล้วท่านก็อาบน้ำ จนกระทั่งบวชเป็นพระท่านก็สรงน้ำปีละครั้งตลอดมาในเดือน 4 วันอาทิตย์แรกของข้างแรม
    หลวงพ่อยิดสรงน้ำปีละครั้ง ลูกศิษย์และผู้ที่เคารพศรัทธาจะเอาแปรงทองเหลืองขัดตัวท่าน ท่านจะยิ้มเพราะไม่เจ็บไม่ระคายผิวหลังท่านเลย
    ลพ.ยิดรูป1.jpg

    วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 หลวงพ่อยิดเกิดอาพาธ ปัจจุบันทันด่วน ด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก และได้เข้ารักษาตัวห้อง I.C.U โรงพยาบาบตำรวจและมรณภาพลงด้วยอาการสงบในวันที่ 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2538 เวลา 03.50 น. คณะศิษย์ได้นำสังขารของท่านบรรจุไว้ในโลงแก้ว และได้รับพระราชทานเพลิงศพในวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2540 เวลา 14.00 น. ณ เมรุวัดหนองจอก
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ล๊อคเก็ตงานกฐินหลวงพ่อยิด หลังอุดมวลสารเกษา สร้างน้อยหายากแน่นอนครับ ให้บูชา 6000 บาทครับ
    ลพ.ยิด.jpg ลพ.ยิดหลัง.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    ลพ.เอียดรูป.jpg
    หลวงพ่อเอียด อินทวังโส วัดไผ่ล้อม พระนครศรีอยุธยา – “หลวงพ่อเอียด อินทวังโส”
    หรือ “พระสุนทรธรรมานุวัตร” อดีต เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดพระนคร ศรีอยุธยา พระเกจิที่มากด้วยพุทธาคมอีกรูป งานพุทธาภิเษกที่แห่งใด ต้องมีชื่อไปร่วมแทบจะทุกงาน
    มีนามเดิมว่า ละเอียด พูลพร มีภูมิลำเนาเดิมที่ ต.สะพานไทย อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 ก.พ.2471 ที่บ้านเลขที่ 5 ต.สะพานไทย อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา

    ในวัยเด็กมีความขยันขันแข็ง ชอบที่จะเข้าวัดเพื่อคุยกับพระเณร และยังเป็นเด็กที่ชอบอ่านเขียนหนังสือจึงได้เรียนหนังสือจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

    ต่อมาบวชเป็นสามเณร ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ที่วัดไผ่ล้อม จ.พระนครศรีอยุธยา อยู่กับหลวงพ่อแจ่ม ที่มีศักดิ์เป็นลุง และเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อขันอินทปัญโญ วัดนกกระจาบ ซึ่งเป็นวัดอยู่ใกล้กัน

    จึงได้นำไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อขัน เรียนวิทยาคม เขียนอักขระลงยันต์ต่างๆ จนมีความเชี่ยวชาญ

    ศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยความขยันหมั่นเพียร พ.ศ. 2487 สอบได้นักธรรมชั้นตรี สอบได้นักธรรมชั้นโท อีกทั้งยังสามารถท่องพระปาฏิโมกข์ได้ขณะเป็นสามเณร

    นอกจากนี้ ยังเรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อสังข์ บุญญศิริ วัดน้ำเต้า
    อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 ก.ค.2491 ที่พัทธสีมาวัดไผ่ล้อม มีพระครูสุนทรวิหารกิจ (หลวงพ่อตุ้ม จันทร์โชติ) วัดจันทาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถนอม วัดใหม่กบเจา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูสาธรนวกิจ วัดบางบาล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    อยู่จำพรรษาปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนของพระอุปัชฌาย์ ศึกษาพระธรรมวินัยและสอบนักธรรมชั้นเอกได้ในพรรษาที่ 3 เมื่อปีพ.ศ. 2493 พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นพระครูสอนพระปริยัติธรรม อีกครั้งยังดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสไผ่ล้อม

    พ.ศ.2497 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสจวบจนปัจจุบัน
    ลำดับงานปกครองพ.ศ. 2511 เป็นรองเจ้าคณะอำเภอบางบาล พ.ศ. 2512 เป็นพระอุปัชฌาย์พ.ศ. 2519 เป็นเจ้าคณะตำบลบางบาล พ.ศ. 2545 เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2551 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    ลำดับสมณศักดิ์พ.ศ. 2510 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่พระครูสุนทรยติกิจ พ.ศ. 2511 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม พ.ศ. 2526 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิมพ.ศ. 2533 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนามเดิมพ.ศ. 2546 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระสุนทรธรรมานุวัตร

    ปฏิบัติงานในหน้าที่ เดินทางไปตรวจเยี่ยมวัดเขตปกครองทุกวัดตามแต่โอกาสอำนวย ทั้งการตรวจเยี่ยม โดยตรงและเดินทางไปทำพิธีกรรมและอุปสมบทในฐานะพระอุปัชฌาย์

    อีกทั้งหลวงพ่อเอียดยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาด้านการศึกษาให้มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทัดเทียม ด้วยการส่งเสริมพระภิกษุสามเณรให้ศึกษาพระปริยัติธรรม และแผนกนักธรรมให้มากขึ้นด้วย พร้อมกับพัฒนาโรงเรียนวัดไผ่ล้อมให้เป็นสถานศึกษาระดับประถมศึกษาที่น่าศึกษาหาความรู้ สนับสนุนการศึกษาของนักเรียนด้วยปัจจัย 4

    ด้านการสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคล หลวงพ่อเอียดได้เริ่มสร้างวัตถุเป็นครั้งแรกเมื่อท่านอายุได้ 43 ปี ล้วนแต่ได้ความนิยม อาทิ ตะกรุดโทนเนื้อเงินแหวนกำไลเงิน สีผึ้ง ผ้ายันต์ ฯลฯ

    แต่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง คือ หลังพระหลังไผ่พ.ศ. 2513

    ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง สุขภาพของหลวงพ่อเอียดไม่แข็งแรงนัก มีอาการอาพาธ ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ คณะศิษย์ผู้ใกล้ชิดจัดให้มีเจ้าหน้าที่พยาบาลดูแลอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด

    กระทั่งเวลา 21.52 น. วันที่ 29 ม.ค.2558 หลวงพ่อเอียดหมดสติลง คณะแพทย์และเจ้าหน้าที่พยาบาลปั๊มหัวใจช่วยยื้อชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่อาจยื้อชีวิตเอาไว้ได้ มรณภาพอย่างสงบสิริอายุ 87 ปี พรรษา 65
    https://www.khaosod.co.th/newspaper-
    column/amulets/news_2913916
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 300 บาทครับค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย(ปิดรายการ)
    ลพ.เอียด.jpg ลพ.เอียดหลัง.jpg ลพ.เอียดกล่อง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2022
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    เหรียญปลอดภัย หลวงปู่ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง เนื้อทองฝาบาตร ปี 2540 สภาพสวย

    -เหรียญปลอดภัย หลวงปู่ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง เชียงใหม่ หลังยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า สร้่างปี 2540 โดย อ.เฒ่า สุพรรณ เพื่อสมทบทุนสร้างมณฑปและเมรุ วัดหัวเด่น สุพรรณบุรี ซึ่ง อ.เฒ่า ได้ทำพิธีขออนุญาตหลวงพ่อกวยเพื่อใช้ยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้้าไว้หลังเหรียญ หลวงปู่ และได้จุดธูปอัญเชิญขอหลวงพ่อกวยให้มาช่วยปลุกเสกด้วย แล้วเอาไปให้หลวงปู่ครูบาอิน อินโท เสกนานถึง 4 เดือน เข้าพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ที่วัดหม้อคำตอง เชียงใหม่ อีก 7 วัน 7 คืน แล้วนำกลับไปให้หลวงปู่เสกอีก จนหลวงปู่บอกว่าเสกไม่เข้าแล้ว และขอเหรียญนี้ไว้จำนวนหนึ่ง โดยให้เหตุผลว่า"กลัวคนเจียงใหม่จะบ่ได้ใช้ของดีๆ"

    -จำนวนการสร้างมี
    เหรียญนวะ 300 เหรียญ
    เหรียญอัลปาก้า 2,000 เหรียญ
    และเหรียญทองฝาบาตรอีก 8,000 เหรียญ

    “พระครูวรวุฒิคุณ” หรือ “หลวงปู่ครูบาอิน อินโท” หรือ “ครูบาฟ้าหลั่ง-ฟ้าลั่น” อมตะมหาเถราจารย์แห่งนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ผู้สูงยิ่งด้วยศีล จริยาวัตร และพุทธาคม เชี่ยวชาญสรรพวิชาตามตำราโบราณล้านนา จนเป็นที่ประจักษ์ทั่วไป ดังคำกล่าวของบรรดาพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ว่า

    “ขอเธอจงไปกราบครูบาอินที่เชียงใหม่และขอศึกษาวิชาจากท่านให้ดีๆ เถิด ท่านเป็นพระผู้เก่งกล้าสามารถมากจริงๆ” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม บ้านบ้านเเค ตำบลบางขุด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท

    “ดีอยู่แล้ว ดีอยู่แล้ว พระของครูบาอิน ไม่ต้องเสกอะไรอีกแล้ว” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง

    “จิตของครูบาอิน ประภัสสรยิ่งแล้ว” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อชม วัดโป่ง จังหวัดชลบุรี

    “ครูบาอิน ท่านมีจิตมีจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งเลยทีเดียว” เป็นคำกล่าวของครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา (ครูบาวงศ์) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

    “หลวงปู่ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่งนั้น ดีที่หนึ่งเลย” เป็นคำกล่าวของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

    “ครูบาอินท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบนะ” เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต บ้านลูกกลอน ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ฯ
    เหรียญปลอดภัยครูบาอินสภาพสวยเดิมๆ ตั้งแต่สมัยทำบุญกับอ.เฒ่าสุพรรณให้บูชา 5500 บาทครับ
    ครูบาอิน1.jpg ครูบาอิน1หลัง.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    ลพ.หมอรูป1.jpg
    หลวงพ่อประเสริฐ โอภาโส (หลวงพ่อหมอ) วัดโคกกระต่ายทอง จ.อยุธยา และ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา

    หลวงพ่อหมอ สุดยอดพระเกจิ เพื่อนรักของหลวงพ่อคูณ พระเกจิองค์เดียวที่หลวงพ่อคูณ มวนและจุดยาสูบให้

    ท่านมีเมตตากรุณาธรรมยิ่ง จะเห็นได้ว่า ในแต่ละวันจะมีญาติโยมผู้ศรัทธา รวมทั้งลูกศิษย์ที่เดินทางมากราบนมัสการท่าน จากจังหวัดต่างๆมากมาย บางคนก็ถวายปัจจัยให้ท่านรายละมาก ๆ โดยที่ท่านไม่เคยเอ่ยปาก ปัจจัยและลาภสักการะต่าง ๆ ที่ท่านได้มา ท่านไม่เคยนำไปใช้ปรนเปรอ บำเรอ อำนวยความสุขส่วนตัว ท่านไม่เคยมีทีวี V.D.O แอร์หรือรถยนต์ส่วนตัว

    ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าท่านหวังที่จะมีท่านสามารถหาอย่างดีแค่ไหนมาก็ได้ แต่ท่านก็ไม่เคยปฏิบัติให้คนต้องนินทาท่านเช่นนั้น ท่านอยู่ของท่านง่าย ๆ ไม่ต้องมีสิ่งอำนวยความสุขแต่อย่างใดเลย ลาภปัจจัยที่ท่านได้มา ท่านบริจาคใช้เพื่อการบุญการกุศลหมด ท่านมีความเมตตารับเด็กกำพร้ามาชุบเลี้ยง สร้างโรงเรียนให้เด็ก ๆ อยู่กินฟรี ญาติโยมส่วนใหญ่ที่มาหาท่าน แต่ละคนล้วนแล้วแต่แบกทุกข์ แบกปัญหาร้อยแปดไปให้ท่านช่วยทั้งนั้น

    เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อหมอปี2513 ให้บูชา 800 บาทครับค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย
    ลพ.หมอ1.jpg ลพ.หมอ1หลัง.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    วัตถุมงคลหลากหลายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศครับค่าจัดส่งต่อครั้ง 30 บาทระบบflash หรือ J&Tและ 50 บาทems ไปรษณีย์ไทย 08--1--70--4--72--64 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง line ตามเบอร์โทรศัพท์
    บัญชีธนาคาร กรุงไทย 125-00-89-239
    Supachai thu
    โอนแล้วแจ้งบอก ทางข้อความ พร้อมที่อยู่จัดส่ง ป้อง กัน การเอาข้อมูลจากมิจฉาชีพครับ
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,738
    ค่าพลัง:
    +21,342
    220px-ลพ.ชม_วัดโป่ง_.jpeg
    ประวัติ พระครูวิทสุทธิกิจจาทร หรือ หลวงพ่อชม กสโร
    ท่านเกิดที่บ้านโป่ง หมู่ที่ 2 ต.โป่ง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปีวอก ตรงกับวันที่ 8 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2451
    - เป็นบุตรคนที่ 5 ของ คุณพ่อพงษ์ และคุณแม่พิมพ์ คงเมือง มีพี่น้องเกิดร่วมบิดามารดาเดียวกัน 10 คน
    - เมื่อเยาว์วัย บิดามารดาได้พามาฝากวัดอยู่กับลูกของลุง เริ่มเรียน ก.ไก่ ก.กา กับพระที่วัดโป่ง จนสามารถอ่านออกเขียนได้ และอยู่วัดปรนนิบัติพระอาจารย์อยู่ระยะหนึ่ง แล้วก็ออกมาช่วยบิดามารดาทำมาหากิน ด้วยความขยันขันแข็ง
    - เมื่ออายุครบ 21 ปี ก็ได้เข้ารับการเกณฑ์ทหารเป็นเวลา 2 ปี เมื่อออกจากทหารแล้ว ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
    ท่านอุปสมบทที่ วัดนพทองดี ศรีพฤฒาราม (วัดโป่ง) เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2474 ได้รับฉายาว่า พระชม กสโร
    - โดยมี พระครูธรรมมาธรโลขณะเขต เป็นพระอุปัชฌาย์
    - เจ้าอธิการบัว วัดนพทองดี ศรีพฤฒาราม (วัดโป่ง) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    - พระอาจารย์ ไว เป็น พระอนุสาวนาจารย์
    เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านก็ได้ศึกษาท่องบ่นสาธยายมนต์ จนมีความคล่องแคล่วในพระสูตรต่างๆ และศึกษาในด้านพระปริยัติธรรม จนมีความรู้ความสามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

    .....ขณะตอนอุปสมบทใหม่ๆ ท่านได้ออกจากวัดโป่ง เพื่อธุดงค์ไปแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในสำนักต่างๆ ทั้งทางด้านกัมมัฏฐาน และวิปัสสนา ตลอดจนทางด้านไสยศาสตร์
    .....ส่วนเรื่องการเรียนคาถาอาคมนั้น ท่านได้ไปเรียนหลายสำหนัก หลายอาจารย์ เช่น
    - หลวงพ่อวงค์ วัดบ้านค่าย
    - หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ
    - หลวงปู่เนือง หลวงปู่คง หลวงปู่แช่ม จังหวัดสมุทรสาคร
    - หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า
    - และท่านยังได้ไปศึกษาอีกหลายๆ แห่ง เช่น วัดระฆัง วัดเกตุไชโย วัดสุทัศน์
    เมื่อท่านได้ศึกษาเล่าเรียนจากครูบาอาจารย์เหล่านั้นจนมีความแตกฉานแล้ว ท่านก็ได้กลับมาประจำอยู่ที่วัดโป่งเหมือนเดิม ระหว่างนั้นท่านก็ได้ฝึกฝนในวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาอยู่เป็นเนืองนิตย์
    ต่อมาท่านพระอาจารย์บัว เจ้าอาวาสองค์เก่า ท่านมีความจำเป็นต้องลาสิกขาบท จึงได้มอบหมายให้พระชม (หลวงพ่อชม กสโร) เป็นผู้ดูแลรักษาวัดสืบต่อจากท่าน

    .....หลวงพ่อชม รับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ.2486 ซึ่งในขณะนั้นท่านบวชมาได้ 12 พรรษา หลังจากที่รับตำแหน่งแล้วท่านจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจ และแรงศรัทธา ชักจูงชาวบ้านในละแวกนั้นมาร่วมกันพัฒนาวัด

    .....นอกจากนี้ท่านยังมีความรู้ในด้านสมุนไพร รักษาโรค และได้ช่วยเหลือประชาชนกำจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ รักษาพยาบาลแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากด้วยความเมตตา ถึงแม้สังขารและอายุจะล่วงเลยมาแล้วถึง 80 ปีก็ตาม กระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ประธานอบรมประชาชนประจำตำบล หรือที่เรียกว่า หน่วย อ.ป.ต.

    .....ด้านสมณะศักดิ์
    - ปี 2532 ได้พระราชทานสมณะศักดิ์เป็นพระครูวิสุทธิกิจจาทร
    - ปีถัดมาได้เลื่อนสมณะศักดิ์จากพระครูชั้นตรี เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิมว่า พระครูวิสุทธิกิจจาทร

    .....อภินิหารและประสบการณ์
    - หลวงพ่อชม กสโร ท่านมีพระอาจารย์รูปแรกคือ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย จ.ระยอง และเป็นศิษย์รูปสุดท้ายของ หลวงปู่อี๋ วัดสัตหีบ
    - นอกจากนี้ท่านยังไปฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์กับเกจิดังๆ ทั่วประเทศ และส่วนใหญ่ท่านจะเรียนแต่เฉพาะหัวใจของวิชา แล้วนำมาผสมผสานกัน
    - สมัยอยู่กุฏิเก่าท่านมักจะเล่นแร่แปรธาตุ ฝึกฝนวิชาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมา มีลูกศิษย์รุ่นพี่เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนเย็นๆ แดดร่มลมตก ท่านมักจะนำกระดาษทิชชู่มาปั้นเป็นก้อน แล้วโยนลงไปใต้กุฏิ จู่ๆ ก็จะเกิดปาฏิหาริย์ เมื่อกระดาษทิชชู่ที่โยนลงไปกลับกลายเป็นกระต่ายบ้าง เป็นนกบ้าง สร้างความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก และเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป ทำให้ชาวบ้านในถิ่นอื่นมาฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์จำนวนไม่น้อย
    - ต่อมาท่านได้สร้างวัตถุมงคลหลายชนิด อาทิ ปลัดขิก, ตะกรุดโทน, ตะกรุดคู่ และเหรียญ
    - เคยมีเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ เมื่อไม่นานมานี้ มีสาวใหญ่คนหนึ่งในหมู่บ้านโป่ง จูงลูกสาววัย 5 ขวบข้ามถนน จู่ๆ ได้มีรถยนต์ขับมาพุ่งชนทั้งแม่ทั้งลูกจนกระเด็นคนละทิศละทาง ผล แม่ตาย ! แต่ ลูกรอด เมื่อมาดูที่คอของเด็กน้อยพบว่าแขวน "ล้อคเก็ตรูปเหมือนของหลวงปู่ชม กสโร"
    - ลูกศิษย์ก้นกุฏิ เล่าต่ออีกว่า อีกเหตุการณ์หนึ่งเป็นเรื่องของแม่ค้าคนหนึ่ง ที่ตั้งแผงขายผลไม้อยู่หน้าปั๊มน้ำมันริมถนน ระหว่างนั้นมีเพื่อนมานั่งคุยที่แผงด้วยรวม 4 คน เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมีรถหกล้อเสียหลักพุ่งตรงมาที่แผงผลไม้ แม่ค้าคนนั้นนั่งอยู่ข้างหน้าสุด และเป็นคนแรกที่ถูกชน
    - เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 2 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย คนที่บาดเจ็บเล็กน้อยนั้นคือแม่ค้าผลไม้เจ้าของแผงนั่นเอง
    - ตรวจสอบแล้วพบว่านางได้ห้อย "เหรียญหลวงพ่อชม รุ่นปี พ.ศ.2519" และนางก็เชื่อว่าเป็นเพราะปาฏิหาริย์เหรียญหลวงพ่อชม ทำให้ตนรอดตายมาได้
    จวบจนสังขารร่วงโรยหลวงพ่อชม กสโร ท่านได้มรณภาพเมื่อ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2539 เวลา 11.40 น. ที่โรงพยาบาลชลบุรี ท่านมีอายุนับได้ 88 ปี 66 พรรษา
    - เมื่อครั้งมรณภาพใหม่ๆ แพทย์และพยาบาลพยายามจะฉีดยาฟอร์มารีนให้ แต่ปลายเข็มไม่อาจแทงทะลุผิวหนังท่านไปได้ จึงไม่ได้มีการฉีดยารักษาศพแต่อย่างใด
    - กระทั่งคณะกรรมวัดการของวัดได้จัดประชุมเพื่อเตรียมงานฌาปนกิจ แต่มีลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดหลายคนแย้งไปว่า " เผาไม่ได้ " เพราะหลวงพ่อท่านสั่งไว้ว่า " หากเผาสังขารของอาตมาเมื่อใด วัดจะร้าง ไม่มีใครมาทำบุญ " จึงทำให้ไม่มีใครกล้าเผา และเก็บสังขารไว้ชั่วคราว
    - จนเวลาผ่านไป ลูกศิษย์ลูกหาจึงได้เปิดโลงออกดู ต้องถึงกับตะลึงปนอัศจรรย์ใจ เมื่อมีกลิ่นหอมเหมือนธูปโชยออกมา สังขารของท่าน ไม่เน่า ไม่เปื่อย ซ้ำยังเปล่งสีทองเหลืองอร่ามงามตา จะหาแมลงมาไต่ตอมก็ไม่มีซักตัว
    - ส่วนบริเวณเท้าและศีรษะมีสีขาวคล้ายเกล็ดหิมะ ทำให้หลายคนถึงกับขนลุกซู่ !!
    - นับจากนั้นเป็นต้นมา คณะกรรมการวัดรวมไปถึงสาธุชนทั่วไป จึงได้รวบรวมปัจจัยกันซื้อโลงแก้วที่ย่านเสาชิงช้า กทม. เพื่ออัญเชิญสังขารของท่านมาเก็บรักษาไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชา และสักการะขอพรจวบจนปัจจุบันนี้
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อชมวัดโป่งนาเกลือชลบุรีรุ่นประสบการณ์
    ให้บูชา 300 บาทครับค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย(ปิดรายการ)
    IMG_20220901_142426.jpg IMG_20220901_142444.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2022

แชร์หน้านี้

Loading...